Thursday, April 28, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 30

เช้าวันต่อมา ผมเข้าเรียนในวิชาแรกสายนิดหน่อย เมื่อไปถึงห้องเรียนอาจารย์กำลังเริ่มสอนพอดี ผมเดินเข้าทางประตูด้านหน้าชั้นเรียนและเดินขึ้นไปตามทางเดินที่เป็นขั้นบันไดเพื่อไปนั่งเรียนที่หลังห้อง

เนื่องจากผมเข้าชั้นเรียนสายจึงยังไม่มีโอกาสทักทายกับใคร แต่ขณะที่เรียนอยู่ผมสังเกตว่ามีบางคนที่นั่งเรียนอยู่ด้านหน้าหันมามองผมบ้างเป็นครั้งคราว

ผมไม่ต้องเก็บความสงสัยอยู่นาน เพราะเมื่อชั้นเรียนเลิก แมวกับจิ๊บก็ปราดเข้ามาทักทายผม

“เป็นไง” จิ๊บถาม “แหม ดูหนังกันสองคนหวานเชียวนะ”

“นี่แน่ะ” แมวหยิกผมหมับที่ต้นแขน “จะไปดูหนังก็ไม่ชวน”

ผมงงอยู่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องอะไร

“เฮ้ย รู้กันได้ยังไงเนี่ย” ผมถาม อดหัวเราะกับข่าวคราวที่รวดเร็วของสองสาวไม่ได้

“ความลับไม่มีในโลก” จิ๊บพูด “ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็อย่าทำ”

“อุ๊ย อิจฉา ดูหนังกันโรแมนติก” แมวพูดด้วยน้ำเสียงเพ้อ

“จะบ๊องกันใหญ่แล้ว ดูหนังจีนบู๊ลิ้มฆ่ากันตลอดเรื่องเนี่ยนะ โรแมนติกตายละ” ผมหัวเราะ “และอีกอย่าง เราไม่ได้ทำอะไรลับๆล่อๆเสียหน่อย ไม่ได้กลัวใครมาเห็นด้วย โรงหนังก็อยู่หน้ามหาวิทยาลัย อยากดูก็ดู ทำไมต้องคิดมาก”

“จ้า พ่อคนไม่คิดมาก” จิ๊บยังกัดไม่ปล่อย “จะมีเดตทั้งทีทำไมไม่เลือกหนังให้มันเข้าท่าหน่อยล่ะ”

“เฮ้ย มีเดตอะไรที่ไหนกัน” ผมรีบปฏิเสธ แค่ไปดูหนังผ่อนคลายอารมณ์กับเพื่อนคนหนึ่ง ทำไมจึงมีคนเข้าใจไปแบบนั้นได้

“โฮ้ย เพื่อนเรามีคู่กันไปหมดแล้ว อิจฉาๆ” แมวแกล้งถอนหายใจทำเสียงเศร้า “เจ้าชาญก็ไปแล้ว นี่ยังเจ้าอูอีก”

“ไอ้ชาญ...” ผมอุทาน “ไอ้ชาญมันทำไมเหรอ”

“ก็มันกำลังคั่วยายตู่กลุ่มสี่อยู่ ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋มาสักพักแล้ว เอ๊ะ นี่เธอไม่รู้เรื่องเลยเหรอเนี่ย” คราวนี้แมวกลับเป็นฝ่ายแปลกใจแทน

ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมปวดหัวกับเรื่องหนุ่ยและเอกมาตลอด เช้ามาเรียน บ่ายก็รีบกลับ ตลอดเวลาที่อยู่ในคณะก็ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องราวภายนอกนัก กับชาญนั้นตั้งแต่เปิดเทอมภาคปลายมาผมก็ไม่ค่อยได้เจอกันเนื่องจากเทอมนี้เราไม่ได้เป็นคู่ทำแล็บกัน อีกทั้งผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ชมรม ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้ความเป็นไปของชาญนัก

เรื่องการดูหนังของผมและเพ็ญแพร่ไปในคณะอย่างรวดเร็ว หากเป็นคู่อื่นอาจไม่ค่อยมีใครสนใจกันนัก แต่เพ็ญเป็นดาวเด่นของคณะดังนั้นจึงถูกจับตาเป็นพิเศษ ผมถูกเพื่อนกระเซ้าเย้าแหย่ตลอดทั้งวัน ที่จริงตอนที่ผมไปดูหนังกับเพ็ญนั้นก็ไม่ได้คิดปกปิดเป็นความลับอะไรเนื่องจากโรงหนังอยู่หน้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง เดินเข้าไปก็คงมีใครเห็นบ้างอยู่แล้ว แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือเพื่อนๆจะเข้าใจผิด ในวันนั้นผมถูกเพื่อนกระเซ้าเย้าแหย่ตลอดทั้งวันแต่ก็เป็นการแหย่แบบขำๆมากกว่า ไม่ถึงกับเป็นเรื่องอื้อฉาวแต่อย่างใด

เพ็ญเองนั้นก็คงโดนเพื่อนๆแซวบ้างเช่นกัน แม้ว่าผมจะมีโอกาสเจอเพ็ญในระหว่างวันแต่ก็พยายามหลบหน้า ไม่กล้าเข้าไปทักทายเพราะผมวางตัวไม่ถูก เกรงว่าหากเข้าไปทักหรือเดินด้วยกันจะยิ่งทำให้ถูกแซวหนักยิ่งขึ้น เกรงว่าเพ็ญจะเสียหายได้ การเรียนอยู่ในคณะใหญ่ที่มีนักศึกษาจำนวนมากก็ดีไปอย่างเนื่องจากการหลบหน้าใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากนัก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ทำไปทั้งหมดนี้ผมทำผิดหรือถูก... ตั้งแต่เรื่องที่ไปดูหนังกับเพ็ญ ตลอดจนเรื่องการหลบหน้า เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาก่อน

- - -

หลังจากเลิกเรียนในวันนั้นผมก็มาขลุกอยู่ที่ชมรม พยายามสะสางงานต้นฉบับที่คั่งค้าง การเรียนในภาคบ่ายวันนั้นเสร็จค่อนข้างเร็ว บ่ายสามโมงก็เลิกแล้ว ตอนที่ผมขึ้นไปที่ชมรมนั้นพวกปีหนึ่งยังไม่มีใครขึ้นมาเลยเนื่องจากยังไม่เลิกเรียนกัน มีแต่พวกรุ่นพี่

“เฮ้อ เสร็จเสียที” ผมกดปุ่มสั่งซียูเวิร์ดให้บันทึกแฟ้มข้อมูลลงบนดิสเก็ตแผ่นโตขนาด 5.25 นิ้ว ในที่สุดงานพิมพ์ต้นฉบับของผมในวันนั้นก็เสร็จสิ้นลง

ขณะที่เสร็จจากงานพิมพ์นั้นเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว เมื่อผมปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อยและเตรียมตัวกลับ เสียงเอะอะก็ลอยเข้ามาจากหน้าประตูชมรม

“อ้าว ไอ้อู มึงมาหลบอยู่ที่นี่เอง” ได้ยินเสียงไอ้กี้ทัก ไอ้กี้เข้ามาพร้อมๆกับเพื่อนปีหนึ่งในชมรมอีกหลายคน

“ไม่ได้หลบโว้ย พูดให้ถูก กูมาทำงาน” ผมแก้คำพูดของมัน

ไอ้กี้เอามือเชยคางของผมขึ้น มองใบหน้าผมอย่างพิจารณา

“อือม์ มีเค้าเหมือนกันแฮะ” ไอ้กี้พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ไหนลองเห่าหน่อยซิ”

“ไอ้เวร” ผมด่ามัน “อะไรของมึงวะ กูไม่ใช่หมาโว้ย”

“อ้อ ไม่ใช่หมาหรอกเหรอ” ไอ้กี้หัวเราจนตาเหลือเส้นเดียว “กูว่าใช่นะ หมาวัดด้วย”

“อะไรของมึงวะ” ผมงง “มึงเมายาม้าหรือเปล่า”

ในยุคนั้นคำว่ายาบ้ายังไม่มี มีแต่ยาม้า ยาขยัน ซึ่งก็คือสารเสพติดในกลุ่มแอมเฟตามีนเช่นเดียวกันนั่นเอง ยาม้าเปลี่ยนมาเป็นยาบ้าในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๙

“ก็หมาวัด... ดอกฟ้ากับหมาวัดไง” พูดจบไอ้กี้ก็หัวเราะชอบอกชอบใจ เพื่อนๆที่ขึ้นมาด้วยกันฮากันลั่น

ผมรู้สึกหน้าชา วันนี้ตลอดทั้งวันเพื่อนๆกระเซ้าเย้าแหย่เรื่องผมกับเพ็ญ ส่วนใหญ่ก็แซวว่าผมเก่งและโชคดีที่สามารถเอาชนะใจดาวของคณะได้อย่างที่ใครๆก็นึกไม่ถึง มีแต่ไอ้กี้คนเดียวที่เล่นแรง แม้จะรู้สึกโกรธแต่ผมก็ต้องพยายามระงับอารมณ์ เพราะว่าหากแสดงอารมณ์โกรธออกมาเรื่องจะยิ่งบานปลาย

