Wednesday, July 31, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 75


วันนั้นเราสองคนกลับบ้านด้วยกัน หลังจากที่จุ๋มแยกลงจากรถที่ซอยอารีย์แล้ว ก่อนที่รถ ปอ.๒ จะปิดประตูและออกจากป้าย ผมก็ตัดสินใจลงจากรถตามจุ๋มไป

“อ้าว พี่อู ทำไมลงรถที่นี่ล่ะ” จุ๋มอุทานด้วยความแปลกใจ

“ก็...” ผมอึ้ง ก็ไม่รู้ว่าลงรถมาทำไมเหมือนกัน แต่ก็หาข้ออ้างจนได้ “ดูเหมือนจุ๋มยังคุยไม่จบนี่ เดี๋ยวนี้เรานานๆได้เจอกันสักที คุยกันต่ออีกสักนิดก็ได้ เราเดินไปคุยกันไป”

“เสียเวลาพี่อูน่ะสิ มาฟังจุ๋มบ่นเรื่องไร้สาระ” จุ๋มพูด

“ไม่ไร้สาระหรอก จุ๋มมีเรื่องไม่สบายใจ ได้ระบายออกมาบ้างก็ดี” ผมพูด “เวลาพี่มีเรื่องไม่สบายใจก็อยากมีใครระบายด้วยเหมือนกัน”

เราสองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนใกล้ถึงบ้านจุ๋ม จุ๋มก็หยุดเดิน

“ใกล้ถึงแล้ว ส่งแค่นี้ก็พอค่ะพี่อู” จุ๋มพูด

ผมเข้าใจความหมายในคำพูด ผมเองก็ไม่อยากเดินเข้าไปใกล้บ้านของจุ๋มมากกว่านี้ เกรงว่าแม่ของจุ๋มหากอยู่ในบ้านแล้วจะเห็นเข้า

“งั้นพี่กลับก่อนนะ” ผมพูด

“บ๊ายบาย พี่อู” จุ๋มโบกมือและทำท่าล้อเลียนผม

ผมมองจุ๋มด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้ในยามเป็นทุกข์ จุ๋มก็ยังพยายามสร้างรอยยิ้มให้แก่คนที่อยู่รอบข้าง

“บ๊ายบาย จุ๋ม” ผมพูด “พรุ่งนี้เจอกัน”

“พรุ่งนี้?” จุ๋มทำน้ำเสียงสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก พูดกับเพื่อนจนติดปากน่ะ” ผมพูด

-    - -

วันต่อมา

หลังจากเลิกเรียนในตอนบ่าย ผมรอจนถึงประมาณบ่ายสามโมงครึ่งก็เดินออกจากคณะ เดินข้ามสนามหญ้าผืนใหญ่เพื่อไปยังฝั่งตรงข้าม...

เมื่อมาถึงตึกคณะศิลปกรรม ผมก็เดินขึ้นตึกไป การหาตัวจุ๋มนั้นไม่ยาก หากไม่อยู่ในห้องเรียนก็หาตัวเธอได้ที่ห้องพักหรือห้องซ้อมดนตรี วันนั้นผมเห็นจุ๋มซ้อมดนตรีอยู่ในห้องซ้อม ผมจึงเดินลงมารอที่ใต้ตึกโดยที่จุ๋มยังไม่เห็นผม

รออยู่สักพักก็เห็นจุ๋มเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับเพื่อนๆ ม้านั่งที่ผมนั่งอยู่นี้ตั้งอยู่ในทำเลที่นักศึกษาที่เดินออกจากคณะต้องผ่าน

ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยเมื่อเห็นเพื่อนๆของจุ๋ม ที่จริงผมกับเพื่อนๆของจุ๋มนั้นเรียกได้ว่าคุ้นหน้ากันพอสมควร เพราะว่าเคยคุย เคยทักทายกัน แต่ว่าเมื่อวานผมเพิ่งมาหาจุ๋ม วันนี้ก็มาอีก จึงอดรู้สึกตะขิดตะขวงไม่ได้

แต่ดูเหมือนเพื่อนๆของจุ๋มจะรู้หน้าที่ดีพอสมควร เพราะเมื่อเห็นผม พวกเพื่อนๆก็เดินแยกออกไป ผมนั่งรออยู่จนจุ๋มเดินเข้ามาใกล้

“พี่อู หวัดดีค่ะ” จุ๋มทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจ “วันนี้มาได้ไง”

“พี่ก็เดินมาเหมือนทุกทีนั่นแหละ” ผมตอบ

“งั้นพี่อูนั่งตามสบายนะ จุ๋มไปละ” จุ๋มพูด

“เดี๋ยวก่อน ทำงั้นได้ไง” ผมรีบลุกจากที่นั่ง “พี่กลับด้วยสิ”

“พี่อูมาหาจุ๋มมีอะไรเหรอ จะยืมเงินหรือเปล่า” จุ๋มถามอีก พร้อมกับหัวเราะ

“คิดแต่ละเรื่องนี่สร้างสรรค์จริงๆนะ” ผมเหน็บ

“อ้าว ก็จุ๋มสงสัยนี่” จุ๋มหัวเราะ เมื่อวานไม่เห็นจุ๋มหัวเราะเลย แต่วันนี้ก็หัวเราะจนได้

“ก็ไม่มีอะไร พอดีพี่เลิกเรียนแล้วจะกลับบ้าน ก็เลยมาดูว่าจุ๋มเลิกหรือยัง เผื่อว่าจะได้กลับด้วยกัน” ผมอธิบาย

“อ้อ พี่อูกลับบ้านเองไม่ได้” จุ๋มหัวเราะอีก

“ช่าย ก็ทำนองนั้น” ผมเออออ “กลัวหลงทาง ต้องให้จุ๋มไปส่งพี่สักช่วงหนึ่ง”

“พี่อูมารอจุ๋มนานหรือยังเนี่ย” จุ๋มยังไม่หายสงสัย

“เดี๋ยวเดียวเอง” ผมตอบ “จุ๋มจะกลับหรือยังล่ะ”

“กำลังจะกลับนี่แหละพี่อู ช่วงนี้ต้องรีบกลับไวหน่อย” จุ๋มพูด

“พี่ก็เห็นจุ๋มกลับไวทุกช่วงเลย ไม่ใช่เฉพาะแต่ช่วงนี้” ผมแซว

“แหม พี่อูก็... ก็ที่บ้านจุ๋มยุ่งๆนี่ จะไปไหนได้ล่ะ” จุ๋มถอนหายใจ “จะไปไหนก็ต้องคอยเป็นห่วง”

“จ้า... พี่ไม่ได้ว่าอะไร พี่ก็รู้ว่าจุ๋มเหนื่อย” ผมพูด พลางอดสะท้อนใจไม่ได้ จุ๋มเหมือนกับทำชีวิตหล่นหายไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว วัยมหาวิทยาลัยแทนที่จะเป็นวัยที่สดใส สำหรับจุ๋มมีแต่ความเหนื่อยยาก “ไป เราเดินกันไปคุยกันไปดีกว่า”

วันนั้นเราขึ้นรถกลับด้วยกัน พอไปถึงซอยอารีย์ ผมก็ลงจากรถตามจุ๋มไปด้วย

“อุ๊ย พี่อู ลงมาทำไม” จุ๋มอุทานอย่างแปลกใจขณะที่เราลงจากรถเรียบร้อยแล้ว

“สุภาษิตจีนบอกว่า ส่งพระต้องควรส่งให้ถึงกุฏิ ส่งแม่ชีควรส่งให้ถึงอาศรม” ผมมั่ว

“จุ๋มไม่ใช่แม่ชี แล้วจุ๋มก็ไม่ได้พักในอาศรมด้วย” จุ๋มหัวเราะ

“แน่ะ หัวเราะแล้ว” ผมหัวเราะด้วยเช่นกัน “พี่ก็มั่วเอาน่ะ เอาเป็นว่าพี่อยากเดินไปส่งจุ๋มในซอยด้วยละกัน”

“งั้นก็ตามใจ” จุ๋มพูด “แต่ระวังแม่เห็นก็แล้วกัน”

“ถึงเห็นก็คงไม่เป็นไรมั้ง” ผมปากแข็ง แต่ก็รู้สึกหวั่นๆเหมือนกันหากต้องเจอแม่ของจุ๋มเข้าจริงๆ เพราะเท่าที่ได้ฟังมา แม่จุ๋มก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

วันนั้นผมเดินไปส่งจุ๋มจนถึงซอยย่อย ที่เดิมที่เดินไปส่งเมื่อวันก่อน จากนั้นก็กลับ

“ขากลับเดินดีๆ ระวังหมากัดนะ” จุ๋มเตือน แต่น้ำเสียงของจุ๋มปนเสียงหัวเราะ “ระวังเดินสะดุดตกท่อด้วย”

“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” ผมพูดประชด “ที่เตือนแต่ละอย่างนี่มีโอกาสเป็นไปได้มากเลย”

“ก็พี่อูซุ่มซ่ามนี่ จุ๋มก็เลยต้องเตือน” จุ๋มหัวเราะอีก “กับคนอื่นคงไม่ต้องเตือนหรอก”

“เออ ใส่ไฟเข้าไป” ผมหัวเราะขำไปด้วย

-    - -

หลายวันต่อมา... ที่ห้องชมรม

ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นในชมรมในช่วงพักเที่ยง ไอ้กี้ก็เดินเข้ามาในห้อง ปีนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ต่างคนต่างก็เรียนกันคนละแผนก ไม่มีวิชาที่เรียนด้วยกันเลย จะได้เจอกันก็ในโรงอาหารหรือไม่ก็ในชมรม ซึ่งเราทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้มาที่ชมรมทุกวันเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นจึงเจอกันน้อยลง แต่ความเป็นคู่กัดนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยอู มึงเดินไปทำอะไรที่ตึกศิลปกรรมบ่อยๆวะ” เมื่อไอ้กี้เห็นหน้าผมก็ถามเสียงดังทันที

คนอื่นๆในชมรมสนใจขึ้นมาทันที

“มีเรื่องยังงี้ด้วยเหรอ ไอ้อูต้องมีความลับอะไรที่นั่นแน่ๆ” พี่ตั้วรีบผสมโรงทันที

“มึงรู้ได้ไงว่ากูเดินไปที่ตึกศิลปกรรมวะ” ผมงง เพราะตึกนี้อยู่คนละฟากกับคณะที่เราเรียนอยู่ แม้ว่าไอ้กี้จะเห็นผมเดินออกจากคณะ แต่มันก็ไม่มีทางรู้ว่าผมไปที่ไหน

“ก็เมื่อวานกูสะกดรอยมึงไปน่ะสิ” ไอ้กี้หัวเราะจนตาเหลือเพียงเส้นเดียว

“เฮ้ย ไอ้อู มีอะไรที่นั่นวะ” พี่ตั้วรีบถามทันที

“แล้วมึงสะกดรอยกูไปทำห่าอะไร ว่างนักหรือมึง” ผมตกใจนิดหน่อย ไม่นึกว่าจะมีคนสนใจจนต้องสะกดรอยตาม

“ก็ไม่ได้ว่างหรอก แต่กูเห็นมึงเดินข้ามฝั่งไปด้านโน้นในตอนบ่ายเกือบทุกวัน กูก็สงสัยน่ะสิ”  ไอ้กี้หัวเราะอีก

“ยังงี้ไม่ได้เรียกว่าสงสัย แต่เรียกว่า...” ผมพูดแล้วหยุด

“เสือก...” พี่ตั้วต่อให้

ผมพยักหน้า

“ใช่เลยพี่”

“แล้วไอ้อูไปทำอะไรที่นั่นวะไอ้กี้” พี่ตั้วทำหน้าตาย หันไปถามไอ้กี้

“เฮ้ย พี่” ผมพูด “พี่เพิ่งว่าไอ้กี้ไปหยกๆ...”

“เออ พี่ก็อยากรู้เหมือนกันโว้ย” พี่ตั้วหัวเราะ

ไอ้กี้ไม่ตอบ แต่บุ้ยใบ้มาทางผม

“ให้มันสารภาพเองดีกว่า”

“ไอ้เวร กูไม่ได้ทำอะไรผิด มีอะไรต้องสารภาพ” ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

“อ๋อ ช่ายยยย ความรักไม่ใช่ความผิดอยู่แล้ว” ไอ้กี้เก๊กหน้า ทำเสียงหล่อ ให้เหมือน ดร.เซนเบ้ ดูแล้วน่าเตะมาก

“นี่ไอ้อูไปจีบสาวถึงคณะอันไกลโพ้นเลยหรือนี่” พี่ตั้วทำเสียงแปลกใจ “มิน่าล่ะ หมู่นี้ถึงไม่ค่อยได้ขึ้นชมรม”

“พี่ตั้วก็สำนวนเว่อเหลือเกิน จีบสาวถึงคณะอันไกลโพ้น” ไอ้กี้หัวเราะ “สมศักดิ์ ภักดี อายเลย”

พี่ตั้วกับไอ้กี้หยอกเย้ากันไปมา แต่สุดท้ายก็พุ่งเป้ามาที่ผม

“ไม่มีอะไรหรอก พี่รหัสกูอยู่คณะศิลปกรรม” ผมอธิบาย

“อ้อ ชอบสาวที่มีอายุมากกว่า” พี่ตั้วขยายความไปอีกด้วยคำพูดที่น่าเตะ

“บอกว่าชอบรุ่นพี่ก็ได้พี่ตั้ว” ไอ้กี้ขัดคอด้วยเสียงเก๊กหล่อแบบ ดร.เซนเบ้

ทั้งสองพยายามซักไซร้เพื่อเอาความจริงจากผม แต่ผมก็เฉไฉไปเรื่อย จนในที่สุด ทั้งสองคนก็เลิกราไปเอง

“ไม่เป็นไรพี่ตั้ว” ไอ้กี้ปลอบใจรุ่นพี่ “วันหลังผมสะกดรอยใหม่ คราวนี้เอาให้รู้เลยว่าเดินกับใคร”

“สืบให้รู้ถึงบ้านช่องห้องหอ วันเดือนปีเกิดเลยนะกี้” พี่ตั้วสนับสนุน

“เว่ออีกแล้วพี่” ไอ้กี้หัวเราะ

“มึงกับพี่ตั้วอยากรู้ไปทำไมวะ แปลกจริง” ผมว่ามัน

“มึงต่างหากที่แปลก จะมีแฟนก็ไม่เห็นต้องปิดบังอะไร นี่เฉไปเฉมาอยู่นั่นแหละ” ไอ้กี้ย้อน

เรื่องราวในวันนั้นจบลงอย่างที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พี่ตั้วกับไอ้กี้แม้จะพยายามหลอกล่อถาม แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากผมเลย

-    - -

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็เข้าหูเพื่อนๆในแผนก ไม่รู้ว่าไปได้ยังไงเหมือนกัน

วันนั้นผมเข้าเรียนสายไปเล็กน้อย วิชานั้นเป็นวิชาแรกของวัน เริ่มเรียน 8 โมงเช้า อาจารย์เริ่มสอนตรงเวลาเป๊ะ ผมมาสายไป 5 ที

เรื่องมาสายไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ เมื่อผมเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ พิมพ์ เพื่อนสนิทของผมก็หันมาทักทาย

“เป็นไง ไปส่งสาวเพิ่งเสร็จเหรอ” พิมพ์พูด

“สาวอะไรที่ไหน” ผมงง

“ก็สาวคณะศิลปกรรมไง” พิมพ์พูดหน้าตาเฉย

“เฮ้ย รู้ได้ไง” ผมอุทานอย่างแปลกใจ

“นั่นแน่ พูดแบบนี้แสดงว่าจริง” พิมพ์หัวเราะ

หลังจากจบวิชานั้น เพื่อนๆต่างก็มารุมซักผมถึงเรื่องสาวต่างคณะของผม

“เจ้าอูนี่แอบควงสาวเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากเลยนะ” พิมพ์พูดกับเพื่อนๆ “เห็นมันเดินไปไหนมาไหนคนเดียว นึกว่าเป็นโสด ที่แท้ไปควงสาวต่างคณะ”

“ไปเอาข่าวลือที่ไหนมา” ผมเลียบๆเคียงๆ อยากรู้ว่าพิมพ์ได้ข่าวมาจากไหน แต่ผมเดาว่าต้องมาจากไอ้กี้

“รู้ก็แล้วกันน่า” พิมพ์ไม่บอกแหล่งข่าว “ไม่ใช่ข่าวลือด้วย ข่าวจริง”

“อ๋อ คนนั้นน่ะเหรอ” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด

“คนไหน” ผมถาม

“คนที่เธอยืนคุยที่ป้ายตลาดสามย่านใช่ไหม เห็นเธอกับคนนั้นหลายครั้งแล้ว ว่าแล้วต้องเป็นเด็กคณะอื่น เพราะว่าไม่คุ้นหน้าเลย” เพื่อนตอบ

ที่แท้ก็มีคนเห็นผมกับจุ๋มที่ป้ายรถเมล์ด้วย ความลับไม่มีในโลกจริงๆ

“ก็คุยกันธรรมดา รอรถเมล์ป้ายเดียวกันก็คุยกัน” ผมบ่ายเบี่ยง



“ตกลงว่าเธอมีแฟนแล้วเหรออู” เพื่อนอีกคนถามตรงๆ

“...”

“ว่าไง”

“นี่ไม่มีเรื่องอื่นคุยกันแล้วหรือไง ไม่เอาแล้ว คุยเรื่องอื่นดีกว่า” ผมจบการสนทนาเอาดื้อๆ

“ไอ้อูนี่ก็แปลก เรื่องแค่นี้ ใช่หรือไม่ใช่ มีหรือไม่มี เพื่อนถามก็ตอบก็หมดเรื่อง” พิมพ์บ่น “จะมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชั้นปีเรามีตั้งไม่รู้กี่สิบคู่แล้ว ทำไมแกจะต้องปิดบังเพื่อนด้วย เพื่อนๆก็แค่อยากเอาใจช่วยเท่านั้นเอง ทีเรื่องของชั้นกับพี่อี๊ดยังไม่เห็นต้องปิดบังอะไรเลย”

หลังจากนั้น พวกเราก็เรียนวิชาต่อไปกันตามปกติ เพื่อนๆก็ยังมีแซวผมเรื่องสาวต่างคณะอยู่ แต่ก็เหมือนกับที่ชมรม นั่นคือ เป็นการแซวเอาสนุกมากกว่า เพราะว่าเรื่องการมีแฟนไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรสำหรับชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยดังที่พิมพ์ว่า

แม้ว่าจะเรื่องนี้จะเป็นเพียงการแซวในหมู่เพื่อนฝูง แต่สำหรับผม มันกลับทำให้ผมรู้สึกขุ่นข้องและสับสนในใจ

เย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน ผมรู้สึกเคว้งนิดหน่อย ผมไม่ได้กลับบ้านกับจุ๋ม รวมทั้งยังไม่ได้ไปรอรถที่หน้าตลาดสามย่านอีกด้วยเพราะกลัวว่าจะเจอจุ๋ม

ยังไม่กลับบ้านดีกว่า ผมอยากหาสถานที่นั่งคิดอะไรสักหน่อย ไปไหนดีหว่า

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าไปนั่งเล่นที่สวนลุม

-    - -

ที่สวนลุม

สวนลุมในยามเย็นคึกคัก มีคนมาออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก ผมเดินอยู่สักพักก็ไปได้มุมสงบเป็นม้าหินที่ริมบึง

ผมซื้อขนมปังเลี้ยงปลามาถุงหนึ่ง โยนขนมปังเลี้ยงปลาไปช้า สายตาจ้องอยู่ที่ผิวน้ำ ดูปลาที่แย่งกันกินขนมปัง แต่ใจของผมเตลิดเปิดเปิงไปที่ไหนก็ไม่รู้

ผมไม่ได้มาที่สวนลุมนี้นานแล้ว เมื่อมาที่สวนลุม เห็นหนุ่มสาวนั่งเป็นคู่ๆที่ริมบึง ทำให้อดนึกถึงไอ้บอยไม่ได้ เมื่อก่อนผมกับบอยก็มานั่งเล่นที่สวนลุมด้วยกัน หลายปีผ่านไป จะว่านานก็เหมือนนาน จะว่าเร็วก็เหมือนเร็ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้บอยเป็นยังไงบ้าง...

ผมโยนขนมปังเลี้ยงปลาไปทีละชิ้น อย่างช้าๆ ที่ว่าจะมานั่งที่สวนลุมเพื่อใช้ความคิด พอมาถึงจริงๆกลับคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรเหมือนกัน...

จะคิดเรื่องอะไรดีล่ะ...

ภาพบอยลอยเข้ามาในห้วงความคิด... จากนั้นก็เป็นป้อม... จากนั้นก็เป็น... ไม่เอา ไม่คิด ไม่คิด...

จะมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชั้นปีเรามีตั้งไม่รู้กี่สิบคู่แล้ว ทำไมแกจะต้องปิดบังเพื่อนด้วย เพื่อนๆก็แค่อยากเอาใจช่วยเท่านั้นเอง...

คำพูดของพิมพ์ยังก้องอยู่ในหูของผม ที่ผมไม่ตอบเพื่อนๆ ไม่ใช่เพราะว่าต้องการปิดบัง แต่เพราะว่าไม่รู้จะบอกว่ายังไงต่างหาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดอะไรกับจุ๋ม รู้เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่ผมมีกับจุ๋มนั้นแตกต่างกับที่เคยรู้สึกกับเพ็ญ

กับเพ็ญนั้น ผมมีแต่ความเป็นเพื่อน แต่สำหรับจุ๋ม ผมรู้สึกสงสาร เป็นห่วง รู้สึกอยากดูแล อยากช่วยแบ่งเบาความทุกข์... มันเป็นความรู้สึกที่แปลกที่ไม่เคยเกิดกับผู้หญิงคนใดมาก่อน

คำเตือนของอาจารย์ประจำชั้นสมัย ม.๑ วูบเข้ามาในห้วงความคิด กาลเวลาในช่วงหลายปีมานี้ได้พิสูจน์คำพูดของอาจารย์ว่าเป็นความจริง ความรักที่เบี่ยงเบนนั้นไม่มีที่ยืนในสังคม มันมีแต่ความเจ็บปวด ไอ้นัย บอย ป้อม นับเป็นตัวอย่างที่เกินพอสำหรับผม...

สุดท้าย เงาร่างของไอ้นัยก็เข้ามาในห้วงความคิดของผม ผมเคยอธิษฐานบอกกับมันว่าผมจะเก็บความฝันของเราเอาไว้ที่ปลายฟ้า และจะไม่หวนกลับไปเอามาอีก เพราะว่าผมจะไม่เดินบนเส้นทางสายนี้อีกต่อไป แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเหมือนกับตัดไม่ขาดเสียที

หรือว่านี่เป็นโอกาสของผมแล้ว... โอกาสที่ผมจะมีชีวิตเฉกเช่นคนปกติ...

Sunday, June 30, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 74


“พี่อู นี่จุ๋มเอง” เสียงตอบมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง

“จุ๋ม เป็นไงบ้าง” ผมทักทายด้วยความแปลกใจ “รู้เบอร์พี่ได้ไง”

“พี่อู ที่บ้านจุ๋มมีเรื่อง” เสียงจุ๋มพูดอย่างร้อนรน “จุ๋มไม่รู้จะทำไงดี เลยโทรไปหาพี่อูที่หอ คนที่หอเลยให้เบอร์นี้มา พี่อู... จุ๋มกลัว”

สุดท้ายเสียงของจุ๋มกลายเป็นสั่นเครือและขาดช่วง

“จุ๋ม ที่บ้านมีเรื่องอะไร” ผมรีบถาม รู้สึกตกใจกับคำพูดของจุ๋ม

“จี๊ดมันทำร้ายพ่อ จุ๋มห้ามมันก็ไม่ฟัง แม่ก็ไม่อยู่...” สุดท้ายเสียงของจุ๋มจากสั่นเครือกลายเป็นสะอื้น

“จุ๋ม ใจเย็นๆก่อน” ผมพยายามปลอบจุ๋มให้สงบลง แม้ว่าผมเองจะร้อนใจก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ผมต้องพยายามมีสติ ถ้าขาดสติไปด้วยอีกคนก็คงช่วยอะไรจุ๋มไม่ได้ “ทำร้ายยังไง แล้วหยุดหรือยัง”

“ก็... ด่า ผลักพ่อ ตีพ่อ” จุ๋มพูดพลางปล่อยโฮออกมา “มันเหมือนคนบ้า จุ๋มกลัว”

จี๊ดคือชื่อของน้องชายจุ๋ม เรื่องน้องชายของจุ๋มผมเคยรับรู้มาบ้างแล้ว ว่าเป็นเด็กมีปัญหา ถูกกดดันทั้งจากความจุกจิกเจ้าระเบียบของแม่ และสภาพอาการป่วยไข้ของพ่อ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน้องชายของจุ๋มจึงได้ระเบิดโทสะออกมาขนาดนี้ แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาซักไซร้รายละเอียดทั้งหมด

“ตีรุนแรงไหม ใช้อะไรตี” ผมถามอีก “แล้วหยุดหรือยัง”

“ใช้มือตี... ไม่ได้ใช้อาวุธ ก็แรงเหมือนกัน” จุ๋มสะอื้น “มันตีๆหยุดๆ ตอนนี้หยุดไปแล้ว แต่จุ๋มกลัวมันทำร้ายพ่ออีก”

ผมพยายามใช้ความคิด ปกติผู้ชายถ้าโมโหมากๆก็จะต่อยด้วยกำปั้น แต่นี่น้องชายของจุ๋มตีด้วยมือ แสดงว่ายังมีมโนธรรมและสติเหลืออยู่... ทำไงดีหว่า...

