Wednesday, February 25, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 62

วันจันทร์ถัดมา เมื่อเราเดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน ผมพบว่าไอ้นัยขากะเผลกเล็กน้อย

“มึงเป็นไรไปน่ะ” ผมถาม

“หกล้ม” ไอ้นัยตอบ “ไอ้สเก็ตน้ำแข็งนี่มันเล่นไม่ง่ายเลยแฮะ หกล้มหงายท้องตั้งหลายครั้ง เนี่ย ตูดกูเขียวช้ำไปหมด เลยเดินไม่ถนัด”

“แล้วสนุกไหมล่ะ” ผมถามต่อ

“หนุกดิ” ไอ้นัยตอบ “วันหลังเราเป็นเล่นด้วยกันนะอู”

หลังจากที่ไอ้นัยไปช่วยงานหาเสียงของพี่เต้ รวมทั้งยังต้องปลีกเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนใหม่ในทีมพรรคนักเรียนของพี่เต้ ทำให้ไอ้นัยมีเวลาให้ผมน้อยลง ผมรู้สึกหงุดหงุดกับเรื่องของไอ้พี่เต้มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

หาอะไรทำบ้างดีกว่าวะ ผมนึก

ผมอยากหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาบ้าง เนื่องจากวันๆนอกจากเรียนหนังสือแล้วก็กลับบ้าน บางทีพักเที่ยงก็แกร่วไปแกร่วมา ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหตุผลลึกๆอีกประการหนึ่งก็คือ ผมเห็นไอ้นัยมีกิจกรรมทำเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนผมเองตอนนั้นไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร ก็เลยอยากหาอะไรทำบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้ามัน

ผมมองๆอยู่หลายวันว่าจะทำกิจกรรมอะไรดี เนื่องจากผมมีข้อจำกัดเรื่องที่กลับบ้านเย็นไม่ได้ กิจกรรมที่ผมจะทำได้ต้องไม่ใช้เวลาในตอนบ่ายมากนัก ดูๆไปก็ไม่เห็นว่าอะไรจะเหมาะหรือว่าน่าสนใจ

แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆผมก็สังเกตเห็นป้ายกระดาษที่เขียนด้วยลายมือตัวโต เขียนติดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งในโซนของห้องชุมนุม ตึกเดียวกับที่ผมเรียนอยู่

“สหกรณ์ส่งเสริมการอ่าน รับสมัครสตาฟทำงาน สนใจติดต่อข้างใน”

ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าโรงเรียนเราเปิดสหกรณ์นี้มาตั้งแต่เมื่อไร และป้ายที่ว่านี้ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้เลย

เอาไอ้นี่ละวะ ลองดู ผมนึกในใจ สหกรณ์ชื่อประหลาดนี้ทำอะไรผมก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็รู้สึกสนใจ ตอนนั้นห้องสหกรณ์ปิดอยู่ หลังเลิกเรียน ผมลองแวะมาดูที่ห้องสหกรณ์อีกครั้ง ก็พบว่าห้องเปิดอยู่ ภายในห้องมีนักเรียนอยู่หลายคนเหมือนกัน ผมจึงเข้าไปถามรายละเอียด

ผู้ที่อธิบายรายละเอียดให้ผมฟังมีชื่อว่าพี่มั่ว พี่มั่วนี้หน้าตาตี๋สนิท เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหนอนหนังสือขนานแท้ เพราะว่าใส่แว่นสายตากรอบพลาสติก ตัดผมเกรียน หน้าตาน่ารักปนตลก ดวงตาของพี่มั่วเล็กหยีเหลือเป็นเส้นนิดเดียว นี่ถ้านั่งในหลับในห้องเรียนอาจารย์ก็คงไม่รู้ เพราะว่าตอนลืมตากับหลับตานั้นคล้ายกันมาก

หลังจากที่พี่มั่วอธิบายให้ผมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมก็พอเข้าใจว่าสหกรณ์ชื่อยาวๆนี้แท้ที่จริงก็คือร้านหนังสือเช่านั่นเอง แต่ว่าดำเนินการในรูปแบบของสหกรณ์แทนที่จะเป็นรูปแบบร้านหนังสือเช่าทั่วไป

วัตถุประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งของการสหกรณ์ก็คือ เป็นการรวมกลุ่มของคนที่มีความสนใจหรือว่ามีปัญหาร่วมกัน แล้วระดมทุนทั้งทุนที่เป็นเงินและทุนมนุษย์เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาที่กลุ่มนั้นๆประสบอยู่ ยกตัวอย่างที่พอจะเข้าใจได้ชัดก็ได้แก่สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์ร้านค้าเกิดจากกลุ่มคนที่มีปัญหาว่าต้องซื้อหาสินค้าของใช้จำเป็นในราคาที่แพง การรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ร้านค้าจะเป็นการระดมทุนที่เป็นเงิน และทุนที่เป็นกำลังคน กำลังสมอง เอามาช่วยกัน โดยใช้ทุนที่เป็นตัวเงินจัดซื้อสินค้ามาขายในราคาขายส่ง ส่วนทุนมนุษย์นั้นก็คือการอาสาเข้ามาช่วยกันบริหารจัดการ รวมทั้งช่วยกันออกความคิดในการพัฒนาสหกรณ์เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่กลุ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป

ที่จริงโรงเรียนของเราก็มีสหกรณ์อยู่แล้วแห่งหนึ่ง นั่นคือสหกรณ์ร้านค้าของโรงเรียน แต่ว่าสกหรณ์นั้นดำเนินการโดยครูและนักเรียนร่วมกัน ส่วนใหญ่จะเป็นครูดูแลเสียมากกว่า ดังนั้นทางโรงเรียนจึงจัดให้มีสหกรณ์ส่งเสริมการอ่านขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง โดยเน้นให้นักเรียนดำเนินการกันเองและมีครูเป็นเพียงที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสหกรณ์

ตอนนั้นผมยังเด็ก เรื่องความสำคัญหรือว่าปรัชญาของสหกรณ์นั้นผมเองก็ไม่ได้สนใจนัก รู้แต่ว่ามีอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือให้ทำบ้างก็ดี เพราะผมชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว

ตอนนั้นกิจการของสหกรณ์ที่มีชื่อสวยหรูว่าสหกรณ์ส่งเสริมการอ่าน แต่พวกนักเรียนก็เรียกกันเล่นๆจนติดปากว่าร้านหนังสือเช่า ยังเพิ่งเริ่มต้น โดยมีรุ่นพี่ ม.4 และ ม.5 ราวสี่ห้าคนเป็นแกน มีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ให้คำแนะนำและช่วยในการก่อตั้ง และกำลังรับสมัครนักเรียนรุ่นน้องๆเพื่อมาช่วยกันทำงาน จะได้เปิดกิจการได้เสียที อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้จัดการสหกรณ์โดยตำแหน่ง และพี่มั่วนี้เป็นรองผู้จัดการ แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้จัดการตัวจริงก็คือพี่มั่วนั่นเอง เพราะอาจารย์ต้องการให้นักเรียนดำเนินการกันเอง

ช่วงนั้นแทบไม่มีนักเรียนมาสมัครเป็นสตาฟทำงานกันเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ดังนั้นพอผมเข้าไปสอบถาม พี่มั่วอธิบายเสร็จแล้วก็รีบรวบหัวรวบหางให้ผมรับปากเป็นสตาฟทำงานเลย

- - -

กิจการร้านหนังสือเช่าโดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรมาก เจ้าของก็จะจัดหาหนังสือและนิตยสารมาเพื่อให้ลูกค้าเช่า ค่าเช่าจะคิดกันอย่างไรก็กำหนดกันขึ้นมา แต่ว่าเมื่อมาดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์เรื่องราวก็ไม่ง่ายแบบนั้น

รูปแบบของสหกรณ์ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมค่อนข้างมาก ดังนั้นคนที่จะมาทำงาน หรือแม้แต่จะมาเป็นลูกค้าก็ต้องมีส่วนเป็นเจ้าของสหกรณ์เสียก่อน นั่นคือ ต้องซื้อหุ้นของสหกรณ์ ผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้จากสหกรณ์ก็มีอยู่ 3 ส่วน นั่นคือ ส่วนแรก ได้เช่าหนังสือในราคายุติธรรม ส่วนที่สองคือได้เงินปันผลจากหุ้นที่ตนเองลงไป แต่ปันผลจากหุ้นนั้นได้ไม่มาก เพราะระบบสหกรณ์ไม่ได้เน้นให้ลงทุนเพื่อนอนกินเงินปันผล

ประโยชน์ส่วนที่ที่สามซึ่งน่าจะสำคัญที่สุด นั่นก็คือ เงินโบนัสที่ได้จากการอุดหนุนสหกรณ์ พูดง่ายๆก็คือ ใครที่มาอุดหนุนสหกรณ์มากๆ ก็จะสะสมแต้มไว้ได้มาก เมื่อได้แต้มมาก โบนัสจ่ายคืนก็จะมากตามไปด้วย นี่คือกลยุทธ์ที่ผูกใจสมาชิกให้ช่วยกันเข้ามาอุดหนุนสหกรณ์

ดังนั้น การจะมาเป็นสตาฟของสหกรณ์ได้ก็ต้องเป็นผู้ถือหุ้นของสหกรณ์เสียก่อน ที่สหกรณ์ส่งเสริมการอ่านกำหนดค่าหุ้นไว้หุ้นละ 20 บาท คนหนึ่งต้องลงหุ้น 3 หุ้น โดยให้ผ่อนได้เดือนละ 20 บาท รวม 3 เดือน หรือจะจ่ายรวดเดียวเลยก็ได้ ที่จริงเรื่องนี้ผิดหลักสหกรณ์นิดหน่อยตรงที่ผู้บริหารงานสหกรณ์จะมีหุ้นในสหกรณ์ไม่ได้เพราะถือว่ามีส่วนได้เสียและอาจเกิดกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนขึ้นได้ แต่สำหรับสหกรณ์นักเรียนนั้นจำเป็นต้องดัดแปลงหลักข้อนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะสม

ผมถูกพี่มั่วข่มขู่แกมล่อลวง เพื่อให้เป็นสตาฟทำงานของสหกรณ์ โดยให้ซื้อหุ้นสหกรณ์ 3 หุ้น จากนั้นก็สั่งให้ผมเข้ามาที่สหกรณ์ทุกวันเมื่อมีเวลาว่างเพื่อจะได้ช่วยกันจัดวางระบบเพื่อให้เปิดร้านให้ได้โดยเร็วที่สุด ผมเองก็อยากหาอะไรทำอยู่แล้ว จึงยอมให้รุ่นพี่หนอนหนังสือหน้าตี๋ผู้นี้ล่อลวงด้วยความเต็มใจ

- - -

เช้าวันจันทร์หนึ่ง ก่อนการเลือกตั้งประธานนักเรียนไม่นานนัก ที่ห้องของผมจะมีการตรวจทรงผมนักเรียน ถ้าใครไว้ผมยาวเกินไปจะถูกตัดคะแนนความประพฤติ

เช้าวันนั้น นักเรียนในห้องของผมส่วนใหญ่เข้าห้องเรียนด้วยศีรษะที่เกรียน เพราะแต่ละคนต่างก็ไปตัดผมมาในช่วงวันหยุด จะมีที่พิเศษอยู่บ้างก็คืออ๊อด วันนั้นอ๊อดมาสาย