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบโต้ไอ้กี้ เพ็ญก็เดินเข้ามาในชมรมพอดี ไอ้กี้และพวกจึงหันไปแหย่เพ็ญแทนซึ่งก็ไม่ได้แหย่ด้วยถ้อยคำรุนแรงอะไร เพียงแค่แซวขำๆ เพ็ญก็รับมุขด้วยการหัวเราะขำไปด้วย

เมื่อเพื่อนๆมากัน ผมก็อยู่เฮฮาในชมรมต่อไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยลงมาจากชมรม เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ผมก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกผม

“เฮ้ย ไอ้อู” เสียงนั้นเรียกมาจากด้านหลัง เมื่อผมหันไปดูก็เห็นพี่ตั้วยืนอยู่

“อ้าว พี่ตั้ว” ผมทัก “วันนี้ยังไม่เห็นพี่บนชมรมเลย นึกว่าวันนี้พี่จะไม่ขึ้นชมรมเสียแล้ว”

“มานี่หน่อยซิ ขอคุยด้วยหน่อย” พี่ตั้วไม่โอภาปราศรัยแต่เข้าเรื่องเลย

พี่ตั้วพาผมเดินไปยังหลังตึกซึ่งทำเป็นลานจอดรถเล็กๆ ตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลย บรรยากาศเงียบสงบมาก

“มีอะไรครับพี่” ผมถามอย่างงงๆ

“เมื่อเย็นวานนายไปทำอะไรมา” พี่ตั้วถามเสียงขุ่น น้ำเสียงไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ” ผมตอบ แล้วก็นึกได้ “อ้อ ไปดูหนังมา”

“ทำไมนายทำยังงั้นวะ” พี่ตั้วพูดเสียงห้วนใส่ผมอีก

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่พี่” ผมงง นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่พี่ตั้วรียกมาคุยหลังตึกคือเรื่องไร้สาระแบบนี้

“ไม่เป็นไรได้ไง” คราวนี้พี่ตั้วกระชากเสียง

“แล้วมันจะเป็นไรได้ไงละครับพี่ ก็แค่ดูหนัง” ผมชักเคืองที่ถูกตะคอกใส่ จึงเถียงไปบ้าง

“ไปดูกันหลายคนก็ไม่เป็นไร นี่ไปกันสองคน ใครๆก็เข้าใจผิดคิดว่านายกับเพ็ญ... เอ้อ...เป็นแฟนกันน่ะสิ”

“โห พี่” ผมรู้สึกว่าเรื่องที่ทำให้พี่ตั้วอารมณ์ขุ่นมัวกับผมนั้นแม่งโคตรไร้สาระเลย “แค่ไปดูหนังกันสองคนสักครั้งเนี่ยนะครับ ต้องเป็นแฟนกันแล้วเหรอ”

“นายทำยังงี้น่าเกลียดว่ะ นายไม่ได้คิดอะไรแต่คนอื่นเข้าใจผิด แล้วคนที่เสียก็คือฝ่ายหญิง” พี่ตั้วอบรมด้วยน้ำเสียงเครียด

“ก็เพ็ญยังไม่เห็นว่าอะไรเลยนี่พี่...” ผมพูดแล้วหยุดเอาไว้ ความหมายของผมก็คือแล้วพี่เสือกอะไรด้วย

“คราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะโว้ย พี่ขอเตือน” พี่ตั้วตัดบท “เข้าใจแล้วนะ”

“เอ้อ...” อารมณ์ของผมก็เริ่มกรุ่นเหมือนกันแต่ก็ยังไม่กล้าโต้กับรุ่นพี่ จึงได้แต่ตอบรับ “ครับ”

หลังจากที่พี่ตั้วอบรมผมเสร็จเรียบร้อยก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่อย่างงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ตั้วถึงได้ใส่ใจกับเรื่องการดูหนังของผมถึงขนาดนี้ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นแฟนกับเพ็ญจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร นักศึกษาปีหนึ่งเดินควงกันเป็นคู่มีอยู่เกลื่อนในมหาวิทยาลัย

“อู เป็นอะไรหรือเปล่า” ได้ยินเสียงเพ็ญเรียกผม ไม่รู้ว่าเพ็ญมายืนใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไรเหมือนกัน

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่” ผมตอบ

“เมื่อกี้... ตอนที่พี่ตั้วคุยกับเธอ เราได้ยินนะ” เพ็ญพูด “ตอนเราลงมาได้ยินพี่ตั้วเรียกนายที่ใต้ตึก รู้สึกเอะใจเลยตามมา”

“เหรอ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี

“เธอก็อย่าไปสนใจพี่ตั้วเค้าเลย” เพ็ญพูด

“แต่เรางงว่ะ” ผมอดระบายไม่ได้ “ทำไมแค่ดูหนังมันถึงได้กลายเป็นเรื่องราวได้ขนาดนี้ ตั้งแต่เช้าก็โดนเพื่อนๆแซว นั่นยังไม่เท่าไร ตอนบ่ายยังโดนพี่ตั้วด่าอีก”

“ก็พี่ตั้วเค้าชอบเราน่ะสิ” เพ็ญพูด “เค้าก็เลยไม่พอใจเธอ”

“พี่ตั้วเนี่ยนะ... ชอบเพ็ญ” ผมทวนคำ เพิ่งจะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ผมนี่เซ่อจริงๆ น่าจะได้คิดตั้งแต่แรกแล้ว

“ใช่” เพ็ญรับคำ “พี่ตั้วแอบชอบเรามาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เราไม่ได้สนใจ”

“...”

“ไม่ต้องคิดมากนะอู... เรื่องพี่ตั้วน่ะ” เพ็ญปลอบใจผมอีก “เราไม่ได้สนใจพี่ตั้วเลยสักนิด...”

- - -

“อูย... หนาว” สายลมหนาวบนชั้นดาดฟ้าของหอพักทำให้ผมต้องกอดอกแน่น

ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ขณะที่สรรพชีวิตกำลังหลับใหลอย่างเป็นสุขผมกลับมายืนเหม่อมองดูดาวที่ชั้นดาดฟ้า

ท้องฟ้ายามข้างแรมแลเห็นดาวพราวพราย ผมชอบมายืนดูดาวในยามดึกที่นี่ แม้จะดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ

ช่วงนี้ผมมีเรื่องที่คอยรบกวนจิตใจอยู่เรื่องหนึ่ง ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้กรุ่นอยู่ในใจของผมมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เมื่อผ่านเรื่องราวของบอย ตลอดจนโอ๋ หนุ่ยและเอกมา ก็ยิ่งทำให้ผมคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น แต่แม้ว่าผมจะคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทว่ามันก็เหมือนกันหมอกควันอันหนาทึบที่แม้ว่ามันจะอบอวลอยู่รอบตัวผมแต่ผมก็ยังไม่สามรถไขว่คว้ามันเอาไว้ได้ ถึงผมจะคิดอย่างไรแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา

ใช่แล้ว... เรื่องที่รบกวนจิตใจของผมอยู่ในขณะนี้ก็คือเรื่องชีวิตเกย์ๆของผมนั่นเอง...

เรื่องราวที่ผ่านมาได้สะสมเป็นความทุกข์ในจิตใจของผมมาโดยตลอด ผมเบื่อกับสภาพชีวิตแบบกลายพันธุ์ของผมนี้เต็มทีแล้ว บทความเรื่องความเป็นเกย์สามารถรักษาให้หายได้ได้จุดประกายในชีวิตของผมขึ้นมา ตั้งแต่ที่ได้อ่านบทความเรื่องนั้นทำให้ผมแอบฝันว่าหากผมไม่ได้เป็นเกย์แล้วชีวิตของผมจะเป็นเช่นไร จะดีกว่านี้หรือไม่

ข้อมูลข่าวสารในยุคนั้นไม่ได้หาได้ง่ายเหมือนเช่นในยุคที่มีอินเทอร์เน็ต แม้ผมจะอยากรู้ว่าการรักษาให้หายจากการเป็นเกย์นั้นมีรายละเอียดอย่างไร ทำอย่างไรและทำได้ที่ไหน แต่ผมก็ไม่สามารถหาข้อมูลได้ ข้อจำกัดประการหนึ่งที่ทำให้ผมหาข้อมูลไม่ได้ก็เนื่องจากผมไม่กล้าถามใครนั่นเอง

เมื่อหาข้อมูลไม่ได้จึงทำให้ผมพยายามจินตนาการเอาเอง การรักษาเกย์ก็คงเหมือนกับการเลิกบุหรี่หรือเลิกยาเสพติดกระมัง บางคนก็ไปถ้ำกระบอก บางคนก็หักดิบเอาเอง ของแบบนี้น่าจะอยู่ที่ใจ หากบังคับใจตนเองได้ก็คงเลิกเป็นเกย์ได้...มั้ง

สายลมหนาวดาวพราวฟ้าทำให้ความคิดของผมล่องลอยไปแสนไกล ในความรู้สึกของผมราวได้กลิ่นฟางกลิ่นหญ้าแฝงมากับสายลมหนาว ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศในชนบท สายลมโชยที่บึงน้ำเร้นรักที่บ้านเกิดของผมก็แฝงกลิ่นฟางกลิ่นหญ้าอันสดชื่นเช่นนี้เหมือนกัน...