“จุ๋ม พยายามกันจี๊ดออกไปจากพ่อก่อนก็แล้วกัน ถ้าอยู่คนละห้องกัน มันคงสงบสติอารมณ์ได้” ผมพูด “แล้วพี่จะไปหาจุ๋มเดี๋ยวนี้เลย บ้านของจุ๋มจากปากซอยอารีย์แล้วเข้าไปยังไง”

ผมแนะนำจากประสบการณ์ของผมเอง เวลาทะเลาะกับพ่อ แม่มักไล่ให้ผมไปอยู่ห้องอื่น เมื่อพ่อไม่เห็นหน้าผม สักพักก็จะหยุดด่าไปเอง นอกนั้นก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรแล้ว

จุ๋มบอกบ้านเลขที่ ชื่อซอยย่อย และตำแหน่งของบ้านให้ผมรู้ แม้ว่าผมจะกลับบ้านกับจุ๋มหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็รู้เพียงแค่ว่าจุ๋มลงรถที่ปากซอยอารีย์ ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านจุ๋มนั้นเข้าไปอย่างไร

ผมวางสายและรีบแต่งตัว ผมตัดสินใจไปหาจุ๋มทันที ไปแล้วจะช้าเกินการณ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าที่ผมอยู่ที่บ้านเฉยๆ

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมปิดบ้านเรียบร้อย จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปยังปากซอยอย่างไม่คิดชีวิต ผมวิ่งรวดเดียวจากบ้านจนถึงปากซอยภาวนาท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมบนเสาไฟฟ้าในซอย จากนั้นก็ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม แต่วิ่งสุดชีวิตแบบนี้ก็ยังใช้เวลากว่าห้านาทีกว่าที่จะมาถึงปากซอยได้ เมื่อข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้ก็หอบจนตัวโยน

ผมเรียกแท็กซี่ บอกจุดหมายปลายทาง พูดไปก็หอบไป จากนั้นรีบขึ้นรถโดยไม่ต่อราคา

“เร็วที่สุดเลยครับพี่” ผมยังไม่หยุดหอบ เหนื่อยที่สุดในชีวิต “มีเรื่องด่วน...”

ยามดึก การจราจรในถนนลาดพร้าวและพหลโยธินค่อนข้างโล่ง ต่างจากในปัจจุบันที่ลาดพร้าวรถติดเกือบตลอด ๒๔ ชั่วโมง รถแท็กซี่ขับอย่างตีนผี ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงซอยอารีย์

รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าซอย และไปแยกเข้าซอยย่อย โชคยังดีที่ซอยย่อยบ้านจุ๋มนั้นหาไม่ยาก ในยุคนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ การโทรกลับไปถามทางอีกครั้งเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะต้องหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ

หลังจากหาซอยย่อยพบแล้วพี่คนขับและผมก็คลำทางต่อ และหาบ้านเลขที่ที่ต้องการจนพบในที่สุด

ผมรีบชำระเงินและลงจากรถ จากนั้นก็ยืนด้อมๆมองๆอยู่ที่หน้าบ้านของจุ๋มโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะกดออดก็ไม่เกรงจะไม่เหมาะ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างไร จึงได้แต่ชะเง้อคอมองจากหน้าประตูใหญ่

บ้านของจุ๋มมีขนาดใหญ่ พื้นที่รอบตัวบ้านนั้นกว้างขวาง ตัวบ้านอยู่ลึกเข้าไปข้างใน ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าและถนนเชื่อมไปยังตัวบ้านและโรงรถ เห็นภายในบ้านของจุ๋มสงบเงียบ ชั้นล่างเปิดไฟสว่างเพียงบางส่วน แต่ไม่เห็นใครเลย รวมทั้งไม่มีเสียงเอะอะด้วย

เอาไงดีหว่า ผมคิด หลังจากที่ยืนชะเง้ออยู่สักครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าจะกดออกเรียกจุ๋ม

ขณะที่กำลังจะกดออดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีแสงไฟจากรถยนต์ที่เข้ามาในซอยส่องมาที่ผม ผมเหลียวไปมอง รถยนต์คันนั้นขับเข้าใกล้มาอย่างรวดเร็ว แสงไฟหน้ารถส่องจ้าและพลิกไฟสูงใส่ผมจนแสบตา จากนั้นรถก็มาจอดที่หน้าบ้าน...

“นั่นใครน่ะ มายืนด้อมๆมองๆหน้าบ้านชั้นทำไม ถ้าไม่ไปชั้นจะเรียกตำรวจนะ” เสียงหญิงวัยกลางคนแผดเสียงปรี๊ดออกมาจากในรถโดยที่ตัวคนขับยังไม่ลงมา รถจอดอยู่ห่างจากผมพอควร แต่เสียงนั้นชัดเจนราวกับว่าพูดอยู่ข้างๆหูผม เพียงเท่านี้ผมก็เดาได้แล้วว่าหญิงในรถต้องเป็นแม่ของจุ๋มนั่นเอง

ผมรีบเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะบอกว่ามีเรื่องวุ่นวายในบ้าน แต่เพียงแค่เดินไปได้สองสามก้าว แม่ของจุ๋มก็ตวาดมาอีก

“หยุด อย่าเข้ามานะ”

สงสัยว่าใบหน้าของผมคงไม่ค่อยน่าไว้วางใจ แม่ของจุ๋มจึงไม่ยอมให้เข้าใกล้

“ผมเป็นรุ่นพี่ของจุ๋มครับคุณอา” ผมตะโกนบอกเธอ “จุ๋มโทรมาบอกว่าที่บ้านเกิดเรื่องและคุณอาไม่อยู่ ไม่รู้จะทำยังไงดี ผมเลยรีบมาหา”

“เรื่องอะไร ที่บ้านมีเรื่องอะไร” แม่ของจุ๋มเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ตอนนี้เองผมจึงเห็นหน้าแม่ของจุ๋มได้ชัด เธอเป็นหญิงในวัยกลางคน อายุน่าจะราวๆ ๔๕ ถึง ๕๐ ปี จุ๋มกับแม่มีเค้าหน้าที่คล้ายคลึงกัน หากจะพูดกันตามตรง ผมว่าแม่ของจุ๋มเมื่อตอนสาวๆคงสวยกว่าจุ๋มเสียอีก เสียแต่ว่าแม่ของจุ๋มนั้นมีบุคลิกที่ไม่ค่อยน่าใกล้ชิดนัก สายตาของเธอดูเหมือนจะเปล่งรังสีอำมหิตอยู่ตลอดเวลาจนทำให้รู้สึกไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าเชื่อว่าแม่ลูกกันแต่บุคลิกแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณอารีบเข้าไปดูก่อนดีกว่าครับ” ผมรีบพูด ไม่กล้าบอกว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน พูดน้อยเอาไว้ก่อนดีกว่า

แม่ของจุ๋มล็อครถ พลางมองผมอย่างระแวง จากนั้นรีบเข้าไปในบ้าน แม่ของจุ๋มคงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่ประมาท จึงจอดรถเอาไว้ข้างนอกก่อนและรีบเข้าบ้านไป

หลังจากที่แม่ของจุ๋มเดินเข้าไปในบ้าน เสียงเอะอะโวยวายด่าทอก็ดังขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเสียงของแม่จุ๋ม และสลับด้วยเสียงผู้ชาย

เออะกันได้สักครู่ ผมก็เห็นจุ๋มวิ่งออกมาจากในบ้าน กิริยาท่าทางของจุ๋มทำให้ผมรู้ว่าจุ๋มแอบออกมา สีหน้าของจุ๋มบอกบ่งความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

“ในบ้านเป็นไงบ้าง” ผมรีบถาม รู้สึกสงสารจุ๋มมาก

“เกือบแย่ โชคดีที่แม่มา” จุ๋มพูด “จี๊ดไม่กล้าทำอะไรพ่อแล้ว ตอนนี้กำลังทะเลาะกับแม่อยู่”

“ได้ยินเสียงเหมือนกัน ทะเลาะกันแรง แล้วจี๊ดกับแม่...” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“มันบ้ายังไงก็คงไม่กล้าทำอะไรแม่หรอก” จุ๋มพูด แล้วหยุดนิดหนึ่ง “พี่อูกลับไปก่อนก็ได้ แม่มาก็ไม่มีอะไรแล้ว แล้วมีโอกาสจุ๋มจะเล่ารายละเอียดให้พี่ฟังอีกที”

“แน่ใจนะว่าสถานการณ์เรียบร้อย...” ผมพูดอย่างลังเล

“ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ” จุ๋มตอบ “ขอบคุณพี่อูมากที่อุตส่าห์มา เดี๋ยวจุ๋มต้องกลับเข้าบ้านแล้วล่ะ แล้วค่อยคุยกันอีกที”

“เอายังงั้นก็ได้ ถ้ายังงั้นพี่กลับก่อน” ผมพูด

“ขอบคุณมากนะคะพี่อู” จุ๋มขอบคุณอีก มองผมและทำท่าเหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ไม่พูด รีบกลับเข้าไปในบ้าน

ผมเดินห่างออกมาจากบ้านของจุ๋ม แม้ยังรู้สึกไม่วางใจนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

การเดินทางขากลับทุลักทุเลพอสมควร ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า บรรยากาศในซอยบ้านของจุ๋มเงียบสงัด ไม่มีรถเข้าออกสักคัน เมื่อเดินออกมาถนนเมนของซอยอารีย์จึงจะพอเห็นรถเข้าออกบ้าง แต่ก็ไม่มีแท็กซี่ว่างสักคัน ผมจึงต้องเดินไปเรื่อยๆ เดินไปก็เสียวไป เพราะไม่รู้ว่าจะโดนจี้หรือโดนตีหัวหรือไม่

ผมเดินอยู่พักใหญ่ มาเรียกรถแท็กซี่ได้ก็ตอนที่เดินใกล้จะถึงถนนพหลโยธินแล้ว ที่ตัดสินใจนั่งแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย เพราะว่าในซอยภาวนาส่วนที่ผมพักอาศัยอยู่นั้น ยามดึกก็เปลี่ยวเอาการ เปลี่ยวยิ่งกว่าซอยบ้านจุ๋มเสียอีก กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว

ผมรีบอาบน้ำและเข้านอน เพราะว่าวันรุ่งขึ้นผมเรียนวิชาแรกตั้งแต่แปดโมง ยุ่งวุ่นวายมาค่อนคืน รู้สึกเหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเข้านอนจริงๆกลับนอนไม่หลับ ในสมองคิดโน่นคิดนี่ไปวุ่นวาย โดยเฉพาะเรื่องที่บ้านของจุ๋ม วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องชายของจุ๋มจึงสติแตกจนทำร้ายพ่อ หลังจากที่แม่ของจุ๋มกลับมาแล้วเกิดอะไรขึ้นอีก คำถามต่างๆวนเวียนอยู่ในสมองเต็มไปหมด ผมคิดวนเวียนไปมา จนในที่สุด ผมก็ผลอยหลับไป

-    - -

วันต่อมา หลังจากที่ผมเลิกเรียนในตอนบ่าย ผมก็รีบเดินไปหาจุ๋มที่คณะทันที ตอนที่ผมไปหาจุ๋มนั้น จุ๋มยังไม่เลิกเรียน ผมจึงต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะหมดคาบ

เมื่อผมเห็นจุ๋มเดินออกมาจากห้องเรียน ผมก็เดินเข้าไปหาทันที

“จุ๋ม เป็นไงบ้าง” ผมทักทาย สังเกตว่าวันนี้จุ๋มมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก แตกต่างจากยามปกติที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ

“พี่อู นึกแล้วว่าวันนี้พี่ต้องมาหา” จุ๋มพยายามฝืนยิ้ม

“ใช่สิ พี่อดเป็นห่วงจุ๋มไม่ได้ เลยต้องแวะมาดู” ผมตอบ “พี่จะนั่งรออยู่ที่ร้านน้ำใต้ตึก จุ๋มเสร็จแล้วก็ลงไปหาก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะพี่อู เดี๋ยวจุ๋มเสร็จจากบนนี้แล้วจะรีบลงไป” จุ๋มตอบ “อยากคุยกับพี่อูอยู่เหมือนกัน”

ผมนั่งรออยู่ที่ร้านขายน้ำใต้ตึกเป็นเวลานาน ในที่สุด ก็เห็นจุ๋มเดินมา เนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว และจุ๋มต้องรีบกลับบ้าน เราจึงเดินคุยกันไปเรื่อยๆ

“พี่อู ขอบคุณมากนะที่เมื่อวานไปช่วยจุ๋ม จุ๋มไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริงๆ” จุ๋มพูด

“แล้วเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องจุ๋มถึงได้...” ผมถาม

“ก็เมื่อวานตอนหัวค่ำ จี๊ดมันดูแลพ่อ ให้พ่อกินอาหาร กินยา และเช็ดตัว หัลงจากที่เช็ดตัวและเปลี่ยนชุดนอนให้พ่อเสร็จ จากนั้นพ่อก็นอน” จุ๋มเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน  “พอจี๊ดเห็นพ่อนอน ก็เลยไปอาบน้ำ พอมันอาบน้ำเสร็จและลงไปที่ห้องพ่ออีกครั้งเท่านั้นแหละ ได้เรื่องเลย”

“เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม

“พ่อละเลงอึน่ะสิ เลอะไปหมดทั้งห้องเลย” จุ๋มถอนหายใจ “พอจี๊ดมันลงมาเห็นเข้าเท่านั้นก็สติแตก มันเอะอะโวยวายลั่น จุ๋มเห็นมันเครียดก็เข้าไปช่วย บอกให้มันไปพัก จุ๋มจะจัดการเช็ดตัวและทำความสะอาดห้องให้เอง มันก็ไม่ยอม บอกว่าจะทำเอง”

ผมฟังจุ๋มเล่าโดยไม่พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ สภาพภายในบ้านของจุ๋มเป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึง เราเดินตัดสนามหญ้าผืนใหญ่หน้าเสาธงพร้อมกับคุยกันไป

“มันเช็ดตัวให้พ่อ เช็ดไปก็ตีพ่อไป ทั้งตี ทั้งโวยวาย จุ๋มพยายามห้ามไม่ให้มันทำพ่อ แต่ก็ห้ามมันไม่ได้ ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ มันน่ากลัวมาก เหมือนคนบ้า จุ๋มไม่เคยเห็นมันเป็นยังงั้นมาก่อน” เมื่อจุ๋มเล่าถึงตอนนี้ก็เริ่มสะอึกสะอื้นออกมาอีก

“ตอนนั้นจุ๋มกลัวมาก กลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป และกลัวว่าจี๊ดมันจะต้องติดคุก ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว แม่ก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร” จุ๋มสะอื้นฮั่ก หยิบกระดาษทิชชู่ออกมาซับน้ำตา แต่ก็ยังไม่หยุดเล่า “ตอนนั้นจุ๋มไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นึกถึงพี่อูขึ้นมาได้ก็เลยรีบโทรไปหา”

ผมรู้ว่าเพื่อนๆไม่รู้เรื่องที่บ้านของจุ๋ม ดังนั้นจุ๋มคงไม่โทรไปปรึกษาเพื่อนหรือเรียกให้เพื่อนช่วย ที่จุ๋มนึกถึงผมก็คงเป็นเพราะผมเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องราวภายในบ้านของจุ๋มนั่นเอง

“พอมันเช็ดตัวให้พ่อเสร็จ มันก็ดูสงบลงบ้าง จุ๋มจึงพยายามพูดให้มันไปพักก่อน ส่วนเรื่องทำความสะอาดห้องจุ๋มจะช่วยทำให้เอง มันก็เลยไปอาบน้ำและขังตัวเองอยู่ในห้องนอน ไม่ยอมออกมา จุ๋มเห็นมันเงียบก็กลุ้มอีก เพราะกลัวว่ามันจะเครียดจนคิดฆ่าตัวตาย ก็พอดีแม่กลับมา และพี่อูก็มาถึงนั่นแหละ” จุ๋มเล่าต่อ

“แล้วหลังจากนั้น...” ผมถาม

“พอแม่มา ก็ยุ่งอีก จุ๋มเล่าเรื่องให้แม่ฟัง แม่ก็ทะเลาะกับน้องอีก เฮ้อ ไม่รู้ว่าจุ๋มคิดถูกหรือเปล่าทีเล่าเรื่องมันตีพ่อให้แม่ฟัง เรื่องก็เลยบานปลายไปอีก” จุ๋มถอนหายใจอีก ไม่รู้ว่าถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว

ผมฟังเรื่องราวของจุ๋มจนมึน มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่สลับซับซ้อน และนึกไม่ถึงมาก่อน มันยุ่งวุ่นวายจนผมไม่รู้จะปลอบใจจุ๋มอย่างไร

“พี่ว่าจุ๋มตัดสินใจถูกแล้วนะ” ผมพูด “แม่จะได้รู้สถานการณ์เอาไว้ จี๊ดตีพ่อได้ครั้งหนึ่ง ก็อาจมีครั้งต่อมาอีก”

ผมก็ได้แต่ปลอบใจไม่ให้จุ๋มคิดมาก ผมอดนึกถึงใบหน้าและแววตาที่มีรังสีอำมหิต พร้อมกับเสียงดังพูดที่แสบหูของแม่จุ๋มไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องชายจุ๋มถึงได้เครียดนักยามอยู่ที่บ้าน

“อ้อ แล้วยังมีอีกนะ” จุ๋มพูด “แม่ยังซักจุ๋มถึงเรื่องพี่อูด้วย”

เอาละสิ งานเข้าแล้วไหมล่ะ

“แม่มาเจอพี่ตอนที่พี่กำลังชะเง้ออยู่ที่หน้าบ้านพอดีเลย คงนึกว่าพี่เป็นขโมย” ผมพูด “แม่ถามว่าไงบ้างล่ะ”

“แม่ก็ถามว่าพี่อูเป็นใคร ทำไมจุ๋มถึงโทรไปเรียกให้พี่มา” จุ๋มเล่า

“แล้วจุ๋มตอบว่าไง” ผมอยากรู้

“จุ๋มก็บอกว่าเป็นรุ่นพี่” จุ๋มพูด “จุ๋มบอกไปว่าตอนนั้นจุ๋มกลัว และคิดว่าปรึกษารุ่นพี่น่าจะดีกว่าปรึกษาเพื่อน คงได้คำแนะนำที่ดีกว่า”

“แล้วแม่รู้ไหมว่าพี่ไม่ใช่รุ่นพี่ที่คณะ” ผมถาม

“จุ๋มไม่ได้บอก ถ้าบอกก็คงโดนซักอีกเยอะ คงยุ่งยิ่งกว่านี้อีก” จุ๋มตอบ

Friday, May 31, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 73


“ฮ่า ฮ่า ได้ ได้ งั้นป้อมหาคนอื่นมาสอนแทนนะ” ป้อมหัวเราะร่วน

ไม่รู้ว่าเสียงของผมไม่จริงจังพอหรืออย่างไร ป้อมถึงได้ตอบแบบนี้

“พี่พูดจริงนะป้อม ช่วยบอกคุณพ่อหาคนมาสอนแทนด้วย” ผมย้ำอีก

คราวนี้ป้อมเงียบไปครู่หนึ่ง

“เฮ้ย พี่อู” ป้อมอุทาน “นี่อำป้อมใช่ไหม”

“เปล่า” ผมตอบ “พี่พูดจริง ไม่ได้อำ”

“ได้ไง ไม่เอานะ ไม่ให้เลิก” ป้อมโวยวาย “พี่อูสอนป้อมอยู่ดีๆแล้วจะเลิกทำไม”

“ป้อม ฟังพี่ก่อน” ผมพยายามควบคุมเสียงให้นิ่ง แต่ภายในใจของผมกลับป่วนยิ่งกว่าคลื่นในทะเล “พี่สอนต่อไม่ไหวแล้วน่ะป้อม”

“ทำไมจะสอนไม่ไหว ก็พี่อูสอนอยู่ทุกอาทิตย์” ป้อมรีบแย้ง

“ตอนนี้พี่อยู่ปี ๓ แล้ว งานเรียนเยอะขึ้นมาก พี่ยังต้องเรียนที่รามอีกด้วย” ผมพูด “พี่สอนป้อมตั้งสองวิชา ต้องใช้เวลาเตรียมตัวมาก ที่ผ่านมาเป็นเพราะว่าปิดเทอมหรอกพี่ถึงทำได้”

“ห้ามพี่อูเลิกสอนป้อมนะ” ป้อมพูด “พี่อูสอนป้อมวิชาเดียวก็ได้ ไม่ต้องสอนสองวิชา สอนแต่คณิตศาสตร์ก็พอ”

ผมรู้สึกลังเล คำของร้องของป้อมทำให้ผมเริ่มใจอ่อน รู้สึกสงสารป้อม ฟังจากน้ำเสียง ป้อมยังแคร์ผมอยู่มาก ถ้าผมทำแบบนี้กับคนที่แคร์ผม ผมก็คงใจร้ายเต็มที

เหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาไหลเข้ามาในห้วงความคิด ป้อมคิดยังไงกับผมกันแน่นะ ท่าทีของป้อมในตอนนี้กับช่วงหลังเปิดเทอมเป็นต้นมาต่างกันอย่างลิบลับ หรือว่า... ป้อมอาจจะแคร์ผมจริงๆ... ถ้างั้นแล้วช่วงที่ผ่านมาล่ะ จะอธิบายยังไง

ผมอดนึกถึงบอยไม่ได้ บอยเมื่อแรกก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เหมือนกันหรอกหรือ แต่พอบอยเริ่มรู้ความในใจของผม บอยก็เริ่มตีตัวออกห่างราวกับผมเป็นตัวโรคติดต่อหรืออะไรสักอย่างที่ควรหลีกหนี... เหตุการณ์ระหว่างผมกับบอย และระหว่างผมกับป้อม พรูเข้ามาในความคิด

“มันก็ยังไม่ไหวหรอกป้อม” ป้อมยืนกราน “ปีนี้พี่เรียกหนัก ปิดเทอมก็ยังต้องไปฝึกงานอีก ยังไงก็คงสอนป้อมต่อไม่ได้”

“ไม่รู้ละ ยังไงเสาร์หน้าพี่อูก็ต้องมาสอน” ป้อมไม่สนใจเหตุผลของผม บังคับเอาดื้อๆเลย

“เสาร์หน้าพี่ก็ต้องมาสอนอยู่แล้ว” ผมพูด

ฮึ ค่อยน่าฟังหน่อย” ป้อมพูดอย่างพอใจ

“คือ... พี่จะพูดยังไงดีล่ะ คือพี่จะสอนป้อมจนถึงสิ้นเดือน เพื่อให้คุณพ่อป้อมมีเวลาหาคนมาสอนแทน” ผมอธิบาย

“พูดยังงี้อีกแล้ว” ป้อมโวยอีก

ที่จริงผมก็อยากจะพักการคุยเอาไว้ก่อน เอาไว้ให้ป้อมอารมณ์เย็นลงแล้วเราค่อยคุยกันใหม่ แต่ก็ห่วงเรื่องการเรียนของป้อม ผมควรบอกแต่เนิ่นๆเพื่อให้พ่อของป้อมมีเวลาหาคนมาสอนแทน จึงพยายามพูดให้จบตามที่ตั้งใจเอาไว้

“อะ อะ พี่ไม่พูดก็ได้” ผมโอนอ่อนผ่อนตาม “อย่าลืมบอกคุณพ่อด้วยก็แล้วกัน แล้ววันเสาร์เราเจอกันแล้วค่อยคุยกันต่อ”

นี่ผมทำถูกหรือทำผิดนี่... ผมคิดในใจหลังจากที่วางหูโทรศัพท์ลง คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา แต่ผมก็หาคำตอบไม่ได้

-    - -

สัปดาห์นั้นป้อมโทรมาหาผมอยู่หลายครั้งเพื่อโน้มน้าวให้ผมสอนต่อไป จนผมเองก็รู้สึกลังเลอยู่เหมือนกัน เพราะว่าถ้าพูดแบบเข้าข้างตัวเองก็ต้องบอกว่าป้อมพยายามโทรมางอนง้อผม แม้ในวันเสาร์ถัดมาที่เราเจอกัน ป้อมก็พยายามอ้อนให้ผมสอนต่อ

“น่า นะ พี่อู อย่าเพิ่งเลิกสอนเลย ให้ป้อมเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนแล้วค่อยเลิก” ป้อมโน้มน้าว

“...” ผมเงียบ เพราะลังเล จึงไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ใจของป้อมนั้นใสซื่อ ป้อมไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่าเรื่องภาระการเรียนของผมนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง

“เออ อยากเลิกสอนก็ไปเลย อยากให้ป้อมสอบไม่ติดก็ตามใจ” ป้อมยุส่ง

“...”

