Wednesday, May 30, 2007

ตอนที่ 34

ไอ้นัยทำสีหน้าจริงจัง แล้วพูดขึ้นว่า “ปีหน้าอาจะให้กูสอบเข้าโรงเรียน... ว้อย”

สมัยก่อน พอเด็กเรียนถึง ป.๖ ก็ต้องคิดถึงเรื่องวางแผนเรียนต่อ ม.๑ แล้วละครับว่าจะไปเรียนที่โรงเรียนไหน ถ้าเป็นโรงเรียนสังกัด กทม. ซึ่งมีสอนสูงสุดแค่ชั้น ป.๖ ยังไงเมื่อจบ ป.๖ ก็ต้องหาโรงเรียนใหม่แน่ๆอยู่แล้ว (สมัยนั้นโรงเรียนขยายโอกาสไม่ทราบว่ามีหรือเปล่านะครับ แต่คิดว่าไม่มี) ส่วนโรงเรียนเอกชนนั้นส่วนมากมักมีชั้นมัธยมให้เด็กเรียนต่อด้วย แต่เด็กมักไม่นิยมเรียน ส่วนใหญ่อยากสอบเข้า ม.๑ โรงเรียนรัฐชื่อดังมากกว่า มันก็เป็นค่านิยมของเด็กประถมในสมัยก่อนนั่นแหละครับ คือผู้ปกครองก็มองว่าถ้าได้เรียนโรงเรียนดังๆ เด็กก็มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามที่หวังไว้ค่อนข้างสูง ส่วนในแง่ตัวเด็กเองนั้นก็มองว่าถ้าได้เรียนโรงเรียนดังๆมันเท่ครับ เหตุผลมีแค่นี้เอง ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดไกลไปถึงตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรอก ไอ้เรื่องนั้นปล่อยให้ผู้ปกครองคิดกันไป

ตอนสมัยผมเรียนประถม ตอนนั้นการเข้าไปเรียนต่อชั้น ม.๑ ในโรงเรียนของรัฐนั้นไม่ได้จับฉลากตามเขตพื้นที่บริการแบบเดี๋ยวนี้นะครับ ใช้สอบคัดเลือกเอา คือโรงเรียนแต่ละแห่งจะรับนักเรียนจากการสอบคัดเลือกประมาณ 80-90% ส่วนอีก 10-20% นั้นเป็นโควต้าสำหรับผู้มีอุปการคุณของโรงเรียน พูดง่ายๆภาษาเด็กสมัยนั้นพูดกันก็คือเป็นโควต้าของเด็กฝากแหละครับ ส่วนสมัยนี้ต้องรับด้วยการจับฉลากไม่เกิน 50% และรับด้วยการสอบเข้าไม่เกิน 30%

เรื่องแผนการเรียนต่อ ม.๑ ที่อื่นนั้น ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในหัวผมเลย ที่จริงตอนนั้นเป็นปลายเทอมหนึ่ง เด็กส่วนใหญ่ก็เริ่มเตรียมตัวเกี่ยวกับการเรียนต่อกันบ้างแล้ว นั่นคือ ด้วยการหาที่ติว

ที่ผมเล่าเรื่องติวมาในตอนต้นนั้นเป็นเรื่องติวสำหรับการเรียนโดยทั่วๆไป แต่สำหรับการติวเพื่อสอบเข้า ม.๑ นั้น ตั้งแต่สมัยผมอยู่ ป.๖ ก็มีโรงเรียนกวดวิชาแนวนี้แล้วเช่นกันครับ แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะพ่อพูดกับผมไว้แต่แรกแล้วว่าให้เรียนที่โรงเรียนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าตอนเอ๊ดพี่ชายผมจบ ป.๖ ก็อยากไปเรียนต่อที่โรงเรียนรัฐชื่อดัง ก็เลยไปสมัครสอบจนได้เข้าเรียน พ่อเลยต้องวุ่นวายไปหาที่ฝากให้พักอยู่กับเพื่อนพ่อ อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง เพราะว่าโรงเรียนรัฐไม่มีแผนกประจำเหมือนโรงเรียนเอกชนบางแห่ง ถ้าผมจะเรียนโรงเรียนรัฐอีกคน พ่อก็ไม่รู้จะให้ผมไปอยู่กับใคร เพราะบ้านที่เอ๊ดอยู่นั้นพ่อก็เกรงใจเขามากอยู่แล้ว

ส่วนไอ้ชัชนั้นที่บ้านมันไม่ได้สนใจเรื่องวางแผนเรียนต่ออะไรให้เจ้าลูกชายตัวดี (ที่จริงตัวร้าย) หรอกครับ อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่นต่อไป คนค้าขายน่ะครับ คิดว่าเรียนให้จบก็พอแล้ว โรงเรียนไหนก็พอๆกัน ส่วนไอ้นัยก็ไม่เคยพูดอะไร จนผมนึกว่าในแก๊งของเราสามคนไม่มีใครคิดย้ายโรงเรียนเสียแล้ว...