ผมอดนึกถึงเรื่องไอ้ชาญควงสาวไม่ได้ มันทำได้ยังไงนะ ผมคิดว่ามันแอบชอบผมแต่แล้วกลับไปจีบสาวเสียนี่ ถ้าจะให้พูดจากใจจริงแล้วผมก็คงต้องยอมรับว่าผมรู้สึกอิจฉามัน... อิจฉามันที่สามารถมีแฟนสาวได้

ไม่เอาแล้ว... ผมไม่อยากวิปริตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อยากเป็นเกย์อีกต่อไป ผมอยากเป็นคนปกติ อีกหน่อยผมจะได้ทำงานดีๆ มีแฟน และมีครอบครัวเหมือนกับคนอื่นๆบ้าง

แม้ว่าผมอยากหายจากการเป็นเกย์ แต่บางทีผมก็รู้สึกไม่มั่นใจนัก ในส่วนลึกแล้วคล้ายกับว่าผมยังมีเรื่องให้พะวงอยู่แต่ก็จับต้นชนปลายไม่ถูก... แต่ที่ผมแน่ใจตนเองได้อย่างหนึ่งก็คือ ความรู้สึกไม่อยากเป็นเกย์นี้ก่อตัวอยู่ในใจของผม และแฝงอยู่กับชีวิตแบบชายรักชายของผมมานานแล้ว ชีวิตแบบเกย์ของผมถูกซ่อนอยู่ในคราบของชายปกติ และความฝันที่จะเป็นชายปกติก็แอบซ่อนอยู่ในชีวิตแบบเกย์ของผมอีกทีหนึ่ง

แม้จะไม่เห็นหนทางแต่ความฝันเล็กๆนี้ก็ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ และมาจนถึงวันนี้ สิ่งที่เคยเป็นความฝันเล็กๆบนเส้นขนานของชีวิตได้กลับกลายเป็นความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะแลกด้วยคุณค่าเท่าใดผมก็จะพยายามก้าวข้ามไปยืนบนอีกฝั่งหนึ่งของเส้นขนานนี้ให้ได้...

สายลมในคืนนั้นพัดแรง อากาศหนาวเหน็บจนผมยืนอยู่บนดาดฟ้าต่อไปไม่ไหว ผมจึงกลับลงมาที่ห้อง แม้ว่าบรรยากาศยามดึกจะสงบเงียบแต่ใจของผมกลับกลับยังไม่สงบ ในที่สุดผมจึงหยิบตลับเทปขึ้นมาเพื่อเปิดฟัง เผื่อว่าจะช่วยให้หลับได้บ้าง

เอาม้วนไหนดีนะ นี่ก็แล้วกัน เทปออกใหม่

ผมหยิบอัลบั้มชื่อ บ่งบอก ของพี่ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย อันเป็นอัลบั้มออกใหม่ที่ผมเพิ่งซื้อมาและยังไม่ได้ฟัง ใส่เทปลงไปในเครื่องวอล์กแมนจากนั้นกดปุ่มเพื่อเดินเทป เสียงดนตรีอินโทรด้วยท่วงทำนองอันไพเราะนำขึ้นมาก่อน จากนั้นตามด้วยสียงร้องใสๆ

อยากจะจับมือกับเธอ
จับมือกับเธอสักครั้ง
จับมือให้ฉันไม่เคว้งไม่คว้าง
และไม่เปล่าเปลี่ยวเกินไป

อยากจะสบตากับเธอ
สบตากับเธอต่อไป
อยากจะเก็บแววแห่งความเข้าใจ
เอาไว้อบอุ่นนาน ๆ

ขอมือเธอหน่อย
ไว้คอยกระชับให้ชื่นใจ
ขอมองตาหน่อย
ไว้คอยเตือนเมื่อเหงาใจ
ขอใจเธอหน่อย
ไว้คอยเป็นแรงผลักดันฝันอันยิ่งใหญ่
หากมีหัวใจของเธอก็สุขเกินพอ

ผมรู้สึกใจหายวูบ เนื้อเพลงบทนี้ให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา เป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกว่าผูกพันด้วยมากที่สุด และในขณะเดียวกันก็เป็นบุคคลที่ผมอยากลืมมากที่สุดด้วย

ผมรู้สึกไม่อยากฟังเทปม้วนนี้ขึ้นมา จึงเปลี่ยนไปหยิบเทปเพลงเก่าๆแทน

เอานี่ก็แล้วกัน โฟล์กซองคำเมือง อัลบั้มชุด เอื้องผึ้ง จันผา ของพี่จรัล มโนเพ็ชร

ผมใส่ตลัปเทปลงในเครื่อง จากนั้นก็กดปุ่มเพลย์โดยไม่ได้ใส่ใจว่าเนื้อเทปในตลับค้างอยู่ที่เพลงใด

อย่ากลับคืนคำเมื่อเธอย้ำสัญญา
อย่าเปลี่ยนวาจาเมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป
ให้เธอหมายมั่นคง แล้วอย่าหลงไปเชื่อใคร
เดินทางไป... อย่าหวั่นใครขวางกั้น ...

ผมฟังได้ท่อนเดียวก็รีบกดปุ่มหยุดเทป ในยามดึกสงัด ผมรู้สึกหนาววูบและขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

เนื้อเพลงทั้งสองเพลงทำให้ผมนึกไปว่าใครบางคนกำลังทวงสัญญาจากผมอยู่ มันเหมือนกับไม่ใช่เหตุบังเอิญ อะไรจะบังเอิญและลงตัวได้ขนาดนี้... แต่เกิดจากการดลใจให้ผมเปิดเพลงเหล่านี้ขึ้นมา และโดยปกติแล้วคนเราคงดลใจใครไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า...

ผมถอดหูฟังออก เมื่อไม่ได้ใส่หูฟัง ผมได้ยินเสียงลมหนาวพัดอื้ออึงอยู่ภายนอก แม้ว่าผมจะปิดกระจกหน้าต่างห้องจนหมดแต่ก็ยังได้ยินเสียงลมแรงลอดเข้ามา

สายลมแรงพัดจนกระจกสั่นระรัวเบาๆราวกับมีใครกำลังเคาะกระจกอยู่ในความมืดนอกห้อง ทันใดนั้น ผมรู้สึกเหมือนมีเงาไหววูบอยู่ภายนอกหน้าต่าง ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ตัวสั่นเบา ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ตัวสั่นนั้นเกิดจากความหนาวเย็นหรือว่าความหวาดกลัวกันแน่ ขนที่แขนตั้งชัน พร้อมกันนั้นก็รู้สึกเย็นวูบที่หนังศีรษะเหมือนกับว่าเส้นผมก็กำลังตั้งชันอยู่

ไอ้นัย... หรือว่านี่เป็นไอ้นัยมาหาผม มาทวงสัญญาจากผม... ผมรู้สึกมีลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมา คนธรรมดาทำแบบนี้ไม่ได้ หรือว่าไอ้นัยเป็นอะไรไปแล้ว...






ฟังเพลง ขอมือเธอหน่อย
ร้องโดยนันทิดา แก้วบัวสาย จากอัลบั้มชุด บ่งบอก มิวสิกวีดิโอเพลงนี้เป็นภาพสมัยที่พี่ตู่ยังสาวน่าจะเป็นช่วงที่ออกอัลบั้มนี้ได้ไม่นาน






ฟังเพลง รางวัลแด่คนช่างฝัน
แต่งทำนอง คำร้อง เล่นดนตรี และขับร้องโดย จรัล มโนเพ็ชร จากอัลบั้มชุด เอื้องผึ้ง-จันผา จรัล มโนเพ็ชรเป็นผู้บุกเบิกการนำเพลงพื้นบ้านของล้านนารวมทั้งภาษาคำเมืองมาแต่งเป็นเพลงโฟล์ก จนได้ฉายาว่า โฟล์กซองคำเมือง เพลงรางวัลแด่คนช่างฝันนี้ออกอัลบั้มครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ และยังเป็นที่นิยมขับร้องกันมาจนถึงปัจจุบัน จรัล มโนเพ็ชรเสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๕๔๔

Thursday, April 14, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 29

๖ ปีบนเส้นทางสายมิตรภาพ

เรื่องของอูนี้หากนับจากตอนที่ ๑ ของภาคแรกที่เริ่มเขียนในช่วงกลางเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๘ หากนับจนถึงวันนี้ก็ครบ ๖ ปีเต็ม บนเส้นทางชีวิตของอูตัวละครในเรื่อง และบนเส้นทางการเขียนเรื่องนี้ของผมก็ไม่ต่างกันนัก นั่นคือ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้โดยอาศัยกำลังใจจากบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเพื่อนๆหรือผู้อ่านนั่นเอง