“โอ๊ย วันนี้พี่อูเป็นอะไร ไม่พูดไม่จา” ป้อมโวยขึ้นมา

“ก็พี่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนี่” ผมตอบ ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆเพราะว่าตอนนั้นผมรู้สึกลังเลมาก ใจหนึ่งก็อยากสอนต่อเพราะว่าอยากอยู่ใกล้ชิดป้อม ได้อยู่ใกล้ป้อมแล้วผมรู้สึกมีความสุข อีกทั้งท่าทีของป้อมในหลายวันมานี้ทำให้ผมกลับมามีความหวังอีก แต่อีกใจหนึ่งก็เตือนผมว่าผมเดินมาไกลเกินไปแล้ว แค่นี้ยังเจ็บไม่พออีกหรือไง

“วันนี้เราเรียนกันก่อนละกัน เรื่องนี้ขอพี่คิดดูอีกที” ผมพูด

“ไม่ต้องคิดแล้ว สอนป้อมต่อเถอะ นะ นะ” ป้อมพูดพลางคว้ามือผมไปกุมเอาไว้และแกว่งไปมา

“นี่ถ้าป้อมขายของคงขายเก่งมากเลย” ผมชม “อ้อนเสียจนลูกค้าใจอ่อน”

“ป้อมอ้อนเฉพาะกับพี่อูเท่านั้นแหละ” ป้อมตอบ

คำพูดของป้อมทำให้หัวใจของผมถึงกับหวิว วันนั้นผมสอนแทบไม่รู้เรื่องเพราะว่าไม่มีสมาธิเลย

ผมสอนจนถึงเที่ยงก็เลิก ตอนนั้นคิดอยากดูหนังกับป้อมสักเรื่อง ถือว่าดูหนังด้วยกันเป็นการส่งท้ายก็ได้ จึงได้ลองถามป้อมดู

“บ่ายนี้ป้อมไปไหนหรือเปล่า” ผมถาม

“บ่ายนี้ป้อมมีนัดดูหนังกับเพื่อนฮะ” ป้อมตอบ

ตอนนั้นผมเลยถึงบางอ้อ ความลังเลสับสนต่างๆก็หมดไป ผมรู้แล้วว่าผมควรทำอย่างไร

-    - -

“หนังเรื่องนี้เป็นไงบ้างป้อม” ผมถามป้อมในขณะที่เรากำลังดูหนังอยู่ อากาศเย็นๆและความมืดในโรงหนังทำให้ผมรู้สึกอยากจับมือของป้อมมากุมเอาไว้

“ตลกมากเลย แต่ป้อมว่าดูหน้าพี่อูตลกกว่า” ป้อมพูดพลางหัวเราะ

“ถ้าป้อมอยากตลกมากกว่านี้ก็ส่องกระจกดูดีกว่า” ผมไม่ยอมลดราวาศอก

“เฮ้ย ไอ้อู ตื่นได้แล้ว” มีเสียงผู้หญิงสอดแทรกเข้ามา เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นหูอยู่ไม่น้อย

“อู ตื่น ตื่น” เสียงผู้หญิงนั้นเรียกอีก คราวนี้ผมรู้สึกว่ามีคนมาเขย่าตัวผม

โรงหนังหายไปแล้ว ป้อมที่กำลังโต้คารมกับผมอยู่ก็หายไป สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของผมก็คือจอภาพสีขาวว่างเปล่า

ผมหันไปดูรอบๆ นี่มันห้องเรียน ไม่ใช่โรงหนัง... ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน

ผมจำได้แล้ว ผมกำลังเรียนอยู่ อาจารย์เอาวีดิโอมาฉายให้ดูประกอบการสอน ขณะที่ฉายวีดิโอ อาจารย์ปิดดวงไฟภายในห้อง อากาศครึ้มๆ เย็นสบาย

แต่ตอนนี้ไฟในห้องเปิดสว่างจ้า วีดิโอก็หยุดฉายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และทุกคนในชั้น ทั้งอาจารย์และเพื่อนๆ กำลังมองผมอยู่

“สารคดีเรื่องนี้เป็นไงบ้าง อู” อาจารย์ถาม

“เอ้อ... เอ้อ... เอ้อ...” ผมอึกอักตั้งนานก็ยังนึกคำตอบไม่ออก

“ได้เลขเด็ดอะไรไหม เห็นยิ้มหวาน คงมีเลขเด็ด” อาจารย์ถามอีก

“ผมเผลอหลับไป ขอโทษครับ” ผมพูด อยากหาคำแก้ตัวเท่ๆแต่ก็นึกไม่ออก

“ครูอยากให้อูตั้งใจเรียนมากกว่านี้หน่อย ปีสามแล้วนะเธอ ยังมานั่งหลับในห้องเรียนอีก” อาจารย์ตำหนิ

หลังจากชั้นเรียนเลิก เพื่อนๆก็กรูกันเข้ามาหาผม

“ตายแล้วไอ้อู อับอายขายหน้าไปห้าเบี้ย” พิม เพื่อนสาวแซว “วีดิโอจบไปตั้งนานแล้วยังไม่ยอมตื่น”

“ทำไมไม่ปลุกให้เร็วกว่านี้วะ” ผมต่อว่าเพื่อน “โดนด่าเลย เห็นไหม”

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเธอหลับ พอเปิดไฟถึงได้รู้ อาจารย์ก็เห็น แต่สั่งไม่ให้ใครปลุกเธอ แต่อาจารย์รอตั้งนานเธอก็ไม่ตื่น เลยสั่งให้ชั้นปลุก” พิมตอบ

“หา เราหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมอุทาน ดู อาจารย์นะอาจารย์ ทำกับผมได้ ปล่อยให้ผมหลับโชว์ให้เพื่อนๆดู

“นี่ถ้าไม่ปลุกเธอก็คงยังไม่ตื่นหรอก” พิมพูดอย่างมั่นใจ

“หมู่นี้เธอเป็นอะไรไปน่ะ เวลาเรียนถ้าไม่นั่งเหม่อก็นั่งหลับ” เพื่อนๆพากันรุมถาม “กลางคืนไปเฝ้ายามที่ไหนมาหรือไง”

ผมได้แต่ตอบบ่ายเบี่ยงไป ถ้าผมบอกว่ากลางคืนนอนไม่หลับ เพื่อนก็คงซักอีกว่าเป็นเพราะอะไร

-    - -

การไปสอนป้อมในวันนั้นทำให้ผมรู้ดีว่าผมควรทำอย่างไร ผมควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เจ็บตอนนี้ยังดีกว่า หากถลำลึกไปกว่านี้ไม่รู้ว่าจะเจ็บอีกเพียงใด และที่สำคัญก็คือมันคงเป็นผมเพียงคนเดียวที่เป็นฝ่ายถลำลึก... และคงเป็นผมเพียงคนเดียวที่ต้องเจ็บ...

แต่แม้ผมจะบอกว่าเจ็บตอนนี้ยังดีกว่าเจ็บในวันข้างหน้า แต่อาการบาดเจ็บครั้งนี้ก็เอาการอยู่ ความรู้สึกในตอนนี้ไม่ต่างจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับบอยเท่าไรนัก ผมรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า เคว้งคว้าง กลางวันผมไม่สนใจการเรียน เอาแต่นั่งเหม่อลอย ส่วนกลางคืนก็คิดฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหักห้ามใจตัวเองได้อย่างไร

“คนเดียวที่คิดถึง
ที่รักเธอเป็นดั่งดวงใจ
เธอไม่มาด้วยเหตุใด
จะไปไหนเธอไม่บอก
ทิ้งฉันไว้คนเดียว

คนเดียวที่คิดถึง
ป่านนี้ใจเธอคิดอะไร
คิดถึงฉันหรือเปล่า
ว่านอนหนาวหัวใจ
หนาวเกินคำบรรยาย...”

เสียงเพลงจากอัลบั้มออกใหม่ของหรั่ง ร็อคเคสตร้า ลอยออกมาจากลำโพงวิทยุภายในห้องนอน ชีวิตที่อยู่คนเดียวในบ้าน ยามดึกสงัด สายฝนพรำ เสียงเพลงเหงาเศร้า รวมกันเป็นบรรยากาศที่เหงาเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้

เพลงนั้นทำให้ผมเหงาจนนอนไม่หลับ เสียงเพลงทำให้ผมคิดถึงป้อม ในห้วงความคิด ผมเห็นเงาร่างของป้อม แต่แล้วเงาร่างนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป มันกลับกลายเป็นเงาร่างของเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมในวัยเด็ก... เพื่อนที่ผมพยายามจะลืมไปจากความทรงจำให้ได้...

“นัย มึงอยู่ที่ไหนนะ คิดถึงมึงจัง... คิดถึงมึงที่สุดเลย...” สำนึกวูบสุดท้ายของผมก่อนที่จะผลอยหลับไปในยามใกล้รุ่ง

-    - -

หลังจากวันนั้น วันที่ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้กับป้อม ในที่สุดผมก็ตอบป้อมอีกครั้งหนึ่งโดยยืนยันคำเดิมว่าจะไม่สอนต่อ หลังจากนั้น ป้อมก็เงียบๆไป ไม่ค่อยได้โทรมาอีก ส่วนผมก็พยายามไปสอนป้อมจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน เดือนนั้นเป็นเดือนที่ชีวิตของผมแย่มากๆ เพียงเริ่มเปิดเทอมมาก็เรียนไม่รู้เรื่องแล้ว

พ่อของป้อมพยายามคุยและโน้มน้าวผมเช่นกัน เพราะเห็นว่าผมเข้ากับป้อมได้ดีและสอนป้อมได้ดี แต่ผมก็ปฏิเสธ

การเรียนในเสาร์ถัดมา ป้อมออกปากชวนผมไปดูหนัง ซึ่งผมก็ยินดีที่จะไปดูด้วย ถือว่าเป็นการดูหนังด้วยกันส่งท้าย ป้อมเองก็คงคิดอย่างนั้นเช่นกัน จึงได้ออกปากชวนผม การไปดูหนังในครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกลังเลขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจของผมเปลี่ยนไป

จนในวันสุดท้ายของการสอน ครั้งนั้นเป็นการสอนครั้งสุดท้ายของผมแล้ว วันนั้นป้อมนั่งเรียนเงียบๆอย่างตั้งใจ ผิดไปจากทุกครั้ง ส่วนผมเองก็ตั้งใจสอน แต่ก็อดรู้สึกหวิวๆ เคว้งๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ได้

“เอาละ จบแค่นี้” ผมพูด “สอนครั้งสุดท้ายจบแล้ว ใจหายเหมือนกันแฮะ”

ผมพูดแล้วถอนหายใจ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ

“ถึงเวลาที่เราต้องจากการแล้วละป้อม”

“พี่อูจะไปจริงๆเหรอ” ป้อมถามอีก

“โลกมันกลม ยังไงเราก็มีโอกาสได้เจอกันอีก พี่เพียงแค่ไม่ได้สอนป้อม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะ... จะ... เอ้อ... จะต้องเลิกคบกัน เลิกเป็นพี่น้องกัน จริงไหม” ผมพยายามใช้คำพูดอย่างระวัง กลัวจะหลุดความในใจออกไป

“วันหลังถ้าป้อมว่าง เรายังไปเที่ยว ไปดูหนังด้วยกันก็ยังได้” ผมปลอบใจป้อม ก็พูดไปยังงั้นเอง ผมรู้ดีว่าเมื่อไม่ได้สอนป้อมแล้ว อีกหน่อยเราก็คงห่างกันไป และนี่แหละที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวด... แต่ผมก็ต้องทำ

“ช่าย...” ป้อมพยักหน้า

ผมเก็บของใส่เป้ จากนั้นก็ยกเป้ขึ้นสะพายบ่า เตรียมกลับ

“งั้นพี่กลับละนะ” ผมกล่าวคำอำลา พร้อมกับอดกำชับไม่ได้ “ป้อมตั้งใจเรียนหนังสือดีๆ จะได้สอบติดที่ดีๆ พี่คงช่วยป้อมได้เพียงเท่านี้ ต่อไปต้องพึ่งตัวเองเยอะๆแล้วนะ”

“พี่อู...” ป้อมพูดเสียงเครือนิดๆ “พี่อูรู้ไหม ว่าพี่อูช่วยป้อมมากแค่ไหน ผลการเรียนของป้อมดีขึ้น ทั้งอังกฤษและคณิตศาสตร์ แล้วพี่อูจำได้ไหม ที่เวลาเราไปกินอาหารด้วยกัน พี่อูบังคับให้ป้อมสั่งอาหารเอง ตอนแรกป้อมโคตรไม่ชอบเลย แต่ทุกอย่างที่พี่อูทำให้ป้อม มันทำให้ป้อมมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ป้อมมีเพื่อนมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน ก็เพราะพี่อูนี่แหละ”

เรื่องที่ป้อมพูดทำให้ผมเพิ่งถึงบางอ้อ ที่แท้ผมนั่นเองที่เป็นคนพรากป้อมไป ผมทำตัวเองแท้ๆ นี่ถ้าผมไม่ทำเกินหน้าที่ สอนเพียงแค่คณิตศาสตร์ เรื่องราวอาจไม่กลับกลายไปเช่นนี้ คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจตัวเอง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

“พี่ก็ดีใจที่เห็นป้อมมีเพื่อนมากขึ้น และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น” ผมกัดฟัดพูด

ผมเข้าไปลาคุณพ่อคุณแม่ของป้อม พร้อมกับรับค่าสอนงวดสุดท้าย จากนั้นผมกับป้อมก็เดินไปด้วยกันจนถึงประตูใหญ่

“พี่กลับละนะ” ผมพูด ในใจรู้สึกหวิวอย่างหนัก อยากจะพูดคำว่า ลาก่อน แต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูดออกไป

“ฮะ พี่อู ขอบคุณนะฮะ” ป้อมพูดเสียงเครืออีก

เพียงแค่นั้นเอง จากนั้นผมเดินออกมาจากชีวิตของป้อม ด้วยฉากสุดท้ายที่สั้นๆ เรียบ ง่าย แต่ก็เจ็บปวด

-    - -

เดือนกรกฎาคม

หลังจากที่ผมเลิกสอนป้อม ผมก็รู้สึกเคว้งอย่างหนัก งานของผมลดลงไปมาก ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น ทีแรกก็คิดว่าจะเป็นเรื่องดีที่ได้เวลาว่างกลับคืนมา แต่กลายเป็นว่าผมปรับตัวไม่ได้ เดิมรู้สึกเคว้งอยู่แล้ว พอว่างมากขึ้นก็ยิ่งเคว้งหนัก

ผมนึกว่าเมื่อจากกันแล้วจะทำให้ตัดใจได้ ที่ไหนได้ ผมคาดเดาใจตนเองผิด ผมรู้สึกเหงามาก ฟุ้งซ่าน เบื่อการเรียน คิดถึงป้อมวนไปเวียนมาอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นผมชอบฟังเพลงคิดถึงของพี่หรั่งมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งเหงา ยิ่งเหงาก็ยิ่งอยากฟัง วนเวียนอยู่เช่นนี้

แต่เวลาเยียวยาหัวใจได้จริงๆ ผ่านไปไม่นาน ผมก็ค่อยๆรู้สึกดีขึ้น เมื่อครั้งไอ้บอยผมยังไม่ถึงกับตาย ครั้งนี้ผมก็คงไม่ตายเช่นกัน

หลังจากที่ผมเลิกสอนป้อมไปแล้ว ป้อมก็ไม่ค่อยได้โทรมาอีก ป้อมก็มีชีวิตของป้อมต่อไป ส่วนผมก็ต้องมีชีวิตของผมต่อไปเช่นกัน หลังจากที่เลิกสอนผมเคว้งหนักก็จริง แต่เป็นเพียงเวลาไม่นาน หลังจากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น ผมรู้สึกดีขึ้นเร็วกว่าเมื่อครั้งก่อนเสียอีก คงเป็นเพราะว่าชีวิตมีภูมิต้านทานกับเรื่องแบบนี้แล้วกระมัง

คืนวันหนึ่ง ตอนนั้นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

คงเป็นป้อม ความคิดวูบแรกผมคิดถึงป้อม

ก็คิดไปอย่างนั้นเอง แต่น่าจะเป็นแม่โทรมามากกว่า เพราะแม่เป็นคนที่โทรมาคุยกับผมบ่อยที่สุด

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“ฮัลโหล ขอสายพี่อูหน่อยค่ะ” เสียงหญิงสาวมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง น้ำเสียงร้อนรน

“พูดอยู่ นั่นใครน่ะ” ผมงง ผู้หญิงที่ไหนโทรมาหาผม เสียงก็คุ้นๆ จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ เพราะว่าเรียกพี่อู รุ่นน้องคนไหนกันนะ นึกไม่ออกจริงๆ แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่าผมไม่ได้สนิทกับรุ่นน้องคนใดจนถึงกับให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้าน ขนาดเพื่อนๆนั้นแม้ว่าผมเคยให้เบอร์ไปก็ตาม แต่ปกติก็ไม่ได้โทรคุยกันเพราะว่าไม่มีธุระอะไร มีอะไรก็คุยกันในแผนกมากกว่า

ฟังเพลง คิดถึง ของหรั่ง ร็อคเคสตร้า


Tuesday, April 30, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 72


ป้อมหายตัวไปสักครู่ จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับทำสีหน้าแบบสำนึกผิด

“มาแล้วพี่อู เรียนต่อได้เลย” ป้อมพูดเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

“แล้วจะมีอย่างนี้อีกไหมเนี่ย” ผมถาม

“คงไม่มีแล้วมั้ง พี่อู” ป้อมตอบไม่เต็มเสียงอีก

“คงไม่มี..” ผมทวนคำ “แปลว่าอาจจะมีอีกละสิ”

“ก็... ก็... ก็...” ป้อมพยายามนึกหาคำพูด แต่ก็นึกไม่ออก จึงได้แต่ติดอ่าง

“เมื่อกี้ป้อมบอกว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มด้วยเหรอ” ผมถาม เมื่อสักครู่ตอนที่ป้อมพูดผมก็ฟังโดยไม่คิดอะไร มานึกเฉลียวใจเอาตอนนี้

“ใช่แล้วพี่อู” ป้อมตอบ

“เมื่อก่อนป้อมขี้อายจะตาย แล้วทำไมตอนนี้กลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่มได้” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ป้อมยังเล่าให้ผมฟังว่าตอนอยู่ในห้องเรียนเป็นคนที่พูดน้อย และมีเพื่อนที่สนิทกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“ก็ ไม่รู้สิ เพื่อนๆมันให้ป้อมเป็น ป้อมก็เป็นน่ะ” ป้อมตอบ

บางทีป้อมอาจจะโดนเพื่อนๆแกล้งก็ได้ เลยเอาตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มมาโยนให้เสียเลย ผมคิดในใจ จากนั้นผมก็ดุป้อมไปอีกนิดหน่อย จากนั้นจึงเริ่มสอนต่อไป โชคดีทีหลังจากนั้นจนเกือบเที่ยงก็ไม่มีโทรศัพท์มาถึงป้อมอีกเลย

“เฮ้อ จบเสียที” ผมแกล้งถอนหายใจเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นมา เมื่อเราเรียนเนื้อหาของวันนั้นจบลง ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้ว

“โอ๊ย ป้อมเมื่อยไปหมด” ป้อมสลัดมือพลางบ่น เมื่อเห็นท่านี้ก็เป็นอันรู้กัน ผมรีบนวดมือให้ป้อมเช่นเคย

“พี่เมื่อยยิ่งกว่าเสียอีก สอนจนเหนื่อยแล้วยังต้องมาบริการนวดให้คุณชายอีก” ผมพูด หยุดไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ “แล้วบ่ายนี้เราไปไหนกันดี”

ป้อมนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วพูดอึกอักอีก

“บ่ายนี้ป้อมมีนัดกับเพื่อนๆแล้ว”

“อ้อ” ผมพูดได้เพียงแค่นั้น รู้สึกจ๋อยสนิท “งั้นก็ไม่เป็นไร แล้วพรุ่งนี้ล่ะ”

“ป้อมมีนัดทำรายงานกับเพื่อนๆทั้งสองวันเลยพี่อู อยากจะรีบทำให้มันเสร็จไป เพราะยังมีงานวิชาอื่นรออยู่อีก”

“เพิ่งเปิดเทอมงานก็เยอะเลยนะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ที่จริงคงเรียกว่าเป็นน้ำเสียงเซ็งๆมากกว่า ตอนนี้คิดไม่ออกว่าอารมณ์ควรอยู่ในโหมดไหนดี โกรธ น้อยใจ เซ็ง หรือว่าผิดหวัง ฯลฯ แต่ถึงจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ผมไม่ควรโวยวายใส่ป้อมเพราะเรื่องนี้ มันผิดที่ผมโง่เอง...