ไอ้ชัชกับผมอึ้งไปชั่วขณะ ... นี่เราใกล้ถึงเวลาที่จะต้องแยกจากกันแล้วหรือนี่?
- - - -

“เฮ้ย ไหงงั้นล่ะ ไม่เห็นมึงเคยพูดมาก่อนเลยนี่” ไอ้ชัชพูดแบบงงๆ ผมเองก็ตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน ใจหายวูบ ได้แต่พูดว่า “นั่นน่ะสิ”

“อาก็เพิ่งบอกกูเมื่อวันอาทิตย์นี่เอง” ไอ้นัยว่า

“แล้วทำไมอามึงถึงได้คิดอะไรแปลกๆแบบนี้ล่ะ” ไอ้ชัชถามอีก ดูมันสิครับ คิดเข้าข้างตัวเองขนาดไหน เด็กนักเรียน ป.๖ สอบเข้าเรียนโรงเรียนรัฐเป็นเรื่องแสนจะธรรมดา มันกลับว่าคิดแปลกๆ เป็นเพราะว่ามันไม่อยากให้ไอ้นัยจากไปนั่นเอง

สมัยผมเรียนอยู่ชั้นประถมนั้น เด็กนักเรียนโรงเรียนทั่วไป คือทั้งโรงเรียนเอกชน และโรงเรียนสังกัด กทม. ต่างก็อยากได้เข้าเรียนในชั้น ม.๑ ของโรงเรียนรัฐบาลดีๆที่มีชื่อเสียงกันทั้งนั้น นักเรียนในโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่นี้ก็เช่นกัน มีเด็ก ป.๖ ประมาณ ๗๐-๘๐ % ที่ไปสมัครสอบเข้า ม.๑ โรงเรียนรัฐบาล มีส่วนน้อยที่อยากเรียนอยู่ที่เดิม แต่ก็นั่นแหละครับ ไปสอบแล้วก็ใช่ว่าจะได้เข้าเรียนโรงเรียนของรัฐกันทุกคน ไม่อย่างนั้นโรงเรียนเอกชนก็ต้องเจ๊งสิครับ เด็กโรงเรียนที่สอบได้และได้ไปจริงๆน่ะมีไม่มากนัก ห้องหนึ่งได้ไปจริงๆไม่ถึงครึ่งห้องหรอกครับ แล้วก็จะไปอีกทีก็ โน่น ตอนขึ้น ม.๔

ก็อย่างที่บอกว่าสมัยที่ผมเรียนนั้น การเข้าเรียน ม.๑ ในโรงเรียนรัฐบาลไม่ได้จับสลากเข้าแบบทุกวันนี้ แต่ต้องสอบเข้า โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังๆทั้งหลายก็เนื้อหอมเป็นที่หมายปองของเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ พากันแห่กันไปสมัครล้นหลามมากกว่าโรงเรียนที่ไม่ดัง

โรงเรียนรัฐชื่อดังในสมัยผมก็มี... มีอะไรบ้างล่ะ อ้อ ถ้าบนถนนเส้นลาดพร้าว-บางกะปิก็มีสตรีวิทยา ๒ กับบดินทร์เดชา แต่บดินทร์ฯดูจะดังกว่านะครับ เด็กๆที่โรงเรียนอยากไปเรียนกันมาก ส่วนโรงเรียนเตรียมน้อมฯ นวมินทร์ฯ ย่านถนนสุขาภิบาล ยุคนั้นมีหรือยังผมก็ไม่แน่ใจ แต่ส่วนตัวผมเองไม่เคยรู้จักเลย

ถ้าพ้นย่านลาดพร้าวไปแล้ว โรงเรียนดังอื่นๆที่มีนักเรียนชายก็มีเทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ ถ้ามีเงินหน่อยก็เลือกโรงเรียนมัธยมเอกชนกัน ที่ดังๆก็เซนต์คาเบรียล อัสสัมชัญ กรุงเทพคริสเตียน ส่วนนักเรียนหญิงนิยมเรียนโรงเรียนไหนกันนั้น ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ เพราะผมอยู่แต่โรงเรียนชาย รู้แค่นี้ก็บุญแล้ว