อ๊อดเข้าห้องเรียนมาด้วยทรงผมคล้ายทิดสึกใหม่ คือมันสั้นไปหมด ทั้งข้างหน้า ด้านข้าง และข้างหลัง เพื่อนๆในห้องเฮกันใหญ่เมื่อเห็นทรงผมของอ๊อด

“เฮ้ย ทรงผมใหม่เหรอวะ กูว่าไม่เข้ากับมึงเลยนะ” ผมแหย่มัน

“ไม่ต้องเสือกเลย” อ๊อดพูด พร้อมกับทำตาเขียว

“ที่บ้านแมลงสาบแยะเหรอ” ผมแหย่อีก ผมรู้ว่าตอนนั้นมันอารมณ์ดีพอที่จะแหย่มันได้

“เสือก” อ๊อดย้ำคำเดิม

ผมไม่โกรธที่โดนมันด่า เพราะรู้ว่ามันพูดเล่น

“ตกลงทำไมตัดผมทรงนี้มาวะ” ผมถาม

“ก็กูว่าจะตัดผมเมื่อวาน” อ๊อดเล่า “แต่ร้านตัดผมมันเสือกหยุดเสียนี่ ช่างตัดผมดันปิดร้านไปธุระ ก็เลยไม่ได้ตัด”

“มึงก็เลยไปตัดร้านอื่น แล้วไปเจอช่างหัดใหม่ เลยตัดเสียแหว่ง” ผมบรรยายต่อแทนอ๊อด

“รู้มากนักนะมึง ยังงั้นกูไม่เล่าแล้วนะ มึงรู้หมดแล้วนี่” อ๊อดพูด

“โอ๋ๆ ไม่รู้หรอก อย่าเพิ่งงอนเลย หัวล้านแล้วยังใจน้อยอีก มึงเล่ามาเถอะ” ผมยังไม่วายแหย่มันอีก

“ไอ้หอกนี่” อ๊อดด่า แล้วอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา ช่วงหลังเราสนิทกันค่อนข้างมาก โยนมุขใส่กันตลอด

อ๊อดตั้งใจว่าจะตัดผมในตอนเย็นวันอาทิตย์ แต่ตอนนั้นช่างไม่อยู่ รอจนค่ำก็ไม่กลับมาเปิดร้าน เมื่อเวลาจวนตัวเข้าและไม่รู้จะทำอย่างไร อ๊อดจึงลงมือตัดผมตนเอง

“โห ใจถึงมาก ขนาดลงทุนตัดผมตัวเอง นับถือ นับถือ” ผมเย้ย “มันจะตัดเข้าไปได้ยังไงวะ ส่องกระจกตัด อะไรๆมันกลับข้างไปหมด แถมมึงยังไม่ใช่ช่างตัดผมเสียอีก”

“ก็นั่นแหละ มันเลยแหว่ง เมื่อเช้ากูเลยต้องไปอ้อนวอนให้เค้าเปิดร้าน ช่วยแก้ทรงผมของกู ก็เลยกลายเป็นแบบนี้แหละ” อ๊อดไขปริศนาทรงผมทิดสึกใหม่ให้ฟัง

เพียงไม่นาน เพื่อนทั้งชั้นก็รู้เรื่องเบื้องหลังของทรงผมของอ๊อด สร้างความเฮฮา เพื่อนๆต่างกระเซ้าเย้าแหย่อ๊อดกันสนุกสนาน

- - -

บ่ายวันจันทร์นั้นเอง ผมเข้ามาในห้องเรียนก่อนเวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายเล็กน้อย ก้าวแรกที่ผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เพื่อนๆในห้องจับกลุ่มคุยกันเซ็งแซ่

“มีอะไรเหรอ” ผมถามนก เพื่อนนักเรียนที่มาจากชั้น ม.1 ด้วยกัน นกตัวเล็ก จึงนั่งอยู่หน้าชั้นใกล้ประตูทางเข้า

“น่าเสียดายจังอู เมื่อกี้มึงไม่อยู่ ในห้องมีเรื่องยุ่งกันใหญ่” นกพูด

“เรื่องอะไรอะ” ผมถาม

นกบุ้ยใบ้ไปทางหลังห้อง ผมเห็นอ๊อดนั่งแหงนหน้ามองเพดานอยู่ที่หลังห้อง “โน่นแน่ะ ฟัดกันเละ แล้วยังจับขโมยได้แล้วด้วย”

Saturday, February 21, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 61

ไอ้นัยนั่งเฉย ปล่อยให้ผมคลึงเคล้นท่อนเนื้อของมันแต่โดยดี แต่ทำไปได้สักพักผมก็รู้สึกว่ากางเกงที่มันใส่อยู่นั้นเกะกะ จึงเอื้อมมือไปปลดตะขอกางเกงของมัน

ผมรูดซิปกางเกง พลางปลดกางเกงของไอ้นัยลง ไอ้นัยขยับก้นพ้นพื้นเพื่อช่วยให้ผมถอดกางเกงโดยสะดวก ทางเดินระหว่างเรือนหน้าและเรือนหลังนั้นมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ คือปากทางสองข้างเปิดโล่ง ลมพัดเข้ามาในทางเดินเย็นสบาย แต่ก็มีต้นไม้ที่บริเวณรั้วบ้านบังเอาไว้ ดังนั้นจึงมิดชิดพอสมควร ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเห็น ยกเว้นแต่จะปีนเข้ามาดู

ผมนั่งอิงลำตัวของไอ้นัย มือหนึ่งถือหนังสือโป๊ ดูทั้งรูป อ่านทั้งเนื้อเรื่องอย่างจดจ่อ อีกมือหนึ่งก็รูดท่อนเนื้อของไอ้นัยซึ่งแข็งเป็นลำเล่น ส่วนปลายดอกเห็ดชุ่มเยิ้มไปด้วยน้ำหล่อลื่น ผมใช้ปลายนิ้วละเลงน้ำหล่อลื่นไปทั่วดอกเห็ด ไอ้นัยซึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนล่างนั่งตัวเกร็งสูดปากเบาๆ

ไอ้นัยเอื้อมมือมาปลดตะขอกางเกงของผมบ้าง จากนั้นก็ถอดกางเกงของผมออก ไอ้นัยมือหนึ่งโอบลำตัวของผม ส่วนอีกมือหนึ่งคลึงเคล้นที่ท่อนเนื้อของผมอย่างไม่ยอมเสียเปรียบ

ใบหน้าของไอ้นัยโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของผม ลมหายใจที่หายใจรดต้นคอของผมแผ่วเบาเหมือนสายลมโชยอันอบอุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของไอ้นัยที่ผมคุ้นเคย ประกอบกับวงแขนที่กระชับตัวเราให้ชิดติดกัน ในที่สุด ผมก็หมดความสนใจกับหนังสือในมือ...

ผมวางหนังสือลงกับพื้น จากนั้นโน้มหน้าลงซุกไซร้ที่แก้มและใบหูของเพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่วัยเยาว์

ริมฝีปากของผมคลอเคลียอยู่ที่วงหน้าของไอ้นัย ส่วนมือของผมก็รูดท่อนเนื้อของมันเข้าออก ไม่นานนัก ผมก็รู้สึกว่าท่อนเนื้อของไอ้นัยเกร็งตัวเป็นจังหวะ มือของมันที่กำท่อนเนื้อของผมอยู่กำแน่นขึ้น จากนั้นผมก็รู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่หลั่งรดมือของผม...

ไอ้นัยถอนหายใจเฮือก หลั่งของเหลวสีขาวขุ่นข้นออกมาจนเต็มมือของผม แถมยังมีบางส่วนพ่นใส่พื้น ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง

“ออกมาเยอะจัง” ผมพูด มองดูของเหลวที่เปื้อนมือ

“ไม่ได้เอาออกมาสองวันแล้ว” ไอ้นัยหลับตาพูด พลางอมยิ้มอย่างสุขสม

“แล้วมึงจะปล่อยกูไว้อย่างงี้เหรอ” ผมทวง

มือของไอ้นัยที่คลายจากท่อนเนื้อของผมกำแน่นอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆรูดเข้าออก จากช้าไปเร็ว ใบหน้าของผมยังฝังอยู่ที่ต้นคอและใบหูของไอ้นัย สูดกลิ่นกายที่ผมคุ้นเคยอย่างหลงใหล

ไอ้นัยรูดอยู่ได้ไม่นาน ผมก็รู้สึกเสียววูบที่บริเวณท้องน้อย จากนั้นก็หลั่งของเหลวสีขาวขุ่นข้นออกมาบ้าง เลอะมือไอ้นัยไปหมดเช่นกัน

เรานั่งพักผ่อนกันชั่วครู่ หลังจากนั้นผมก็ถามหาทิชชู่

“หยิบทิชชู่ออกมาดิ” ผมบอกไอ้นัย

ไอ้นัยกะพริบตา “ลืมเอามาอะ เมื่อกี้ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าลืมอะไรไปอย่าง แต่คิดไม่ออก ที่แท้ลืมทิชชู่นี่เอง”

ในที่สุด เราสองคนก็ต้องเอาหนังสือพิมพ์ที่ปูนั่งมาเช็ดมือ แม้ไม่ค่อยสะอาดเท่าไรแต่ก็พอแก้ขัดไปได้ แต่ส่วนที่เลอะพื้นอยู่ไม่ได้เช็ด คงปล่อยไว้ให้มันแห้งไปเอง

“เอาไว้เป็นอนุสรณ์” ไอ้นัยพูดติดตลก

- - -

หลังจากงานรับน้องผ่านไป เราก็กลับมากลับบ้านพร้อมกันเหมือนเช่นเดิม ผมรู้สึกดีใจที่ในที่สุดไอ้นัยก็หมดภาระเสียที แต่แล้ว ผมก็สังเกตเห็นว่าไอ้นัยมีอาการง่วงเหงาหาวนอนในตอนเช้าขณะที่เรานั่งรถมาโรงเรียนด้วยกัน

“เมื่อคืนไปเฝ้ายามที่ไหนมาล่ะ” ผมถาม

ไอ้นัยตาปรือ “นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ เลยนอนดึกไปหน่อย”

“มึงแย่งคุณอาใช้ได้แล้วเหรอ” ผมสงสัย เพราะช่วงหลังส่วนใหญ่คุณอาผู้ชายจะเป็นคนที่ขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์มากกว่า

“เค้าเบื่อแล้ว” ไอ้นัยเล่าพลางหัวเราะ “บอกว่ากว่าจะเป็นก็ไม่ทันกิน เลยได้ความคิดใหม่ ใช้ให้กูทำเสียเลย”

เรื่องของเรื่องก็คือ คุณอาพยายามจะหัดใช้โปรแกรมเวิร์ดโพรเซสเซอร์ ซึ่งในตอนนั้นที่นิยมใช้กันจะมีอยู่หลายค่าย แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากที่สุดน่าจะเป็นโปรแกรม ซียู ไรเตอร์ (CU Writer) หรือที่เรียกกันว่าซียูเวิร์ด สาเหตุที่โปรแกรมนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงก็เพราะว่าเป็นฟรีแวร์ ไม่ต้องเสียเงินซื้อ และอีกประการคือโปรแกรมนี้แสดงผลอักษรไทยได้โดยไม่ต้องดัดแปลงกราฟิกการ์ด ในยุคนั้นโปรแกรมเวิร์ดที่ใช้งานภาษาไทยได้มักต้องดัดแปลงกราฟิกการ์ดซึ่งมักเป็นเงินหลายพันบาท