หลังเที่ยงวันนั้น ผมกับป้อมเดินออกจากบ้านมาด้วยกัน ตลอดทางเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยแม้ว่าป้อมจะพยายามชวนผมคุยก็ตาม และเมื่อถึงปากซอย ผมกับป้อมก็แยกทางกัน ป้อมเดินทางไปพบเพื่อนตามนัด ส่วนผมนั้นเดินทางกลับบ้าน

ระหว่างทางที่กลับบ้าน สมองของผมครุ่นคิดวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ตามเหตุผลแล้วเหตุการณ์ในวันนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทำไมผมจึงรู้สึกจริงจังกับมันมากก็ไม่รู้

-    -

กลางเดือนมิถุนายน

ผมเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่ได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว ตอนที่มาอยู่ใหม่ๆก็ลำบากอยู่บ้างตรงที่ต้องจัดของซึ่งเป็นการรื้อของออกจากกล่องมาจัดวาง ซึ่งผมต้องทำคนเดียวเพราะว่าอยู่คนเดียว มีกล่องอยู่สิบกว่าใบ ตอนที่เริ่มจัดของนั้นมันเหมือนกับว่าทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ แต่เมื่อทำไปได้สักพัก อะไรๆก็ค่อยดูเข้าที่เข้าทางขึ้น ที่เคยคิดว่าทำเท่าไรก็ไม่เสร็จก็พอมีเค้าความสำเร็จให้เห็น

ตอนที่เข้ามาอยู่ใหม่นั้นผมเข้าไปทักทาย ทำความรู้จัก และฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันและในบริเวณใกล้เคียงจนหมด เพราะว่าแม่สั่งเอาไว้ว่าผมเป็นคนที่เข้าไปอยู่ใหม่ แถมยังเป็นเด็กกว่า ดังนั้นต้องมีสัมมาคารวะ เข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนบ้าน แม่ให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านมาก เพราะหากมีปัญหากับเพื่อนบ้านจะทำให้ไม่มีความสุขไปตลอด เท่าที่ได้คุยกัน ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านติดกันและบ้านตรงข้าม อัธยาศัยใช้ได้ทีเดียว ส่วนเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดออกไปนั้นบางรายก็คุยดี บางรายก็ไม่ค่อยเจรจาพาทีเท่าไร เพื่อนบ้านทั้งหมดนี้อยู่เป็นครอบครัวกันทั้งนั้น มีแต่ผมเท่านั้นที่พักอาศัยเพียงคนเดียว และดูเหมือนว่าจะมีอายุน้อยที่สุดในละแวกนั้นด้วย

ส่วนที่มหาวิทยาลัย ตอนนี้ผมเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม ถือว่าเป็นพี่กลางของแผนก มีหน้าที่ต้องคอยดูแลน้องแผนกซึ่งก็คือนักศึกษาชั้นปีที่สองที่เพิ่งเข้าแผนก น้องแผนกของผมในปีนี้มีนักศึกษาชายน้อยกว่านักศึกษาหญิง แต่ก็เป็นรุ่นที่มีสีสันไม่ใช่น้อย เพราะว่ามีอยู่คู่หนึ่งที่เป็นแฟนกัน แล้วเลือกแผนกเดียวกันเพื่อจะได้เรียนด้วยกัน ไปไหนมาไหนก็เดินจูงมือกันหวานแหวว ดูน่ารักดี ส่วนรุ่นของผมนั้นก็มีคู่หวานอยู่สองคู่ คือคบเป็นตัวเป็นตนคูหนึ่ง ที่ว่าเป็นตัวเป็นตนหมายถึงว่าคบกันโดยเปิดเผย เพื่อนๆรู้กันหมด ส่วนที่เป็นคู่หวานแต่ยังไม่เป็นทางการก็คือคู่ของพิมพ์กับพี่อี๊ดหนุ่มเมโทร พิมพ์ชอบพี่อี๊ดอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าพี่อี๊ดไปไหนพิมพ์ก็ไปด้วย แต่สำหรับพี่อี๊ดนั้นแม้ว่าจะเออออกับพิมพ์ด้วยดี แต่พวกเพื่อนๆก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าพี่อี๊ดชอบพิมพ์หรือว่ายังสลัดพิมพ์ไม่หลุดกันแน่

นอกจากการเรียนแล้วกิจกรรมในแผนกที่ผมเรียนอยู่ก็เริ่มมีมากขึ้น เพราะว่าปกติชั้นปีที่สามถือว่าเป็นชั้นปีที่ต้องรับภาระดูแลเรื่องกิจกรรมต่างๆของแผนก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิจกรรมรับน้องของแผนก กิจกรรมตามเทศกาลต่างๆ เช่น การไหว้ครู การทำหนังสือรุ่นของแผนก การจัดนิทรรศการทางวิชาการ ฯลฯ แม้ว่าจะมีชั้นปีที่สูงกว่า คือพี่ปีสี่กับพี่ปริญญาโทก็ตาม แต่ชั้นปีที่รับผิดชอบเป็นหลักคือชั้นปีที่สาม ดังนั้นชีวิตของผมส่วนใหญ่จึงวนเวียนอยู่ที่ห้องเรียน ห้องพักแผนก และห้องชมรม ส่วนโต๊ะกลุ่มนั้นแทบไม่ได้เข้าไปเลย

เรื่องการย้ายบ้านนั้น เพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครรู้เนื่องจากผมไม่ได้เล่า ที่จริงตอนที่ผมพักอยู่หอพักก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน สรุปก็คือเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีใครรู้ชีวิตส่วนตัวของผมนัก ฟังดูเหมือนกับว่าผมไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัย ที่จริงไม่ใช่ เพื่อนที่ชมมรมกับเพื่อนที่แผนกส่วนใหญ่ก็สนิทกันดี เพียงแต่ปกติไม่ค่อยมีใครคุยเรื่องที่บ้านของตนเองกัน จะว่าไปแล้วคนที่รู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของผมมากที่สุดกลับเป็นป้อม ไม่ใช่เพื่อนๆ เพราะป้อมรู้จักผมทั้งชีวิตในมหาวิทยาลัยและชีวิตที่บ้าน

ตั้งแต่ป้อมเปิดเรียน ผมรู้สึกว่าป้อมห่างเหินจากผมไป ในช่วงปิดเทอมผมกับป้อมแทบตัวติดกัน เหมือนกับว่าทั้งโลกใบนี้มีเพียงเราสองคนเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้... ป้อมมีเวลาให้แก่ผมน้อยมาก วันหยุดเสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับป้อมเพียงในช่วงที่ผมสอนป้อมเท่านั้น เวลาที่นอกเหนือจากนั้นป้อมมักมีนัดกับเพื่อนๆ ปีนี้เท่าที่ฟังจากที่ป้อมเล่า ดูเหมือนว่าป้อมจะป๊อบในหมู่เพื่อนฝูงมากขึ้น และดูป้อมเองก็มีความสุขที่เข้ากับเพื่อนๆได้

ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าป้อมห่างเหินจากผมจริงๆหรือเปล่าหรือว่าผมคิดไปเอง แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกเช่นนั้น และความรู้สึกนี้ทำให้ผมถึงกับเคว้ง ตอนค่ำของทุกวันผมแทบไม่เป็นอันทำอะไร นั่งคอยแต่โทรศัพท์ของป้อม และสุดท้ายก็มีแต่ความว่างเปล่า จนในที่สุดหลายๆวันผมก็โทรไปหาป้อมเสียทีหนึ่ง พยายามชวนป้อมไปโน่นไปนี่ในวันหยุด บางทีป้อมก็ว่างและไปกับผมบ้าง แต่ส่วนใหญ่ป้อมไม่ค่อยว่าง...

คนที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัวอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องเพียงแค่นี้ทำให้ผมถึงกับเคว้งได้เพียงนี้ แต่เรื่องของอารมณ์และความรู้สึกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากจริงๆ แม้แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง และไม่รู้ว่าเมื่อไรตนเองจะหลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้ไปได้

-    - -

ปลายเดือนมิถุนายน

วันเสาร์นั้นฝนตกตั้งแต่เช้า แถวบ้านผมตกแรงเอาการ รออยู่นานฝนก็ไม่หยุดสักที ผมเริ่มลังเลว่าจะไปสอนป้อมดีหรือว่าจะโทรไปบอกเลื่อนสอนดี ในที่สุดผมก็กดโทรศัพท์ต่อไปยังบ้านของป้อม

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งรับสาย

“ฮัลโหล คุณชาย นี่พี่เอง” ผมพูด

“โทรมาแต่เช้าเชียว” ป้อมพูดอย่างร่าเริง “โทรมาก็ดีแล้ว เช้านี้ซื้อหนมมาฝากป้อมด้วย”

“พี่จะโทรมาบอกว่าขอเลื่อนไปสอนวันพรุ่งนี้ต่างหาก” ผมพูด “ตอนนี้ที่บ้านพี่ฝนตกหนัก รอตั้งนานก็ยังไม่ซา”

“อ้าว เหรอ พรุ่งนี้ป้อมไม่อยู่บ้านน่ะสิ” ป้อมพูด

“มีนัดกับเพื่อน...” ผมพูดต่อให้

“ช่าย...” ป้อมรับ

“แล้วป้อมก็ไม่อยากเลื่อนนัดกับเพื่อนเพราะว่านัดกันหลายคน ป้อมไม่อยากเป็นตัวปัญหาของเพื่อนๆ” ผมพูดต่อให้อีก

“ช่าย... เอ๊ะ พี่อูนี่รู้ใจป้อมจัง” ป้อมหัวเราะขำ “ถ้าพี่อูมาลำบาก เสาร์นี้งดไปก่อนดีไหมฮะ เสาร์หน้าพี่อูค่อยสอน”

ผมอึ้ง รู้สึกหงุดหงิดใจที่ป้อมเห็นการนัดกับเพื่อนสำคัญกว่าการเรียน แต่ก็พูดไม่ออก ครั้นจะงดสอน หัวใจของผมก็เรียกร้องที่จะพบหน้าป้อม...

“งั้นไม่เป็นไร อีกสักเดี๋ยวฝนคงซา... แล้วพี่จะรีบไป” ผมตอบ

-    - -

ผมต้องฝ่าฝนเพื่อเดินทางไปบ้านของป้อม วันนั้นฝนแรงจนร่มที่ติดไปด้วยแทบไม่ช่วยอะไรเลย แค่เดินจากบ้านออกมาปากซอยก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว หลังจากนั้นผมก็นั่งแท็กซี่ไปบ้านป้อมเพื่อความรวดเร็ว ผมไปถึงบ้านของป้อมในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน พร้อมกับจ่ายค่าแท็กซี่ประมาณหนึ่งร้อยบาท ในยุคนั้นเป็นยุคที่เริ่มใช้แท็กซี่มิเตอร์แล้ว ค่าโดยสารจ่ายตามมิเตอร์ ไม่ต้องมัวต่อรองราคากันอีก

“โฮะ พี่อูไปตกน้ำที่ไหนมา” ป้อมพูดหลังจากที่เปิดประตูบ้านและเห็นผมในสภาพเปียกมอมแมม

“ไม่ได้ตกน้ำที่ไหน ตากฝนมานี่แหละ” ผมตอบ

“แล้วทำไมไม่มาสอนเสาร์หน้าละฮะ” ป้อมถาม สีหน้าดูเป็นห่วง ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาวูบหนึ่ง อย่างน้อยป้อมก็ยังห่วงใยผมอยู่

“ก็ไม่อยากงดสอนน่ะสิ” ผมตอบ “กลัวป้อมหยุดแล้วขี้เกียจ”

“พี่อูเปียกยังงี้เดี๋ยวก็เป็นหวัด เอาชุดของป้อมไปใส่ก่อนละกัน แล้วชุดของพี่อูเอาไปผึ่งให้แห้งก่อน” ป้อมเสนอ

ในที่สุดผมก็เอาชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของป้อมมาใส่ เนื่องจากป้อมตัวเล็กกว่าผม จึงเหมือนกับว่าผมใส่เสื้อผ้าเด็กอยู่ ทั้งคับ ทั้งสั้น แต่ก็แห้งและอบอุ่นดี เมื่อป้อมเห็นผมในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นของป้อม ป้อมถึงกับหัวเราะ

“พี่อูใส่ชุดนี้ไปแสดงตลกคาเฟ่ได้เลย” ป้อมขำ

“หยุดพูดเลย” ผมพูด

“แน้ ป้อมจะพูด มีอะไรมั้ย” ป้อมท้า

ผมหยิกแก้มของป้อมทีหนึ่ง

“นี่แน่ะ พูดมากนัก”

ป้อมป่องแก้มอีกข้างหนึ่ง

“หยิกข้างนี้ด้วย จะได้สมดุล”

“บ๊อง” ผมหัวเราะ พลางหยิกแก้มป่องอีกข้างหนึ่ง

การแสดงออกของป้อมในวันนั้นเรียกความรู้สึกดีๆระหว่างเราสองคนให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ชุดของป้อมที่ผมสวมใส่อยู่ก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น... อบอุ่นที่หัวใจ

ตอนเที่ยง เมื่อผมสอนป้อมเสร็จ ผมก็ชวนป้อม

“บ่ายนี้ป้อมว่างไหม” ผมถาม เดี๋ยวนี้ไม่กล้าชวนตรงๆแล้ว ต้องถามเสียก่อนว่าว่างหรือเปล่า เพื่อกันความหน้าแตก

“เอ้อ...” ป้อมอึกอัก

“บ่ายนี้ป้อมมีนัดกับเพื่อน” ผมพูดต่อให้

วันนี้ดูเหมือนว่าผมจะพูดอะไรแทนป้อมก็พูดถูกไปหมด ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะว่าป้อมพยักหน้ารับ

“ไม่เป็นไร” ผมพูด ไม่อยากถามให้มากความ แต่ก็อดบ่นไม่ได้ “หมู่นี้ป้อมไม่ค่อยมีเวลาให้พี่เลยนะ”

พูดแล้วก็นึกเสียใจที่หลุดปากออกไป เพราะมาคิดดูแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไปเรียกร้องให้ป้อมจัดเวลาให้

“เอาไว้วันหลังเราค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะพี่อู” ป้อมพยายามพูดปลอบใจผม

เสื้อผ้าของผมแห้งดีแล้วเพราะว่าป้อมให้แม่บ้านช่วยรีดให้เพื่อให้แห้งเร็วขึ้น ผมจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้าน นึกถึงเมื่อเช้าที่พยายามฝ่าฝนมาสอน ถ้าเป็นคนอื่นก็คงของดสอนไปแล้ว ผมนี่บ้าสิ้นดีที่พยายามจะมา แต่สุดท้ายก็กลับบ้านด้วยความว่างเปล่า...

-    - -

กลางเดือนกรกฎาคม

หลังจากที่ผมกลับมาจากการสอนป้อมในวันนั้น ผมก็มานั่งรอโทรศัพท์ทุกคืนอย่างไม่อาจหักห้ามใจตนเองอีกเช่นเคย ที่ว่าประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเดิมนั้นกลายเป็นความจริงสำหรับผม เพราะเมื่อมานึกดูแล้ว เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้มาครั้งหนึ่ง อาการคล้ายๆกันเลย คือนั่งคอยโทรศัพท์ลมๆแล้งๆทุกวัน เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครกัน เมื่อก่อนเป็นบอย วันนี้เป็นป้อม...

การมาอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์คนเดียวช่วยเสริมบรรยากาศให้ผมฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น เวลากลางคืนหลังส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากนอนคิดฟุ้งซ่าน คิดแต่เรื่องของป้อม ความคิดถึงนั้นกัดกร่อนจิตใจได้รุนแรงจริงๆ ผมเริ่มเบื่อหน่ายการเรียน การบ้านจากวิชาเรียนต่างๆนั้นผมทำไม่ไหวเลย งานเริ่มค้างสะสมเป็นดินพอกหางหมู ผมเริ่มขอเพื่อนลอกการบ้านและรายงานเพื่อส่งอาจารย์ การเรียนของผมเริ่มสะดุด

“นี่ นายอู เธอเป็นอะไรของเธอ ขอลอกการบ้านอีกแล้ว” เพื่อนสาวถาม

“ช่วยหน่อยน่า พอดีช่วงนี้ที่บ้านยุ่งๆ ช่วยให้เราเอาตัวรอดไปสักพักหนึ่งนะ” ผมอ้อน

เพื่อนที่แผนกของผมใจดี มักให้ผมลอกการบ้านเสมอ แต่ผมก็รู้ดีว่าผมคงพึ่งเพื่อนได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น นานไปเพื่อนๆก็คงเอือมระอาผมเช่นกัน แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าตอนกลางคืนนั้นผมทำงานอะไรไม่ไหวจริงๆ มันเบื่อไปหมด ได้แต่นอนคิดฟุ้งซ่านอย่างเดียว

จำได้ว่าตอนที่บอยเริ่มห่างเหินจากผม ผมเคว้งคว้างอยู่นานทีเดียว ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะไม่ยอมเคว้งแบบนั้นอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้... ผมกลับมาติดกับดักอารมณ์ของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ผมจมอยู่กับความทุกข์ของความคิดถึงและความผิดหวัง

ยามกลางคืน ผมได้แต่คิด... คิด... และคิด... ผมอยากหลุดพ้นจากความทุกข์จากการคะนึงหาที่เป็นอยู่นี้ ผมไม่อยากให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม... ผมไม่อยากเสียการเรียนและเกาะเพื่อนเรียนเหมือนเมื่อก่อนอีก...

และแล้ว ในที่สุด...

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งน่ารักรับสาย ผมได้ยินแล้วหัวใจที่พยายามทำให้เข้มแข็งก็อ่อนลงมา

“ฮัลโหล คุณชาย” ผมทักทาย “เป็นไงบ้าง”

“กำลังทำการบ้านอยู่ฮะ ดีจังที่พี่อูโทรมา คิดถึงพี่อูอยู่พอดี” ป้อมออดอ้อน

“พอติดการบ้านก็คิดถึงพี่ละสิ” ผมรู้ทัน

“ช่าย... เอ๊ย ม่ายช่าย...” ป้อมทำเสียงน่ารัก

เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของป้อมทำให้ผมใจอ่อน ความตั้งใจที่มีอยู่สลายไปแทบหมดสิ้น

“วันนี้พี่มีเรื่องจะบอกป้อมน่ะ” ผมพูด พยายามควบคุมสติ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำลายกาตัดสินใจ

“พี่อูมีอะไรจะบอกเหรอ” ป้อมสงสัย

“คือ... พี่จะบอกป้อมว่า... ต่อไปพี่คงไม่ได้มาสอนป้อมแล้วนะ” ผมพูด ประโยคสั้นๆเพียงเท่านี้ แต่ผมต้องใช้เวลาเตรียมตัว และต้องใช้กำลังใจอย่างมาก เมื่อพูดจบ ผมก็ใจหายวูบ นี่ผมพูดอะไรออกไป...

Sunday, March 31, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 71


คืนวันศุกร์ ปลายเดือนพฤษภาคม

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะพักอยู่ที่หอพักแห่งนี้แล้ว วันรุ่งขึ้นผมจะย้ายของออกและเริ่มพักที่บ้านหลังใหม่ของผม

วันนี้ผมอยู่ที่หอพักทั้งวัน ไม่ได้ไปไหน เก็บข้าวของไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ว่าไม่มีของอะไรมาก แต่พอเก็บของใส่ลังจริงๆก็ปรากฏว่ามีอยู่ไม่น้อยทีเดียว หนังสือและของใช้ในชีวิตประจำวันมีไม่มากนัก ที่เยอะคือของเก่าเก็บและไม่ได้ใช้ อย่างเช่นเสื้อผ้านั้นที่ใส่อยู่เป็นประจำมีไม่มาก แต่เสื้อผ้าชั้นมัธยมและตอนปีหนึ่งที่ไม่ได้ใส่แล้วมีอยู่เต็มตู้ เสื้อผ้านี่ไม่เคยทิ้งเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่แล้วก็ยังเก็บเอาไว้ จึงทำให้กองเต็มตู้ไปหมด แม้จนถึงวันที่จะย้ายออก จะทิ้งก็เสียดาย คิดว่าคนที่ขาดแคลนเสื้อผ้ายังมีอีกเยอะ จะให้ใครก็ไม่มีใครเอา ก็คงต้องเอาไปบ้านใหม่ด้วยก่อน จากนั้นจะได้เอาไปมอบให้ที่ชมรมค่ายอาสาให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที

จัดของไปก็นึกถึงป้อมไป ป่านนี้ป้อมคงกำลังเข้าเรียนอยู่ อดหวังไม่ได้ว่าวันรุ่งขึ้นป้อมจะเปลี่ยนใจมาช่วยผมย้ายบ้าน แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความหวังลมๆแล้งๆ

จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมา ผมไม่ค่อยได้รู้สึกเหงามานานแล้ว... เมื่อก่อนบางทีอาจจะเคยรู้สึกเหงาบ้างเหมือนกัน แต่ว่าแกล้งทำเป็นลืมๆมันไปและหลอกตัวเองว่าไม่ได้เหงา พอมาเริ่มรู้สึกดีๆกับป้อม ผมก็ลืมไปเลยว่าความเหงาเป็นอย่างไร แต่มาวันนี้... หอพักในยามกลางวันเงียบจนวังเวง ความเหงาเข้าโจมตีผมโดยไม่ทันตั้งตัว

ผมจัดข้าวของอย่างเงียบเหงาอยู่ภายในห้องตลอดทั้งวัน จนถึงตอนเย็น คะเนว่าเป็นเวลาที่ป้อมกลับถึงบ้านแล้ว ผมก็เริ่มกระวนกระวายและชะแง้คอยโทรศัพท์จากป้อม แต่จนแล้วจนรอด ป้อมก็ไม่โทรมา ซึ่งมันก็เป็นเช่นนี้เกือบทุกวัน...

ก๊อก ก๊อก

“พี่อู พี่อู เปิดหน่อย” ได้ยินเสียงเคาะประตูและมีเสียงวัยรุ่นเรียกชื่อผมอยู่ที่หน้าห้อง ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของน้องปั้น ชั้นสาม

“ว่าไงปั้น” ผมเปิดประตูห้องออกไปและทักทาย

“พี่อูทำอะไรอยู่” ปั้นถามพลางชะโงกหน้าเข้ามาดูในห้อง

“เก็บของ” ผมตอบ “พรุ่งนี้จะย้ายแล้ว ยังเก็บของไม่เสร็จเลย”

“หนังสือโป๊ขอนะ ไม่ต้องเอาไป” ปั้นพูดพลางมองสอดส่ายเหมือนกับหาว่าหนังสือโป๊เก็บอยู่ที่ใด

“ยิ่งนานยิ่งแก่แดดมากนะเรา” ผมหัวเราะ

“ตอนนี้พี่อย่าเพิ่งเก็บของเลย ขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อนดีกว่า” ปั้นเปลี่ยนเรื่อง

“มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“ขึ้นไปเถอะน่า แล้วพี่อูจะรู้เอง” ปั้นพูดเป็นปริศนา

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวตามขึ้นไป” ผมพูด

“ไม่ต้องเดี๋ยวแล้ว” ปั้นพูด พลางฉุดมือผมลากออกมาจากห้องแล้วเร่งรัด “ขึ้นไปตอนนี้เลย”

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน งั้นขอล็อกห้องก่อน” ผมตอบ ไปก็ไป อยากรู้เหมือนกันว่าข้างบนมีอะไร

เมื่อผมกับปั้นขึ้นไปข้างบน ก็แลเห็นพรรคพวกกลุ่มพี่ธิตกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่บนม้าหิน แป๋งก็มาด้วย บนโต๊ะมีขวดเหล้า ถังน้ำแข็ง ของว่าง และแก้วเปล่า เต็มไปหมด พี่ธิตนั่งกอดกีตาร์อยู่

“เฮ มาแล้วๆ” พี่ธิตพูดเสียงดัง คนอื่นๆก็ช่วยกันเฮ

“อะไรกันเนี่ย” ผมงง

“เป็นงานเลี้ยงส่งอูไง” พี่ธิตตอบ

ผมยืนอึ้ง ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยจัดงานอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิด หรือว่าในโอกาสใดก็ตาม รวมทั้งไม่เคยมีใครจัดงานอะไรให้ผมเช่นกัน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนจัดงานให้ผม แต่ก็น่าเสียดายที่งานนี้เป็นงานเลี้ยงอำลา... ผมมีเวลาชื่นชมกับงานนี้เพียงชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น หลังจากงานเลิก... หลังจากวันนี้... ก็ถึงเวลาที่เราต้องลาจากกัน...

“เฮ้ย เป็นอะไรไปอู เจองานเลี้ยงส่งถึงกับยืนบื้อเลยเหรอ” แป๋งยิ้มกวน ใบหน้าของแป๋งมีเสน่ห์ก็ตอนยิ้มนี่แหละ ลักยิ้มบุ๋มกับฟันเขี้ยวที่มุมปากบนใบหน้าทะเล้นเป็นเสน่ห์ที่น่ารักของแป๋งยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา

“ไม่ต้องงงเลยพี่อู มากินเหล้ากัน” พจน์ เด็กรุ่นน้องที่ตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วร้องเรียก

“ไม่คิดว่าจะมีใครจัดงานเลี้ยงให้น่ะ เลยอึ้งไป” ผมพูดตามตรง “ขอบคุณทุกคนมาก...”

หลังจากนั้น ผมก็นั่งกินเหล้าและร้องเพลงอยู่บนชั้นดาดฟ้าจนดึก บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงเพลงและความเฮฮา แต่ลึกๆแล้วผมอดรู้สึกใจหายและเดียวดายไม่ได้...

“เอาล่ะๆ ก่อนแยกย้าย อยากให้อูพูดอะไรสักหน่อย” พี่ธิตพูดหลังจากที่เหล้าแก้วสุดท้ายหมดลง

“เสียดายที่ต่อไปไม่ได้ดูหนังโป๊สดๆกับพวกเราอีก” ปั้นลอยหน้าพูด

“ไอ้บ้า เพ้อใหญ่แล้ว” พี่ธิตเคาะหัวปั้นเบาๆแล้วหัวเราะ “ห้องนั้นติดผ้าม่าน ไม่มีหนังดูมาตั้งนานแล้ว”

“อ้อ จริงด้วย” ปั้นหัวเราะหน้าทะเล้น “เอ้า พี่อูพูดหน่อย”

“ก็... เอ้อ... ก็ ขอบคุณทุกคนที่จัดงานเลี้ยงนี้ให้” ผมตะกุกตะกัก ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มาก่อน “ไม่อยากพูดว่าอำลาเลย เพราะว่าที่จริงก็ย้ายไปไม่ไกล แค่นี้เอง ก็ยังติดต่อกันได้อยู่ ถ้าเบื่อกินหล้าที่นี่ จะไปกินเหล้าที่บ้านผมบ้างก็ได้”

นึกถึงคำว่า อำลา แล้วอดใจหายไม่ได้ ผมหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

“หลายปีที่อยู่ที่นี่... อยู่มาสี่ปี เหมือนกับว่านาน แต่ก็เหมือนกับเร็ว... พวกเราที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้าน... ก็ต้องขอโทษด้วย ที่ผ่านมาสังสรรค์กับพวกเราน้อยไปหน่อย มาได้คิดตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว... เอ้อ พูดไม่ถูกแล้ว จบแค่นี้ละกัน เอาเป็นว่าขอบคุณทุกๆคน” ผมจบคำกล่าวอำลาเอาดื้อๆ

“อะไรวะ” แป๋งหัวเราะ “จบยังงี้ก็มีด้วย มา มา ชนแก้ว”

ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา งานสังสรรค์ในวันนั้นจบลงในตอนดึกของคืนวันศุกร์ และตลอดคืนนั้นป้อมไม่ได้โทรมาหาผมเลย ผมอยู่ช่วยเก็บกวาดสถานที่จนเรียบร้อย จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับห้องไป สุดท้าย ก็เหลือแต่เพียงโต๊ะและม้าหินที่ว่างเปล่าท่ามกลางความมืด บรรยากาศที่สนุกสนานเฮฮาของเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น ที่ผมรู้สึกอยู่ในตอนนี้คือความอ้างว้าง

ผมยืนดูดาวบนชั้นดาดฟ้าอยู่อีกครู่หนึ่ง คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะได้ดูดาวที่นี่ ผมพยายามเก็บความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็เดินลงบันไดกลับเข้าห้องไป...