การสอบเข้านั้น ถ้าโรงเรียนชื่อดังก็จะออกข้อสอบเอง โรงเรียนใครโรงเรียนมัน ใครอยากเข้าโรงเรียนไหนก็ต้องลงทุนติวเป็นพิเศษสำหรับเข้าโรงเรียนนั้น ส่วนโรงเรียนระดับรองๆลงไปใช้ข้อสอบรวมหรือออกข้อสอบเองอันนี้ไม่แน่ใจครับ แต่ทุกโรงเรียนจะจัดวันสอบพร้อมๆกัน เพราะป้องกันเด็กตระเวนสอบกับโรงเรียนนั้นที โรงเรียนนี้ที ใครอยากเข้าไปเรียนในโรงเรียนไหนก็ไปสมัครสอบกับโรงเรียนนั้นที่เดียวไปเลย

ทีนี้ถ้าสอบแล้วรับประทานแห้วจะทำอย่างไร จะเคว้งหรือเปล่า การสอบเข้า ม.๑ โรงเรียนรัฐในยุคก่อนก็คล้ายสอบเอ็นทรานซ์อยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือ คล้ายกันตรงส่วนที่ว่านักเรียนต้องประเมินตนเองด้วย เรียนไม่เก่งมากแต่อยากเข้าโรงเรียนดัง โอกาสพลาดก็สูง เพราะการแข่งขันในโรงเรียนดังๆค่อนข้างสูง สมัยผมนี่ยกตัวอย่างโรงเรียนหนึ่งเด็กสมัครสอบ 3,000 รับ 700 คน แต่ที่รับจากการสอบจริงๆก็สัก 500-600 คนเท่านั้น ที่เหลือเป็นโควต้าเด็กเส้นเด็กฝาก

ดังนั้นการจะเลือกโรงเรียนต้องประเมินความสามารถตนเองด้วย เพื่อลดโอกาสพลาดพลั้งให้เหลือน้อยที่สุด แต่ถ้ายังต้องกินแห้วจริงๆก็จะมีเปิดรับรอบสอง คือ ทุกโรงเรียนจะแจ้งโควต้านักเรียนที่เหลือจากรอบแรกแล้วไม่เต็มมาประกาศอีกครั้ง คราวนี้ละครับ ทั้งเด็กและผู้ปกครองวิ่งกันขาขวิดเพราะเป็นโอกาสสุดท้าย คราวนี้ดังหรือไม่ดังไม่สนใจแล้ว สนใจแต่ว่าขอให้มีที่เรียน เพราะว่าโรงเรียนรัฐค่าเทอมถูกมาก ปีหนึ่งไม่กี่ร้อยบาท (แต่ขึ้นราคามาเรื่อยๆนะครับ ไม่ใช่อัตราคงที่) ถ้าไม่มีที่เรียนจริงๆก็ต้องจำใจเรียนโรงเรียนเอกชนซึ่งค่าเทอมตกปีละหลายพันบาทถึงเป็นหมื่น

ส่วนเด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชนอยู่แล้วอย่างพวกผมนั้นสบายครับ ถ้ากินแห้วก็เรียนที่เก่า แค่เสียหน้าเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างไรก็มีที่เรียนแน่นอน

อ้อ เกือบลืมเล่าไปว่า เด็ก ป.๖ ที่ไปสอบนั้น บางทีก็ไม่ได้อยากย้ายโรงเรียนทุกคนหรอกครับ มีบางส่วนไปสอบเล่นๆ เห็นเพื่อนไปสอบก็สอบบ้าง ก็ไม่เชิงสอบเล่นๆหรอกครับ แต่มันเหมือนกับการวัดฝีมือกันในหมู่เพื่อนฝูง คือถ้าสามารถสอบเข้าได้โรงเรียนดังอย่างบดินทร์เดชา เทพศิรินทร์ ฯลฯ ใครสอบได้ก็มีหน้ามีตา คุยโตโอ้อวดกับเพื่อนๆได้

อย่างเอ๊ดพี่ชายผมก็เช่นกัน ไปสอบได้โรงเรียนแถวบางกะปินั่นเอง ส่วนผมนั้นตอน ป.๖ เทอมต้น เพื่อนๆก็คุยๆกันและเตรียมตัวเรียนพิเศษกันบ้างแล้ว แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะไอ้ชัชกับไอ้นัยไม่ได้ไปไหน ผมมันคนติดเพื่อนครับ เรียนที่ไหนไม่สำคัญ ขอให้ได้อยู่กับเพื่อนสนิทก็อุ่นใจแล้ว

Wednesday, May 23, 2007

ตอนที่ 33

วันที่เราคุยกันเรื่องเบบี้ออยล์เป็นครั้งแรกนั้นจำได้ว่าเป็นตอนกลางสัปดาห์ หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์

เช้าวันจันทร์ถัดมา ไอ้นัยก็โผล่มาเข้ามาในห้องเรียนเพื่อวางกระเป๋า ก็เป็นปกติของนักเรียนทั่วไปละครับ ตอนเช้ามาก็มาวางกระเป๋า แล้วจะนั่งเล่นในห้อง หรือจะลงไปเล่นข้างล่างก็ตามอัธยาศัย รอจนแปดโมงก็จะมีออดเรียกให้เข้าแถวเคารพธงชาติ จากนั้นก็จะเดินแถวเข้าห้องเรียนเพื่อเริ่มการเรียนในวันนั้น