เมื่อคุณอาได้คอมพิวเตอร์มาก็พยายามหัดใช้ โดยเฉพาะเวิร์ดโพรเซสเซอร์ เพื่อเอามาใช้พิมพ์เอกสารให้ลูกค้า แต่เนื่องจากคุณอาไม่มีพื้นด้านคอมพิวเตอร์มาก่อน การหัดด้วยตนเองจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เพราะผู้ใหญ่จะเรียนรู้ได้ช้า เมื่อใช้แล้วไม่ทันใจและไม่ได้อย่างใจ ก็เลยหมดความอดทน ไอ้นัยจึงอาสาหัดโปรแกรมซียูเวิร์ดและช่วยพิมพ์งานเอกสารให้ ซึ่งคุณอาเห็นดีด้วย จึงโยนงานนี้ให้ไอ้นัยรับเอาไป

“คราวนี้มึงก็ยึดเครื่องได้แล้วละสิ” ผมถาม

“แน่น้อน” ไอ้นัยพูดด้วยความภาคภูมิใจ

ไอ้นัยศึกษาคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง โดยศึกษาเอาจากคู่มือที่ร้านคอมพิวเตอร์แถมมาให้พร้อมกับเครื่อง คู่มือนี้เป็นเล่มเดียวกับที่คุณอาศึกษา แต่ปรากฏว่าไอ้นัยไปได้เร็วกว่าคุณอามาก เพียงไม่กี่วัน ไอ้นัยก็เข้าใจคำสั่งพื้นฐานของระบบดอส 3.3 รวมทั้งเริ่มพิมพ์เอกสารด้วยซียูเวิร์ดได้แล้ว

- - -

“อู เอ้อ...” ไอ้นัยพูดขึ้นในตอนบ่ายวันหนึ่ง หลังจากงานรับน้องผ่านไปแล้วประมาณสองสัปดาห์ วันนั้นผมไปรอไอ้นัยที่ใต้ต้นไม้ใกล้ประตูใหญ่เพื่อกลับบ้านด้วยกันตามปกติ

“มีไรเหรอ” ผมถาม รู้สึกแปลกใจที่เห็นไอ้นัยอึกอัก

“เอ้อ คือพี่เต้ที่เค้าเป็นกรรมการงานรับน้องน่ะ” ไอ้นัยพูด “เค้าจะลงสมัครประธานนักเรียน”

“แล้วไง” ผมถาม รู้สึกสังหรณ์ใจว่าคงเกี่ยวข้องอะไรกับไอ้นัยเป็นแน่

“เค้าอยากให้กูช่วยงานหาเสียงให้เค้าหน่อยน่ะ” ไอ้นัยตอบ

ในยุคนั้นเป็นยุคที่ประชาธิปไตยในโรงเรียนเบ่งบานแล้ว ตำแหน่งประธานนักเรียนก็ต้องใช้การเลือกตั้ง โดยนักเรียนที่สนใจเรื่องการเมืองจะรวมตัวกันเป็นพรรคนักเรียน จากนั้นส่งตัวแทนเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียน มีการหาเสียง การแข่งขันกันระหว่างพรรค คล้ายกับการเมืองของพวกผู้ใหญ่

ผมรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ผมเดาได้เลยว่าพวกรุ่นพี่คงเห็นไอ้นัยเรียกง่ายใช้คล่อง ก็เลยอยากได้ตัวมาช่วยงานอีก

“แล้วพี่เต้นี่เป็นใคร แล้วทำไมเลือกมึงให้ไปช่วยล่ะ” ผมถาม พยายามเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้

“เค้าเป็นรุ่นพี่ ม.๕ เป็นสตาฟงานรับน้อง เค้าเห็นกูทำงานดี เลยขอแรงให้ไปช่วยงานหาเสียง อีกเดือนเดียวก็เลือกตั้งแล้ว ช่วยก็ไม่นานหรอก เค้าอุตส่าห์มาตามกูถึงที่ห้อง” ไอ้นัยพยายามอธิบาย

“เค้าจะขอแรงหรือจะกินแรงกันแน่วะ” ผมดักคอ “มึงก็รู้ว่าเค้าจะหลอกใช้มึงเป็นม้าใช้ แล้วยังไปให้เค้าหลอกอีก”

“ไม่ได้หลอกใช้สักหน่อย”ไอ้นัยแก้ต่าง “อีกอย่าง กูก็สนใจด้วยแหละ ท่าทางน่าสนุก”

คำพูดอันรุนแรงรออยู่ที่ริมฝีปาก ผมรู้สึกโมโหแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโมโหใคร แต่เมื่อคิดถึงใบหน้าอันเศร้าเสียใจและน้ำตาของไอ้นัยเมื่อคราวที่เถียงกับผม ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ทำให้ไอ้นัยเสียใจอีก

“งั้นก็ตามใจมึงละกัน” ผมถอนหายใจอย่างจนปัญญา กลืนคำพูดอันรุนแรงทั้งหลายกลับลงไป

“ถ้างั้นวันนี้มึงกลับก่อนละกัน พี่เต้เค้ามีนัดประชุมเรื่องหาเสียงกันวันนี้” ไอ้นัยพูด

“อีกหน่อยมึงคงประชุมกันทุกวันนั่นแหละ แล้วเค้าก็คงใช้มึงกวาดห้อง ถูห้อง ซื้อโอเลี้ยง” ผมประชด

ไอ้นัยยิ้มสดชื่น ดูท่ามันกระตือรือร้นสนใจงานนี้เสียจริงๆ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ชอบมองโลกในแง่ร้ายนะมึง”

- - -

สิ่งที่ผมพูดดูจะไม่ผิดจากความจริงสักเท่าไร เพราะว่าหลังจากวันนั้นไอ้นัยก็ต้องอยู่เย็นเกือบทุกวัน เดี๋ยวประชุม เดี๋ยวเตรียมงาน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำอะไรกันนักหนา งานหลักๆของการหาเสียงเพื่อเป็นประธานนักเรียนในตอนนั้นจะอยู่ที่โปสเตอร์หาเสียงและการปราศรัย งานส่วนหนึ่งของไอ้นัยเท่าที่ผมรู้ก็คือการเขียนโปสเตอร์ นอกจากนั้นคงเป็นงานรับใช้จิปาถะ

ตั้งแต่ไอ้นัยไปช่วยงานหาเสียงประธานนักเรียน ดูมันกระตือรือร้นและมีความสุข แต่ในขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกหงุดหงิดและเซ็ง เวลาที่ผมมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับไอ้นัยก็เหลือเพียงการไปโรงเรียนด้วยกันในตอนเช้ากับบ่ายวันเสาร์ที่สยามสแควร์หรือไม่ก็ที่บ้านของไอ้นัยเอง

“อู เอ้อ...” ไอ้นัยพูดขึ้นในตอนเดินทางกลับบ้านด้วยอาการอึกอัก วันนั้นเป็นวันศุกร์ หลังจากที่ไปช่วยงานหาเสียงได้ราวสองสัปดาห์

“มีเรื่องอะไรอีกละสิ” ผมดักคอ ถ้าอึกอักแบบนี้แสดงว่ามันมีเรื่องอึดอัดใจ ซึ่งคงต้องเกี่ยวกับผม ระยะหลังนี้ไอ้นัยดูจะพูดอึกอักบ่อยๆ

“คือพรุ่งนี้พี่เต้เค้าชวนพวกน้องๆที่ช่วยงานเค้าไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งนะ” ไอ้นัยพูด

“ว่าไงนะ” ผมพูดเสียงดัง

“เบาๆหน่อยดิอู นี่มันในรถเมล์นะ” ไอ้นัยเตือน “พี่เต้เค้าชวนไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งน่ะ”

“แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงชวนวะ” ผมถามด้วยความไม่พอใจ วันเสาร์เป็นวันของเรา ผมไม่ต้องการให้ใครมาแย่งเวลานี้ไปจากผมและไอ้นัย

“พี่เต้เค้าเห็นพวกเราช่วยงานเค้ามาก ก็เลยอยากตอบแทนบ้าง” ไอ้นัยอธิบาย แล้วพูดด้วยความกระตือรือร้น “เรายังไม่เคยเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันเลยนะ”

“ก็ใช่น่ะสิ มึงอยากเล่นเราไปเล่นด้วยกันก็ได้ ไม่เห็นต้องไปกับไอ้พี่เต้เลย” ผมเริ่มไม่ชอบขี้หน้าพี่เต้มากขึ้นและมากขึ้น

ในตอนนั้นลานสเก็ตน้ำแข็งยังเป็นสถานที่เล่นที่ค่อนข้างใหม่ ลานสเก็ตน้ำแข็งแห่งแรกของเมืองไทยอยู่ที่ถนนสุขุมวิท ตรงที่เคยเป็นโรงหนังออสการ์ ต่อมาก็โดนไฟไหม้ไป ผมเองก็ไม่ทันเหมือนกัน หลังจากนั้นก็มีเปิดที่เดอะมอลล์ ราชดำริ ซึ่งเป็นห้างเดอะมอลล์สาขาแรกของกลุ่มเดอะมอลล์ ปัจจุบัน กลายเป็นห้างนารายณ์ภัณฑ์ เดอะมอลล์ในตอนนั้นมีลานสเก็ตน้ำแข็งด้วย แต่เราสองคนยังไม่เคยไปราชดำริเสียที ชีวิตยังวนเวียนอยู่แต่ในสยามสแควร์

“เราไปด้วยกันเลยนี่ไง กูบอกพี่เต้ไว้แล้วว่าจะชวนเพื่อนไปเล่นด้วย” ไอ้นัยพูด

“ถ้ามึงอยากไปมึงก็ไปเถอะ กูไม่รู้จักใครในกลุ่มมึงเลย ไม่ไปดีกว่า” ผมพูด ตอนนั้นบรรยายสภาพอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่าไม่อยากไป

ไอ้นัยหน้าสลดด้วยความผิดหวัง “ถ้ามึงไม่ไป งั้นกูไม่ไปดีกว่า”

ผมดูสีหน้าผิดหวังของไอ้นัยด้วยความสงสาร ผมไม่เคยอยากทำลายความสุขของมันเลย อะไรที่ทำให้เพื่อนรักคนนี้มีความสุขได้ ผมก็ยินดีทำ

“กูไม่ได้ห้ามไม่ให้มึงไปนะ แต่กูไม่รู้จักใคร ไปแล้วก็ไม่สนุกหรอก เอางี้ดิ มึงลองไปดูก่อน ถ้าดีแล้ววันหลังมึงพากูไป เราค่อยไปเล่นกันสองคนวันหลัง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

ไอ้นัยกลับมามีสีหน้าที่สดชื่นอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่ามันอยากไปเพียงใด “ขอบใจนะอู ที่มึงไม่โกรธกู”

“จะไปโกรธมึงทำไมล่ะ” ผมพูด ผมไม่ได้โกรธไอ้นัย ที่ผมโกรธน่าจะเป็นไอ้พี่เต้มากกว่า


<ไอ้นัยนั่งเฉย ปล่อยให้ผมคลึงเคล้นท่อนเนื้อของมันแต่โดยดี >

Sunday, February 15, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 60

ในที่สุดวันรับน้องก็มาถึง ไอ้นัยต้องคอยดูแลซุ้ม ม.๒ และดูแลน้องๆในฐานะสตาฟ ส่วนผมนั้นมาร่วมสร้างความคึกคักให้แก่ซุ้มโดยอยู่ในฐานะกองเชียร์