วันเสาร์

ผมตื่นแต่เช้า จัดข้าวของที่ยังค้างอยู่จนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ไปว่าจ้างรถสี่ล้อเล็กมาเพื่อบรรทุกของ รถสี่ล้อเล็กที่ว่านั้นคือรถไดฮัทสุมิร่า เป็นรถสี่ล้อ ทรงกระป๋อง ในยุคนั้นถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์ราคาประหยัด นิยมนำมาดัดแปลงเป็นรถรับจ้างวิ่งรับส่งคนตามซอยใหญ่ แล้วเรียกกันว่ารถป๊อกๆ เพราะว่าเสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างดัง รถรุ่นนี้ดีกว่ารถสามล้อตุ๊กๆตรงที่ทรงตัวดีกว่าและจุของได้มากกว่า อีกทั้งมีขนาดเล็กกระทัดรัด มีความคล่องตัว อีกอย่าง ในยุคนั้นรถตุ๊กๆเริ่มหายากแล้ว คงมีวิ่งเฉพาะบางพื้นที่ แถวๆลาดพร้าวหารถตุ๊กๆได้ยาก ส่วนใหญ่มีแต่รถป๊อกๆหรือว่าสี่ล้อเล็กที่ว่านี้

ผมค่อยๆย้ายลังกระดาษที่บรรจุข้าวของต่างๆลงมาขึ้นรถ เดิมทีคิดว่าจะต้องย้ายคนเดียว แต่ว่าเมื่อถึงเวลาย้าย พวกเพื่อนๆในหอก็มาช่วยกันยกของให้ รวมทั้งเอ๊ดก็ลางานมาช่วยด้วย กลายเป็นว่าการย้ายของเสร็จอย่างรวดเร็ว เพียงครึ่งวันก็เรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่ย้ายของเสร็จ ผมไปร่ำลาคุณน้าเจ้าของหอพัก รวมทั้งพี่พรผู้ดูแลหอพัก แม้ว่าคุณน้าจะอยู่ในฐานะเจ้าของหอพัก แต่ก็กล่าวได้ว่าเมตตาแก่ผมมากตลอดเวลาที่ผมพักอยู่ที่นี่ จนผมเองมักคิดว่าคุณน้าเป็นญาติคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าของหอพักผู้ให้เช่า หลังจากนั้นก็ร่ำลาพี่ธิต เพื่อน และน้องๆในหอพักเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้ร่ำลากันครบทุกคนเพราะว่าบางคนก็ออกไปข้างนอกแล้ว รวมทั้งไม่ได้ร่ำลาแป๋งด้วยเนื่องจากแป๋งออกไปแต่เช้าเพราะว่าวันนี้มีเรียน

ช่วงบ่าย ผมก็มาอยู่ที่บ้านใหม่ มีกล่องกระดาษสิบกว่ากล่องกองอยู่ข้างผนัง ผมค่อยๆแกะกล่องออกทีละใบ และเอาของในกล่องออกมาจัดวางให้เข้าที่ พวกหนังสือก็เอาเข้าตู้หนังสือ พวกเสื้อผ้าก็เอาไปใส่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน ส่วนพวกของใช้อื่นๆที่ยังนึกไม่ออกก็ให้มันอยู่ในกล่องต่อไปก่อน เอาไว้นึกออกแล้วค่อยมาจัดการ

ผมนั่งจัดข้าวของอยู่คนเดียว บรรยากาศภายในบ้านใหม่ในตอนบ่ายวันเสาร์เงียบเหงา ต่างกับตอนเช้าอย่างสิ้นเชิงที่มีเพื่อนๆมาช่วยอย่างสิ้นเชิง เดิมทีผมคิดว่าผมคงมีความสุขในบ้านหลังนี้... บ้านทั้งหลังเป็นของเราเพียงคนเดียว... แต่เมื่อเข้ามาอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงผมก็ได้ลิ้มรสชาติของความเหงา...

ผมโทรศัพท์ไปรายงานพ่อและแม่ว่าย้ายของมาเรียบร้อยแล้ว คุยกันไม่นานนัก จากนั้นก็จัดของในบ้านใหม่คนเดียวอย่างเนือยๆ หูก็คอยฟังเสียงกริ่งโทรศัพท์ เผื่อว่าป้อมจะโทรมา ก่อนหน้านี้ผมให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านใหม่แก่ป้อมไป พร้อมกับคิดว่าอยู่ที่นี่การคุยโทรศัพท์สะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องคอยวิ่งไปรับโทรศัพท์และโทรศัพท์ตัดทุกห้านาที ไม่ต่องเข้าคิวใช้โทรศัพท์ อยากโทรเมื่อไรก็ได้ แต่สุดท้ายมีโทรศัพท์ก็กลายเป็นว่าไม่รู้จะคุยกับใคร...

ค่ำวันเสาร์

อาหารมื้อแรกภายในบ้านหลังใหม่ของผมเป็นข้าวผัดกะเพราที่ซื้อมาจากปากซอย อาหารการกินแถวนี้ต่างจากที่หอพัก อยู่ที่หอพักตอนค่ำก็ยังมีอาหารขาย ส่วนที่นี่ เนื่องจากแถวนี้เป็นย่านบ้านพักอาศัย ส่วนใหญ่ไม่มีใครกินอาหารเย็นนอกบ้าน ดังนั้นร้านอาหารแถวนั้นจึงปิดกันตั้งแต่บ่าย ผมต้องซื้อตุนเอาไว้ก่อนตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วมาอุ่นกิน ที่บ้านใหม่มีเตาไมโครเวฟไว้อุ่นอาหารด้วย สมัยนั้นเพิ่งเริ่มนิยมกัน ราคายังแพงอยู่ เครื่องหนึ่งขนาดประมาณ ๒๐ ลิตรก็ยังหลายพันบาท และเรื่องจริงที่น่าขำก็คือ ในยุคนั้นยังมีหลายคนทีเดียว คนที่มีการศึกษานี่แหละ บางคนยังแยกเตาอบไมโครเวฟกับเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ออก

กริ๊งงงงงง.... เสียงโทรศัพท์สายแรกดังขึ้น

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่อู เป็นไงบ้าง” เสียงงุ้งงิ้งน่ารักดังมาจากอีกด้านหนึ่ง

“ป่านนี้คุณชายเพิ่งจะโทรมา” ผมรู้สึกดีใจ แต่ก็อดต่อว่าไม่ได้

“ทำรายงานกลุ่มกันทั้งวันเลยพี่อู เนี่ย ป้อมเพิ่งจะกลับถึงบ้าน พอมาถึงก็รีบโทรมาหาพี่อูเลย” ป้อมพูด “วันนี้ย้ายของเหนื่อยไหม”

“ก็ไม่ค่อยเหนื่อยหรอก คนในหอช่วยกันหลายคน” ผมตอบ “ย้ายเสร็จหมดแล้วล่ะ ตอนนี้พี่อยู่บ้านใหม่แล้ว”

“อ้าว เสร็จแล้วเหรอ” ป้อมอุทาน “พรุ่งนี้ว่าจะไปช่วยพี่อูย้ายของ เตรียมแรงไว้เต็มที่เลย”

“เว่อจริงๆ” ผมอดหัวเราะไม่ได้ “ของก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่เห็นต้องเตรียมแรงอะไร”

“แล้วพรุ่งนี้...” ป้อมพูดแล้วค้างไว้

“ก็เหลือเอาของออกจากกล่องแล้วจัดให้เข้าที่เท่านั้นเอง พี่ค่อยๆทำไปเองก็ได้ พรุ่งนี้ไปดูหนังกันดีกว่า พี่อยากดูหนัง” ผมชวน

“ได้ฮะพี่อู” ป้อมตอบ “เอายังงั้นก็ได้”

หลังจากนั้นเราก็เลือกหนังกัน กว่าจะตกลงกันได้ก็เลือกเรื่องกันอยู่นาน

“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะคุณชาย” ผมพูด

“ฝันดีฮะพี่อู” ป้อมตอบ

-    - -

ต้นเดือนมิถุนายน เปิดเทอมใหม่

ในที่สุด วันหยุดในภาคฤดูร้อนก็สิ้นสุดลง และปีการศึกษาใหม่ก็เริ่มขึ้น ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามหรือที่เรียกว่าเป็นจูเนียร์แล้ว

ช่วงเวลาปิดเทอมที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ผมได้บ้านหลังใหม่ และผมก็มีความหวังใหม่ๆเกิดขึ้น โดยผู้ที่มาจุดประกายความหวังในดวงใจของผมก็คือป้อมนั่นเอง ตลอดปิดเทอมนั้นผมทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้แก่ป้อมและเรื่องบ้านหลังใหม่ เมื่อทุ่มเทให้กับด้านหนึ่ง ก็ต้องมีด้านอื่นที่บกพร่อง ปิดเทอมนั้นผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดน้อยมาก รวมทั้งเรื่องการเรียนที่รามคำแหงก็ขี้เกียจลงไปมาก ลงทะเบียนเรียนไป ๗ วิชา ไปสอบจริงๆได้แค่สองวิชาเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้ไปสอบเลย เพราะว่าไปสอบก็ไม่มีประโยชน์เนื่องจากไม่ได้อ่านหนังสือเลย ถึงไปสอบก็คงสอบตก ก็เลยไม่ไปสอบดีกว่า เอาไปพร้อมเมื่อไรค่อยไปแก้ตัว ดังนั้นในภาคฤดูร้อนผมจึงเก็บหน่วยกิตที่รามคำแหงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ได้เพียงสองสามวันก็เปิดเรียนแล้ว ผมยังไม่คุ้นชินกับที่อยู่ใหม่นัก กลางคืนเงียบและเหงาโคตรๆ แต่จะว่าไปแล้ว บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบ้านคุณลุงคุณป้าไม่มากนัก แม้ว่าจะอยู่กันคนละซอยย่อยแต่ว่าต้องเข้าทางปากซอยภาวนาเหมือนกัน อีกทั้งบรรยากาศในตอนกลางคืนก็เงียบๆคล้ายกับตอนที่อยู่กับคุณลุงคุณป้า ดังนั้นก็เหมือนกับว่าน่าจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แต่ทำไมจึงเหงาก็ไม่รู้

การเข้าออกปกติผมเข้าออกทางปากซอยภาวนา เนื่องจากเดินใกล้กว่าการออกทางซอยสุภาพงษ์ แต่ว่าก็ต้องคอยสอดส่ายสายตาระวัง ว่าจะเจอคุณลุงคุณป้าหรือไม่ หากเจอก็คิดว่าจะหลบ ที่จริงก็อยากเข้าไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังกลัวอยู่ ดังนั้นเมื่อสองจิตสองใจจึงยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมทั้งสองสักที

มาอยู่ในบ้านใหม่แต่การใช้ชีวิตบางอย่างกลับคล้ายๆเดิมเหมือนสมัยที่อยู่กับคุณลุงคุณป้า ผมเดินมาขึ้นรถ ปอ.๒ ที่ปากซอยภาวนาเช่นเดิม รวมทั้งกลับมาใช้บริการร้านค้าต่างๆในย่านปากซอยภาวนาเช่นเดิมหลังจากที่ไม่ได้ใช้บริการกันมาหลายปี

ด้านการเรียนของผม ในปีนี้เริ่มแตกต่างจากปีก่อน ตอนที่อยู่ชั้นปีสอง วิชาที่เรียนส่วนใหญ่เป็นวิชาพื้นฐานของแผนก ส่วนในปีนี้เป็นวิชาที่ยากยิ่งขึ้น มีแล็บและการฝึกปฏิบัติค่อนข้างมาก เพราะวิชาชั้นปีสามและปีสี่นี้คือวิชาที่เอาไว้ใช้ทำมาหากินหลังจากที่เรียนจบไปแล้ว บางทีก็มีการออกไปทัศนศึกษาเพื่อดูโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

เปิดเทอมก็ดีไปอย่าง ได้เจอเพื่อน ได้เจออาจารย์ การอยู่ร่วมกันในสังคมในเวลากลางวันทำให้ผมรู้สึกคลายเหงายามอยู่คนเดียวในเวลากลางคืนไปได้บ้าง

-    - -

วันเสาร์

ผมหยุดสอนพิเศษป้อมในวันเสาร์ที่แล้วที่ต้องย้ายบ้านเพียงสัปดาห์เดียว ในสัปดาห์ถัดมา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ผมกลับมาสอนป้อมเช่นเดิม การสอนของผมเป็นเช่นเดิม แต่การเรียนของป้อมกลับไม่ค่อยเหมือนเดิม เพราะว่า...

กริ๊งงงงงง...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังสอนป้อมอยู่

“พี่อู รอเดี๋ยวนะฮะ โทรศัพท์ของป้อมเองแหละ” ป้อมพูด พลางวิ่งปราดไปรับโทรศัพท์ที่อีกห้องหนึ่งโดยไม่ได้รอฟังคำตอบจากผม ป้อมหายไปสักพักหนึ่งก็กลับเข้ามา

“ต่อเลยฮะพี่อู” ป้อมพูดหลังจากที่นั่งเก้าอี้เรียบร้อย “เพื่อนโทรมา”

ผมสอนป้อมต่อไปได้อีกพักหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

“เดี๋ยวนะพี่อู ป้อมไปรับโทรศัพท์ก่อน เดี๋ยวมา” ป้อมพูด พลางวิ่งปราดไปรับโทรศัพท์อีกเช่นเคย

คราวนี้ป้อมหายไปนานขึ้น จากนั้นก็กลับเข้ามาอีก แต่ยังไม่ทันที่จะนั่งลงกับเก้าอี้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ป้อมรีบวิ่งออกไปรับอีก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นนี่คุณชาย” ผมถามหลังจากที่ป้อมกลับเข้ามา รู้สึกหงุดหงิดกับการรอคอย

“เพื่อนโทรมาน่ะพี่อู เพื่อนในกลุ่มมันมีปัญหากัน ป้อมเลยต้องจัดการไกล่เกลี่ยให้” ป้อมพูด

ผมเริ่มสังเกตว่าป้อมเปลี่ยนแปลงไปบ้างตั้งแต่เปิดเทอมมา ฟังจากที่ป้อมเล่า ป้อมไม่ใช่เด็กที่เงียบๆ เก็บตัว เหมือนเมื่อก่อน ป้อมดูป๊อบมากขึ้นในหมู่เพื่อนฝูง รวมทั้งป้อมเองก็ดูเหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ตอนปิดเทอม ป้อมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับผม ผมจึงยังไม่สังเกตเห็นอะไรมากนัก มาเห็นชัดเอาในตอนเปิดเทอม

“แล้วทำไมต้องเป็นป้อมไกล่เกลี่ยด้วยล่ะ” ผมพยายามระงับอารมณ์ที่หงุดหงิดลง

“ก็ป้อมเป็นหัวหน้ากลุ่มนี่” ป้อมตอบ “ก็เลยต้องเป็นหน้าที่ของป้อม”

“ป้อมเอาแต่คุยโทรศัพท์แบบนี้จะเรียนรู้เรื่องได้ไง แล้วอย่าว่าแต่ป้อมเลย พี่เองสอนๆหยุดๆก็ต่อไม่ถูกเหมือนกัน” ผมบ่น

“ไม่มีแล้วฮะพี่อู ป้อมก็บอกมันไปแล้วว่ากำลังเรียนอยู่ ตอนบ่ายค่อยโทรมา” ป้อมพูดเสียงอ้อน เสียงอ้อนของป้อมมักทำให้ผมใจอ่อนเสมอ

กริ๊งงงงงงง...

“โทษทีนะพี่อู ขออีกทีเดียว” ป้อมพูด พลางวิ่งจู๊ดออกไปรับโทรศัพท์อีก

Monday, March 18, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 70


ดึกแล้ว

สายลมยามดึกบนชั้นดาดฟ้าพัดเย็นสบาย ผมไม่ได้ขึ้นมายืนรับลมบนชั้นดาดฟ้านี้มานานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่านานมาก ชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของผมถือได้ว่าค่อนข้างมีความสุขทีเดียว ดังนั้นจึงไม่มีสาเหตุใดที่จะต้องมายืนปล่อยอารมณ์ครุ่นคิดในยามดึก... แต่ทว่าคืนนี้เป็นข้อยกเว้น

การสนทนากับป้อมเมื่อตอนหัวค่ำทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ทีแรกผมรู้สึกไม่พอใจที่ป้อมขอเลื่อนวันเรียนพิเศษ แต่ก็ต้องยอมตามเพราะมันเหมือนกับเป็นการมัดมือชก จะปฏิเสธคำขอของป้อมก็จะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ไป แต่เมื่อกลับมาที่ห้องแล้วผมกลับรู้สึกหงุดหงิดกลัดกลุ้มไม่คลาย ในที่สุดก็ต้องมายืนชมวิวในความมืดที่ชั้นดาดฟ้าอีก

ชั้นดาดฟ้าในยามดึกมืดมิดเพราะห้องพักที่มีอยู่สองห้องปิดไฟนอนกันหมดแล้ว จำได้ว่าเมื่อก่อนผมชอบมายืนชมวิวยามดึกบนชั้นดาดฟ้าบ่อยๆ พร้อมกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล... ผมชอบบรรยากาศที่มืดมิดและเงียบสงบ ในยามที่ผมว้าวุ่นใจ ที่นี่สามารถช่วยให้ใจของผมสงบลงได้

ในคืนเดือนมืด ที่ดาดฟ้านี้ผมสามารถมองเห็นดาวพราวกระจ่างฟ้า มันเหมือนกับมีสายตาของใครบางคน... คนที่ผมเคยผูกพันด้วยมากที่สุด... กำลังจับจ้องมองมาที่ผม ที่นี่... ที่ที่ผมสามารถปล่อยความคิดและจินตนาการของผมไปได้ไกลแสนไกล... มันเหมือนกับว่าผมสามารถฝากคำคิดถึงไปกับสายลมเพื่อส่งไปถึงคนที่ผมเคยผูกพันด้วยมากที่สุด... ในดินแดนอันไกลโพ้นที่ผมไม่เคยรู้จัก...

แต่ในวันนี้ ในวันที่ชีวิตของผมก็ด้าวเดินไปข้างหน้า ผมก็ได้ทิ้งเรื่องราวและความทรงจำต่างๆเอาไว้เบื้องหลัง... นับวันผมก็ยิ่งก้าวเดินห่างจากอดีตมาเรื่อยๆ ผมจึงไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้ความคิดเงียบๆในยามดึกบนชั้นดาดฟ้านี้อีก และต่อไป ผมก็คงไม่มีโอกาสขึ้นมาบนนี้อีกแล้ว... ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

ผมทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังขอบฟ้าอันแสนไกล อดีตที่ผมพยายามลืมเลือนย้อนกลับมาสู่ห้วงคิดคำนึงของผมอีก...

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าทำไมวันนี้ผมจึงหงุดหงิดกับเรื่องของป้อมได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ตามเหตุผลแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นักเรียนที่เรียนพิเศษด้วยขอเลื่อนวันเรียนสักครั้ง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ทำไมผมจึงรู้สึกไม่พอใจเอามาก ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายใจ...

เสียงลูกบิดประตูและเสียงเปิดประตูดังขึ้นในความมืด จากนั้นประตูห้องของพี่ธิตก็เปิดออกพร้อมกับแสงไฟในห้องที่สาดลอดออกมา จากนั้นก็เดินลงบันไดไป และไม่นานก็กลับขึ้นมาอีก

พี่ธิตคงเดินออกมาเพื่อลงไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อพี่ธิตกลับขึ้นมาและเหลือบเห็นผมเข้า ก็เดินเข้ามาหา

“ไง อู หมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย อยู่หอเดียวกันแท้ๆ” พี่ธิตทักทาย

“ครับพี่ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อยู่ที่หอเลย ออกเช้า กลับค่ำ กลับมาก็หมดแรง เลยไม่ค่อยได้ขึ้นมา” ผมตอบ

“เมื่อก่อนเห็นอูชอบขึ้นมามองดูดาวตอนดึกๆ แล้วก็ไม่ได้ขึ้นมาเสียนานเลย นี่ขึ้นมาดูดาวอีกแล้ว” พี่ธิตตั้งข้อสังเกต แม้ว่าคำพูดของพี่ธิตจะเป็นประโยคบอกเล่า แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือคำถามนั่นเอง

“พี่นี่ช่างสังเกตจัง” ผมชม “ผมชอบขึ้นมาตอนดึกๆ ดูดาวบนนี้แล้วใจสงบดีครับ”

ผมเงียบไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ

“ต่อไปคงไม่ได้ขึ้นมาบนนี้อีกแล้ว... เลยขึ้นมาเสียหน่อย”

ถึงผมจะตอบเลี่ยง ไม่ได้บอกว่าผมมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ แต่ที่ตอบไปก็เป็นความจริง แม้ว่าผมจะไม่มีเรื่องวุ่นวายใจอะไร ถึงอย่างไรก่อนย้ายออกไปจากหอพักนี้ผมก็ต้องขึ้นมาดูดาวบนดาดฟ้านี้สักครั้งอยู่ดี

“ใจหายเหมือนกันนะอู กินเหล้าด้วยกันมาหลายปี สุดท้ายก็ต้องจากกันเสียแล้ว” พี่ธิตพูด

คำพูดของพี่ธิตทำให้ผมอดใจหายวูบไม่ได้เช่นกัน จริงสินะ หลายปีมานี้ ผมมีความทรงจำอยู่ที่นี่มากมายจริงๆ ผมคุ้นชินกับที่นี่จนเหมือนกับเป็นบ้านของผม แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะเป็นเพียงหอพักที่เช่าอาศัยก็ตาม ห้องนอนรกๆ ห้องน้ำรวมต้องต่อคิว วงเหล้าเคล้าเสียงกีตาร์กับเพื่อนๆร่วมหอพัก ฯลฯ แม้ว่าผมจะอาลัยอาวรณ์ที่นี่มากเพียงใด แต่สุดท้าย ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเดินทางต่อไป...

“นั่นสิพี่ ผมเองก็ใจหาย” ผมบอกความในใจออกมา

พวกที่หอพักเพิ่งจะรู้เรื่องที่ผมกำลังจะย้ายออกเพียงไม่นานนัก หลังจากที่ผมบอกคืนห้องแก่พี่พรจึงค่อยบอกกับพี่ธิต น้องปั้น และคนอื่นๆ คนที่อยู่ในกลุ่มของพี่ธิตล้วนแต่พักอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว มาอยู่กันก่อนที่ผมจะย้ายเข้ามาเสียอีก ถือได้ว่าเป็นปิยมิตรที่สนิทสนมและคุ้นเคยกันมานาน

“แต่ก็ดีแล้วล่ะ” พี่ธิตถอนหายใจพลางพูดต่อ “ไม่มีใครอยากอยู่ห้องเช่าไปจนตลอดชีวิตหรอก มีที่ไปก็ต้องไป พี่เองก็เก็บเงินซื้อบ้านอยู่เหมือนกัน แต่คงอีกหลายปีกว่าจะสำเร็จ”

“ผมแค่โชคดีกว่าพี่บ้าง แต่อีกหน่อยพี่ก็ต้องทำสำเร็จจนได้” ผมปลอบใจพี่ธิต ผมรู้ดีว่าคำว่าบ้านมีความหมายมากเพียงใด พี่ธิตเคยเล่าว่าที่ต้องมาอยู่หอพักเช่นนี้ก็เพราะว่ามีภาระต้องส่งเสียทางบ้านอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่พร้อมที่จะผ่อนบ้าน ได้แก่เก็บออมฝากธนาคารเอาไว้ก่อน

“ไม่สู้ก็ต้องสู้ล่ะ” พี่ธิตพูด “ไม่งั้นก็ต้องเช่าหอพักอยู่ไปจนแก่”

“อีกหน่อยผมคงเหงาแย่เลย เพราะว่าพี่ชายยังไม่รู้ว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยเมื่อไร” ผมพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ถ้าเหงาก็แวะมาเยี่ยมพวกเราที่นี่บ้าง” พี่ธิตพูด “มานั่งกินเบียร์กัน”

“ได้เลยพี่” ผมตอบ “ค่ำๆมานั่งกินเบียร์ด้วยคงพอได้ แต่ตีสองตีสามจะมายืนดูดาวบนดาดฟ้าคงไม่ได้แล้ว พี่พรคงไม่ให้เข้ามาแน่”

“จะดูอะไรกันนักหนา ดูที่บ้านใหม่ของอูก็ได้” พี่ธิตหัวเราะ

“มันไม่เหมือนกันหรอกพี่” ผมตอบ “ผมชอบยืนดูดาวที่นี่ มัน... ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง...”