ปกติไอ้นัยมันจะมาค่อนข้างเช้า เด็กนักเรียนไปกลับมักจะมาแต่เช้า ส่วนเด็กประจำมักจะมาใกล้ๆแปดโมง คือไม่มาสายแต่ก็ไม่รีบมา พักอยู่ใกล้เกินไปก็ยังงี้แหละครับ

เช้าวันจันทร์นั้นนัยก็มาแต่เช้าเช่นเคย แต่ใบหน้ามันดูจะแปลกไปหน่อย ดูผาดๆรู้สึกว่าว่าใบหน้ามันเกลี้ยงเกลาขึ้น

ผมพิจารณาใบหน้ามัน หาสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของมันในวันนี้ดูแปลกออกไป พอตั้งใจดูก็เห็นว่าไรหนวดเขียวๆที่ผมชอบดูนั้นหายไปแล้ว แต่มีพลาสเตอร์เล็กๆปิดอยู่เหนือริมฝีปากด้านซ้ายแทน

“ไปทำไรมาวะนัย” ผมถาม แล้วก็หัวเราะก๊ากออกมา ที่จริงถามไปยังงั้นเอง ไม่ต้องถามก็รู้ว่ามันขโมยที่โกนหนวดของอามาใช้ แล้วก็โกนไม่เป็น ทำจนใบมีดบาดริมฝีปาก เลยต้องปิดพลาสเตอร์มาโรงเรียน รูปการณ์ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน

“ที่โกนหนวดบาดอ่ะ” ไอ้นัยพูดหน้าตาย ไหมล่ะ ผมเดาถูก มันคงอายเหมือนกันแหละครับ แต่พยายามตีหน้าตายเอาไว้

เพื่อนๆพอได้ยินเข้าก็ฮากันครืน ต่างเข้ามรุมซักไอ้นัยเป็นการใหญ่ว่าโกนยังไง บาดยังไง ทำไมถึงอยากโกนหนวด ฯลฯ แล้วก็หัวเราะกันสนุก โดยเฉพาะไอ้ชัช ปล่อยฮามากกว่าเพื่อน ไอ้นี่มันก็ชอบแกล้งไอ้นัยเป็นประจำอยู่แล้ว

ผมรอสักพักจนทุกคนเลิกแซวแล้วจึงเข้าไปคุยกับไอ้นัย

“เจ็บป่าว แผลใหญ่ไหม” ผมถามด้วยความเป็นห่วง มันคงฟังน้ำเสียงของผมออกว่าผมถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ ไม่ได้จะแซว ไอ้นัยมองหน้าผมนานเป็นพิเศษ

“ตอนโดนบาดเจ็บเหมือนกันแหละ เลือดออกตั้งเยอะ แถมยังโดนอาดุอีกต่างหากว่าซนไม่เข้าเรื่อง” ไอ้นัยเล่าให้ฟัง

“แล้วจะโกนหนวดไปทำไมวะ” ผมถาม

“อยากลองโกนดูอ่ะ เห็นเขาบอกว่าโกนแล้วมันจะขึ้นไว”

“อ้อ แปลว่ามึงอยากไว้หนวด” ผมสรุป

“ฮื่อ ท่าทางจะเท่ดี” ไอ้นัยพูดแล้วตีหน้าทะเล้น พอมันเข้าวัยรุ่นก็ชักเริ่มรักสวยรักงามบ้างแล้ว เลยอยากมีหนวด ผมเองตอนนั้นยังไม่ค่อยสนใจเรื่องเสริมหล่อเลย สนใจแต่เรื่อง... อิอิ ไม่บอกดีกว่า

- - - - - -

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่าตนเองหมกมุ่นเรื่องเซ็กซ์ไปหน่อย ในหัวคิดถึงแต่เรื่องการมีเซ็กซ์กับไอ้ชัชและไอ้นัยอยู่เกือบตลอดเวลา ทำไงได้ พอลองได้ครั้งหนึ่งแล้วติดใจมันก็อยากมีอีกเรื่อยๆ

ปกติเวลากินอาหารกลางวัน พวกเราก็จะกินกันเป็นกลุ่มค่อนข้างใหญ่ครับ ประมาณเกือบสิบคน จับกลุ่มนั่งกินอาหารใกล้ๆกัน กินกันไป คุยกันไป แต่บางทีถ้าโต๊ะแน่นมากก็อาจเกาะกลุ่มกันไม่ได้ ก็ต้องนั่งกระจายกันเป็นกลุ่มเล็กๆ