เมื่ออยู่ในสถานะที่แตกต่างกัน ความรู้สึกก็แตกต่างกันออกไป เมื่อปีที่แล้ว ผมอยู่ในฐานะน้องใหม่ เนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมม ถูกรุ่นพี่สั่งให้ทำโน่นทำนี่ต่างๆนานา แต่พอมาปีนี้ ผมดูน้องๆที่ถูกพี่ๆต้อนรับจนเนื้อตัวเลอะเทอะ ผมรู้สึกว่าผมโตขึ้นอีกไม่น้อยเลย ในอนาคตผมจะต้องเติบโต เข้มแข็ง และก้าวหน้าไปกว่านี้อีก

ส่วนไอ้นัยนั้น ผมได้สังเกตอีกด้านหนึ่งของตัวตนของมัน... ด้านที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไอ้นัยทำงานอย่างเข้มแข็ง เอางานเอาการ ซึ่งเรื่องเหล่านั้นเป็นนิสัยของมันอยู่แล้ว แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งจะสังเกตพบ นั่นคือความเป็นผู้นำ ไอ้นัยที่ปกติเงียบๆ เอาแต่ตามใจคนอื่น ตอนเด็กๆผมเคยนึกว่ามันเป็นดินน้ำมันก้อนหนึ่งที่ใครจะปั้นแต่งอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้... ตอนที่มันทำหน้าที่ของรุ่นพี่... ผมได้เห็นแววของผู้นำอยู่ในตัวของมันอยู่อย่างเลือนราง

หลังเที่ยง งานรับน้องสิ้นสุดลง ทั้งสตาฟและกองเชียร์ที่เป็นรุ่นพี่ ม.๒ ต่างก็ช่วยกันเก็บซุ้มและทำความสะอาด เนื่องจากมีคนช่วยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น

“เฮ้อ เสร็จเสียที” ผมพูดกับไอ้นัยอย่างโล่งใจ “ต่อไปมึงจะได้ว่างเสียทีนะ”

“จะไปไหนดี” ไอ้นัยถาม

“ไปบ้านมึงดีกว่า” ผมพูด

ไอ้นัยยิ้มอย่างรู้ทัน “ตั้งหน้าตั้งตาจะดูแต่หนังสือโป๊นะมึง”

“มึงดูแล้วก็พูดแบบนี้ได้ดิ ไอ้เปรต ทีวันก่อนก็เห็นรีบตะครุบเหมือนกัน” ผมย้อน

วันนั้นโอกาสไม่ปลอด เพราะว่าคุณอาผู้ชายของไอ้นัยอยู่ที่บ้าน กำลังง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์

“แย่วุ้ย” ผมบ่น “อดดูอีกแล้ว”

“อยากดูจริงเหรอ” ไอ้นัยกะพริบตาอมยิ้ม ใบหน้าของมันดูซ่อนอุบายอะไรสักอย่างเอาไว้

“ก็จริงน่ะสิ ถามได้” ผมตอบ “มึงทำหน้าเจ้าเล่ห์ มีวิธีเหรอ”

ไอ้นัยไม่ตอบ พาผมเดินขึ้นไปยังห้องนอน จากนั้นล็อกประตู แล้วหยิบหนังสือโป๊ออกมาจากที่ซ่อน ยัดเข้าไว้ในเป้ของผม

“เฮ้ย กูไม่เอากลับบ้านนะ เดี๋ยวบ้านแตก” ผมร้อง

“แค่ฝากไว้ก่อน ไม่ได้ให้เอากลับ” ไอ้นัยยิ้มแบบลึกลับ

ไอ้นัยพาผมเดินลงมาข้างล่าง หยิบหนังสือพิมพ์เก่าสองสามฉบับยัดเข้าไปในเป้ของผม

“เดี๋ยวมานะครับ ไปส่งอูก่อน” ไอ้นัยตะโกนบอกคุณอาที่อยู่ในห้องทำงาน

“อ้าว อูเพิ่งมา จะรีบกลับแล้วเหรอ” เสียงคุณอาลอยออกมาจากห้องทำงาน
“เฮ้ย กูยังไม่กลับ” ผมท้วงมัน

“เออน่ะ ไปลาคุณอาก่อนไป” ไอ้นัยสั่ง

ผมเดินเข้าไปร่ำลาคุณอาทั้งๆที่ตนเองก็ยังงงๆอยู่ ไม่เข้าใจว่าไอ้นัยกำลังเล่นอะไรอยู่

ไอ้นัยพาผมเดินออกมานอกบ้าน แล้วเดินลึกเข้าไปในซอย

“มึงจะพากูไปไหนวะ” ผมถาม “ลึกลับจริงนะมึง”

ไอ้นัยไม่ตอบ เมื่อเดินลึกเข้าไปจากบ้านไอ้นัยได้ประมาณร้อยกว่าเมตรก็พบบ้านหลังหนึ่ง ลานหน้าบ้านรกรุงรัง มันเป็นบ้านร้าง ดูจากความรกของต้นไม้คงจะไม่มีคนอยู่อาศัยมานานพอควรแล้ว

“ดูกันในนี้แหละ” ไอ้นัยบอก

“นี่บ้านใครวะ” ผมถาม

“กูจะไปรู้ได้ไง ไม่ใช่ของกูก็แล้วกัน” ไอ้นัยตอบ

“อ้าว แล้วมึงจะเข้าไปได้ยังไง” ผมงง

“เซ่อจริง ก็ปีนเข้าไปดิ” ไอ้นัยตอบพลางหัวเราะเสียงใส ท่าทางของไอ้นัยดูกระตือรือร้นกับการผจญภัยในครั้งนี้

ไอ้นัยเล่าให้ฟังว่ามันเข้ามาเดินเล่นในซอย แล้วพบบ้านร้างหลังนี้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว พอมาวันนี้มันเห็นผมไม่มีที่ดูหนังสือโป๊ จึงพามาที่นี่

“ดีเหมือนกัน ลองเข้าไปกัน” ผมชักนึกสนุก เด็กๆก็ชอบมักชอบการผจญภัยและความตื่นเต้นแปลกใหม่เช่นนี้เอง

เรายืนอยู่หน้าบ้าน เมื่อเห็นเป็นจังหวะปลอดคนก็ปีนประตูรั้วของบ้านร้างนี้เข้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อปีนเข้าไปได้แล้ว เราสองคนเดินผ่านกองกิ่งไม้ใบไม้ที่ระเกะระกะ เข้าสู่ส่วนลึกของบ้านเพื่อหลบหลีกสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่หน้าบ้านร้าง

บ้านหลังนี้มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ตัวตึกเองกินอาณาบริเวณไปไม่น้อย ส่วนที่เหลือเป็นสวนเล็กๆและทางเดิน บ้านหลังนี้ตัวบ้านแบ่งออกเป็นสองเรือน เรือนด้านหน้าเป็นตึกสองชั้น ส่วนเรือนด้านหลังเป็นเรือนชั้นเดียว ใช้เป็นห้องครัว ห้องเก็บของ และห้องน้ำ เรือนหน้าและเรือนหลังคั่นไว้ด้วยทางเดินเท่านั้น

“ล็อกหมดเลย” ผมลองเปิดประตูที่เป็นลูกบิดดู พบว่าทุกบ้านล็อกเอาไว้หมด

“ไม่ต้องเข้าไปก็ได้ นั่งดูกันตรงทางเดินนี่แหละ” ไอ้นัยพูด พลางหยิบหนังสือพิมพ์เก่าออกมาปูตรงทางเดินระหว่างเรือนด้านหน้าและด้านหลัง

“เตรียมมาพร้อมเชียว มึงเคยเข้ามาแล้วละสิ” ผมถาม

“ฮื่อ เคยเข้ามาดูครั้งนึง” ไอ้นัยตอบ

“โห มึงนี่ซนเหมือนกันนะนี่” ผมทึ่ง ปกติเห็นมันเงียบๆ ไม่นึกว่าจะซนเป็นกับเขาเหมือนกัน

เราสองคนนั่งลง ผมหยิบหนังสือโป๊ออกจากเป้มานั่งอ่าน โดยมีไอ้นัยนั่งดูเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ

หนังสือเล่มนี้คุณภาพดีกว่าเล่มที่ผมเคยดูในห้องเรียน ภาพถ่ายคมชัดกว่า สีสันก็สวยกว่า เห็นกันจะจะเต็มจอ นายแบบแต่ละคนเป็นหนุ่มหุ่นดี อีกทั้งเครื่องเคราขนาดไม่เบา ผมตื่นเต้นกับอวัยวะที่แข็งเป็นลำของผู้ใหญ่

ดูไปได้ไม่กี่หน้าผมก็เหลือบไปมองดูเป้ากางเกงของไอ้นัย เห็นเป้ากางเกงของมันนูนเป็นลำ ที่ส่วนปลายของลำเห็นรอยเปียกเป็นดวง

ผมเอามือที่ว่างข้างหนึ่งเอื้อมไปคลึงท่อนเนื้อที่อยู่ในเป้ากางเกงของไอ้นัย ท่อนเนื้อของมันแข็งแกร่งและเกร็งตัวเป็นระยะๆ


<เมื่อเดินลึกเข้าไปจากบ้านไอ้นัยได้ประมาณร้อยกว่าเมตร ก็พบบ้านหลังหนึ่ง ลานหน้าบ้านรกรุงรัง มันเป็นบ้านร้าง ดูจากความรกของต้นไม้คงจะไม่มีคนอยู่อาศัยมานานพอควรแล้ว>

Wednesday, February 11, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 59

<อากาศยามบ่ายในวันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆสีเทาปกคลุมท้องฟ้าไปทั่ว สะพานพระปกเกล้าฯซึ่งเพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน และสะพานพุทธฯ พาดข้ามแม่น้ำขนานกัน เราสองคนต่างยืนเงียบ เหม่อมองดูสายน้ำใต้สะพานที่กำลังไหลรี่ ผมเห็นสายน้ำสีน้ำตาลอมเขียวในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านหน้าผมไประลอกแล้วระลอกเล่า สายน้ำไหลผ่านไปไม่หวนคืน เหมือนกับอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้... ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีหรือเลว เราล้วนย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้>
ปกติผมเป็นคนกินอาหารเร็ว ส่วนไอ้นัยจะกินช้า ค่อยๆกินไปใจเย็นๆ ดังนั้นผมมักจะกินเสร็จก่อนไอ้นัยเสมอ แต่วันนี้ ผมกินอาหารอย่างช้าสุดๆ ถ้าเคี้ยวเอื้องได้ก็คงทำไปแล้ว ส่วนตี๋นั้นกินเสร็จก่อนและรอผมอยู่นาน

“ไม่มีฟันเคี้ยวข้าวหรือไงวะ ถึงได้กินช้าขนาดนี้” ตี๋บ่น

เมื่อกินอาหารเสร็จ ตี๋จะกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดอีก ผมไม่อยากให้มันกลับไปที่ห้องในเวลานี้ รวมทั้งไม่อยากเดินกลับไปที่ห้องเป็นเพื่อนมันด้วย เพราะเดี๋ยวอาจเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นได้

ไปไหนดีหว่า?