“พี่รู้ว่าอูคงมีเรื่องฝังใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับที่นี่ ถ้าอยากมาดูดาวบนดาดฟ้าอีกก็มาค้างที่ห้องพี่ก็ได้ มาได้ทุกเมื่อ” พี่ธิตพูดพลางเอามือตบไหล่ของผม “ยินดีต้อนรับเสมอ”

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณพี่สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาด้วย...”

“เฮ้ย อู คืนนี้เป็นอะไรไปน่ะ” พี่ธิตแปลกใจ “ดูแปลกๆไป”

“คงรู้สึกใจหายที่ต้องย้ายน่ะครับ” ผมกลบเกลื่อน

“หรือมีเรื่องอย่างอื่น” พี่ธิตพูดดักคอ

“...”

“วัยนี้จะมีอะไร ก็มีแต่เรื่องความรัก ใช่ไหมอู” พี่ธิตพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว “ทะเลาะกับสาวมาละสิ”

ความรัก ทะเลาะกับสาว มันก็ไม่ใช่ ไม่เชิง เพราะว่าผมไม่ได้ชอบสาวที่ไหน แต่ที่ผมชอบกลับเป็นเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง...

“พี่ธิตจะไปนอนก่อนก็ได้ครับ ขอผมอยู่บนนี้อีกเดี๋ยว แล้วก็จะลงไปนอนเหมือนกัน” ผมตอบ

“ถ้าเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ก็แปลว่าใช่” พี่ธิตหัวเราะ “นิสัยเราน่ะไม่เคยเปลี่ยน งั้นพี่ไปนอนก่อนล่ะ”

ว่าแล้วพี่ธิตก็เดินกลับเข้าห้องไป เมื่อไฟในห้องพี่ธิตปิดลง ดาดฟ้าก็กลับไปมืดและสงบเช่นเดิม...

- - -

หลายวันต่อมา เวลาสี่ทุ่ม

ผมนั่งหงุดหงิดวุ่นวายใจอยู่ในห้อง ทำอะไรก็ทำไม่ถูก จะอ่านหนังสือก็อ่านไม่รู้เรื่อง จะนอนก็นอนไม่หลับ ใจจดจ่อรอแต่โทรศัพท์

หลายวันมานี้ป้อมไม่ได้โทรมาหาผมเลย ทุกวันผมนั่งรอโทรศัพท์อยู่ภายในห้องพักตั้งแต่ทุ่มกว่าจนถึงสี่ห้าทุ่ม จะทำอะไรก็ไม่มีสมาธิ แต่สุดท้ายก็เสียเวลาคอยโดยเปล่าประโยชน์ เพราะว่าป้อมไม่ได้โทรมา คืนแล้วคืนเล่าที่ผมนั่งรอโทรศัพท์แบบลมๆแล้งๆอยู่อย่างนี้ วันเวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างโหดร้าย มีแต่คนที่เคยมีประสบการณ์เฝ้ารอแบบนี้จึงจะเข้าใจว่ามันทำให้วุ่นวายใจและฟุ้งซ่านได้มากเพียงใด...

วันอาทิตย์

ในที่สุดก็ถึงวันอาทิตย์ ผมเดินทางไปสอนป้อมด้วยหัวใจที่หงุดหงิด สัปดาห์นั้นเป็นสัปดาห์ที่ผมหงุดหงิดวุ่นวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การรอคอยโทรศัพท์ทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร

“เย้ พี่อู เข้ามาเร้ว” ป้อมชะโงกหน้าออกมาทางประตูเล็กหน้าบ้านภายหลังจากที่ผมกดออด จากนั้นป้อมก็ฉุดมือผมและดึงผมเข้าไปในบ้านอย่างสนิทสนม เมื่อผมได้สัมผัสมืออันอบอุ่นของป้อม ความหงุดหงิดของผมสลายคลายไปจนเกือบหมดสิ้น

“เมื่อวานไปไหนมาล่ะ” ผมถามป้อม แม้จะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงของผมห้วนอยู่บ้าง

“ไปดูหนังแล้วก็กินข้าวกับเพื่อนๆมา” ป้อมตอบอย่างอารมณ์ดี “โอ๊ย หนังโคตรสนุกเลย”

“แล้วคิดจะชวนพี่ดูบ้างไหมเนี่ย” ผมถามแบบทีเล่นทีจริง

“ก็ป้อมดูไปแล้วนี่ ดูซ้ำก็ไม่หนุกแล้ว เอาไว้ไปดูหนังเรื่องอื่นละกันนะพี่อู” ป้อมตอบ

“...”

ผมไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ จึงได้แต่เงียบ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“แล้วบ่ายนี้คุณชายจะทำอะไร” ผมถาม ตั้งใจว่าจะชวนป้อมออกไปหาอะไรแล้วก็ดูหนัง แม้ว่าผมจะรู้สึกหงุดหงิดกับป้อม แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังอยากเจอ อยากคุย และอยากใช้เวลาร่วมกับป้อมอยู่ดี

“บ่ายนี้ป้อมต้องทำการบ้าน” ป้อมตอบ “การบ้านส่งวันจันทร์เป็นตั้งเลย ตอนบ่ายพี่อูอยู่ช่วยป้อมทำการบ้านหน่อยนะฮะ”

“ไม่ออกไปหาอะไรกินกันหน่อยเหรอ” ในที่สุดผมก็อดไม่ได้ต้องบอกความต้องการของผมออกไป

“เมื่อวานป้อมเพิ่งไปเที่ยวมาทั้งวัน วันนี้อยากอยู่บ้านทำการบ้านมากกว่า” ป้อมปฏิเสธ “พี่อูอยู่ช่วยป้อมหน่อย นะพี่อู”

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกอย่างไม่มีเหตุผล ที่จริงมันก็คงมีเหตุผลนั่นแหละ แต่ก็เหมือนกับว่ามันเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก และแม้ว่าผมจะหงุดหงิดเพียงใด ผมก็ยังอยากมีเวลาอยู่ร่วมกับป้อมอยู่ดี ดังนั้นในที่สุดผมจึงรับปากที่จะอยู่ช่วยป้อมทำการบ้านในตอนบ่าย

หลังจากที่เรียนในภาคเช้าเสร็จ เราก็พักกินอาหารกัน จากนั้นช่วงบ่ายผมก็ช่วยป้อมทำการบ้าน การช่วยของผมก็ไม่มีอะไรมาก คืออะไรที่ป้อมทำได้ก็ปล่อยให้ป้อมทำไป ส่วนไหนที่ป้อมทำไม่ได้ผมจึงอธิบายแนวคิดและวิธีการแก้โจทย์ให้ป้อมฟัง การบ้านของป้อมเยอะแต่ไม่ยากนักเพราะเป็นบทต้นๆเนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาต้นเทอมอยู่ ส่วนใหญ่ป้อมทำเองได้ ดังนั้นงานส่วนใหญ่ในตอนบ่ายของผมจึงเป็นเพียงการนั่งเป็นเพื่อนป้อมเท่านั้น

ผมนั่งเหม่อมองดูวงหน้าที่คมคายแจ่มใสของป้อม ป้อมก้มหน้าก้มตาทำการบ้านจึงไม่ได้สังเกตว่าผมกำลังจ้องมองอยู่ ใบหน้าอันคมคายของป้อมยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก น่าหลงใหล ผมมองดูป้อมจนเพลินพร้อมกับคิดฝันไปเรื่อยเปื่อย เมื่อก่อนนี้ ตอนที่ผมมาสอนป้อมใหม่ๆ ป้อมไม่ได้มีเสน่ห์อะไรที่ดึงดูดใจผมเลย แต่พอนานวันเข้า... จนถึงวันนี้ ผมกลับมีความฝันบ้าๆบอๆขึ้นมา... ผมฝันว่าสักวันหนึ่งป้อมจะร่วมเดินบนเส้นทางชีวิตของผม...

“เย้... เสร็จแล้วพี่อู” ป้อมร้องเสียงดังพร้อมกับวางปากกาในมือลง “เขียนจนมือแทบหงิก”

“แค่นี้ทำเป็นบ่น” ผมตื่นจากห้วงคิดคำนึง กลับสู่โลกของความเป็นจริง

“พี่อูนั่งดูเฉยๆจะไปรู้อะไร” ป้อมพูด พลางยื่นมือขวามาที่เบื้องหน้าของผม สลัดมือเบาๆ “เสียวเอ้อ ช่วยหน่อยเร็ว”

ผมคว้ามือป้อมมาบีบนวดเหมือนเช่นเคย มันเป็นมุขขำที่เราชอบเล่นกัน ความน่ารักของป้อมทำให้ความขุ่นข้องหมองใจที่ผมสะสมมาตลอดสัปดาห์สลายไปจนหมดสิ้น มือที่นุ่มเนียนและอบอุ่นของป้อมทำให้จิตใจของผมเตลิดเปิดเปิงไปไกล

“ป้อมทำการบ้านเสร็จแล้ว พี่จะได้กลับเสียที” ผมพูดหลังจากนวดมือให้ป้อมเสร็จ แม้ว่าผมยังไม่อยากกลับแต่ผมก็จำเป็นต้องไป พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต่างๆรออยู่อีกมากมาย  “เสาร์อาทิตย์หน้าพี่คงไม่ได้มาสอนป้อมนะ คงต้องเว้นไปสัปดาห์หนึ่ง”

“อ้าว ทำไมล่ะพี่อู” ป้อมถาม

“พี่จะย้ายแล้ว จะย้ายเข้าบ้านใหม่เสาร์อาทิตย์หน้านี้แหละ” ผมตอบ

“โห ไวจัง” ป้อมอุทาน “บ้านใหม่ตกแต่งเรียบร้อยแล้วเหรอ”

“สัปดาห์นี้คงเก็บงานทุกอย่างได้หมด แล้วเสาร์กับอาทิตย์ก็ย้ายของจากหอพักไปเข้าบ้านใหม่ นี่ก็ใกล้ก็สิ้นเดือนแล้ว ถ้ายังไม่ย้ายก็ต้องจ่ายค่าเช่าอีกเดือน ก็ย้ายเสียเลยดีกว่า” ผมอธิบาย “ป้อมมาช่วยพี่หน่อยสิ”

“ได้เลยพี่อู เดี๋ยวป้อมจะไปช่วยย้ายของ” ป้อมรับปากทันที

“ขอบใจนะป้อม” ผมพูด

- - -

ปลายเดือนพฤษภาคม

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน บ้านใหม่ของผมก็ตกแต่งเรียบร้อย พร้อมที่จะย้ายเข้าอยู่ได้ ที่จริงก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ที่คิดโครงการเอาไว้ใหญ่โตว่าจะทาสีใหม่ จะทำนั่น จะทำนี่ ในที่สุดก็ลดขนาดโครงการลงมาเพราะว่าต้องการประหยัดเงิน กลายเป็นว่าไม่ทาสีใหม่ ใช้ไปตามสภาพที่เป็นอยู่ เพราะว่าค่าทาสีใหม่ทั้งหลังก็หลายหมื่นบาททีเดียว 

นอกจากนี้ เครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านที่เดิมคิดเอาไว้ใหญ่โต จะมีชุดรักแขกสวยๆ จะมีโต๊ะกินอาหารสวยๆ มีโต๊ะทำงานสวยๆ ห้องนอนสวยๆ ฯลฯ สุดท้ายก็ไม่ได้สักอย่าง ตัดลดค่าใช้จ่ายลงมาจนได้เพียงห้องนอนที่มีตู้ โต๊ะ เตียง ราคาปานกลาง ชุดรับแขกก็เป็นโซฟาหนังเทียมหลักพันบาท โต๊ะกินอาหารก็เป็นโต๊ะหกที่นั่งทำด้วยไม้ยางพารา ราคาเป็นหลักพันบาทเช่นกัน ความฝันก็เก็บเอาไว้ฝันตอนกลางคืน ส่วนชีวิตจริงก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมรู้ว่าฐานะทางบ้านคงไม่เอื้ออำนวยให้ผมฟุ่มเฟือยได้ ได้มาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว แม้ว่าพ่อไม่เคยตั้งวงเงินกับผมว่าใช้ได้ไม่เกินเท่าไร รวมทั้งไม่เคยซักถามผมว่าที่ขอไปนั้นเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง แต่ผมก็รู้ดีว่าฐานะทางบ้านมีจำกัด ดังนั้นจึงใช้อย่างประหยัดที่สุด

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็มีแอบหรูบ้างในบางเรื่อง ก็ยอมรับว่าบางอย่างก็อดไม่ได้ที่จะทำตามใจตนเอง อย่างเช่นเรื่องตู้ครัว เห็นตู้บิลต์อินสวยๆก็อยากได้บ้าง รวมทั้งผมยังได้สั่งทำตู้หนังสือไปชุดหนึ่ง เป็นราคาหมื่นกว่าบาท ซึ่งถือว่าแพงในสมัยนั้น ตู้หนังสือสวยๆเป็นความใฝ่ฝันของผมมานานแล้ว บางคนอยากได้รถสวยๆ บางคนอยากได้เสื้อผ้าแบรนด์แพงๆ แต่สำหรับผม ผมอยากได้ตู้หนังสือหรูๆในห้องนอน เดิมทีคิดว่าจะทำเป็นตู้หนังสือบิลต์อินอยู่ในห้องให้เต็มผนังห้องด้านหนึ่งไปเลย แต่ช่างบอกว่ากำแพงห้องนอนของผมนั้นเลื้อยมาก หมายถึงว่าแนวกำแพงไม่ตรง ทำให้ทำตู้บิลต์อินได้ยาก สุดท้ายเลยทำมาเป็นตู้ขนาดกลางสามใบ เอามาเรียงต่อกัน ซึ่งเมื่อวางแล้วก็เข้าชุดกันเหมือนเป็นตู้ใบเดียว ดูสวยทีเดียว

นอกจากนี้ เงินอีกจำนวนหนึ่งก็หมดไปเป็นค่าเครื่องปรับอากาศในห้องนอน ทั้งบ้านติดตั้งเพียงตัวเดียวเพื่อความประหยัด แต่แม้ว่าจะประหยัดอย่างไร เพียงแค่แอร์ ตู้ครัว กับตู้หนังสือ รวมกันก็เกือบแสนบาทเข้าไปแล้ว จึงต้องไปตัดลดด้านอื่นๆจนหมด

“น้องอู รับโทรศัพท์ด้วยค่ะ” เสียงพี่พรดังลั่นออกมาจากอินเตอร์คอมในคืนวันหนึ่ง

ผมรีบวิ่งลงไปรับโทรศัพท์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคอยโทรศัพท์จากป้อมทุกวัน ถึงเวลาค่ำก็ไม่เป็นอันทำอะไร ชะเง้อคอยโทรศัพท์แบบลมๆแล้งๆไปจนดึก ซึ่งป้อมเองตั้งแต่เปิดเรียนก็ไม่ได้โทรมาทุกวันเหมือนเช่นที่เคยทำในช่วงปิดเทอม หลายๆวันจึงจะโทรมาหาผมสักครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล” ผมรับสาย ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนกับต้นไม้ที่ขาดน้ำมาหลายวันแล้วพลันก็มีฝนตกลงมา

“ฮัลโหล พี่อู ทำไรอยู่น่ะ” ป้อมทักทายพร้อมกับถามเสียงงุ้งงิ้ง “ห้ามตอบว่าคุยโทรศัพท์อยู่นะ”

“รู้ทันเชียว... ก็... ตอบว่านั่งทำงานอยู่ละกัน” ผมกวน “หายตัวไปหลายวันไม่โทรมาเลยนะคุณชาย”

“นี่ก็โทรมาแล้วไง” ป้อมหัวเราะทะเล้น

“ที่โทรมานี่มีอะไรพิเศษหรือเปล่า” ผมถาม คำถามนี้ผมถามไปยั้งงั้นเอง ที่จริงทุกครั้งที่ป้อมโทรมาก็เป็นการคุยกันสัพเพเหระ ไม่ได้มีอะไรพิเศษอยู่แล้ว

“ก็...” ป้อมอึกอัก “มีนิดหน่อย”

“มีเรื่องอะไรเหรอ” คำพูดของป้อมทำให้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล

“ก็... วันเสาร์นี้ป้อมคงไปช่วยพี่อูย้ายบ้านไม่ได้...” ป้อมอึกอักอีก

“อ้าว...” ผมอุทาน รู้สึกว่าเสียงอุทานของตนเองกลายเป็นเสียงแหบพร่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“วันเสาร์ป้อมมีนัดทำงานกลุ่มฮะ” ป้อมพูด

“ก็ป้อมรับปากกับพี่แล้ว...” ผมพูด แล้วก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น อยากพูดอะไรให้มากกว่านั้นแต่ก็ยั้งใจเอาไว้

“ขอโทษนะพี่อู” น้ำเสียงของป้อมจ๋อยลง “แต่มันนัดทำงานกลุ่มกัน ทุกคนไปกันหมด ถ้าป้อมไม่ไปก็จะกลายเป็นว่าป้อมไม่ร่วมมือ... แต่วันอาทิตย์ป้อมไปได้นะ ป้อมจะไปช่วยพี่อูเต็มที่เลย... ”



<ร้านขายเครื่องเรือนบนถนนลาดพร้าว ย่านลาดพร้าวตั้งแต่ซอย ๒๕ ไปจนถึงซอย ๓๕ เมื่อก่อนเป็นร้านขายเครื่องเรือนตลอดทั้งช่วง รวมไปจนถึงซอยลาดพร้าวฝั่งตรงข้าม คือฝั่งซอยคู่ ตั้งแต่ซอย ๓๔ ไปจนถึงซอย ๔๒ เฟอร์นิเจอร์ที่ขายในย่านนี้มีทุกระดับ ตั้งแต่เครื่องเรือนสำเร็จรูป โต๊ะเก้าอี้พลาสติกราคาถูก ไปจนถึงงานเครื่องเรือนไม้ระดับหรูหรา ล้วนแล้วแต่หาได้ในย่านนี้ทั้งหมด

กาลเวลาผ่านไป งานช่างฝีมือทำเครื่องเรือนกลายเป็นวิชาชีพที่ไม่มีใครสานต่อแม้ว่าจะเป็นงานที่ทำรายได้สูงก็ตาม การทำเครื่องเรือนในระบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่ ร้านเฟอร์นิเจอร์หลายร้านที่เป็นงานช่างฝีมือก็ต้องปิดตัวไปเพราะหาช่างฝีมือไม่ได้

จนถึงในยุคปัจจุบัน มีคอนโดมีเนียมเกิดขึ้นในย่านนี้หลายสิบโครงการ ร้านเฟอร์นิเจอร์ในย่านนี้จึงยังคงความคึกคักมาได้ตลอดเวลาหลายสิบปี แต่รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน รวมทั้งจำนวนร้านก็มีน้อยลง ร้านเหล่านี้ในปัจจุบันเน้นที่การขายเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่รับมาจากโรงงานเป็นหลัก

ที่เห็นในภาพนี้เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ระหว่างซอยลาดพร้าว ๓๘ กับ ๔๐ ในปัจจุบัน>

Thursday, February 28, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 69

ตอนสายของวันต่อมา ที่หน้าร้านเฟอร์นิเจอร์

ป้อมมาช่วยผมเลือกเฟอร์นิเจอร์ตามที่ได้นัดกันไว้ ตั้งแต่ปากซอยลาดพร้าว ๒๕ ไปจนถึงปากซอยลาดพร้าว ๓๓ ทั้งสองฝั่งถนน คือทั้งฝั่งซอยคู่และซอยคี่ มีร้านเฟอร์นิเจอร์นับสิบร้าน ผมเห็นร้านเหล่านี้ทุกวันเป็นเวลาหลายปีจนชินตา แต่มาวันนี้ ในวันที่ผมต้องเลือกซื้อเครื่องเรือนเอง ผมกลับรู้สึกว่าร้านเหล่านี้แปลกใหม่ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ละร้านมีเครื่องเรือนให้เลือกมากมาย ทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบสั่งทำ ทั้งแบบหรูและแบบราคาประหยัด บางร้านก็เลื่อยไม้ ทาสี และประกอบเครื่องเรือนกันอยู่หน้าร้านนั่นเอง  บรรยากาศคึกคักมาก

แม้ว่าในปัจจุบันร้านเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะยังอยู่ แต่ว่าลักษณะของสินค้าเครื่องเรือนเปลี่ยนไป โดยในปัจจุบันร้านส่วนใหญ่จะขายสินค้าคล้ายๆกัน คือเป็นเครื่องเรือนสำเร็จรูปที่รับมาจากโรงงานผลิตอีกทีหนึ่ง ไม่มีร้านไหนผลิตเครื่องเรือนเองอีกแล้วเนื่องจากปัจจุบันช่างทำเครื่องเรือนหาได้ยากมาก ช่างรุ่นเก่าก็วางมือไปเพราะสูงวัย ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ไม่มีใครอยากทำงานประเภทนี้ และแม้ว่ามีช่างรุ่นใหม่อยู่บ้างแต่ฝีมือช่างรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ประณีตสวยงามสู้ช่างรุ่นเก่าไม่ได้

“โห เยอะแยะไปหมด” ป้อมอุทานเมื่อผมพาเดินเข้าไปในร้านเฟอร์นิเจอร์ร้านหนึ่ง เป็นร้านขนาดหกคูหาติดกัน ข้าวของที่วางอยู่หน้าร้านว่าเยอะแล้ว พอเข้าไปข้างในยิ่งตะลึงเพราะเฟอร์นิเจอร์ในร้านเยอะมาก อัดและซ้อนกันจนแน่นไปหมด

“นั่นน่ะสิ” ผมเห็นด้วย “ขนาดพี่เห็นร้านพวกนี้ทุกวันยังไม่รู้เลยว่าข้างในร้านมีของเยอะขนาดนี้”

“รับอะไรดีคร้าบ” หนุ่มตี๋แก้มยุ้ย วัยประมาณ ๓๐ ปี เดินปราดเข้ามาทักทาย

“เอ้อ...” ผมอึ้งไป นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะรับอะไรดี เพราะว่าเครื่องเรือนที่ต้องการมีหลายอย่าง แทบจะทั้งบ้าน เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร “ยังไม่รู้เหมือนกันครับ”

“ซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านใหม่หรือเปล่าล่ะ” หนุ่มตี๋ยิ้มอย่างใจเย็น แล้วเปลี่ยนคำถามใหม่ หางเสียงครับหายไปแล้ว แต่กลายเป็นน้ำเสียงคุยกันอย่างกันเองแทน

“ก็ไม่เชิงครับ” ผมตอบ “บ้านมือสอง แต่ว่าแทบจะเป็นบ้านเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลย ผมยังนึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรเข้าบ้านดี ก็เลยมาเดินดูแถวนี้”

“อ๋อ สบาย” หนุ่มตี๋ยิ้มจนแก้มตุ่ย “เดี๋ยวช่วยคิดให้ ใจเย็นๆ เฟอร์นิเจอร์หลักๆก็มีห้องรับแขก แล้วก็ห้องนอน ห้องกินข้าว ห้องครัว จะเอาแบบลอยตัวหรือบิลต์อินละ”

“ของผมเป็นทาวน์เฮาส์น่ะ ยังไม่รู้ว่าจะเอาแบบไหนถึงจะดี พี่แนะนำหน่อยสิ” ผมพลอยคุยอย่างกันเองบ้าง