เที่ยงวันหนึ่ง หลังจากที่ซื้ออาหารและหาที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลากไอ้นัยมาหาที่นั่งซึ่งแยกออกจากกลุ่มเพื่อนๆโดยมีไอ้ชัชซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตามมาด้วย มันบ่นใหญ่ว่าโต๊ะใหญ่ว่างๆก็มี ทำไมไม่นั่งกับเพื่อนๆในกลุ่มแต่แยกตัวออกมานั่งกินกันสามคน

“กูมีเรื่องจะบอกกับพวกมึง” ไอ้นัยเกริ่นหลังจากที่เริ่มกินอาหารเที่ยงกัน

“เสาร์หน้ากูต้องไปสมัครเรียนพิเศษแล้วนะว้อย” ไอ้นัยพูด

ผมกับไอ้ชัชก็งงสิครับ เรียนอะไรกัน ไอ้นัยก็ไม่ใช่เด็กเรียนอ่อนสักหน่อย

สมัยนั้นเรื่องการเรียนพิเศษหรือว่ากวดวิชานั้นไม่ค่อยจะเหมือนเดี่ยวนี้นัก นักเรียนประถมสมัยผมถ้าจะเรียนพิเศษในระหว่างเทอมก็หมายถึงพวกที่เรียนอ่อนและเรียนไม่ทันเพื่อนๆ จำเป็นต้องมีคนช่วยติวหรือสอนเสริมให้ ซึ่งการเรียนพิเศษในสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็คือครูประถมในโรงเรียนนั่นแหละครับ ตอนเย็นก็มานั่งติวให้พวกที่เรียนอ่อน มีทั้งแบบเสียเงินกับไม่เสียเงิน พวกที่ไม่เสียเงินก็คือพวกที่เรียนไม่ค่อยทันเพื่อนแล้วโดนครูประจำชั้นบังคับจับติว คืออันนั้นเป็นการติวตามหน้าที่ของครูประจำชั้นที่ดี

กับอีกพวกหนึ่งคือครูประถมที่หารายได้พิเศษจากการสอนในช่วงเย็น พวกที่เรียนพิเศษแบบเสียเงินนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกเรียนอ่อนที่ไม่ถึงกับแย่มากนักจนขนาดครูประจำชั้นต้องจับติวให้ แต่ว่าเป็นพวกที่เรียนอ่อนและสมัครใจที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเอาเองมากกว่า

นอกจากนี้ก็ยังมีการติวหรือว่าเรียนพิเศษอีกแบบหนึ่ง นั่นคือ การจ้างนิสิตนักศึกษา หรือแม้แต่นักเรียน ม.ปลายที่เรียนเก่งๆ มาสอนให้ ถ้าแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองมีเงินหน่อย เด็กจะอ่อนหรือไม่อ่อนก็เรียนได้ พวกนี้เป็นพวกเรียนให้อุ่นใจหรือได้คะแนนดีอยู่แล้วแต่อยากให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพราะผู้ปกครองเป็นโรคจิต ไม่อยากให้เด็กอยู่สบายๆ แบบนี้ก็มี ถ้าติวแบบนี้ส่วนใหญ่มักติวเป็นกลุ่ม

รูปแบบการติวหรือว่าสอนพิเศษนี้ ไม่ว่าใครสอนก็จะคล้ายๆกัน นั่นคือส่วนใหญ่เป็นการสอนการบ้าน สอนการบ้านไปทวนความรู้ไป ประมาณนี้แหละครับ ถ้าเด็กอ่อนถึงอ่อนมาก มักนิยมเรียนตัวต่อตัว ส่วนเด็กเรียนเสริมเฉยๆก็มักเรียนเป็นกลุ่ม เพราะค่าใช้จ่ายประหยัดกว่า

ทีนี้ถ้าเป็นตอนปิดเทอม ก็จะมีการสอนพิเศษสำหรับวิชาสำคัญๆในปีการศึกษาถัดไป พูดง่ายๆก็คือการเรียนล่วงหน้านั่นเอง พวกนี้เหมาะกับคนที่มีเงินหน่อยและตอนปิดเทอมเด็กว่างมากจนไม่รู้จะทำอะไรดี ก็จะจับมาเรียนล่วงหน้า ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

เรียนพิเศษของนักเรียนประถมในสมัยนี้แตกต่างออกไปจากสมัยก่อนพอสมควรในด้านรูปแบบ เพราะสมัยก่อนการเรียนพิเศษเป็นการเรียนส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ แต่สมัยนี้มีการไปเรียนตามโรงเรียนกวดวิชาด้วย เรียกว่ากวดกันเป็นล่ำเป็นสันตั้งแต่ยังเด็กเลยทีเดียว