ตอนนั้นมันกะทันหัน ผมคิดอะไรที่มันแนบเนียนได้ไม่ทัน รู้แต่ว่าต้องพยายามไม่ให้มันกลับไปที่ห้องเรียน

“ไปเยี่ยมไอ้วีกิจกันดีกว่า ไม่ได้เจอมันสักพักแล้ว” ผมบอกตี๋ด้วยแผนที่คิดขึ้นมาแบบมั่วๆ

ตี๋ทำหน้างงๆ “มึงจะไปก็ไปดิ กูจะไปห้องสมุด”

“ไปด้วยกันหน่อยน่า ไอ้วีกิจมันคงดีใจ แล้วเดี๋ยวค่อยไปห้องสมุดด้วยกัน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ว่าแล้วก็ฉุดกระชากลากมันไป แม้ตี๋จะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรมากมาย ปล่อยให้ผมลากมันไปจนได้

ที่ห้องดนตรีไทย วีกิจนั่งพับเพียบกับพื้นสีซอดังอู๋อี๋อยู่อย่างสบายอารมณ์ พวกเราจึงเข้าไปนั่งขัดสมาธิคุยกัน ผมต้องนั่งขัดสมาธิเพราะนั่งพับเพียบไม่เป็น ไม่ถนัดเอาเลย

“โอ... พระเชษฐา ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้ละเนี่ย” วีกิจจีบปากจีบคอทักเมื่อเห็นผม

“นี่ห้องดนตรีไทยแน่หรือวะ กูนึกว่าโรงพยาบาลศรีธัญญา” ตี๋พึมพำ

“ไอ้เวร ปากเสียนะมึง” วีกิจจีบปากด่า

ผมชวนวีกิจคุยด้วยเรื่องที่ไร้สาระ ปกติรสนิยมและความสนใจของเราไม่ค่อยตรงกันเท่าไรนัก ดังนั้นเรื่องที่จะชวนคุยเป็นชิ้นเป็นอันจึงไม่มี มีแต่เรื่องไร้สาระ

ตี๋นั่งกระสับกระส่าย พยายามจะลุกหนีไปให้ได้ ผมก็พยายามฉุดมันเอาไว้ ไม่ยอมให้ไปไหน

“กูปวดเยี่ยว” ตี๋พูด

“เออ กูก็ปวด แต่คุยกันก่อน เดี๋ยวคุยเสร็จแล้วไปเยี่ยวด้วยกัน” ผมพูดส่งเดช

“แล้วทำไมกูกับมึงต้องไปเยี่ยวด้วยกันด้วยวะ” ไอ้ตี๋พูดอย่างงงๆ “มึงเป็นอะไรไปวะ วันนี้ตามกูจังเลย กูจะไปแล้ว ต้องกลับห้องไปเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดอีก เดี๋ยวไปไม่ทัน”

เมื่อเห็นว่าหมดทางที่จะรั้งไอ้ตี๋เอาไว้ ผมจึงจำเป็นต้องบอกความจริงแก่มัน แต่ก็พยายามเลี่ยงโดยบอกแต่เพียงนัยๆ

“เอ้อ ที่ห้องตอนนี้กำลังยุ่งๆน่ะ มันจะจับขโมยกัน เราไม่เกี่ยวก็อย่าไปยุ่งเลย” ผมพูดอ้อมแอ้ม

“จับขโมย” ทั้งตี๋และวีกิจอุทาน

“ฮื่อ คือมันมีเงินหายในห้องน่ะ วันนี้มันเลยวางแผนจะจับขโมยกัน เราไม่เกี่ยวอย่าเพิ่งไปดีกว่า” ผมอธิบายแบบกระท่อนกระแท่น พยายามพูดให้น้อยที่สุด

ตี๋ได้ฟังผมอธิบายก็ทรุดตัวนั่งลงอีกครั้ง คงจะเลิกล้มความคิดที่จะกลับไปที่ห้องแล้ว

หลังจากอู้อยู่ในห้องดนตรีไทยจนพอสมควรแก่เวลา ใกล้จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว ผมก็ไปเข้าห้องน้ำและเดินกลับมาที่ห้องเรียนพร้อมกับตี๋ แต่พอขึ้นตึกแล้วผมก็เดินตามมันห่างๆ ทำเนียนว่าไม่ได้เดินมาด้วยกัน

ที่ห้องเรียนตอนนั้นมีคนอยู่กันมากแล้ว เพราะใกล้เริ่มคาบเรียนในภาคบ่าย ตี๋พอมาถึงห้องก็คว้าหนังสือแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไปที่ห้องสมุด

“อ้าว ไม่ไปห้องสมุดด้วยกันเหรอ” ตี๋ถาม เมื่อเห็นว่าผมจะไม่มีทีท่าว่าจะตามมันไป

“มึงไปเถอะ” ผมตอบ “กูเปลี่ยนใจแล้ว”

เหตุที่ผมเปลี่ยนใจไม่ไปห้องสมุดกับมันก็เพราะว่าตอนนั้นคนที่อยู่ในห้องเรียนกันมากพอควร ถ้าเพื่อนๆเห็นผมเดินกับตี๋ออกจะดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติไปหน่อย ดีไม่ดีอาจเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นได้

แต่ที่ไหนได้ พฤติการณ์ของผมไม่อาจรอดสายตาของใครบางคนไปได้

เมื่อผมเข้ามาในห้อง จิกับชิวก็ปราดเข้ามาหาผมทันที และขอให้ไปคุยกันหลังห้อง

“ไอ้อูครับ ขอคุยด้วยหน่อย” จิพูด

“มีอะไรเหรอ ไอ้คุณจิ” ผมถาม

“คือผมอยากรู้ว่าเมื่อตอนพักเที่ยงมึงไปทำอะไรมาครับ” จิเข้าประเด็น

“ก็ไปหาเพื่อนที่ห้องดนตรีไทยอะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“มีสายของผมรายงานว่ามึงลากไอ้ตี๋ไปไหนต่อไหนด้วยตลอดพักเที่ยง เป็นความจริงใช่ไหมครับ” จิซักอีก มาดของมันราวกับนักสืบในภาพยนตร์ สงสัยจะดูหนังสืบสวนมากไปหน่อย

“เอ้อ ... อ้า ... เอ้อ ... ก็แค่ไปด้วยกัน” ผมตะกุกตะกัก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสะกดรอยการกระทำของผม

“มึงมาทำลายแผนของพวกผมทำไม” นักสืบจิถาม ส่วนชิวนั้นทำสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน

“มึงจะช่วยมันใช่ไหม” ชิวรุกถาม “หรือมึงสมรู้ร่วมคิดกับมัน”

ซวยละสิ ผมเลยตกเป็นผู้ต้องหาไปด้วย

“เฮ้ย พูดดีๆหน่อย กูไปช่วยอะไรใคร สมรู้ร่วมคิดทำอะไร อย่าพูดชุ่ยๆนะโว้ย” ผมชักโมโหที่ถูกรุม

หลังจากนั้นเราก็เกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย แต่โชคดีที่อาจารย์เข้ามาสอนพอดี จึงทำให้การโต้เถียงต้องหยุดลง

“หาเรื่องแล้วไหมล่ะ ไอ้ไก่อู” อ๊อดกระซิบ “มิน่าเล่า ถึงได้ถามอะไรกูแปลกๆ ที่แท้มึงคิดจะช่วยไอ้ตี๋”

สำหรับอ๊อด ผมไม่ปฏิเสธ เพราะรู้ว่าอ๊อดไม่ปากโป้ง “ขอกูช่วยมันสักครั้งละกัน มันเคยมีน้ำใจช่วยเหลือกู”

“ระวังเดือดร้อนก็แล้วกัน ไอ้จิท่าทางมันจะบ้านักสืบ มันคงไม่ยอมเลิกง่ายๆ” อ๊อดกระซิบต่อ

“แล้ววันนี้เงินหายหรือเปล่าวะ” ผมถาม

“ก็ไม่หายน่ะสิ กูถึงว่ามึงจะเดือดร้อนไง” อ๊อดตอบ

ผมเองในส่วนลึกแล้วก็อดคลางแคลงใจไม่ได้ ที่จริงแล้วตี๋ไม่ได้มีอาการพิรุธอะไรเลย แต่มีอยู่จุดเดียวที่ทำให้ผมคลางแคลงใจ นั่นก็คือตอนที่ตี๋บอกกับผมในห้องดนตรีไทยว่าจะไปฉี่ พอผมพูดเรื่องจับขโมยขึ้นมา ตี๋ก็นั่งลงเลย แม้แต่ฉี่ก็ไม่ไป

“ทำไมมึงไม่เตือนมันเฉยๆก็พอวะ” อ๊อดกระซิบอีก

“ทีแรกกูก็คิดยังงั้น แต่ถ้ากูพูดเตือนมัน มันก็คงเข้าใจว่ากูระแวงมัน คนมันมีปมด้อยอยู่แล้วนะ ถ้าเกิดมันไม่ได้ทำจริง มันคงเสียใจที่กูระแวงมัน” ผมอธิบาย

“ถามจริงเถอะ แล้วมึงไม่ได้ระแวงมันเหรอ แล้วในที่สุดมันก็รู้อยู่ดี มึงทำแล้วได้อะไรล่ะ ไอ้ไก่อูเอ๊ย” อ๊อดตำหนิ

Sunday, February 8, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 58

เราสองคนมาหยุดยืนที่ท่าน้ำใต้สะพานพุทธ ใกล้กับท่ารถเมล์ ขนตาของไอ้นัยยังเปียกชุ่ม ผมรู้สึกทั้งเสียใจ ตกใจ และหวั่นกลัว ผมเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป ที่ตกใจคือนึกไม่ถึงว่าเด็กที่เข้มแข็งอย่างไอ้นัยจะต้องมาเสียน้ำตาเพราะผม นั่นแสดงว่าคำพูดของผมต้องกระทบกระเทือนจิตใจของมันอย่างมาก และที่หวั่นกลัวก็คือกลัวว่าไอ้นัยจะเลิกคบกับผม ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อขาดไอ้นัย

อากาศยามบ่ายในวันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆสีเทาปกคลุมท้องฟ้าไปทั่ว สะพานพระปกเกล้าฯซึ่งเพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นานและสะพานพุทธฯ พาดข้ามแม่น้ำขนานกัน เราสองคนต่างยืนเงียบ เหม่อมองดูสายน้ำใต้สะพานที่กำลังไหลรี่ ผมเห็นสายน้ำสีน้ำตาลอมเขียวในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านหน้าผมไประลอกแล้วระลอกเล่า สายน้ำไหลผ่านไปไม่หวนคืน เหมือนกับอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้... ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีหรือเลว เราล้วนย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่อให้มันกลายเป็นอดีตอันงดงาม...

“มึงคงโกรธกูมากสินะ” ผมพูดทำลายความเงียบระหว่างเราสองคน “มันก็น่าอยู่หรอก”

ไอ้นัยส่ายหัว “ไม่ได้โกรธหรอก แต่เสียใจมากกว่า... มึงไม่เคยตะคอกกูมาก่อน”

“แล้วมึงจะยกโทษให้กูได้ไหม” ผมถาม

“มึงพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้วล่ะ” ไอ้นัยย้อนถาม

ผมนิ่ง ผมทำผิดต่อไอ้นัยหลายต่อหลายครั้งแล้วจริงๆ และทุกครั้งก็พูดแบบเดียวกัน

“แต่ทุกเรื่องที่กูทำผิด กูก็พยายามแก้ไขตัวเองนะ” ผมพูด “โดยเฉพาะกับมึง กูพยายามเต็มที่”

“...”