ย่างเข้าสู่ปีที่ ๗ แล้ว ขอขอบคุณพี่ เพื่อน น้อง และหลานๆทุกคน ที่อ่าน แสดงความเห็น ติ ชม และเป็นกำลังใจแก่ทั้งอูตัวละครและอูผู้เขียนมาโดยตลอดครับ





“โอ๊ย พี่ปวดหัวกับเอ็งจริงๆ เมื่อไรจะหายซ่าเสียทีวะ” พี่ธิตบ่นปั้นอีก จากนั้นก็หันมาพูดกับผม “เป็นไงบ้างอู แฟนเค้าตามมาราวีใช่ไหม”

“ครับพี่” ผมตอบ

“อัดมันเลย กลัวอะไร” ปั้นไม่ยอมหยุดพูด

“คงสวยล่ะสิ ถึงได้แย่งกันจีบขนาดนี้” พี่ธิตถามต่อ พูดไปพูดมาคำถามของพี่ธิตก็ไปคล้ายกับของปั้น

“เอ้อ ครับ” ผมรับคำอย่างส่งเดช

“แล้วอูคิดจะทำยังไงต่อ” พี่ธิตถามอีก

“เฮอะ นึกว่าไม่อยากรู้ ที่แท้ก็ อุ๊บ” ปั้นพยายามพูดบ้าง แต่ยังไม่ทันจบก็โดนพี่ธิตเคาะกะโหลกอีก

“พี่ธิตรู้เรื่องนี้จากไหนครับ” ผมไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับ

“ก็เค้าพูดกันไปทั้งหอแล้วล่ะตอนนี้ จำไม่ได้เหมือนกันว่าได้ยินมาจากใคร” พี่ธิตตอบ

“พี่ได้ยินมาว่าไงบ้างครับ” ผมถามอีก “คือผมอยากรู้ว่าคนในหอลือกันว่ายังไงน่ะครับ”

“เท่าที่พี่ได้ยินก็คือมีผู้ชายคนนึงโทรมาก่อกวนอูไม่เลิกเพราะว่าอูไปแย่งแฟนเค้ามา” พี่ธิตถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินออกมา

“...”

“ก็วัยรุ่นละนะ ใช้คำว่าแย่งแฟนดูจะเกินไป พี่คิดว่าคงเป็นแบบว่าแย่งกันจีบสาว ใครดีก็ได้ไปอย่างนั้นมากกว่า จริงไหมอู” พี่ธิตพูดต่อเมื่อเห็นผมเงียบไป คงพยายามให้คำพูดให้น่าฟังเพื่อปลอบใจผม

“เอ้อ ครับ” ผมรับคำ ที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของพี่ธิตนัก แต่ประเด็นหนึ่งที่ผมจับความได้ก็คือคนในหอเข้าใจว่าหนุ่ยเป็นผู้หญิง!

ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว นับว่าโชคยังเข้าข้างผมอยู่บ้างที่หนุ่ยชื่อหนุ่ย ชื่อนี้เป็นชื่อเล่นที่มีใช้ทั้งหญิงและชาย คนในหอจึงเข้าใจว่าหนุ่ยเป็นผู้หญิง และนั่นก็หมายความว่าความลับของผมก็ยังคงเป็นความลับอยู่ นี่ถ้าชื่อหนุ่มหรือชื่อแมนป่านนี้ผมคงพังไปแล้ว

- - -

ผมต้องกลับหอพักตั้งแต่หัวค่ำทุกวันเพื่อมารอรับโทรศัพท์จากเอก แม้ว่าความลับของผมยังคงเป็นความลับอยู่แต่ผมก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันจะแตกออกมาวันใด สักวันหนึ่งเอกอาจจะพูดอะไรออกมาที่มีความหมายชัดแจ้งก็ได้ ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อคอยรับสายของเอกทุกครั้ง

ชีวิตในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ค่อนข้างตึงเครียด ผมรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลา เมื่อเลิกเรียนก็รีบกลับมานั่งเฝ้าเครื่องโทรศัพท์ตั้งแต่หลังหกโมงเย็นทุกวัน เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ หลังจากวันที่ผมตัดสัมพันธ์กับหนุ่ยแล้วเอกก็ไม่ได้โทรศัพท์มาอีก แต่ผมก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าเอกเลิกรังควานผมแล้ว เอกอาจกำลังทำสงครามประสาทกับผมอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งถ้าเอกต้องการทำเช่นนั้นผมก็คิดว่ามันได้ผล เพราะการที่ต้องรีบกลับมาเพื่อรอรับโทรศัพท์ทุกวันนั้นมันทำให้ผมประสาทเสียได้จริงๆ

ดึกแล้ว...

ชั้นดาดฟ้าของหอพักลมพัดแรง อากาศยามดึกของเดือนธันวาคมหนาวเย็นจนผมต้องใส่เสื้อหลายชั้น

ท้องฟ้ายามฤดูหนาวไร้เมฆหมอกบดบังทำให้สามารถมองเห็นดวงดาวดารดาษเต็มท้องฟ้า แม้จะไม่เห็นดวงดาวมากมายเท่ากับยามเมื่ออยู่ในชนบทแต่ก็ถือว่ามากแล้ว

ในเวลาที่ทุกคนอยากขดตัวอยู่ในที่นอนอันอุ่นสบายแต่ผมกลับอยากออกมายืนดูดาว ในยามเหงาเวิ้งฟ้าและดาราพรายเหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทที่คอยให้กำลังใจแก่ผม... ที่จริงก็ไม่เชิง ถ้าจะพูดให้ถูกต้องแล้วคงต้องบอกว่าเวิ้งฟ้าและดาราพรายนี้เหมือนกับจะช่วยพาสาสน์ไปถึงเพื่อนสนิทที่ผมรักมากที่สุดซึ่งขณะนี้อยู่ที่ปลายฟ้าอีกด้านหนึ่ง...

คืนนี้ผมรู้สึกฟุ้งซ่านมาก คิดโน่นคิดนี่ยุ่งเหยิงไปหมด...

หลายปีมานี้แม้ผมจะยอมรับตนเองว่าเป็นเกย์ แต่ชีวิตในแบบชายรักชายของผมนั้นเท่าที่ผ่านมาเหมือนกับอยู่แต่ในความมืดมน ไม่เคยมองเห็นแสงสว่าง ตัวเองทุกข์ยังไม่พอ ยังลามไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย อย่าว่าแต่จะคิดรักใครเลย แม้แต่การมีเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกันก็มีแต่เรื่องที่น่าผิดหวัง เดือดร้อน และวุ่นวายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ช่วงนี้เป็นช่วงชีวิตที่ผมหวนคิดทบทวนถึงคำพูดของอาจารย์ประพิมพ์บ่อยครั้งเป็นพิเศษ ชีวิตเกย์นั้นไม่ต่างอะไรกับชีวิตของโจรขโมยที่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอยู่ในเงามืด ไม่กล้าสู้หน้าใคร แม้ผมจะยอมรับตนเองแต่ก็ยอมรับด้วยความรู้สึกที่ต้อยต่ำมาตลอด และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อผมเรียนจบ ทำงาน ผมจะใช้ชีวิตอย่างไร ผมจะมีความภูมิใจในตนเองได้อย่างไร คนอื่นๆแต่งงานมีครอบครัวกันแล้วผมจะใช้ชีวิตอย่างไร

ตั้งแต่มีการค้นพบโรคเอดส์เป็นต้นมา โดยเฉพาะในปีที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยนี้โรคเอดส์แพร่ระบาดอย่างหนัก จากสถิติผู้ติดเชื้อประมาณห้าพันรายในตอนต้นปี พอมาถึงปลายปีกลายเป็นกว่าหนึ่งหมื่นราย และตายไปแล้วนับสิบราย ในความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมในช่วงนี้การเป็นเกย์ไม่ใช่เพียงความแตกต่างของรสนิยมทางเพศหรือเป็นเรื่องความผิดปกติของจิตใจเท่านั้น แต่เกย์เป็นเหมือนยมทูตผู้พาความตายไปสู่ผู้อื่น ดังนั้นการที่เกย์จะเปิดเผยตนเองและอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีได้นั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนกะเทยนั้นเป็นอะไรไม่ได้มากกว่าตัวตลกที่สร้างอารมณ์ขันจากปมด้อยและความรู้สึกดูแคลนของผู้คน ซึ่งเกย์กับกะเทยนั้นมีมิติที่เชื่อมโยงกันอยู่

สายลมหนาวพัดโชย ดาวพรายระยิบฟ้าคล้ายกับเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดกำลังกะพริบตาให้

“กูไม่ไหวแล้วว่ะไอ้นัย ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว มึงอยู่ทางโน้นเป็นไงบ้าง มึงคิดว่ากูควรทำไงดี” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

ลมหนาวพัดโชยมาอีกวูบหนึ่ง คราวนี้ดาวที่พราวพรายระยิบดูเหมือนกับเพื่อนรักของผมกำลังหยิบกีตาร์และเล่นเพลง Let me be there ให้ผมฟัง