ก็อย่างที่บอก ไอ้นัยไม่ได้เรียนอ่อนสักหน่อย ทำไมต้องเรียนพิเศษ

Sunday, May 20, 2007

ตอนที่ 32

เล่าเรื่องไอ้พงษ์มาเยอะแล้ว ขอย้อนกลับมาเล่าเรื่องของไอ้นัยต่อบ้าง ช่วงหลังนี้เล่าถึงมันนิดเดียว เดี๋ยวจะลืมไอ้นัยของผมกันเสียหมด

ไอ้นัยปีนี้มันไม่ค่อยจะสูงเอาเลยครับ ปีที่แล้วมันสูงเอาๆ ปีนี้เพื่อนๆแซงมันไปหมด พอเปิดเทอมมาได้เดือนสองเดือนยิ่งเห็นได้ชัด จนไอ้นัยเองก็ยังแอบบ่นๆเหมือนกันว่าทำไมมันไม่ค่อยจะสูงแล้ว แต่ถึงมันจะไม่ค่อยสูงขึ้น แต่ว่ามันหล่อขึ้นครับ ไรหนวดเข้มขึ้น คิ้วก็เข้มขึ้น รวมแล้วหน้าตาคมเข้มมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่น่ารักเริ่มมีเค้าความหล่อแล้ว

“ทำไมปีนี้สูงเอาๆวะอู กูเตี้ยกว่าแล้วนะเนี่ย” ไอ้นัยพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งคุยกันสามคนขณะกินอาหารกลางวัน สีหน้ามันจริงจังนิดหน่อย คือถ้ามันเตี้ยกว่าเพื่อนวันยังค่ำก็อาจไม่คิดอะไรมาก แต่นี่เคยสูงกว่า แต่โดนเพื่อนๆแซง เลยอาจจะเก็บไปคิด

“มึงชักว่าวมากไปมั้ง” ไอ้ชัชพูดแทรกขึ้นมาด้วยเสียงอู้อี้ เพราะพูดทั้งๆเคี้ยวข้าวอยู่ ทำหน้าทะเล้นล้อไอ้นัย “เค้าว่าชักว่าวมากๆแล้วตัวจะไม่สูงนะ”

ไอ้นัยเอามือผลักหน้าไอ้ชัชให้ออกไปห่างๆ “มึงรู้ได้ไงว่ากูชักว่าวบ่อย”

ไอ้ชัชเลยเขกหัวไอ้นัยไปหนึ่งป๊อก “ถามมาได้ พูดยังกับกูไม่รู้ยังงั้นแน่ะ”

ก็สนิทกันขนาดนั้นจะไม่รู้ได้ยังไงละครับ ที่จริงเราสามคนเห็นไส้เห็นพุงกันหมด ไอ้นัยก็ถามไปยังงั้นเอง

“เฮอะ มึงสองคนอยู่หอด้วยกัน กูว่ามึงกับไอ้อูว่าวกันบ่อยกว่ากูอีก แล้วทำไมไอ้อูมันสูงเอาๆฟะ” ไอ้นัยยังไม่หายสงสัย เออ นั่นน่ะสิ ผมเองก็ชักว่าวบ่อยมาก ทำไมสูงได้ล่ะ

“ยังงั้นแสดงว่ามึงกินอาหารไม่ครบห้าหมู่ เลยไม่ค่อยโต สงสัยตอนนี้ที่บ้านคงอดอยาก” ไอ้ชัชนึกอะไรไม่ออกก็เลยพูดส่งเดช เลยโดนไอ้นัยเขกหัวกลับ

“ไม่รู้ก็อยู่เฉยๆบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องมั่วมาก เอ้อ ... พูดถึงที่บ้าน วันก่อนกูเจออะไรบางอย่างละ” ไอ้นัยพูด พอถึงตอนที่บอกว่าเจออะไรบางอย่าง มันทำสีหน้าลึกลับแบบกวนๆ สีหน้าลึกลับแบบกวนๆของไอ้นัยนี่ได้ใจผมมากเลย ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ เวลาคนหน้าตายทำหน้าลึกลับนี่ตลกอย่าบอกใคร

“เจออะไรที่บ้านวะ หนูตายในห้องนอนเหรอ เล่าเร็วๆดิ” ไอ้ชัชพยายามกวนประสาท นิสัยมันก็อย่างนี้แหละครับ ชอบกวนละขัดคอผมกับไอ้นัยเสมอ

ไอ้นัยทำปากหมุบหมิบ คงกำลังด่าไอ้ชัชโดยไม่ออกเสียง แล้วเล่าต่อ “กูเจอเอะไรที่ใช้หล่อลื่นได้แล้วล่ะ”
- - - -