คนขายสาธยายอย่างคล่องแคล่ว แถมยังใจเย็น ไม่มีสีหน้ารำคาญ ดูท่าทางเป็นนักขายโดยสายเลือดจริงๆ ค่อยๆถามผมทีละประเด็น และให้คำแนะนำ แถมยังสเก็ตช์ภาพให้ดู จนผมพอเห็นภาพว่าผมต้องซื้ออะไรบ้าง
“ตามที่น้องเล่ามา พี่ว่าอย่างนี้แหละ ลงตัวแล้ว ชั้นล่าง ห้องหน้า ซื้อชุดรับแขกกับตู้โชว์ เอาตู้มากั้นพื้นที่ระหว่างห้องด้านหน้ากับห้องกินข้าว แล้วห้องกินข้าวก็ซื้อโต๊ะอาหารแบบหกที่นั่ง ชุดครัวทำเป็นตู้ครัวบิลต์อินดีกว่า สวยกว่าซื้อตู้กับข้าวมาตั้งเยอะแยะ เก็บของได้เยอะกว่าด้วย” คนขายพูดจนน้ำลายเป็นฟองที่มุมปาก อย่างนี้มั้งที่เรียกว่าน้ำลายแตกฟอง หยุดหายใจนิดหน่อยแล้วพูดต่ออีก

“ชั้นบนก็ซื้อเตียง โต๊ะเล็กหัวเตียง เครื่องนอน โต๊ะ ส่วนตู้เสื้อผ้าจะเอาแบบบิลต์อินไหม หรือจะซื้อตู้เสื้อผ้าสวยๆ ใบใหญ่ๆ ตั้งแบบลอยตัวก็ได้”

“เอ้อ แล้วพวกงานบิลต์อินนี่ต้องไปทำที่ไหนล่ะครับ” ผมตาม

“โอ๊ย ก็ทำที่นี่แหละ พี่ช่วยออกแบบและทำให้น้องจนเสร็จ ไม่ต้องห่วง ช่างร้านนี้ฝีมือดีที่สุดในย่านนี้ ค่าแรงช่างเฟอร์นิเจอร์คนหนึ่งวันละเท่าไรรู้ไหม หัวหน้าช่างวันละพันห้าเลยนะน้อง อุ๊ย ขอโทษ” หนุ่มตี๋ ขอโทษขอโพยพร้อมกับเอามือมาเช็ดฝอยน้ำลายของตนเองที่กระเซ็นมาบนแขนของผม

หลังจากคุยกันสักพักผมก็พอได้แนวทางแล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป จากนั้นก็ขอตัวเดินชมเฟอร์นิเจอร์ไปเรื่อยๆก่อน

“ได้ๆ เชิญชมตามสบาย สนใจชิ้นไหนเรียกถามได้เลย ชั้นบนก็มีอีกนะ ของเยอะแยะเลย ขึ้นไปดูได้” พี่แก้มตุ่ยพูดทิ้งท้ายจากนั้นก็เดินจากไป ปล่อยให้ผมเดินชมเฟอร์นิเจอร์กับป้อมอย่างสบายๆ ผมว่าพี่คนนี้ขายของเก่งมาก มีการทิ้งจังหวะให้ผมเดินชมเอง ทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดขาย

“นึกว่าจะขาดใจตายเสียแล้ว พูดจนไม่หายใจ” ป้อมเอียงหน้ามากระซิบกับผมหลังจากที่คนขายเดินจากไป “ป้อมหลบน้ำจิ้มของพี่แกเกือบไม่ทัน”

ผมหัวเราะกับสำนวนของป้อม ใบหน้าของป้อมน่ารักจนผมอดใจไม่ได้ มองซ้ายมองขวาเห็นว่าเป็นจังหวะปลอดคน จึงเอื้อมมือไปหยิกแก้มของป้อมทีหนึ่ง

“เราน่ะ พูดไม่ได้น้อยไปกว่าพี่คนนี้เลยนะ” ผมเหน็บ

ป้อมป่องแก้มจนกลม เป็นความหมายท้าทายให้หยิกอีก

“น้อยหน่อย ป้อมเนี่ยนะพูดเยอะ เอาที่ไหนมาพูด” ป้อมเถียง

ผมแอบหยิกแก้มป้อมไปอีกหนึ่งที

“พี่รู้นะ ว่าป้อมเคยเลี้ยงนกแก้ว แล้วตายไปหลายตัว จนเลิกเลี้ยง” ผมพูด “นี่เป็นหลักฐานว่าคุณชายช่างพูดขนาดไหน”

ตุ้บ

“โอ๊ย เจ็บ” ผมหัวเราะ พร้อมกับเอามือปิดหมัดของป้อม “ทำไมต้องลงไม้ลงมือด้วย อายชาวบ้านเค้า”

“ใครกันแน่ที่ช่างพูด ป้อมว่าพี่อูนี่แหละ” ป้อมไม่ยอม

“เอ้า อย่าเพิ่งตีกัน คุณชายช่วยพี่เลือกของก่อนดีกว่า พี่รู้แล้ว วันนี้เราดูชุดโซฟา ชุดกินอาหาร เตียง โต๊ะทำงาน แล้วก็ตู้เสื้อผ้า ต้องจดก่อน เดี๋ยวลืม” ผมพูด พลางหยิบสมุดจดออกมาเขียนรายการลงไป

จากนั้นผมกับป้อมก็ช่วยกันเดินดูเฟอร์นิเจอร์ตามรายการที่ต้องการ แต่เนื่องจากเครื่องเรือนมีหลายแบบ หลายสไตล์ หลายสี และหลายราคามาก เราสองคนดูกันไป เถียงกันไป เดิมทีที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจว่าควรจะซื้ออะไร สุดท้ายก็กลับไปงงอย่างเก่าเพราะเครื่องเรือนมีให้เลือกเยอะมากเยอะจนเลือกไม่ถูก

“งงวุ้ย” ผมพูดเบาๆ พลางเหลือบตาดูน้องน้อยที่ช่วยผมเลือกเครื่องเรือนอยู่หลายชั่วโมง ผมเริ่มมีความคิดแปลกๆวูบเข้ามาในหัว... ตอนนี้ผมก็มีบ้านแล้ว นี่ถ้าผมมีใครสักคน... คนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน... เข้าใจกัน แค่สบตากันก็รู้ใจกัน... ถ้าผมมีคนแบบนั้นสักคน... ที่ผมสามารถใช้ชีวิตร่วมด้วย ชีวิตนี้ผมก็คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“ป้อมก็งงเหมือนกัน” ป้อมพูด “ป้อมงงว่าทำไมพี่อูงง”

“ของมันเยอะจนเลือกไม่ถูก” ผมตอบ “อย่างชุดโซฟาก็มีหลายแบบ หลายขนาด แถมยังวางกองซ้อนกัน ไม่รู้ซื้อไปแล้วจะวางพอดีบ้านหรือเปล่า ถ้าซื้อใหญ่ไปก็คับบ้านอีก”

ผมหยุดคิดนิดหนึ่ง นึกถึงหนังสือเกี่ยวกับบ้านที่เคยอ่านมา นึกได้ว่าในหนังสือสอนไว้ว่าให้เขียนผังบ้านในกระดาษให้รู้ขนาดพื้นที่ใช้สอย แล้วก็จะรู้ว่าตรงไหนมีพื้นที่วางเครื่องเรือนได้มากน้อยเพียงใด

“สงสัยว่าต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ด้วยการวัดขนาดห้องต่างๆในบ้านมาให้ละเอียดแล้วเขียนผังดูก่อน” ผมพูด “แล้วค่อยมาเลือกเฟอร์นิเจอร์อีกที”

“ไปเดินดูร้านอื่นกันดีกว่าพี่อู เผื่อจะคิดอะไรออก” ป้อมเสนอ

“ก็ดีเหมือนกัน” ผมเห็นด้วย

วันนั้นเราสองคนเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นเกือบทั้งวัน เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แต่ละร้านใช้เวลานานทีเดียว ป้อมเดินไปกับผมอย่างไม่รู้เบื่อ ช่วยออกความเห็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ตลอด ความเห็นของป้อมเข้าท่าบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง เพราะเด็กวัยรุ่นอย่างป้อมไม่เคยมีประสบการณ์เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์มาก่อน แต่ป้อมก็ตั้งใจช่วยผมอย่างเต็มที่

กว่าที่ป้อมและผมจะแยกย้ายกันกลับก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เมื่อผมกลับไปถึงห้องก็ยังต้องเอาตลับสายวัดออกไปวัดพื้นที่บ้านทาวน์เฮาส์อีกรอบหนึ่ง กว่าจะเสร็จงานและกลับมาถึงหออีกครั้งก็ค่ำแล้ว

“น้องอู เมื่อกี้มีโทรศัพท์ถึงน้องอูแน่ะ” พี่พร ผู้ดูแลหอพักพูดกับผมขณะที่ผมเดินเข้าไปในหอพัก

“อ้อ ครับ” ผมตอบ “ขอบคุณครับ”

ผมกลับหลัง เตรียมจะเดินออกจากหอพักเพื่อไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แต่เห็นพี่พรมองผมแล้วอมยิ้มเหมือนแอบขำอะไรอยู่ ผมอดรนทนไม่ได้จึงถามออกไป

“พี่พรยิ้มอะไรครับ” ผมพูดพลางเอามือลูบในหน้าของตนเอง “หน้าผมมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

“หน้าน้องอูน่ะไม่มีอะไรหรอก” พี่พรพูด “แต่น้องอูไม่ถามเหรอว่าใครโทรมา”

“อ้อ นั่นสิ ใครโทรมาครับ” ผมนึกได้จึงถามออกไป ที่จริงถึงไม่ถามผมก็รู้ว่าใครโทรมา

“ก็เจ้าเก่านั่นแหละ” พี่พรตอบ พลางหัวเราะ

พี่พรนะพี่พร ผมแอบด่าอยู่ในใจ วันนี้พี่พรอารมณ์ดีถึงขนาดมาแกล้งผม แค้นนี้ต้องชำระ แต่ขอฝากเอาไว้ก่อน...

ผมออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ และต่อโทรศัพท์ทันที

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งน่ารักรับสาย

“ฮัลโหล คุณชาย” ผมทักทาย ปกติป้อมจะเป็นฝ่ายที่โทรมา ผมไม่ค่อยกล้าโทรไปนักเพราะเกรงคุณพ่อคุณแม่ของป้อมรับสาย เพราะการโทรคุยกันทุกวันค่อนข้างน่าผิดสังเกต

“กลางคืนไม่อยู่ที่ห้อง ไปเที่ยวที่ไหนมา” ป้อมทำเสียงดุ

“ไปร้องคาราโอเกะมา” ผมตอบ “สนุกมากเลย”

“ฮ้า” ป้อมอุทาน “แล้วทำไมไม่ชวนป้อม”

“โอ๊ย คุณชายนี่หลอกง่ายจัง พี่ไปเสียที่ไหนล่ะ เพิ่งแยกกันไม่กี่ชั่วโมงจะไปไหนได้ แค่ไปที่ทาวน์เฮาส์นี่เอง ไปวัดพื้นที่มาจะเอามาเขียนเป็นผัง” ผมหัวเราะ

“นั่นน่ะสิ ป้อมก็ว่ายังงั้นแหละ ทำไมไปเที่ยวกลับมาเร็วนัก” ป้อมหัวเราะบ้าง

“คิดอะไรบ๊องๆ” ผมพูด “ถ้าไปเที่ยวพี่ก็ต้องชวนป้อมสิ”
“ดีแล้ว” ป้อมพูด “ถ้ารู้ว่าไปไหนแล้วไม่ชวนป้อมละก็น่าดู”

“คร้าบ เข้าใจแล้ว” ผมพูด “เอาละ คุณชายไปนอนได้แล้ว นอนหลับฝันดี”

“ฝันดีแน่ถ้าป้อมไม่ฝันถึงพี่อู” ป้อมรีบสวน

“อ๊ะ แล้วป้อมฝันถึงพี่บ่อยไหม” ผมย้อน

“...”

“ว่าไง ทำไม่ตอบ”

“ป้อมไม่อยากฝันร้ายหรอก... กู๊ดไนต์นะ พี่อู” ป้อมตัดบท จากนั้นเราก็จบการสนทนา

-    - -

กลางเดือนพฤษภาคม

ปิดเทอมช่วงฤดูร้อนปีนั้นเป็นปีที่วุ่นวายน่าดู เพราะว่านอกจากผมต้องติวป้อมอย่างหนักแล้วผมยังได้บ้านมาหลังหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน ก่อนที่จะได้บ้านมาก็วุ่นวายกับเรื่องการเลือกหาบ้าน เมื่อได้มาแล้วก็ยุ่งวุ่นวายกับการตกแต่งบ้านอีก

หลังจากที่ได้บ้านมาแล้ว ป้อมมาช่วยผมอย่างแข็งขัน หลังจากที่เราเลือกดูเฟอร์นิเจอร์กันในวันนั้นแล้ว ผมก็กลับไปตั้งหลักใหม่ และกลับไปดูเฟอร์นิเจอร์อีกหลายครั้ง ในที่สุดความคิดก็ค่อยๆลงตัว ผมตัดสินใจว่าจ้างให้พี่ตี๋แก้มยุ้ยทำชุดตู้ครัวแบบบิลต์อิน จากนั้นก็ค่อยๆเลือกซื้อเครื่องเรือนสำหรับห้องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่หลังจากเลือกและสอบถามราคาแล้ว ร้านของพี่ตี๋แก้มยุ้ยนี้ให้ราคาดีที่สุด ดังนั้นเครื่องเรือนส่วนใหญ่จึงซื้อจากร้านนี้

หลังจากนั้นผมก็ไปติดต่อร้านทำมุ้งลวดเพื่อมาบุมุ้งลวดประตูหน้าต่างเสียใหม่ทดแทนของเดิมที่เก่าและขาดเป็นรู จากนั้นก็ยังต้องติดต่อร้านเหล็กดัดมาทำเหล็กดัดที่หน้าต่างห้องนอนเสียใหม่ ของเดิมเป็นแบบติดตาย ซึ่งผมกลัวว่าหากเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะต้องตายอยู่ในบ้านจริงๆ ก็เลยสั่งทำเหล็กดัดหน้าต่างใหม่โดยทำเป็นแบบคล้องแม่กุญแจ ยามฉุกเฉินสามารถใช้เป็นช่องทางหนีออกจากตัวบ้านได้ หากไม่ลืมไปเสียก่อนว่าเก็บกุญแจไว้ที่ไหน จากนั้นก็ติดเครื่องปรับอากาศที่ห้องนอนใหญ่เครื่องหนึ่ง ทั้งบ้านมีเพียงเครื่องเดียว ส่วนห้องอื่นไม่ได้ติดแอร์

ค่าตกแต่ง ค่าเครื่องปรับอากาศ และค่าเฟอร์นิเจอร์นั้นทำไปทำมาก็หลายแสนบาท ผมพยายามเลือกและต่อรองราคาให้ประหยัดที่สุด เพราะรู้ว่าที่บ้านของเรามีสภาพคล่องไม่มากมายนัก แต่บางอย่างก็แอบตามใจตัวเองบ้างไม่ได้เหมือนกัน ส่วนพ่อนั้นคอยจ่ายเงินอย่างเดียว ไม่ค่อยถามอะไรมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าไว้ใจผมหรือว่าไม่อยากยุ่งกับผมกันแน่ แต่ก็คิดในแง่ดีว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า

ตลอดเวลาที่ผมดำเนินการตกแต่งบ้าน ป้อมมาช่วยผมโดยตลอด โดยหลังจากที่เลิกเรียนพิเศษป้อมก็จะไปไหนต่อไหนกับผม จนถึงตอนเย็นจึงค่อยกลับบ้าน เวลาช่วงนั้นแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เป็นเวลาที่ผมมีความหมายแก่ผมมาก เพราะป้อมทำให้ผมรู้สึกคล้ายกับว่าบ้านหลังนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ผมมีคนที่อยู่เคียงข้าง เผชิญอุปสรรคด้วยกัน แก้ปัญหาด้วยกัน และเป็นกำลังใจให้กันและกัน นี่กระมังคือความหมายของการร่วมทุกข์ร่วมสุข... แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างเลื่อนลอย เหมือนหมอกควันที่แม้จะจับเค้าก็ยังยาก อย่าว่าแต่จะไขว่คว้าเอาไว้ได้เลย...

“เอาละ ติวช่วงปิดเทอมก็คงมีเท่านี้ ต่อไปป้อมก็เปิดเทอมแล้ว เราคงติวกันเฉพาะวันเสาร์” ผมพูดกับป้อมในวันหนึ่ง พูดไปก็ใจหาย ปิดเทอมปีนี้เป็นเวลาที่มีค่ามากสำหรับผม โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมกับป้อมใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งโลกมีเพียงเราสองคนเท่านั้น ป้อมติดผมมาก ในขณะเดียวกันผมก็ติดป้อมมากโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

“วันอาทิตย์มาติวป้อมด้วยสิ” ป้อมพูด หน้าเสียไปเหมือนกัน

“คงไม่ไหวล่ะคุณชาย” ผมตอบ “เพราะอีกไม่นานพี่ก็เปิดเทอมเช่นกัน แล้วยังมีเรื่องบ้านด้วย พี่จะพยายามย้ายเข้าไปปลายเดือนนี้ คงเตรียมการสอนไม่ทัน เอาเป็นสัปดาห์ละครั้งไปก่อน”

ป้อมนั่งนิ่ง ดูหน้าจ๋อยไป

“แต่ถึงติวไม่ได้ เราก็ยังไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันได้นะ” ผมเสริม

“เย...” ป้อมยิ้มร่า “ใช่แล้ว เรียนไม่ได้ก็ยังเที่ยวได้”

ผมหยิกแก้มของป้อมไปทีหนึ่ง ป้อมป่องแก้มอีกข้างหนึ่งเป็นทำนองให้หยิกอีกข้างด้วย

“ทะเล้นใหญ่แล้ว” ผมหัวเราะ “ห่วงเที่ยวเสียจริง”

ผมต้องรีบจัดการเรื่องบ้านให้เรียบร้อยเพราะว่าต้องการย้ายเข้าในปลายเดือนพฤษภาคม เนื่องจากหากเปิดเทอมแล้วจะไม่สะดวกเพราะติดเรียน อีกอย่างหนึ่งก็คือผมบอกเลิกเช่าหอพักไปแล้ว และพี่พรก็หาผู้เช่ารายใหม่ได้แล้วด้วย หากผมย้ายเข้าบ้านใหม่ไม่ได้ผมก็ไม่มีที่อยู่

-    - -

สามทุ่มแล้ว

เอ... ทำไมไม่โทรมาเสียทีนะ ผมนึกในใจอย่างกระวนกระวาย ปกติป้อมจะโทรมาต้อนสองทุ่มของทุกวัน แต่วันนี้สามทุ่มแล้วก็ยังไม่โทรมา จะโทรไปหาก็ไม่กล้า

สามทุ่มครึ่ง

“น้องอู รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังมาจากอินเตอร์คอม

“ครับ ไปเดี๋ยวนี้” ผมตะโกนตอบ

เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ผมรีบคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมา

“ฮัลโหล พี่อู” ป้อมทักทาย

“ทำไมโทรมาเอาป่านนี้” ผมอดบ่นไม่ได้

“ฮิฮิ ขอโทษฮะพี่อู” ป้อมหัวเราะร่วน “เมื่อกี้คุยกับเพื่อนค้างอยู่น่ะ”

“คุยกันทีเป็นชั่วโมงเลยเหรอ” ผมถาม อดสงสัยไม่ได้

“ช่าย ปรึกษากันเรื่องรายงานกลุ่ม โทรไปโทรมาตั้งหลายคน” เสียงป้อมแจ่มใส

“อ้อ” ผมทำเสียงรับรู้ รู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวนิดหน่อย “เพิ่งเปิดเทอมได้อาทิตย์กว่าๆก็มีรายงานแล้วเหรอ”

“ใช่ฮะพี่อู แล้วพี่อูรู้อะไรไหม” ป้อมพูด

“จะไปรู้ได้ไง ป้อมยังไม่ได้บอก” ผมตอบ

“ป้อมได้เป็นหัวหน้ากลุ่มทำรายงานด้วยนะ เป็นรายงานวิชาภาษาอังกฤษ วันนี้มีควิซภาษาอังกฤษ แล้วป้อมได้คะแนนเต็ม เพื่อนๆมันเลยให้ป้อมเป็นหัวหน้ากลุ่ม” ป้อมเล่าอย่างภูมิใจ

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมอดทึ่งไม่ได้ น้ำเสียงคลายความหงุดหงิดลงไป

“ก็ได้พี่อูนี่แหละ ป้อมเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนรู้เรื่องขึ้นเยอะเลย” ป้อมพูด

“ฮื่อ ดีจัง มันก็เป็นความสามารถของป้อมนั่นแหละ ถ้าสอนแล้วป้อมไม่เอา ใครก็เข็นไม่ไหว” ผมตอบ

“พี่อู พี่อู” ป้อมเรียก

“มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“สัปดาห์นี้เราเรียนวันอาทิตย์ได้มั้ยพี่อู” ป้อมถาม

“ทำไมเหรอ” ผมอึ้งไป

“ป้อมจะไปดูหนังกับเพื่อนน่ะ” ป้อมตอบ

“แล้วไม่ดูวันอาทิตย์ล่ะ ทำไมจะมาเลื่อนเรียนพิเศษ” ผมเริ่มอารมณ์ขุ่นมัวอีก

“ก็... ก็... มันนัดกันหลายคนน่ะ ส่วนใหญ่อยากไปวันเสาร์กัน” ป้อมตอบ “ปิดเทอมไม่ได้เจอเพื่อนๆหลายเดือน ป้อมก็อยากไปดูกับพวกมัน นะ นะ พี่อู”


<บรรยากาศในซอยลาดพร้าว ๓๕ หรือชื่อในสมัยก่อนคือซอยสุภาพงษ์ ซอยนี้เป็นซอยเก่า ภายในซอยจึงมีบ้านเรือนรุ่นเก่าและที่ดินรกร้างอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย บรรยากาศในซอย หากเป็นซอยที่ใช้เป็นทางลัดออกถนนใหญ่รถจะพลุกพล่าน หากเป็นซอยย่อยที่เป็นซอยตัน บรรยากาศจะสงบเงียบ>

Saturday, February 16, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 68


“โห ทำไมบ้านพี่อูไกลจัง ทั้งไกล ทั้งลึก”

“มาครั้งเดียวทำบ่น พี่ไปสอนคุณชายทุกสัปดาห์ รู้หรือยังว่าพี่ลำบากแค่ไหน แล้วยังชอบทำงอแงไม่อยากเรียน”

“ไม่รู้หรอก”

ตุ้บ...

“รังแกป้อมเหรอ สู้นะ นี่แน่ะ...”

ตุ้บ... ตุ้บ... ตุ้บ...

“โอ๊ย กลัวแล้ว ยอมแพ้แล้วคร้าบ...”