Wherever you go
Wherever you may wander in your life
Surely you know
I always wanna be there
Holding you hand
And standing by to catch you when you fall
Seeing you through
In everything you do



ตอนที่ไอ้นัยยังอยู่เมืองไทย เพลง Let me be there นี้เป็นเพลงหนึ่งที่มันมักเล่นให้ผมฟัง เมื่อก่อนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแต่ว่าเพลงนี้เพราะดี แต่หลังจากที่ไอ้นัยไปแล้ว เมื่อผมเติบโตขึ้น ผมอดคิดไม่ได้ว่าเพลงนี้ไอ้นัยอาจต้องการบอกอะไรบางอย่างแก่ผม

“กูควรทำไงดีวะนัยถึงจะเลิกเป็นแบบนี้ได้” ผมเหม่อมองดวงดาวด้วยความรู้สึกที่สับสนก่อนที่จะลงจากชั้นดาดฟ้าและกลับไปยังห้องพัก

- - -

กลางเดือนธันวาคม

“อู หมู่นี้เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมซึมอยู่ตลอดเลย รีบกลับทุกวันมาเป็นเดือนแล้วนะ” เพ็ญทักเมื่อเห็นผมกำลังเก็บของใส่เป้ขณะอยู่ที่ชมรมในตอนเย็นวันหนึ่ง “ถามทีไรก็ไม่บอกสักทีว่ามีเรื่องอะไร”

“ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร แค่เซ็งๆ” ผมตอบแบบบ่ายเบี่ยง “จะรีบกลับไปดูหนังสือสอบเอนทรานซ์น่ะ”

“เชื่อก็โง่ตายล่ะ” เพ็ญพูด

“ติดรายการทีวีก็ได้” ผมตอบใหม่ “จะรีบกลับไปดูทีวี”

“ถ้าเชื่ออันหลังนี่ยิ่งโง่หนักเข้าไปใหญ่” เพ็ญอดหัวเราะไม่ได้ “เธอบอกว่าที่ห้องไม่มีทีวีไม่ใช่เหรอ”

“เอ้อ นั่นสิ ลืมไป เพ็ญความจำดีแฮะ” ผมเฉไฉไปเรื่อย

ทีวีในยุคนั้นแตกต่างจากปัจจุบันค่อนข้างมาก มีอยู่เพียงช่อง ๓, ๕, ๗, ๙ รายการก็มีไม่มากนัก เวลาออกอากาศก็จำกัดอันเป็นผลจากวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านั้น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เกิดการปฏิวัติในประเทศอิหร่านและหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยศึกอิหร่าน-อิรัก ผลจากความวุ่นวายในย่านตะวันออกกลางทำให้น้ำมันดิบขาดแคลนและราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นนับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นมา

จากภาวะน้ำมันแพงและขาดแคลนทำให้รัฐบาลในยุคนั้น (รัฐบาล พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์) กำหนดมาตรการประหยัดพลังงานขึ้นมาหลายอย่างตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เช่น การลดเวลาเปิดสถานบันเทิง การห้ามเปิดไฟโฆษณาในช่วงค่ำ รวมทั้งการลดเวลาออกอากาศของโทรทัศน์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นต้นมาโดย สถานีโทรทัศน์เริ่มออกอากาศรายการประจำวันตั้งแต่ช่วงบ่าย ประมาณ ๑๖ น. เป็นต้นไป เวลากลางวันไม่มีการออกอากาศ จากนั้นช่วงเวลา ๑๘.๓๐- ๒๐.๐๐ น. ให้ปิดสถานี แล้วหลังจากสองทุ่มเป็นต้นไปจึงออกอากาศได้อีกไปจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง เหตุที่มีมาตรการปิดสถานีโทรทัศน์และป้ายโฆษณาต่างๆในช่วงค่ำเพราะต้องการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้สูงสุด (peak hours) ลงนั่นเอง

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ สถานการณ์น้ำมันดิบของโลกเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง มาตรการปิดสถานีโทรทัศน์ในช่วงค่ำใช้ต่อมามาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๑ อันเป็นยุคของรัฐบาลน้าชาติ (รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ จึงเลิกไป

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตอนที่ผมเรียนอยู่ปีหนึ่งนั้นประมาณ ๑๖-๑๗ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อบาเรล ราคาน้ำมันเบนซิน ๙๕ (มีสารตะกั่ว) ราคาลิตรละประมาณ ๕-๖ บาท ส่วนราคาน้ำมันพืช (น้ำมันถั่วเหลือง) สำหรับปรุงอาหารราคาประมาณลิตรละ ๓๒ บาท

“จะกลับแล้วเหรอ” ผมถามเพ็ญเมื่อเห็นเพ็ญเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าง

“เราก็เซ็งเหมือนกัน อยากกลับ” เพ็ญตอบสั้นๆ

ผมไม่พูดอะไรอีก เราสองคนจึงเดินลงมาจากชมรมด้วยกัน เมื่อถึงชั้นล่าง เพ็ญมองหน้าผมอย่างจริงจัง แล้วพูดขึ้น

“อู เรารู้ว่าเธอคงมีปัญหาอยู่ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่อยากให้เธอรู้ว่าเราเป็นห่วงนะ”

“ขอบใจนะเพ็ญ” ผมตอบเบาๆ รู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ การที่รู้ว่ามีใครสักคนห่วงใยเราอยู่เป็นความรู้สึกที่ดีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว... ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นหญิงหรือชาย...

สงครามประสาทในครั้งนี้เอกได้ชัยชนะไปโดยที่ผมพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เอกโทรศัพท์มาเพียงไม่กี่ครั้งรวมแล้วใช้เวลาไม่นานนักในขณะผมต้องประสาทเสียไปเป็นเวลานานนับเดือน

“เดี๋ยวก่อนอู” เพ็ญเรียกเมื่อเห็นผมเดินผละจากไป “ถ้าเซ็งมากทำไมไม่ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างล่ะ”

“ยังไงเหรอ” ผมยังไม่เข้าใจ

“ก็ทำอะไรที่มันแตกต่างจากเดิมบ้าง อย่างเช่นไปดูหนังก็ได้ ไปไหมล่ะ” เพ็ญเอ่ยปากชักชวน

ฟังดูก็เข้าท่าดีเหมือนกัน หลายสัปดาห์มานี้ผมอาจจะตึงเครียดกับเรื่องของเอกมากจนเกินไปจริงๆ แม้เอกจะไม่ได้โทรมารังควานผมเป็นเวลานานแล้วแต่ผมก็ยังรีบกลับไปรอโทรศัพท์อยู่ทุกวัน บางทีผมควรคลายความกังวลลงบ้างแล้วจริงๆ

“ทำไมไม่ลองดูหน่อยล่ะ เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น” เพ็ญคะยั้นคะยออีกเมื่อเห็นผมหยุดเดินและมีท่าทีลังเล

“ไปดูโรงไหนดีล่ะ” ผมถาม คิดว่าถ้าผมดูหนังสักรอบก็คงไม่เลว เอกคงไม่โทรมาในวันนี้พอดี

ในที่สุด วันนั้นผมก็ไปดูหนังกับเพ็ญ มันเป็นการดูหนังกับหญิงสาวแบบสองต่อสองเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว เราสองคนจึงเอาง่ายเข้าว่า ดูหนังที่โรงหนังรามาหน้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง ไม่ได้ดูชื่อหนังเลยด้วยซ้ำว่ากำลังฉายเรื่องอะไรอยู่

โรงหนังรามานั้นปกติฉายหนังจีน บางทีก็เป็นหนังแอกชั่น บางทีก็เป็นหนังรัก แต่วันนั้นเป็นหนังกำลังภายใน ไล่ล่าฆ่าฟันจนเลือดท่วมจอ ดังนั้นการดูหนังกับหญิงสาวครั้งแรกในชีวิตของผมจึงไร้ความโรแมนติกโดยสิ้นเชิง

“เป็นไงบ้าง” เพ็ญถามหลังจากที่เราเดินออกมาจากโรงหนังเมื่อหนังฉายจบลง

ผมก้มลงมองดูรองเท้าผ้าใบคู่ที่ใส่อยู่ แถมหงายเท้าเพื่อดูพื้นรองเท้าอีกด้วย

“เธอดูอะไรน่ะ” เพ็ญถามด้วยความสงสัย

“ดูว่าเลือดจากจอหนังมันไหลมาเลอะรองเท้าเราหรือเปล่า” ผมพูด “ขี้เกียจซักรองเท้า”

“บ้า” เพ็ญหัวเราะ “ตลกได้แสดงว่าดีขึ้นหน่อยแล้วละสิ”

“ก็ไม่เลว” ผมตอบ การได้ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างทำให้อารมณ์ของผมสดชื่นขึ้นบ้างจริงๆ “ขอบใจนะเพ็ญที่แนะนำเรา”