ผมงงกับคำพูดที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของไอ้นัย

“อะไรที่ใช้หล่อลื่นอะไรวะ งง หล่อลื่นขี้เลื่อยในสมองมึงเหรอ” ชัชถาม

ไอ้นัยสงสัยจะรำคาญ เลยเอาช้อนของไอ้ชัชตักข้าวขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในปากมัน “นี่ ต้องยังงี้ ฮุฮุ” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ นานๆไอ้นัยจึงจะแกล้งคนสักทีครับ ปกติมีแต่คนแกล้งมัน

“เล่าเร็วๆหน่อยดิ” ผมเร่งอีก ก็คนมันอยากรู้นี่นา

“ก็เบบี้ออยล์อะ ใช้หล่อลื่นตอนชักว่าวได้ดีเหมือนกัน” ไอ้นัยบอก “ใช้แล้วลื่นๆมือ เสียวดี”

“เหรอ” ผมสนใจขึ้นมาทันที “แล้วมึงไปรู้มาได้ไง”

“พอดีเจอที่ตู้หลังกระจกเงาในห้องน้ำอา เลยได้ความคิด” นัยบอก ตู้ที่ว่าก็คือว่ากระจกเงาที่ติดตั้งอยู่ในห้องน้ำบ้านมันข้างหลังเป็นตู้ครับ เอาไว้เก็บข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำต่างๆ เช่น สบู่ ยาสีฟัน แฟรงสีฟัน ที่ยังไม่ได้ใช้ แล้วก็มีของจุกจิกอื่นๆอีก เช่น ครีม โลชั่น ฯลฯ ห้องน้ำที่เราไปใช้กันตอนอยู่บ้านไอ้นัยก็มีตู้แบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยได้เก็บอะไรเพราะไอ้นัยมันยังเด็ก ของใช้เลยมีไม่มากนัก

“อยู่ดีๆมึงไปค้นตู้อาทำไมวะ” ไอ้ชัชถามบ้าง “จะว่าไปขโมยตังค์ก็ไม่น่าใช่ เพราะอามึงคงไม่ได้ซ่อนตังค์ไว้ในนั้น”

ไอ้นัยทำหน้าอายๆ ไม่ยอมพูด ผมเลยชักสงสัยเหมือนกัน

“เป็นไรวะนัย เล่ามาดิ ว่าไปค้นตู้ทำไม” ผมคะยั้นคะยอให้มันเล่า

“จะไปหาที่โกนหนวดน่ะ” ไอ้นัยพูด ไอ้ชัชได้ยินเข้าถึงกับหัวเราะก๊าก

“หา มึงคิดจะโกนหนวดเหรอ โอย ขำ อายุเท่าไรวะ มีหนวดแล้วเหรอ” ไอ้ชัชพูดไปหัวเราะไป แล้วลดเสียงลงเหลือเพียงพูดเบาๆเพียงได้ยินกันสามคน “ถ้าโกนหมอยละก็ว่าไปอย่าง”

ไอ้นัยเอาช้อนตักข้าวยัดเข้าปากมันไปอีกคำ “กูว่าจะไม่เล่าให้มึงฟังแล้วเชียว นึกแล้วว่ามึงต้องล้อ มึงจะฟังเฉยๆมั่งไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้หรอก กูชอบแสดงความคิดเห็น” ไอ้ชัชทำหน้าทะเล้น ตอบยียวน

“ไอ้ชัช มึงปล่อยให้ไอ้นัยมันเล่าให้จบแล้วค่อยกัดมันได้ไหม” ผมดุไอ้ชัช เพราะเห็นไอ้สองตัวนี้มันเล่นกันอยู่นั่นแหละ

“เออๆ เล่าไปเถอะ” ไอ้ชัชว่า “ กูรู้ว่าไอ้อูมันอยากรู้ เพราะมันอยากได้เอาไว้ใช้ อุ๊บ...” มันพูดแล้วรีบหยุด เหมือนนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้

ดูเหมือนไอ้นัยจะรู้ทันว่ามันคิดอะไร

“เออ ใช่ ไอ้อูคงอยากเอาไปใช้กับมึงเต็มแก่แล้ว” ไอ้นัยพูด แล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้มัน แล้วพูดต่อเบาๆว่า “ตูดพังแน่มึง ฮุฮุ”

“ตกลงมึงจะเล่าหรือไม่เล่าวะ ไอ้นัย” ผมเขกหัวไอ้นัยไปทีหนึ่ง มันทำปากหมุบหมิบ สงสัยด่าผมในใจ

“อย่าเขกหัวสิว้อย วันนี้โดนไปหลายทีแล้ว เดี๋ยวฉี่รดที่นอน” ไอ้นัยบ่น คือมันเป็นความเชื่อของเด็กๆสมัยก่อนน่ะครับ เชื่อว่าถ้าโดนเขกหัวแล้วตอนกลางคืนจะฉี่รดที่นอน แต่จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงไม่จริงมั้งครับ