“ว่าไง ไม่ยอมยกโทษให้กูเลยเหรอ แม่ฝากให้มึงดูแลกูไง มึงรับปากแล้วด้วย ยังไงมึงก็ต้องดูแลกูต่อไปนะ” ผมอ้อน

ไอ้นัยอดยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่ขนตายังเปียกชุ่มอยู่ “เหตุผลมึงนี่ไม่เข้าท่าเลย ก็บอกแล้วว่าไม่ได้โกรธมึง”

“แปลว่ายกโทษให้ใช่ไหม” ผมคาดคั้น ไอ้นัยพยักหน้า

“พูดออกมาสิ กูจะได้แน่ใจ นะ นะ พูดหน่อย” ผมอ้อนอีก

“เออ” ไอ้นัยตอบ

- - -

หลังจากวันที่ชิวเงินหายครั้งล่าสุด ในที่สุด แผนจับขโมยจากความคิดของจิก็เริ่มขึ้น

“วันนี้มันจะจับขโมยกันแล้วนะโว้ย” อ๊อดคุยให้ผมฟังเมื่อคาบเรียนในช่วงเช้าเริ่มขึ้น

“จะจับขโมยแล้วมันป่าวประกาศไปทั้งชั้นเลยเหรอ” ผมถาม

“จะบ้าเหรอ ทำงั้นได้ไง” อ๊อดพูด

“แล้วทำไมมึงรู้ล่ะ” ผมถาม

“ก็รู้กันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไอ้จิมันให้กูช่วยจับตาดูขโมยด้วย” อ๊อดอธิบาย

เรื่องของเรื่องก็คือ ชิวกับจิช่วยกันวางแผนจับขโมยโดยจะใส่เงินล่อเอาไว้ในเป้ แล้วให้เพื่อนบางคนช่วยกันสังเกตในช่วงพัก เพราะคิดว่าขโมยคงลงมือปฏิบัติการในช่วงพักเที่ยง

“แล้วพวกมันแน่ใจเหรอว่าขโมยต้องลงมือวันนี้” ผมซัก

“ไอ้จิมันมีแผน มันจะล่อให้ลงมือวันนี้แหละ” อ๊อดอธิบาย

ผมอดนึกถึงตี๋ไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นขโมย แต่ในเมื่อไม่เชื่อแล้วทำไมอดห่วงมันไม่ได้ก็ไม่รู้

“มึงว่า... เอ้อ” ผมพูดแล้วชะงักไป “มึงว่าไอ้ตี๋มันขโมยจริงหรือเปล่า”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน” อ๊อดตอบ “แต่ที่ไอ้จิพูด คิดไปคิดมาก็พอมีเหตุผลอยู่”

จิเป็นคนที่มีวาทศิลป์ดี คำพูดของจิมีน้ำหนักต่อเพื่อนค่อนข้างมาก แม้แต่ชิวและอ๊อดต่างก็คล้อยตามความเห็นของจิ อย่าว่าแต่ชิวและอ๊อดเลย แม้แต่ผมเองในส่วนลึกก็อดคลางแคลงใจในตัวตี๋ไม่ได้

ตามแผนการที่วางเอาไว้ ตอนก่อนพักเที่ยง ชิวจะเอาเงินหลายร้อยบาทใส่ไว้ในเป้โดยจงใจให้ตี๋เห็น...

เมื่อใกล้เวลาพักเที่ยง ผมคอยสังเกตอากัปกิริยาของชิวและตี๋ตลอดเวลาด้วยความสนใจใคร่รู้ ผมเห็นชิวเหลือบมองตี๋บ่อยๆ พอได้จังหวะที่ตี๋หันมา ชิวก็หยิบธนบัตรใบละร้อยหลายใบออกจากระเป๋าตังค์แล้วย้ายมาเก็บไว้ในเป้

เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ชิวก็ชวนเพื่อนๆไปเตะบอลกันหลังอาหาร ซึ่งแน่นอน ถ้าไปเตะบอลกันก็หมายความว่ากว่าจะกลับเข้าห้องมาได้ก็คงเกือบบ่าย ช่วงนั้นสายสืบที่จิวางตัวเอาไว้ก็จะจับตาดูเป้ของชิวเอาไว้ ถ้ามีขโมยก็คงได้รู้กัน

แผนการของจิกับชิวถือว่าเนียนพอสมควร แม้มันสงสัยตี๋และพยายามล่อให้ตี๋มาติดกับ แต่ถึงแม้ตี๋ไม่ใช่ขโมย หัวขโมยตัวจริงก็มีโอกาสติดกับได้เช่นกัน

แม้ผมจะไม่เชื่อว่าตี๋เป็นขโมย แต่ในสถานการณ์อันหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ผมกลับยิ่งหวั่นใจ รู้สึกเป็นห่วงแทนตี๋ ราวกับว่ามันเป็นขโมยตัวจริง แล้วนี่ถ้าเกิดว่า... ถ้าเกิดว่าเป็นตี๋จริงๆ ผมควรจะทำอย่างไร

มีเพื่อนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบตี๋ ไม่ใช่เพราะว่ามันจน แต่เพราะว่ามันทำตัวแบบเด็กมีปมด้อย ชอบกวนประสาทเพื่อนๆ แต่สำหรับกับผมแล้ว ตี๋เป็นมิตรที่ดี ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่ผมมีเรื่อง ตี๋เป็นคนหนึ่งที่ปลอบใจและให้คำแนะนำแก่ผม

คนที่ทำผิดก็สมควรต้องได้รับโทษ นี่เป็นความคิดที่ผมและนักเรียนคนอื่นๆถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อมาหวนคิดว่าถ้าคนทำผิดเป็นตี๋ ผมควรจะปล่อยให้มันรับโทษตามความผิด หรือผมควรจะช่วยมันดี ระหว่างเพื่อนกับความถูกต้อง ถ้าผมจะต้องเลือก ผมควรจะเลือกอยู่ข้างใด?

ผมรั้งตัวอ๊อดเอาไว้ก่อนที่มันจะลุกออกไปจากที่นั่ง

“ฉุดกูทำไมเหรอ” อ๊อดถามอย่างสงสัย

“กูถามอะไรมึงหน่อย” ผมพูด “ถ้ามึงสงสัยว่ากูเป็นขโมย มึงยังคิดจะจับกูไหม”

อ๊อดหัวเราะ “มึงคิดบ้าๆอะไรขึ้นมาวะไอ้อู”

“กูถามจริงๆ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าคนที่พวกมึงสงสัยไม่ใช่ไอ้ตี๋... ถ้าไอ้ชิวสงสัยกู มึงจะทำยังไง”

“ไม่รู้ดิ ตอบไม่ได้หรอก เพี้ยนแล้วมึง” อ๊อดหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ ว่าแล้วก็รีบเดินหนีไป

ผมเดินตามพวกเพื่อนๆออกไปจากห้อง โดยตามตี๋ไปห่างๆ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมลำบากใจ ถ้าวางเฉย แล้วถ้าเกิดกลายเป็นว่าตี๋เป็นคนทำจริงๆล่ะ? ผมคงไม่อาจสบายใจได้ถ้าไม่ได้ทำอะไรเพื่อมันสักอย่าง

แต่ถ้าจะช่วยมัน ก็คิดยากอยู่เหมือนกัน ว่าจะช่วยมันถึงระดับใดจึงจะพอสมควร ผมเองก็ไม่อยากได้ชื่อว่าช่วยคนทำผิด

เมื่อเดินไปจนเกือบถึงโรงอาหาร ผมเห็นตี๋หันหลังและเดินย้อนกลับมา

“เฮ้ ไอ้ตี๋ ไม่ไปกินข้าวเหรอ” ผมดาหน้าเข้าไปทัก

“ลืมหนังสือไว้ในห้อง กะว่ากินเสร็จแล้วจะเอาไปคืนห้องสมุด จะกลับไปเอาก่อน” ตี๋ตอบ

ผมจับต้นแขนมันไว้แล้วลากมันเดินไปทางโรงอาหาร

“วันนี้กินข้าวด้วยกันดีกว่า ไม่ค่อยได้นั่งกินกับมึงเท่าไร” ผมพูด

“แล้วเพื่อนมึงล่ะ” ตี๋ถาม ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงใคร “เฮ้ย เดี๋ยวกูกลับไปเอาหนังสือก่อน”

“ยังไม่ต้องเอา ไปกินกันก่อน กูหิวแล้ว” ว่าแล้วก็ลากไอ้ตี๋ไปจนถึงโรงอาหาร ตี๋ขัดผมไม่ได้ก็เลยซื้ออาหารมานั่งกินด้วยกัน

“เพื่อนมึงล่ะ” ตี๋ถามอีก พร้อมยิ้มแบบกวนๆ

“มันก็กินกับเพื่อนของมันดิ” ผมตอบ

“มึงรู้เหรอว่ากูหมายถึงเพื่อนคนไหน” ตี๋ย้อน

ผมอึ้ง ไม่นึกว่าจะเสียท่ามัน

“เอ้อ ไอ้เปรต” ผมด่ามันแก้เก้อ ตี๋หัวเราะชอบใจ


<อากาศยามบ่ายในวันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆสีเทาปกคลุมท้องฟ้าไปทั่ว สะพานพระปกเกล้าฯซึ่งเพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน และสะพานพุทธฯ พาดข้ามแม่น้ำขนานกัน เราสองคนต่างยืนเงียบ เหม่อมองดูสายน้ำใต้สะพานที่กำลังไหลรี่ ผมเห็นสายน้ำสีน้ำตาลอมเขียวในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านหน้าผมไประลอกแล้วระลอกเล่า สายน้ำไหลผ่านไปไม่หวนคืน เหมือนกับอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้... ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีหรือเลว เราล้วนย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้>

Saturday, February 7, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 57

งานรับน้องใกล้เข้ามาทุกที พวก ม.๒ ที่เป็นแกนในการจัดซุ้ม ม.๒ ก็เตรียมงานกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อไม่ให้ผลงานแพ้ซุ้มของรุ่นพี่ๆ ผมนั้นไม่ได้ไปช่วยงานเตรียมซุ้มรับน้อง กะว่าจะมาเป็นกองเชียร์ในซุ้มเฉยๆ

“อู วันนี้มึงกลับไปก่อนนะ กูคงกลับค่ำ งานใกล้เข้ามาแล้ว” ไอ้นัยแวะมาหาผมในตอนเที่ยง

“ฮื่อ เมื่อไหร่งานมันจะจบๆเสียทีวะ” ผมบ่น รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่หน้าที่ของไอ้นัยมาแย่งเวลาของมันไปจากผม

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว อย่าเพิ่งโวยดิ” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ

“กูไม่ได้โวยเสียหน่อย แค่บ่น” ผมแก้ตัว

ตอนนั้นก็ชักเริ่มชินๆกับการกลับบ้านคนเดียวบ้างแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับบ้านกับไอ้นัยอยู่ดี

เช้าวันรุ่งขึ้น ไอ้นัยมาช้าเล็กน้อย เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมมีโอกาสมารอมันที่ป้ายรถเมล์ ขณะที่นั่งรถเมล์มาโรงเรียน ไอ้นัยหาวหวอดๆมาตลอดทาง

“มึงไปอดหลับอดนอนที่ไหนมาวะ หาวอยู่นั่นแหละ” ผมถามด้วยความสงสัย

“เมื่อคืนกลับดึก กว่าจะถึงบ้านเกือบสี่ทุ่ม แล้วยังต้องทำการบ้านอีก กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนกว่า” ไอ้นัยตอบ