วันนั้นผมกลับถึงหอพักค่อนข้างดึก เมื่อกลับไปถึงก็ไม่มีอะไร วันนั้นเอกไม่ได้โทรมา เอกหายไปได้สักพักพร้อมๆกับเรื่องอื้อฉาวของผมที่เล่าลือกันภายในหอพักก็ค่อยๆซาลงไป อาจพูดได้ว่าเหตุการณ์สงบลงได้สักพักหนึ่งแล้ว คนในหอพักก็เลิกสนใจเรื่องของผมไปแล้ว คงมีแต่ผมเท่านั้นที่ยังคงหวาดระแวงอยู่





<โรงหนังรามาเป็นโรงหนังที่ตั้งอยู่บนถนนพระราม ๔ ย่านสะพานเหลือง ตัวอาคารหลังนี้ไม่ได้มีแต่เพียงโรงหนัง แต่ยังมีสำนักงานให้เช่า โรงโบว์ลิง และห้องอาหารอีกด้วย โรงหนังนี้มีมานานมากแล้ว และเลิกฉายหนังไปหลายปีแล้ว ปีที่เปิดฉายและเลิกกิจการไม่ทราบแน่ชัด ภาพบนเป็นภาพโรงหนังรามาที่ถ่ายจากฝั่งตรงข้าม ส่วนภาพล่างเป็นภาพบรรยากาศภายในตัวอาคาร>




ฟังเพลง Let Me be There

<เพลง Let Me be There เป็นเพลงในสไตล์คันทรีจากอัลบั้ม Let Me be There ที่ออกในปี 1973 ขับร้องโดยโอลิเวีย นิวตัน จอห์น (Olivia Newton-John) นักร้องหญิงชาวออสเตรเลีย ปัจจุบันเธออายุ ๖๒ ปีแล้วและยังทำงานเพลงอยู่ ทั้งออกอัลบั้มและตระเวนแสดงดนตรี เพลงของเธอหลายต่อหลายเพลงในอดีตยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน>

เนื้อเพลง Let me be there

Wherever you go
Wherever you may wander in your life
Surely you know
I always wanna be there
Holding you hand
And standing by to catch you when you fall
Seeing you through
In everything you do


Let me be there in your morning
Let me be there in you night
Let me change whatever's wrong and make it right
Let me take you through that wonderland
That only two can share
All I ask you is let me be there


Watching you grow
And going through the changes in your life
That's how I know
I always wanna be there
Whenever you feel you need a friend to lean on, here I am
Whenever you call, you know I'll be there


Let me be there in your morning
Let me be there in your night
Let me change whatever's wrong and make it right
Let me take you through that wonderland
That only two can share
All I ask you is let me be there

Tuesday, April 5, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 28

ผมรู้สึกตกใจ เหลือบมองเห็นพี่พรทำหน้าแปลกๆ ขณะเดียวกันคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นก็เหมือนกับมีสีหน้าดูแคลน จากความรู้สึกตกใจก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกอับอายขึ้นมา เรื่องของผมป่านนี้คงหึ่งไปทั้งหอ ป่านนี้ผมคงกลายเป็นตัวประหลาดให้คนทั้งหอหัวเราะเยาะไปแล้ว

ตอนนั้นผมรู้สึกลังเล ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร รู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นเป้าสายตาอยู่ หากยืนรอโทรศัพท์อยู่ข้างล่างก็รู้สึกอับอาย แต่หากกลับขึ้นไปบนห้องก่อนก็กลัวว่าเมื่อเอกโทรมาและผมไม่ได้รับสายในทันที เอกอาจจะเล่าอะไรที่ไม่ควรเล่าออกมาอีก

“ถ้ามีโทรศัพท์มาอีกพี่พรช่วยเรียกผมด้วยนะครับ ผมกลับขึ้นไปที่ห้องก่อน” ผมรีบพูดกับพี่พรโดยไม่กล้าสบตาจากนั้นก็รีบเดินขึ้นบันไดหอพักเพื่อขึ้นไปยังชั้นบนทันที ผมคิดดูแล้วผมคงหน้าด้านยืนทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ข้างล่างต่อไปไม่ไหวแน่ ขึ้นไปตั้งหลักที่ห้องก่อนคงจะดีกว่า

ความรู้สึกในตอนนั้นคือรู้สึกอับอาย ความลับที่ผมเก็บซ่อนให้อยู่ในเงามืดของหัวใจมานานในที่สุดก็ถูกเปิดเผยออกมา ผมไม่กล้าสู้หน้าใครเลย ตอนนั้นนึกกลัวและกังวลไปหมด ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่หอนี้ต่อไปได้อย่างไรในสภาพที่น่าอับอายเช่นนี้ พร้อมกันนั้นก็คิดย้ายไปอยู่ที่อื่นโดยเร็วที่สุด โชคยังดีที่หอพักกับที่มหาวิทยาลัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย ไม่อย่างนั้นเรื่องคงตามไปหึ่งที่มหาวิทยาลัยด้วยเป็นแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพราะการย้ายที่เรียนระหว่างปีคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แล้วทางบ้านล่ะจะรู้ไหม ก็ไม่แน่เพราะว่าว่าแม่มักโทรมาหาผมที่หอ รวมทั้งแม่รู้จักกับคุณน้าเจ้าของหอพักด้วย หากพี่พรรู้เรื่องนี้คุณน้าก็อาจพลอยรู้ไปด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเรื่องก็อาจเข้าหูแม่ได้

ผมอดคิดถึงเรื่องไอ้นัยไม่ได้ หลายปีก่อนตอนที่มีเรื่องจนไอ้นัยถูกส่งไปอยู่เมืองนอก ในครั้งนั้นผมเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดเพราะไอ้นัยไม่ยอมซัดทอดถึงผม ยังจำความวิตกกังวลและความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้ ประสบการณ์ของไอ้นัยเมื่อตอนที่ครอบครัวของมันรู้ความจริงในครั้งนั้นเป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่ฝังใจผมอยู่ตลอดมา มาวันนี้ความกังวลและความทุกข์ใจนั้นก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

“เธอเป็นเด็กผู้ชาย ยังไงต่อไปก็ควรต้องแต่งงานมีครอบครัว เธออย่าเลือกเดินทางผิดนะ หากถลำไปแล้วมันจะถอยได้ยาก อีกหน่อยเธออาจเป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมก็ได้ เธอต้องประพฤติตัวให้สังคมยอมรับได้ คิดเสียตั้งแต่ยังไม่สายเกินแก้... เข้าใจที่ครูพูดไหม”

ในความคิดของผมเหมือนกับได้ยินคำพูดของอาจารย์ประพิมพ์ดังก้องอยู่ในหู อาจารย์ประพิมพ์พูดกับผมมาตั้งแต่ผมอยู่ชั้น ม.๑ หลังจากที่มีเรื่องกับไอ้โหนก ตั้งแต่นั้นมาผมก็พยายามพิสูจน์ว่าผมเลือกเส้นทางชีวิตได้ไม่ผิด แต่ทว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับผมกลับไม่สามารถหักล้างคำพูดของอาจารย์ได้เลย... ชีวิตของผมกลับผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“น้องอู รับโทรศัพท์” เสียงของพี่พรดังจากอินเตอร์คอมกระชากให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิดและกลับเข้าสู้โลกของผความเป็นจริง... โลกของความจริงที่รอผมอยู่ข้างหน้า...

ผมรีบลงไปข้างล่าง ตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์ทันที ตลอดทางที่เดินลงมาผมมองแต่ที่ปลายเท้าของตนเอง ไม่กล้ามองหน้าหรือสบตากับใคร

“ฮัลโหล” ผมรับสายด้วยเสียงแผ่วเบา จู่ๆก็รู้สึกท้อแท้หมดเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ฮัลโหล คุณอู” เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินกล่าวทักทาย น้ำเสียงฟังดูแจ่มใสเหมือนกับคนที่กำลังมีอารมณ์ดี “ที่แท้ชื่ออู ไม่ได้ชื่อปู”

ผมรู้สึกหนาววูบกับคำพูดของเอก นี่มันจะมาไม้ไหนของมันนะ

“คุณโทรมาอีกทำไม” ผมถาม

“ก็เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกตั้งเยอะ” เอกตอบด้วยเสียงแจ่มใส

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ผมเล่าให้คุณฟังตามจริงไปหมดแล้ว คุณเลิกโทรมารังควานผมเสียทีได้ไหม” ผมพูด รู้สึกว่าเสียงของตนเองแหบพร่า

“รังควานอะไรกัน แค่โทรมาคุยด้วย” เอกพูด “ผมยังอยากคุยกับคุณเรื่องหนุ่ย”

“ผมไม่อยากคุยแล้ว อยากให้มันจบไปเสียที” ผมพูด สายตาก็สอดส่ายมองดูรอบข้างว่ามีใครกำลังสนใจฟังการสนทนาของผมอยู่หรือไม่ รู้สึกกังวลและหวาดระแวงไปหมด

“จะจบได้ยังไง ก็คุณมายุ่งกับแฟนผม” เอกพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