บ่ายวันหนึ่ง ในซอยภาวนา มีชายสองคนเดินหยอกเย้ากันอยู่ในซอย ซึ่งสองคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ป้อมกับผมนั่นเอง ป้อมอยากเห็นว่าบ้านหลังใหม่ของผมเป็นอย่างไร ผมจึงชวนป้อมมาเที่ยว

“บ้านนี้เข้าออกได้หลายซอย ซอยนี้เดินใกล้ที่สุดแล้ว หากเข้าออกทางซอยอื่นเดินกันขาลากเลย” ผมพูด พลางเหน็บ“บ้านคุณชายเดินใกล้นักนี่”

“นั่นพ่อป้อมปลูก จะมาโทษป้อมไม่ได้” ป้อมทำหน้าทะเล้น

แม้ว่าทางเข้าจากซอยภาวนาใกล้ที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไกลหลายร้อยเมตรจากปากซอย ระหว่างที่เดินป้อมกับผมคุยกันไปหยอกล้อกันไปตลอดทาง ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ

ในที่สุด ทาวน์เฮาส์เรียงรายเป็นแถวยาวก็ปรากฏที่ข้างหน้า เราสองคนเดินไปหยุดยืนที่หน้าทาวน์เฮาส์หลังหนึ่ง

“ถึงแล้ว หลังนี้แหละ” ผมพูด

ผมหยิบพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง หาลูกกุญแจของแม่กุญแจใหญ่ที่คล้องที่ประตูบ้าน เมื่อหาพบแล้วก็ไขและเปิดประตูเข้าไป

ลานหน้าบ้านมีขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถจอดรถได้หนึ่งคัน ด้านข้างมีเนื้อที่เหลืออีกนิดหน่อยสำหรับเป็นทางเดิน จุดเข้าในตัวบ้านเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ผมไขประตูกระจกเข้าไป หลังจากนั้นยังมีเหล็กดัดที่คล้องแม่กุญแจอีกชั้นหนึ่ง

“แม่กุญแจประตูเหล็กดัดอยู่ไหนหว่า” ผมพูดพลางหยิบกุญแจในพวงมาทดลองไขดูหลายดอก

“ประตูหลายชั้นจัง” ป้อมพูด

“ทาวน์เฮาส์ทั่วไปก็แบบนี้แหละ ประตูสามชั้น ขนาดเหตุการณ์ปกติยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะไขได้ครบทั้งสามชั้น นี่ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาไม่รู้จะออกทันหรือเปล่านะเนี่ย” ผมบ่น นึกห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เรื่องไฟเป็นเรื่องที่ไว้ใจไม่ได้ ข่าวไฟไหม้ย่างสดคนที่ติดเหล็กดัดในบ้านแล้วออกมาไม่ได้มีให้อ่านอยู่เสมอ

“เชิญคร้าบ” ผมพูด หลังจากที่ไขเปิดประตูเหล็กดัดได้

เราสองคนเข้าไปในตัวบ้านได้ เห็นภายในบ้านโล่งไปหมด มีแต่กำแพงและเฟอร์นิเจอร์ติดตรึงเหลืออยู่เท่านั้น อะไรที่ยกออกไปได้เจ้าของเดิมย้ายออกไปจนหมด

“ยังกะโดนขโมยขึ้นบ้าน เกลี้ยงไปหมดเลย” ป้อมหัวเราะ

“ก็ตกลงกันตามนี้ แต่ข้างบนมีเหลือตู้เสื้อผ้าเหลืออยู่บ้าง” ผมพูด “เป็นไงบ้าง”

“แล้วพี่อูจะอยู่ยังไงเนี่ย อะไรก็ไม่มีสักอย่าง แล้วอยู่คนเดียวก็เหงาแย่” ป้อมไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาตอนนี้หรอก ต้องตกแต่งปรับปรุงและซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ก่อน คงอีกสักพักใหญ่ๆเลย” ผมตอบ

“แล้วพี่อูอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ กลัวผีหรือเปล่า” ป้อมถามอีก

“ยังไม่แน่ว่าพี่ชายพี่จะย้ายมาอยู่ด้วยเมื่อไร ช่วงแรกพี่อาจจะอยู่คนเดียวไปก่อน ไม่เหงาหรอก ชินแล้ว ตอนนี้อยู่หอก็อยู่คนเดียว” ผมตอบ “ไม่กลัวผีด้วย กลัวคนมากกว่า”

“ดีเลย เอาไว้ถ้าป้อมทะเลาะกับพ่อ แล้วป้อมจะมาพักอยู่กับพี่อู มีที่สิงแล้ว ฮ่า ฮ่า” ป้อมหัวเราะ

“มาสิ คิดคืนละเท่าไรดีล่ะ” ผมพูด แม้จะรู้ว่าป้อมพูดขำๆแต่ใจก็อดหวั่นไหววูบไปไม่ได้ อยู่คนเดียวมันก็เหงาจริงๆนั่นแหละ ทำเป็นปากแข็งว่าไม่เหงาไปยังงั้นเอง หลายปีที่อยู่ที่หอพักผมเข้าใจความรู้สึกนี้ แต่ก็ต้องพยายามแกล้งลืมๆมันไป หาโน่นหานี่ทำจะได้ไม่มีเวลาเหงา ถ้ามีน้องน้อยคนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนได้จริงๆก็คงอบอุ่นดีไม่น้อย แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ป้อมเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น


พลั่ก

ป้อมทุบหลังผมเบาๆ ผมร้องโอ๊ย

“นี่ไง จ่ายล่วงหน้าให้แล้ว พี่อูนี่งกจัง” ป้อมพูดพลางหัวเราะ

ผมพาป้อมเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ชั้นสองแบ่งออกเป็นสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ ภายในห้องนอนมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่อยู่ตู้ละหนึ่งใบ เป็นตู้ไม้ฝีมือใช้ได้ทีเดียว แต่มีขนาดใหญ่ เจ้าของเดิมประเมินแล้วว่าย้ายออกไปได้ยาก จึงทิ้งเอาไว้ให้ ส่วนเตียงนั้นถอดเป็นชิ้นได้จึงถอดเอาไปด้วย ส่วนเครื่องปรับอากาศนั้นก็ถอดออกไป เหลือแต่เพียงรอยสกรูและรูขนาดใหญ่ที่กำแพงเท่านั้น

เรื่องเครื่องปรับอากาศนั้นเดิมทีไม่อยากให้ถอด แต่เมื่อดูสภาพเครื่องปรับอากาศแล้วเห็นว่าเก่ามาก เป็นแอร์ยี่ห้อไม่ดัง เอาราคาถูกเข้าว่า ที่สมัยก่อนเรียกว่าแอร์กิโล หรือแอร์บีทียูละบาท คือตัวเครื่องมีราคาถูกแต่ว่าไม่ประหยัดไฟ ในระยะยาวแล้วจะต้แงจ่ายค่าไฟหนัก เอ๊ดให้ความเห็นว่าแอร์เก่ามากทั้งยังเป็นพวกแอร์กิโล คงกินไฟน่าดู สุดท้ายจึงให้ถอดออกไปเพื่อที่ผมจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่แทน

“ต่อไปพี่จะมีห้องแอร์นอนแล้ว” ผมพูด เมื่อพาป้อมเดินเข้ามาในห้องนอน “แต่เดี๋ยวต้องหาซื้อแอร์มาติดเสียก่อน”

“ป้อมนอนห้องแอร์มาตั้งนานแล้ว” ป้อมหัวเราะ

“เออ ใช่ พี่ไม่ได้มีฐานะอย่างป้อมนี่ พี่นอนเปิดพัดลมมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะมีห้องแอร์นอนก็คราวนี้แหละ” ผมพูด

ที่จริงตอนนั้นผมเพียงพูดขำๆเท่านั้น ปกติก็ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจกับฐานะของตนเองอยู่แล้ว ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าผมยังมีโอกาสที่ดีกว่าอีกหลายๆคนมากมายนัก แต่ป้อมกลับเข้าใจผิด คิดว่าผมประชดจริงๆ

“ป้อมพูดเล่นนะพี่อู อย่าคิดมาก” ป้อมรีบพูด “ป้อมไม่ได้ตั้งใจจะ เอ่อ...”

ป้อมพูดแล้วก็หยุดไป คงนึกหาคำพูดเหมาะๆไม่ได้ จึงจับมือผมมากุมเอาไว้

“โกรธป้อมหรือเปล่า... อย่าโกรธป้อมนะ” ป้อมอ้อน

ผมมองหน้าป้อม เห็นสีหน้าของป้อมบอกแววเสียใจ ดูป้อมจะห่วงใยความรู้สึกของผม ความอบอุ่นจากมือของป้อมค่อยๆแผ่ซ่านมาตามลำแขน ลามมาจนถึงหัวใจของผม ป้อมเคยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจแต่มันเป็นความรู้สึกที่วูบขึ้นมาแล้วหายไปเหมือนกับฟ้าแลบที่สว่างเพียงวูบเดียว แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ผมเคยรู้สึกอบอุ่นใจแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรนะ... มันนานจนผมเองก็จำไม่ได้แล้ว...

“พี่ไม่ได้โกรธป้อมเสียหน่อย พี่รู้ว่าป้อมพูดเล่น” ผมตอบ พลางบีบมือป้อมเบาๆ “พี่ก็ย้อนป้อมไปเล่นๆเท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ”

“แน่ใจนะพี่อู” ป้อมแกว่งมือผมเล่น ไม่ยอมปล่อย คงยังไม่วางใจ

“จริงๆป้อม” ผมพูดอย่างจริงจัง “พี่ไม่เคยคิดว่าชีวิตของพี่ย่ำแย่เลย มีแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ยังมีคนอีกเยอะแยะที่ลำบากกว่าพี่ ได้บ้านนี้มาพี่ดีใจก็จริง แต่ถ้าให้อยู่หอพักอย่างเดิมพี่ก็อยู่ได้”

“ไม่โกรธป้อมก็ดีแล้ว” ป้อมยิ้มกว้าง

“ใครจะโกรธคุณชายลงล่ะ อ้อนซะขนาดนี้” ผมตอบ พร้อมกับเอามือขยี้หัวป้อมเล่น

“อ้อนเฉพาะกับพี่อูเท่านั้นหรอก” ป้อมตอบพร้อมกับชกท้องผมเบาๆเหมือนกับแก้เก้อ “กับพ่อหรือแม่ป้อมยังไม่อ้อนขนาดนี้เลย”

“อ้าว ทำไมยังงั้นล่ะ” ผมถาม

“ไม่รู้สิ...” ป้อมตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด “คงเพราะสนิทกับพี่อูมากมั้ง”

ผมพาป้อมเดินสำรวจบ้านจนทั่ว แต่เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็ก การสำรวจจึงใช้เวลาเพียงครู่เดียว บ้านนี้ยังโล่งอยู่ จะหาที่นั่งคุยก็ยังไม่มี ต้องนั่งคุยกับพื้นซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่น ดังนั้นเราสองคนใช้เวลาอยู่ในบ้านเพียงไม่นานก็กลับ

“ต่อไปพี่คงวุ่นอีกเยอะเลย เรื่องตกแต่งบ้านกับซื้อของเข้าบ้านนี่ดูแล้วคงไม่ง่าย” ผมพูดขณะที่เราเดินอยู่ในซอย

“ยังไงก็ต้องมาสอนป้อมนะ” ป้อมรีบพูดดักคอ “เอาไว้ป้อมจะมาช่วยพี่อูเอง มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลย”

“เรื่องสอนน่ะสอนอยู่แล้ว พี่ยังไม่อยากขาดรายได้” ผมพูดขำ “ตอนนี้ยิ่งต้องใช้เงินอยู่ด้วย”

ป้อมเงียบไปนิดหนึ่ง เหมือนกับอึ้งไป

“นี่พี่อูสอนป้อมเพราะเงินเหรอ” จู่ๆป้อมก็พูดโพล่งขึ้นมา

“เปล่า” ผมรีบตอบ “พี่พูดเล่นหรอก”

“ไม่เชื่อ” ป้อมส่ายหัวดิก ทำหน้าเคือง

“จริงๆ” ผมย้ำ “ป้อมรู้ไหมว่าพี่สอนป้อมสองวิชาต้องเตรีมการสอนป้อมเยอะขนาดไหน ถ้าพี่คิดจะสอนเพื่อเงินพี่คงเลิกสอนไปนานแล้ว”

“แล้วพี่อูทำไมถึงไม่เลิกสอนป้อมล่ะ” ป้อมถามแบบคาดคั้นอยากรู้คำตอบ

ผมอึ้งไป พอพูดเรื่องเงินก็ว่าผมสอนเพื่อเงิน พอบอกว่าไม่ได้สอนเพื่อเงินก็ยังถามอีกว่าสอนทำไม แล้วจะให้ผมตอบยังไงดีล่ะ... ผมคิดอย่างรวดเร็วพลางตัดสินใจ เอาละวะ ลองดูหน่อย...

“ป้อมรู้ไหมว่าป้อมเป็นแขกคนแรกของบ้านนี้เลยนะ” ผมวกไปคุยเรื่องอื่น

“พี่อูเพิ่งได้มา ยังไม่ทันเข้ามาอยู่เลยด้วยซ้ำ ป้อมเป็นแขกคนแรกก็ไม่แปลก” ป้อมก็ไม่เซ้าซี้อยู่กับเรื่องเดิม

“มันก็ไม่เชิง หมายถึงเป็นแขกคนแรกของพี่น่ะ ตลอดเวลาที่พี่อยู่ที่หอพักก็ไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวที่หอเลย” ผมพูด

“ทำไมยังงั้นล่ะ” ป้อมสงสัย

“ก็... ไม่รู้เหมือนกัน” ผมพูดตะกุกตะกัก “อาจเป็นเพราะพี่ไม่มีเพื่อนที่สนิทมากถึงขนาดที่จะพามาเที่ยวบ้านมั้ง”

“ถ้ายังงั้นป้อมละ” ป้อมถามด้วยความอยากรู้

“กับป้อมนี่ไม่เหมือนกัน ป้อมรู้สึกว่าสนิทกับพี่ใช่ไหม พี่ก็รู้สึกว่าสนิทกับป้อมเหมือนกัน สนิทมากกว่าเพื่อนในแผนกของพี่เสียอีก...” ผมพูด

เมื่อพูดแล้วก็โล่งอก ในที่สุดผมก็ได้เปิดเผยความรู้สึกของผมที่มีต่อป้อมเสียที แต่เป็นการพูดอย่างอ้อมๆ เหมือนกับเป็นการหยั่งเชิงมากกว่า ผมอยากรู้ว่าป้อมจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“ป้อมพิเศษขนาดนั้นเลยเหรอ” ป้อมพูด สีหน้าบ่งบอกแววภาคภูมิใจ

“แน่นอน” ผมพูดอย่างจริงจัง “และที่พี่สอนป้อมอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความรู้สึกนี้... รู้สึกว่าเราถูกชะตากัน... ไม่ใช่เพราะว่าเพื่อเงิน ป้อมเข้าใจพี่หรือยัง”

“พี่อูนี่ดีจังเลย” ป้อมพูดพร้อมกับจับมือผมโยกอีก “เป็นพี่ชายป้อมตลอดไปนะ”

“ได้... ไม่มีปัญหา” ผมตอบ

ป้อมนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วเอียงหน้ามาพูดด้วยเสียงกระซิบ

“งั้นต่อไปไม่ต้องรับค่าสอนนะพี่อู เราเป็นพี่น้องกัน พี่ต้องสอนน้องฟรีสิ ถูกไหม”

พูดจบ ป้อมก็กระโดดออกห่างจากตัวผมเมื่อเห็นผมขยับเท้า พลางหัวเราะแล้ววิ่งหนี

“ไอ้น้องเจ้าเล่ห์” ผมตะโกนพลางวิ่งไล่ตาม “ยังงี้ต้องเลี้ยงด้วยลำแข้ง”

-    - -

หลังจากที่รับโอนบ้านมาแล้ว ความยุ่งยากต่างๆก็เริ่มขึ้น ผมต้องรีบดำเนินการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน พร้อมกับหาซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน เหตุที่ต้องเร่งรีบเพราะว่าช่วงนี้ยังปิดเทอมอยู่ ถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะ หากเนิ่นช้าออกไป เมื่อผมเปิดเทอมแล้วก็ไม่รู้ว่าจะจัดแบ่งเวลาอย่างไร ตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์ในเรื่องตกแต่งต่อเติมบ้านเลย ดังนั้นจึงยังประเมินไม่ถูกว่างานเหล่านี้กินเวลาเพียงใด หากเริ่มงานได้ในช่วงปิดเทอมดูจะปลอดภัยกว่า

ในช่วงที่มองหาบ้านอยู่นั้น นอกจากติดตามนิตยสารพวกซื้อขายบ้านและที่ดินแล้วผมยังชอบอ่านนิตยสารพวกตกแต่งบ้านและตกแต่งสวนอีกด้วย ก็ตามประสาคนอยากมีบ้านนั่นแหละ บ้านที่อยากได้ย่อมเป็นบ้านในฝัน มีการตกแต่งที่สวยงาม ดูเอาไว้จะได้รู้ว่าบ้านสวยๆนั้นเป็นอย่างไร เผื่อมีโอกาสจะได้ทำตามแบบนั้นบ้าง แต่เมื่อได้บ้านเป็นของตนเองแล้วจริงๆผมก็รู้ว่าผมไม่มีทางทำแบบนั้นได้เลย เพราะการตกแต่งบ้านให้สวยงามนั้นหากเจ้าของบ้านไม่มีหัวทางด้านตกแต่งภายในอยู่แล้วละก็ต้องพึ่งมัณฑนากร ซึ่งทาวน์เฮาส์เล็กๆแบบนี้คงยากที่จะจ้างใครมาตกแต่งภายใน เพราะเป็นเรื่องที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คนที่อยู่บ้านทาวน์เฮาส์แบบนี้แสดงว่าต้องการประหยัดงบ หากมีใครที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างมัณฑนากรได้ก็คงไม่มาอยู่บ้านในระดับราคาแบบนี้

สิ่งที่ผมได้กลับเป็นความรู้จากนิตยสารพวกซื้อขายบ้านและที่ดินมากกว่า นั่นคือ รู้ว่าต้องหาผู้รับเหมามาตกแต่ง ต่อเติม แล้วอยากได้อะไรก็บอกผู้รับเหมาไป ส่วนเรื่องเฟอร์นิเจอร์นั้นหากเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบบิลต์อินก็ต้องจ้างทำ แต่หากซื้อเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวก็ไปเลือกซื้อแถวปากซอยลาดพร้าว ๒๗ ถึง ๓๓ ได้เลย ถนนช่วงนั้นทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านขายเฟอร์นิเจอร์

“ฮัลโหล เอ๊ด วันเสาร์นี้ว่างมั้ย” ผมโทรไปหาเอ๊ด

“จะทำไมล่ะ” เอ๊ดถาม “เสาร์อาทิตย์นี้ต้องเข้ากะกลางวัน”

“อยากให้มาช่วยเลือกเฟอร์นิเจอร์กันหน่อย” ผมตอบ “วันหยุดทำไมยังต้องทำงาน”

“ช่วงนี้งานเร่ง ทำเจ็ดวันเลย งานโรงงานก็ยังงี้แหละ” เอ๊ดตอบ “เอ๊ดเพิ่งเริ่มทดลองงาน เค้าสั่งยังไงก็ต้องรับไว้ก่อน ไม่อยากเรื่องมาก เอาไว้งานซาแล้วจะไปช่วย รอได้หรือเปล่า”

“ถ้ายังงั้นช่างมันก่อน” ผมพักเรื่องเอาไว้ “ยังมีอีกเรื่อง อูจะหาช่างรับเหมาตกแต่ง ต่อเติม แล้วจะไปหาที่ไหนละเนี่ย เอ๊ดพอหาได้ไหม”

“เอ๊ดรู้จักเสียที่ไหนล่ะ” เอ๊ดตอบ

“ผู้รับเหมาแบบนี้โฆษณาในวัฏจักรมีเยอะเลย แต่อูอยากได้ที่มีคนแนะนำมากกว่า” ผมพูด

“นั่นสิ มีคนแนะนำก็ดีกว่าไปคว้าใครที่ไหนมาก็ไม่รู้ ถ้ายังงั้นเอ๊ดจะลองถามเพื่อนๆดูให้ว่าที่บ้านมีใครเคยจ้างผู้รับเหมาหรือเปล่า อูก็ลองถามเพื่อนๆดูบ้าง จะได้หาหลายๆทาง” เอ๊ดแนะนำ

เป็นอันว่าเรื่องดูเฟอร์นิเจอร์เอ๊ดยังมาช่วยดูเร็วๆนี้ไม่ได้ ต้องรองานซาก่อน ซึ่งคงอีกหลายวัน ส่วนเรื่องหาผู้รับเหมาผมกับเอ๊ดต่างก็ช่วยกันถามในหมู่เพื่อนฝูง ผมก็โทรหาเพื่อนเท่าที่พอจะโทรได้ เพราะว่าตอนนั้นยังปิดเทอมอยู่ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เรื่องเพราะไม่มีใครแนะนำให้ได้ ทางด้านเอ๊ดเองก็ไม่ได้เรื่องเช่นเดียวกัน ทางเลือกสุดท้ายก็คืออาจต้องลองติดต่อผู้รับเหมาที่ลงโฆษณาในหน้านิตยสารดู แค่เริ่มต้นก็เริ่มจนใจเสียแล้ว...

-    - -

วันถัดมา เวลาสองทุ่ม

“เอ... ทำไมไม่โทรมาเสียทีนะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเดินวนเวียนไปมาในห้องอย่างหงุดหงิดใจ ตอนนั้นนั่งอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย รู้สึกกระวนกระวาย จนต้องลุกขึ้นมาเดินไปเดินมา

สองทุ่มยี่สิบนาที

“เด็กชายอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงชายวัยรุ่นดังออกมาจากอินเตอร์คอมประจำชั้น

“เออ รู้แล้ว” ผมร้องตะโกนตอบ ผมรู้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือแป๋ง ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้วาจาที่สุภาพเรียบร้อยนัก

ผมรีบวิ่งลงบันไดลงไปยังชั้นล่าง เห็นแป๋งนั่งอมยิ้มอยู่ที่โต๊ะผู้จัดการ ผมไม่ได้เจอแป๋งนานแล้วทั้งๆที่อยู่ตึกเดียวกันแท้ๆ แป๋งยังคงอารมณ์ดีเช่นเคย ฟันเขี้ยวเวลาที่แป๋งยิ้มทำให้ใบหน้าของแป๋งดูมีเสน่ห์

“เฮ้ย เด็กโทรมา” แป๋งพูด

ผมรีบเดินไปรับสายทันที

“ฮัลโหล” ผมทักทาย “ทำไมป่านนี้เพิ่งโทรมา”

“เมื่อกี้พ่อใช้สายน่ะพี่อู” ป้อมตอบ

“แล้วทำไมไม่บอกพ่อไปล่ะว่าป้อมจะใช้สายบ้าง” ผมพูด

“เอาไว้พี่อูมาพูดเองละกัน ป้อมยังไม่อยากโดนพ่อเตะ” ป้อมหัวเราะ

“ยังงั้นไม่ต้องถามก็ได้” ผมพลอยหัวเราะบ้าง

“วันนี้พี่อูทำอะไรบ้างล่ะ” ป้อมถาม

“วันนี้ก็เดินอยู่แถวหน้าหอพักนั่นแหละ เดินดูเฟอร์นิเจอร์ เยอะแยะไปหมด จนเลือกไม่ถูก” ผมตอบ

“ให้ป้อมไปช่วยเลือกมั้ย” ป้อมถาม

“ก็ดีน่ะสิ มาเลยๆ” ผมตอบ

“เฮอะ” ป้อมแค่นเสียง “ดีแล้วทำไมไม่ขอให้ป้อมไปช่วยเลือกล่ะ ต้องรอให้ป้อมถาม”

“พี่ก็เกรงใจคุณชายไง เมื่อวานมาก็บ่นกระปอดกระแปดว่าไกล เลยไม่ค่อยกล้าชวน” ผมตอบ “งั้นมาช่วยพี่เลือกหน่อยสิ พรุ่งนี้เรียนเสร็จแล้วมาเลยไหม”

“ได้เลยฮะพี่อู” ป้อมตอบ

“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะป้อม” ผมพูด

“ฮะ ฝันดีเช่นกันฮะพี่อู” ป้อมตอบ

หลังจากที่วางสาย เมื่อเดินผ่านโต๊ะผู้จัดการ แป๋งก็หรี่ตามองดูผม พลางทำเสียงจึ๊กจั๊กกวนประสาท

“เพื่อนเรานี่มีสายเข้าทุกวันเลยเว้ยเฮ้ย” แป๋งพูดพลางทำหน้ากวน “วิ่งจนหัวบันไดไม่แห้งเลย”

“สายเข้าทุกวันที่ไหน นายไม่ค่อยได้ลงมาข้างล่าง อย่ามามั่ว” ผมไม่ยอมรับ

“มั่วอะไร พี่พรเป็นคนพูดเองว่ามีโทรศัพท์ถึงนายทุกวัน” แป๋งแฉ ดีที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆในเวลานั้น

พี่พรนะพี่พร ไม่นึกเลยว่าจะเอาผมไปเม้า

“นักเรียนที่เรียนพิเศษกับเราน่ะ ช่วงนี้ติวหนัก กลัวมันขี้เกียจ เลยบังคับให้มันโทรมารายงานทุกวัน” ผมทำไร่สตรอเบอรี่ คิดได้ยังไงเนี่ย เหตุผลแบบนี้ แต่ฟังดูก็เข้าที

“อ้อ” แป๋งหัวเราะ ทำสีหน้ากวนเป็นที่สุด “เหรอ”

“เออ” ผมตอบ “ ไม่คุยแล้ว จะรีบขึ้นไปทำงาน”

ผมตัดบท พลางรีบเดินหนีไปทันที

ช่วงนี้ป้อมโทรมาหาผมทุกวันจริงๆ โดยจะโทรมาในเวลาประมาณสองทุ่ม ผมรู้ดีว่าการโทรเช่นนี้คงสร้างความระแวงให้แก่พี่พร รวมทั้งคนที่ชั้นสี่ก็อาจสงสัยด้วย เพราะได้ยินเสียงพี่พรตามตัวทุกวัน แต่ผมกลับไม่ค่อยแคร์เท่าไรนัก ที่ห่วงก็คือกลัวว่าป้อมจะไม่โทรมาหาทุกวันต่างหาก แม้ป้อมจะโทรมาคุยเพียงวันละห้านาที ซึ่งไม่ได้มากมายอะไร เพียงคุยทักทายกันสั้นๆ แต่วันใดที่ป้อมโทรมาช้า ผมจะรู้สึกกระวนกระวายมาก