“แล้วคุณอาไม่ว่าอะไรเหรอ กลับดึกขนาดนั้น” ผมถาม

“กำลังหมกมุ่นกับคอมพิวเตอร์อยู่ เค้าไม่มีเวลามาว่ากูหรอก” ไอ้นัยพูดเสียงหัวเราะ “น่าจะมีแว่นสักอันนะ”

“เอาไปทำไม” ผมงง

“เอาไว้ใส่พรางในชั้นเรียน อาจารย์จะได้ไม่รู้ว่ากูหลับอยู่หรือเปล่า ฮุฮุ” ว่าแล้วไอ้นัยก็หัวเราะร่วนกับมุขของตนเอง

เมื่อมาถึงโรงเรียน หลังจากแยกย้ายกันขึ้นตึก เมื่อผมเข้าไปในห้องเรียนก็พบนาท หัวหน้าห้องของผมกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ในห้องอย่างสนุกสนาน

“ไงหัวหน้า” ผมทัก “ขยันจริงนะ กลับบ้านดึกแล้วยังมาแต่เช้าอีก”

“กลับดึก” หัวหน้านาททวนคำ ทำหน้างง “กูเลิกเรียนก็กลับบ้านเลย”

“อ้าว” ผมอุทาน เริ่มงงบ้าง “เมื่อวานมึงไม่ได้อยู่เตรียมงานรับน้องหรอกเหรอ”

“เปล่านี่” นาทตอบ แล้วพูดอย่างนึกขึ้นได้ “อ๋อ เมื่อวานมีเรียกไปช่วยเหมือนกันแหละ แต่เป็นขออาสาสมัคร งานเบ๊น่ะ ตัดกระดาษ เก็บของ ทำความสะอาด กูจะไปทำไมให้โง่”

อารมณ์โกรธของผมพลุ่งขึ้นทันมีเมื่อได้ฟังนาทเล่า ผมวางเป้ลงและเดินออกไปเพื่อจะไปหาไอ้นัย

เสียงออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น ไม่ทันเสียแล้ว...

ผมเก็บความรู้สึกขุ่นเคืองเอาไว้ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เด็กมา ผมไม่เคยโกรธไอ้นัยเลย แต่พอมาปีนี้ เมื่อโกรธได้ครั้งหนึ่ง ก็มีครั้งอื่นๆตามมา

หลังเลิกเรียน ผมมารอไอ้นัยที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ประตูโรงเรียนตามเคย แต่วันนี้ ผมรอด้วยใจอันขุ่นเคือง ผมเห็นไอ้นัยเดินยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล

“อู ทำไมหน้าเป็นตูดยังงี้ล่ะ” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ “โมโหใครมาวะ”

หน้าผมมันแสดงอารมณ์ออกมาขนาดนั้นเลยหรือนี่ เพียงแค่ไอ้นัยเห็นแว่บแรกมันก็รู้แล้วว่าผมกำลังโกรธ

“โกรธมึงนั่นแหละ” ผมตอบห้วนๆ

ไอ้นัยหยุดยิ้มทันที “กูไปทำอะไรมึงเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ก็เมื่อวานมึงไปทำอะไรมาล่ะ” ผมซัก

“ก็อยู่เตรียมงานรับน้องไง” ไอ้นัยตอบ ทำหน้างงๆ “เมื่อวานกับเมื่อเช้าก็ไม่เห็นมึงโกรธเลยนี่ ทำไมอยู่ดีๆมาโกรธเอาตอนนี้วะ”

“แล้วทำไมไอ้หัวหน้าห้องกูมันถึงไม่ต้องไปล่ะ” ผมเค้นต่อ

“ก็แกนรุ่นเค้าขออาสาสมัคร ใครไม่ว่างจะไม่ไปก็ได้” ไอ้นัยตอบ

“นั่นแหละ แล้วทำไมคนที่ไปต้องเป็นมึงด้วยล่ะ” ผมถาม

“ก็แกนเค้าขอให้ช่วยน่ะ” ไอ้นัยพูดเสียงอ่อย คงเริ่มเข้าใจแล้ว “เค้าขออาสาสมัคร ไม่ได้เกณฑ์มา เพราะเท่าที่ผ่านมา บางคนก็มีปัญหาเรื่องกลับบ้านค่ำ เลยขอเฉพาะคนที่พอกลับบ้านค่ำได้”

“นั่นแหละ ทำไมต้องเป็นมึง ทำไมมึงต้องตามใจคนอื่นอยู่เรื่อยเลยวะ ใครจะเอาอะไรก็ตามใจเค้าไปหมด จะกินแรงมึง มึงก็ยังไม่ว่า มันโง่หรือใจดีวะนี่” ผมกระชากเสียงขึ้นมาอย่างเหลืออด ตอนนั้นก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องโกรธมากมายขนาดนั้น

ไอ้นัยเงียบ ก้มหน้านิ่ง หน้าจ๋อยสนิท

ผมเองก็รู้สึกตัวว่าหลุดปากพูดรุนแรงไป ความโกรธที่เก็บสะสมเอาไว้ตลอดทั้งวันทำให้ผมพูดออกมาโดยไม่ยั้งคิด เห็นหน้าจ๋อยของไอ้นัยแล้วก็นึกเสียใจในสิ่งที่ตนเองพูดออกไป คำพูดนั้นคงทำร้ายจิตใจของมันน่าดู แต่มันก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว แต่ครั้นจะขอโทษมัน ผมก็คิดว่าตัวเองไม่ผิด

เราเดินออกมาจากโรงเรียน ตลอดทางที่เดินไป เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย แม้คนจะพลุกพล่าน รถราจะวิ่งวักไขว่ แต่ผมกลับรู้สึกเงียบ... เงียบจนน่ากลัว

“เอ้อ นัย...” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ “ขอโทษนะ กูพูดแรงไปหน่อย” ผมอึกอัก

ไอ้นัยเดินก้มหน้า ไม่ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงมันสูดจมูกฟุดฟิด

“นัย...” ผมเอะใจ โค้งตัวลงไปเพื่อให้เห็นใบหน้าของมัน

ผมเห็นขนตาของไอ้นัยเปียกชุ่ม จมูกแดงๆ... นี่ผมได้ทำอะไรลงไปนี่

“นัย มึงเป็นไรอะ” ผมถามทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจ

ไอ้นัยสั่นหัว ทำจมูกฟุดฟิด ก้มหน้าไม่ยอมเงย

ผมมือไม้ปั่นป่วน ทำอะไรไม่ถูก ผมรู้สึกโกรธขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ไม่ได้โกรธไอ้นัย แต่เป็นโกรธตัวเอง ทั้งโกรธ และทั้งเสียใจ… เสียใจที่ผมปากพล่อยไม่ยั้งคิด ผมทำร้ายคนที่ดีกับผมที่สุดด้วยคำพูดของผมเอง

“นัย...” ผมพูด “กูขอโทษนะ กูไม่ได้ตั้งใจ”

ไอ้นัยยังก้มหน้าเดิน ไม่พูดจา เสียงจมูกฟุดฟิดกลายเป็นเสียงสะอื้น ผมยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่

“ขอโทษนะนัย...” ผมพูดเบาๆ “กูพูดไม่คิด ทำร้ายจิตใจมึง มึงดีกับกูขนาดนี้ กูยังทำเลวๆกับมึงได้ กูเสียใจจริงๆ... ยกโทษให้กูสักครั้งนะ”

ผมล้วงกระเป่าเสื้อนักเรียน หยิบผ้าเช็ดหน้ายู่ยี่ออกมา “อะ สั่งน้ำมูกซะหน่อย”

ไอ้นัยสั่นหัว เสียงสะอื้นเริ่มเบาลง

“นัย...” ผมพูดอีก “พูดอะไรหน่อยเถอะ ขอร้องละ อย่าเงียบอยู่เลย กูใจไม่ดี”

“มึงไม่เคยตะคอกกูมาก่อนเลยนะ” ไอ้นัยพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อ เสียงสะอื้นที่เริ่มเบาลงกลับดังขึ้นมาอีก น้ำตาอาบร่องแก้มเป็นทาง ผมรู้ว่าความผิดของผมครั้งนี้หนักหนายิ่งนัก เพราะขนาดไอ้นัยโดนไอ้ชิดข่มเหงอย่างหนักก็ยังไม่เป็นขนาดนี้ ผมทำร้ายคนที่สนิทกับผมมากที่สุดอย่างไร้ความปรานี

“ขอโทษนะนัย กูเสียใจ กูสัญญาว่าว่าต่อไปจะไม่ทำอย่างนี้อีก” ผมให้สัญญา พร้อมทั้งยกนิ้วก้อยขึ้นมา “สัญญา สัญญา”

ไอ้นัยยังก้มหน้า ไม่พูดอะไร

“มึงไม่รับสัญญาของกูเหรอ” ผมถาม

ไอ้นัยสั่นหัว พยายามกลั้นสะอื้น


<เราเดินออกมาจากโรงเรียน ตลอดทางที่เดินไป เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย แม้คนจะพลุกพล่าน รถราจะวิ่งวักไขว่ แต่ผมกลับรู้สึกเงียบ... เงียบจนน่ากลัว>

Wednesday, February 4, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 56

คุณอาสาละวนอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดบ่าย โดยมีไอ้นัยและผมคอยดูอยู่ใกล้ๆ ใหม่ๆก็ตื่นเต้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ดีอยู่ เพราะหวังจะได้ลองเล่นบ้าง แต่ทำไปทำมาคุณอาลองเล่นไม่เลิกเสียที เราสองคนก็เลยชักไม่ค่อยตื่นเต้นเสียแล้ว ครั้นจะหลบไปอ่านหนังสือโป๊ก็ยังไม่ใช่โอกาสอันเหมาะ ในที่สุด พอตกเย็นก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้าน

“ฝากเอาไว้ก่อน เสาร์หน้าค่อยมาดู” ผมกระซิบบอกไอ้นัย ก่อนที่จะลาคุณอากลับบ้านไป

- - -

“หาอะไรวะชิว” ผมร้องทักชิวในตอนเช้าก่อนเข้าเรียนของวันหนึ่ง ชิวนั่งอยู่ข้างหน้าผมประมาณ ๓ โต๊ะ วันนั้นผมเห็นมันหันรีหันขวางเหมือนกับกำลังหาอะไรอยู่

“กำลังนับเงินอยู่” ชิวหันมาตอบ

“เงินหายเหรอ” ผมถาม พลางลุกจากที่นั่งเดินไปหามัน หวังจะช่วยมันหา

“ฮื่อ” ชิวตอบ “สงสัยจะยังงั้น”

ผมเห็นชิวล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเงินในกระเป๋าตังค์ออกมานับ จากนั้นก็เปิดเป้ที่ใส่หนังสือเรียนออกมา หยิบซองเล็กๆข้างในบรรจุธนบัตรออกมานับ

“มึงเก็บเงินไว้ในเป้ด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ เก็บเงินในกระเป๋าตังค์แล้วยังเก็บเงินในเป้อีก

“ฮื่อ” ชิวตอบ

“ทำไมต้องแบ่งเงินเก็บในเป้ด้วยล่ะ” ผมถาม

“ก็เผื่อว่ากระเป๋าตังค์หายเงินจะได้ไม่หายหมด” ชิวตอบ

“โห รอบคอบจริง” ผมอุทาน ไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนรอบคอบขนาดนี้มาก่อน “มึงพกเงินมาโรงเรียนเยอะเลยเหรอ” ผมถามต่อ