“ก็บอกแล้วว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน แค่เขียนจดหมายคุยกัน กินข้าวดูหนังไปครั้งหนึ่งเท่านั้น” ผมย้ำคำเดิมอีก “ผมกับหนุ่ยไม่ได้ทำอะไรเกินเลยฐานะเพื่อน”

“ก็ไม่แน่” น้ำเสียงของเอกเริ่มแสดงอารมณ์ออกมา “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง รู้ๆกันอยู่ แค่แต่งเรื่องแล้วพูดให้ตรงกันมันไม่ยากเลย จริงไหม”

“พูดยังไงคุณก็บอกว่าไม่เชื่อ แล้วจะให้ผมทำยังไง” ผมท้อแล้ว พูดยังไงมันก็ไม่เชื่อ มิหนำซ้ำยังถามซ้ำวนเวียน ผมมองไม่เห็นทางออกจริงๆ

“ผมว่าบางทีผมไปคุยกับคุณต่อหน้าดีกว่านะ ผมเข้ากรุงเทพฯไปหาคุณก็ได้” เอกพูด

“คุณไม่ต้องมาหรอก” ผมไม่กลัวคำขู่ของเอกในครั้งนี้ แม้แต่หนุ่ยยังไม่รู้ที่อยู่ของผม รู้แต่ตู้ ปณ. เอกจะมาหาผมเจอได้ยังไง “ผมไม่อยากเจอคุณ”

“คุณเลือกไม่ได้หรอก คนที่ตัดสินใจคือผม ไม่ใช่คุณ” เอกพูดเสียงเย็น เสียงของเอกเดี๋ยวร่าเริง เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวเย็นเหมือนไม่อนาทร น้ำเสียงหลากหลายอารมณ์ในช่วงเวลาที่คุยกันเพียงไม่กี่นาทีทำให้ผมรู้สึกกลัวเอกขึ้นมาอย่างจับใจ

“คุณไม่มีทางหาผมเจอหรอก” ผมสวนกลับไป รู้สึกว่าเอกพยายามทำสงครามประสาทกับผม ถ้าผมอ่อนข้อให้เอกก็คงถูกต้อนให้เข้ามุมเป็นแน่ จึงพยายามทำเสียงแข็งสวนไปบ้าง “ถ้าผมไม่อยากเจอคุณคุณก็ทำอะไรไม่ได้”

“ลองดูไหมล่ะ” เอกหัวเราะ “คุณอยู่หอพักชื่อ... ซอยลาดพร้าว... ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปี ๑ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย... คุณจะให้ผมไปหาคุณที่หอหรือที่คณะดีล่ะ”

ผมใจหายวูบ เพิ่งเข้าใจคำว่า ‘จนตรอก’ อย่างถ่องแท้ก็ในวันนี้เอง ผมถูกต้อนเข้ามุมอย่างหมดหนทางต่อสู้ เอกกุมสถานการณ์เอาไว้ได้ทั้งหมดโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย

“คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” ผมถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาและแหบพร่าจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นเสียงของตนเอง

“ก็ไม่ยากอะไร” เอกตอบ “ผมโทรมาที่เบอร์นี้หลายครั้งแล้ว ใครรับสายผมก็ถามโน่นถามนี่เกี่ยวกับตัวคุณไปเรื่อยๆ ไม่นานก็รู้หมด...”

โทรศัพท์ถูกตัดสายเพราะครบเวลา ผมวางหูโทรศัพท์ลงบนแท่นอย่างหมดแรง ห้านาทีที่คุยกับเอกผมรู้สึกว่ายาวนานราวกับเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว

หลังจากนั้นผมก็ยืนรออยู่ที่เครื่องโทรศัพท์เพราะคิดว่าเอกคงโทรมาอีก ผมยืนก้มหน้า ไม่ยอมมองหน้าใคร แต่รออยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมงเอกก็ไม่โทรมาอีก ตอนที่คุยกับเอกรู้สึกเหมือนกับว่าคุยกันนานเป็นชั่วโมง แต่ตอนที่ยืนคอยโทรศัพท์นั้นกลับรู้สึกยาวนานราวกับเป็นปี จนในที่สุดผมรู้สึกว่าอยู่ข้างล่างต่อไปไม่ไหวอีกแล้วจึงเดินกลับขึ้นห้องไป

“ยังไม่จบอีกเหรอ” พี่พรถามเมื่อผมเดินผ่านหน้าไป ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“นายคนนี้ดูท่าจะร้ายนะ” พี่พรออกความเห็น “น้องอูไม่น่าไปมีเรื่องกับคนแบบนี้ได้เลย”

คำพูดของพี่พรแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ผมคิดว่าพี่พรคงพูดไปตามมารยาทเท่านั้น ที่จริงแล้วอาจกำลังรู้สึกขยะแขยงหรือสมน้ำหน้าในความวิปริตของผมอยู่ก็เป็นได้

“ครับ” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจึงได้แต่รับคำ จากนั้นก็รีบเดินขึ้นบันไดไป

คืนนั้นเอกไม่ได้โทรมาอีกเลย ผมเฝ้าคอยโทรศัพท์จนผลอยหลับไป หลังจากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอีกทีกลางดึก หลังจากที่ตื่นแล้วก็มัวแต่คิดฟุ้งซ่านและนอนไม่หลับอีกเลยจนกระทั่งรุ่งสาง ผมคิดไปสารพัดเรื่อง สุดท้ายก็มาวนเวียนอยู่ที่เรื่องของเอก เรื่องย้ายหอพัก คิดถึงที่บ้าน คิดถึงไอ้นัย และคิดถึงคำพูดของอาจารย์ประพิมพ์...

- - -

วันต่อมา

“เพ็ญเอาไปตรวจแค่นี้ก่อนละกัน วันนี้เราต้องกลับแล้ว” ผมพูดกับเพ็ญพลางส่งกระดาษปึกบางๆปึกหนึ่งให้แก่เพ็ญในตอนบ่าย มันเป็นต้นฉบับงานแคลคูลัสที่เพิ่งพิมพ์เสร็จไปส่วนหนึ่งนั่นเอง วันนี้ผมเอางานที่ทำค้างไว้มาตรวจทานนิดหน่อยจากนั้นก็สั่งพิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์ จากนั้นส่งให้เพ็ญช่วยตรวจทานอีกรอบหนึ่ง ส่วนตัวผมเองไม่มีงานอะไรคืบหน้าเลยในวันนี้เพราะไม่ได้ทำอะไรเนื่องจากเมื่อคืนอดนอนมา กลัวทำแล้วจะผิดพลาดแบบวันก่อนอีก และอีกประการหนึ่งก็คือไม่มีสมาธิที่จะทำด้วย

“รีบกลับอีกแล้วเหรอ” เพ็ญถาม “ช่วงนี้อูเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเครียดๆ นั่งเหม่อ แถมตอนเรียนก็ยังมีนั่งหลับ อูเป็นอะไรกันแน่น่ะ”

เพ็ญสังเกตผมแม้กระทั่งตอนที่ผมอยู่ในห้องเรียน น้ำเสียงของเพ็ญแสดงความเป็นห่วงเป็นไยจนผมอดตื้นตันใจไม่ได้ เพ็ญนับเป็นเพื่อนที่ดีของผมคนหนึ่งเลยทีเดียว

“ช่วงนี้ต้องรีบกลับหอน่ะ” ผมตอบแล้วก็เหมือนไม่ได้ตอบเนื่องจากมันไม่ได้อธิบายอะไรให้แจ่มชัดขึ้นเลย

“เฮ้ย ไอ้อู ทำไมงานยังไม่เสร็จจะรีบกลับอีกแล้ว วันนี้ไม่ยังเห็นพิมพ์งานอะไรเลย” พี่ตั้วโวยเสียงดังมาจากโต๊ะข้างๆ “ถ้าช้าขนาดนี้ กว่าชีตจะออกครบก็พอดีสอบกลางภาคเสร็จกันไปหมดแล้ว”

“เอาไว้ก่อนครับพี่ตั้ว วันนี้ผมมึน กลัวทำพลาดแบบวันก่อนอีก” ผมตอบไปตามตรง “พรุ่งนี้จะรีบมาทำให้แต่เช้า”

“พูดแบบนี้มาหลายวันแล้ว ไม่เห็นว่านายจะมาเช้าตรงไหนเลย” พี่ตั้วอารมณ์บ่จอยใส่ผมอีก

ผมเบื่อที่จะฟังพี่ตั้วบ่นจึงรีบหนีลงมาจากชมรม จากนั้นก็รีบเดินทางกลับหอพัก เป็นไปได้ว่าวันนี้เอกอาจโทรมาอีก ผมต้องรีบกลับหอให้เร็วที่สุดเพื่อมารอรับโทรศัพท์ของเอก

- - -

“น้องอูกลับแต่วันเลยนะวันนี้” พี่พรทักเมื่อเห็นหน้าผมเหมือนกับรู้ทัน สังเกตสีหน้าของพี่พรไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ รังเกียจ สมเพช หรือว่าเห็นใจ...

“วันนี้โทรมาหรือยังครับ” ผมถามด้วยเสียงแผ่วเบา รู้สึกอับอายพี่พรมาก

“โทรมาหนนึง เมื่อสักครึ่งชั่วโมงนี้เอง” พี่พรพูด

“ขอโทษนะครับพี่ ทำให้พี่พรวุ่นไปด้วย” ผมพูด “คุณน้า เอ้อ... รู้เรื่องไหมครับ”

“คงยัง” พี่พรตอบ “พี่ไม่ได้เล่า และช่วงนี้คุณน้าไม่ค่อยได้ลงมาเฝ้าข้างล่างก็เลยยังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าหากลงมาเฝ้าแล้วรับสายนายนั่นเข้าพอดีก็คง...”

ผมพยักหน้า เข้าใจดีว่าพี่พรหมายความว่าอะไร ยังไม่ทันจะพูดอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรีบเดินไปยกหูขึ้นรับสายทันที

“ฮัลโหล หอพัก...ครับ” ผมพูด

“ขอสายห้อง...หน่อยครับ” สำเนียงเหน่อดังมาจากปลายสายด้านโน้น

“นั่นหนุ่ยเหรอ” ผมอุทาน ผู้ที่โทรมากลับไม่ใช่เอกแต่เป็นหนุ่ย

“ปูใช่ไหม นี่หนุ่ยเอง” เสียงจากปลายสายด้านโน้นทักทาย น้ำเสียงบ่งบอกความดีใจ ไม่รู้ว่าหนุ่ยรู้เรื่องชื่อของผมจากเอกหรือไม่ แต่หนุ่ยก็ยังคงเรียกผมเช่นเดิม “เมื่อกี้หนุ่ยก็โทรมาทีนึงแล้วแต่ไม่เจอปู”

ที่แท้เมื่อครู่อาจเป็นหนุ่ยนั่นเองที่โทรมาแต่พี่พรแยกไม่ออกระหว่างเสียงของเอกกับเสียงของหนุ่ยจึงเข้าใจว่าเป็นเอกโทรมา

“หนุ่ย ทำไมนายทำแบบนี้ นายทำเรื่องวุ่นวายให้เรามากเลยนะ” ผมอดต่อว่าหนุ่ยไม่ได้

“ปู ฟังหนุ่ยก่อนนะ” น้ำเสียงของหนุ่ยเปลี่ยนจากดีใจเป็นเศร้าสร้อย “เอกเคยเป็นแฟนหนุ่ย แต่เราเลิกกันไปแล้ว เอกไม่ได้เป็นอะไรกับหนุ่ยแล้ว หนุ่ยจะคบกับใครก็ได้นะ”

ผมฟังหนุ่ยแล้วก็ถอนใจ มันก็เป็นไปได้ เอกอาจจะทำตัวเป็นเจ้าของและยังหวงหนุ่ยอยู่ ไม่ยอมให้ใครมายุ่งแม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้วก็ตาม เรื่องแบบนี้พบได้บ่อยๆในละครทีวี

“หนุ่ยจะคิดยังไงก็ตาม แต่เอกไม่ได้คิดแบบนั้น และเอกก็โทรมารังควานเราทุกวัน” ผมพูด

“ขอโทษด้วยนะปู หนุ่ยไม่คิดว่าเอกจะตามมาวุ่นวายกับหนุ่ยอีก รวมทั้งไม่คิดว่าเอกจะไปยุ่งกับปูด้วย” หนุ่ยพูดด้วยเสียงละห้อย

“ขอโทษก็ไม่มีประโยชน์ หนุ่ย เรา...” ผมพูดแล้วหยุดไป จากนั้นพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะเกรงจะมีใครได้ยินเข้า “เราอยากให้นายเลิกติดต่อกับเรา ต่อไปไม่ต้องเขียนจดหมาย ไม่ต้องโทรคุย ไม่ต้องติดต่อกันอีกเลย”

“หา” หนุ่ยอุทาน เงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงเศร้าๆ “แล้วปูไม่สงสารหนุ่ยบ้างเหรอ หนุ่ยไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมปูต้องทำแบบนี้กับหนุ่ย หนุ่ยอยากมีเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง”

ผมอึ้ง หวนนึกถึงใบหน้าของหนุ่ย ในหน้าที่หล่อคมคายของหนุ่ยเวลาเศร้าใครเห็นก็คงใจอ่อน คิดแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้

แต่เมื่อนึกถึงเอกผมก็รู้สึกหนาว ผมไม่มีทางต่อกรกับเอกได้เลย ผมเปรียบเหมือนอยู่ในที่แจ้ง ส่วนเอกนั้นคอยโจมตีผมอยู่ในเงามืด

“หนุ่ย เราคงคบกันต่อไปไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นฐานะเพื่อนก็ตาม” ผมตัดใจพูด “ไม่ใช่ว่าหนุ่ยไม่ดี แต่นายเอกคนนั้นคงรังควานเราต่อไปไม่สิ้นสุด เราไม่มีทางเลือกเลยหนุ่ย”

“ขอเวลาให้หนุ่ยหน่อยได้ไหม เมื่อไรที่หนุ่ยสลัดหลุดจากเอกได้หนุ่ยจะโทรไปหาปูอีก นะ นะ” หนุ่ยออดอ้อน

ผมรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของตนเอง นี่ผมกำลังทำอะไรลงไป หากเรื่องเป็นอย่างที่หนุ่ยเล่ามาจริง หนุ่ยเองก็เป็นผู้ถูกกระทำเช่นกัน ประสบการณ์ของหนุ่ยควรค่าแก่การเห็นใจ ไม่ใช่ถูกผมทำร้ายจิตใจซ้ำเติมอีก หากผมเป็นหนุ่ยผมจะรู้สึกเสียใจเพียงใดที่ถูกเพื่อนตัดรอนจากความผิดที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ

“อย่าดีกว่าหนุ่ย” ผมพูด

ผมตัดสินใจตัดรอนให้ถึงที่สุด มาคิดดูแล้วถึงผมเห็นใจหนุ่ยผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากผมจะช่วยอะไรหนุ่ยไม่ได้แล้ว การที่เราพยายามติดต่อกันต่อไปยังอาจทำให้สถานการณ์ของเราทั้งคู่เลวร้ายลงไปอีก อีกประการ หนุ่ยพูดไปทางหนึ่ง เอกก็พูดไปอีกทางหนึ่ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรผมไม่มีทางรู้ได้เลย

“ขอให้เราเลิกติดต่อกัน ขอให้มันจบลงแค่นี้ เราไม่ต้องการติดต่อนายอีกแล้วหนุ่ย” ผมพยายามหักใจ

“ปู...” หนุ่ยพูดได้แค่นั่นแล้วก็เงียบไป

“เท่านี้นะหนุ่ย ขอให้ลืมเรา นึกเสียว่าเราไม่เคยรู้จักกัน อย่าคิดถึงเรา อย่าติดต่อเราอีก ลาก่อนนะหนุ่ย” พูดจบผมก็วางสายลง มาถึงตอนนี้ผมเองก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ทำไปนั้นถูกหรือผิด หลังจากที่วางสายผมก็รีบเดินกลับขึ้นห้องเพราะไม่ต้องการตอบคำถามของใครอีก

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสี่ผมก็สวนกับพี่ธิตและน้องปั้น ทั้งสองคนลงมาจากชั้นดาดฟ้าพอดี ผมจะหลบก็หลบไม่ทัน เลยหยุดทักทายกันที่บันไดนั่นเอง

“อ้าว อู เป็นไงบ้าง” พี่ธิตส่งเสียงทักทาย “ได้ยินว่ามีเรื่องยุ่งๆ”

ในแสงสลัวจากไฟทางเดินดวงเล็กๆ ผมสังกตสีหน้าของพี่ธิตไม่ออก ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ธิตรู้สึกอย่างไรกับผมหลังจากที่รู้ความลับของผมไปแล้ว...

“ครับพี่” ผมตอบสั้นๆ จากนั้นเดินก็เดินผละจากคนทั้งสอง

“โห พี่อู นายแน่มาก” ได้ยินเสียงน้องปั้นพูด “กล้าแย่งแฟนคนอื่น เจ๋งจริงๆ”

“ไอ้บ้า” พี่ธิตตบหัวปั้นเบาๆ “อย่าซ่าให้มันมากนัก”

น้องปั้นเดิมทีเป็นเด็กที่เรียบร้อย แต่เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นก็กลับกลายเป็นซ่าขึ้นมา เรื่องแย่งแฟนคนอื่นปั้นกลับเห็นเป็นวีรกรรมไป

“แฟนพี่อูคงสวยใช่ปะ ไม่งั้นพี่อูคงไม่ลงทุนซะขนาดนี้” น้องปั้นพูดอีก

“สวย” ผมทวนคำด้วยความแปลกใจ

“ใช่ปะๆ” ปั้นพูดอีก “เห็นพี่อูปกติเรียบร้อย ที่แท้ก็ใช้ได้เลยนะเนี่ย”