“ก็หลายร้อย มีบัตรเอทีเอ็มด้วย” ชิวตอบ

ผมมองชิวด้วยความทึ่งผสมกับความแปลกใจ ที่แปลกใจคืออยู่ในโรงเรียนวันๆไม่เห็นจะมีที่ใช้เงิน ไม่รู้จะพกมาทำไมตั้งมากมาย ส่วนที่ทึ่งก็คือเรื่องบัตรเอทีเอ็ม ช่วงนั้นเพิ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของยุคเอทีเอ็ม อย่าว่าแต่เด็กเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมีใช้กันไม่มากนัก เด็กที่มีบัตรเอทีเอ็มใช้นี่ถือว่าไม่ธรรมดา

หลังจากซักถามรายละเอียด ก็ทำให้รู้ว่าเงินของชิวที่อยู่ในเป้หายไปหนึ่งร้อยบาท มันค่อนข้างแน่ใจว่าหาย ไม่ใช่หลงลืมหรือว่านับผิด ในเมื่อไม่ใช่กรณีเงินหล่น ผมก็เลยไม่รู้จะช่วยมันหาได้ยังไง

“มันหายไปได้ยังไงวะ” ชิวบ่นพึมพำ

- - -

หลังจากวันที่เอาคอมพิวเตอร์เข้ามาในบ้าน ปรากฏว่าสองอาหลานก็เปิดศึกกันเป็นประจำ ทั้งนี้ เพราะต่างก็จะแย่งกันเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์ ใหม่ๆก็เห่อกันทั้งสองคน ยังดีที่คุณอาผู้หญิงไม่ค่อยสนใจและไม่เห่อด้วย ไม่อย่างนั้นที่บ้านของไอ้นัยคงวุ่นวายกว่านี้

คุณอาพยายามจะหัดใช้เครื่องโดยศึกษาจากคู่มือและตำราที่แถมมากับเครื่อง สมัยนั้นเมื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ก็มักจะแถมตำราแนวเรียนคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองมาให้สามเล่ม เล่มหนึ่งจะเป็นการหัดใช้โปรแกรมเวิร์ด ในยุคนั้นถ้าเป็นโปรแกรมฝรั่งก็จะใช้โปรแกรมเวิร์ดสตาร์ พิมพ์ได้แต่ภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่มักใช้โปรแกรมที่ใช้งานภาษาไทยได้ด้วยมากกว่า ซึ่งที่ดังๆตอนนั้นก็จะเป็นโปรแกรมเวิร์ดสตาร์ที่ดัดแปลงให้ใช้ภาษาไทยได้ ซียูเวิร์ดยังไม่มี ส่วนอีกสองเล่มก็จะเกี่ยวกับสเปรดชีต ในยุคนั้นก็ใช้โปรแกรมโลตัส 1-2-3 ยังไม่มีเอ็กเซล และอีกเล่มก็จะเกี่ยวกับโปรแกรมฐานข้อมูล อันได้แก่คู่มือสอนการใช้โปรแกรมดีเบสสาม

เนื่องจากไอ้นัยไม่ค่อยสนใจเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ดังนั้นมันเห่อคอมพิวเตอร์ได้ไม่นานก็หายเห่อ เพราะไม่รู้ว่าจะเล่นอะไร เด็กวัยรุ่นในวัยผมนั้นแม้จะโตมาในยุคของเกมคอมพิวเตอร์ก็ตาม แต่ก็มีไม่กี่คนที่ติดเกมแบบงอมแงม เพราะส่วนใหญ่ยังมีงานอดิเรกและเรื่องอื่นๆให้สนใจทำอีกมาก ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสมัยนี้ที่สัดส่วนของเด็กที่ติดเกมดูจะมากขึ้น

ในเมื่อไม่ได้เล่นเกม คอมพิวเตอร์ก็ดูจะไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมากนักสำหรับเด็กอย่างไอ้นัย

“เป็นไงบ้าง หัดใช้คอมไปถึงไหนแล้ว” ผมถามไอ้นัยในวันหนึ่ง

“ไม่ไหว” ไอ้นัยทำหน้าเบ้ “คุณอายึดไปแล้ว”

ผมทำเสียงหัวเราะแบบตัวร้ายในหนังทีวี

“กูสงสัยอยู่แล้ว ว่าให้เป็นรางวัลมึง แต่ทำไมเอาไปวางในห้องทำงาน” ผมพูดเยาะเย้ย

“ก็ไม่รู้จะเล่นอะไรเหมือนกันด้วยแหละ มีแต่โปรแกรมเวิร์ด ดีเบส โลตัส ไม่เห็นสนุกเลย” ไอ้นัยบ่น “แต่คุณอาพยายามหัดใช้โปรแกรมเวิร์ดอยู่ เห็นบอกว่าจะได้เอาไว้พิมพ์เอกสารให้ลูกค้า”

ช่วงนั้นเราไม่ได้กลับบ้านด้วยกันทุกวัน เพราะว่าไอ้นัยยังต้องเตรียมจัดงานรับน้องอยู่ ตอนนั่งรถกลับบ้านคนเดียว ผมรู้สึกเหงาอย่างไรพิกล ไม่ค่อยคุ้นกับการที่ไม่มีไอ้นัยอยู่ด้วยเอาเสียเลย

- - -

วันหนึ่ง ในขณะพักเที่ยง ก่อนเข้าเรียนภาคบ่ายเล็กน้อย เมื่อผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ผมก็เห็นชิวและเพื่อนๆนั่งจับกลุ่มสุมหัวคุยกันด้วยท่าทีที่ผิดปกติ สองในจำนวนนั้นได้แก่จิและอ๊อด

“มีอะไรกันเหรอ” ผมเดินเข้าไปสมทบและถามอ๊อด

“เงินไอ้ชิวมันหาย” อ๊อดตอบ

“ตั้งแต่วันก่อนมึงยังหาไม่เลิกอีกเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย

“เปล่าโว้ย นี่มันหายอีกแล้ว” ชิวตอบ

“ถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่ามันน่าจะมีขโมยในห้องเรานะครับ” จิเสนอความเห็นด้วยถ้อยคำอันสุภาพตามนิสัย

“นั่นดิ” ชิวพยักหน้าเห็นด้วย “วันก่อนกูยังไม่แน่ใจว่าเงินหายหรือว่านับผิด แต่วันนี้หายชัวร์เลย”

“หายไปเท่าไรล่ะ” ผมถาม

“ร้อยนึง” ชิวตอบ “มันจิ๊กไปทีละร้อย”

หนึ่งในเพื่อนของเราเป็นขโมย ผมไม่อยากเชื่อเลย ผมไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นเพื่อนกันจะทำอะไรแย่ๆแบบนี้กับเพื่อนได้ลงคอ

“จะบอกอาจารย์ดีไหม” อ๊อดเสนอความเห็น

“บอกไปก็ไม่มีหลักฐานอะไร ผมว่าถ้ามันขโมยมาแล้วหลายครั้ง มันอาจจะทำอีก เราเงียบๆ อย่าเพิ่งโวยวาย แล้วหาทางจับมันดีกว่า” จิเสนอบ้าง

“เออ ดีเหมือนกัน จับได้เอาแม่งส่งตำรวจเลย” ชิวสนใจข้อเสนอของจิ

“ก่อนอื่นนะครับ เราต้องมีบุคคลที่ต้องสงสัยเสียก่อน จะได้มีเป้าหมาย” จิแสดงภูมิออกมา พูดจาเป็นหลักเป็นฐานราวกับผู้ใหญ่ พวกเรานิ่งเงียบ ตั้งอกตั้งใจฟัง

“แล้วใครที่น่าสงสัยบ้างล่ะ” ชิวถาม

“คนที่น่าสงสัย คือคนที่มีแรงจูงใจที่จะขโมย” จิตอบ สงสัยมันจะดูหนังทีวีแนวสืบสวนสอบสวนมามาก เลยจำวิธีการมาใช้ “คนที่มีแรงจูงใจที่จะขโมยก็คือพวกคนที่มีฐานะขัดสน เงินไม่ค่อยพอใช้”

“กูว่ามึงเลิกเก็บเงินในเป้จะไม่ง่ายกว่าเหรอ” ผมขัดคอ

“ก็แล้วใครล่ะ” ชิวซักอีก ไม่สนใจคำพูดของผม

“ผมว่านะ คนหนึ่งที่น่าจะเข้าข่ายก็น่าจะเป็นไอ้ตี๋” จิพูด ตี๋กับจิและผม เคยอยู่ห้องเดียวกันมาก่อน ดังนั้นจิจึงรู้ดีว่าตี๋มีฐานะยากจน แต่ถึงไม่เคยเรียนด้วยกันมาก่อน เพียงแค่เห็นการแต่งตัวของตี๋ก็คงพอคาดเดาฐานะของตี๋ได้

“เออ ใช่ ท่าทางแม่งจนฉิบหาย” ชิวพูด

ผมฟังแล้วอึ้ง ตอนนั้นมีความรู้สึกโกรธ คนเราแยกชั่วดีกันด้วยฐานะอย่างนั้นหรือ ไอ้ตี๋ต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงเพราะว่ามันจน ผมไม่อยากฟังต่อ จึงปลีกตัวออกมา ส่วนคนที่เหลือก็ยังจับกลุ่มหารือกันต่อ

“โห ไม่น่าเชื่อเลย” อ๊อดพูดเมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ หลังจากการหารือกันจบลง

“...” ผมไม่ตอบ ฟังอ๊อดพูดไปเรื่อยๆ กับผมแล้ว อ๊อดพูดเป็นต่อยหอย มีเรื่องอะไรต่ออะไรเล่าให้ผมฟังได้ทั้งวัน

“ไอ้สองตัวนี่มันคงดูหนังนักสืบมากเกินไป เลยเพ้อเจ้อใหญ่” อ๊อดพูดไปหัวเราะไป มันคงหมายถึงชิวและจิ

“แล้วมึงคิดยังไง” ผมถามมันบ้าง

“มันก็คงมีขโมยละนะ แต่ที่ไปสงสัยไอ้ตี๋เพราะว่ามันจนนี่มันทุเรศว่ะ ไอ้ห่า แม่ง” อ๊อดด่าออกมา “อีกหน่อยมันคงสงสัยมึงกับกูด้วยแหละ”

ปีนี้ผมรู้สึกว่าการเรียนของผมสนุกสนานขึ้น ผมว่าเพื่อนที่นั่งติดกันนี่มีส่วนมาก ปีที่แล้ววีกิจนั่งติดกับผม แม้วีกิจจะนิสัยดี แต่นิสัยของเราต่างกันค่อนข้างมาก วีกิจมันจะสนใจดนตรีไทย โขน ละคร ลิเก อะไรของมันไป ซึ่งผมไม่ได้สนใจเลย ดังนั้นเรื่องที่เราจะคุยกันแบบสนุกออกรสจึงมีไม่มากนัก ต่างจากอ๊อดซึ่งดูเหมือนนิสัยเราจะเข้ากันได้ดี อีกทั้งนิสัยบางอย่างก็คล้ายๆกัน ดังนั้นจึงคุยกันได้อย่างถูกคอ

“เชื่อไอ้จิมันเลย” ผมบ่นบ้าง

“มันพวกมันวางแผนจะจับผิดไอ้ตี๋กันแล้วนะ” อ๊อดพูด


<หน้าตาของบัตรเอทีเอ็มในยุคนั้นซึ่งเป็นยุคแรกของเอทีเอ็มในไทย>