“อย่างมึงคงไม่ฉี่รดที่นอนหรอก น้ำว่าวแตกรดที่นอนมากกว่า” ไอ้ชัชกัดอีก

ผมละเบื่อจริงๆ ไอ้ชัชมันชอบกวนๆต่อปากต่อคำแบบนี้แหละครับ ไอ้เรื่องที่อยากจะรู้เลยไม่รู้สักที เลยปล่อยให้มันต่อปากต่อคำกันตามสบาย กัดกันจนพอใจแล้วจึงค่อยเล่า ก็ได้ความว่าไอ้นัยมันไปหาที่โกนหนวด จะลองเอามาโกนหนวดดู พอเปิดตู้หลังกระจกก็เลยไปเจอเบบี้ออยล์เข้า จากนั้นก็เลยลองเอาไปชักว่าวดู

“โห ฟังแค่นี้ควยลุกเลยเหรอไอ้อู” คราวนี้ไอ้ชัชกัดผมมั่ง มันนั่งกินข้าวข้างเดียวกับผม คงเห็นเป้ากางเกงผมนูนเป็นลำขึ้นมา

“เฮ้ย พูดเบาๆ อายเค้า อ้ายเปรต” ผมดุไอ้ชัช ส่วนไอ้นัยก็ทำหน้าทะเล้น ชะโงกข้ามโต๊ะอาหารมาเพื่อจะดูว่าของผมแข็งอยู่จริงหรือเปล่า จนผมต้องเอามือผลักหน้ามันกลับไป

ในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายแล้ว ถ้าเบบี้ออยล์ลื่นมือ ใช้ชักว่าวได้ มันก็คงสามารถใช้หล่อลื่นก้นตอนอัดถั่วดำได้นั่นเอง

พักเที่ยงวันนั้น เราเลยคุยกันแต่เรื่องเบบี้ออยล์ ผมอยากได้มาลองใช้มากเลย เพราะอยากเล่นก้นไอ้สองตัวนี่ เอาไม่เข้าสักที ถ้ามีเบบี้ออยล์คงจะเข้าได้สำเร็จ แค่คิดก็เกิดอารมณ์แล้วครับ เอาไว้จะต้องหาโอกาสออกไปซื้อที่นข้างนอกโรงเรียน ผมกะว่าถ้าได้มาจะเอามาจัดการไอ้ชัชก่อน เพราะไอ้นัยนั้นไม่มีโอกาสจัดการมันเลย เจอมันก็เฉพาะกลางวันตอนเรียน กว่าจะมีอะไรกันได้ก็ต้องรอปิดเทอมโน่น

“วันหลังมึงเอามาให้กูใช้บ้างดิ” ผมเปรย ที่จริงก็พูดไปยังงั้นเอง

Friday, May 18, 2007

ตอนที่ 31

วันรุ่งขึ้น ผมก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ไอ้นัยฟังเช่นเคย คราวนี้มันไม่ทำตาโตแล้ว แต่มันทำหน้าสลดแทน

“เป็นไรไปว้า” ผมถาม

“อยากอยู่หอมั่งอ่ะ ทำไงดีวะ” ไอ้นัยพูดเสียงอ่อย ตีหน้าเศร้าๆให้น่าสงสาร ไอ้ชัชเลยเขกหัวมันไปหนึ่งป๊อก

“ไอ้เปรต เห็นทำหน้าเศร้า กูนึกว่ามึงเศร้าเรื่องอะไร ที่แท้ก็อยากไปอยู่หอด้วยกันนี่เอง” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดปากให้ไอ้นัย ทำทีเป็นว่าเช็ดน้ำลายที่หกออกมา “ฟังจนน้ำลายหกเลยมึง”

“มึงไปบอกอามึงดิว่าอยากมาอยู่หอ ไม่อยากอยู่บ้านแล้ว” ผมยุ

“พอดีโดนไล่ออกจากบ้านแน่เลย บ้านมีอยู่ดันไม่อยากอยู่ อยู่หอมันเพิ่มอีกหลายตังนา ไม่ใช่อยู่ฟรีๆ อาไม่ยอมหรอก” ไอ้นัยว่า สายตาทอแววครุ่นคิด ท่าทางมันอยากจะมาอยู่หอจริงๆครับ ที่จริงก็ไม่แปลกหรอก เพราะตั้งที่พวกเราสามคน ไอ้นัย ไอ้ชัช แล้วก็ผม สนิทกันและมีอะไรกันช่วงปิดเทอม พวกเราสามคนก็สนิทกันมากและติดกันแจ ไอ้นัยมันก็เลยอยากมาอยู่กับพวกเรา ยิ่งพอรู้เรื่องไอ้พงษ์ มันเลยคิดว่าหอ ป.๖ นั้นคงสนุกน่ามาอยู่มาก

มันก็สนุกจริงๆนั่นแหละครับ แต่สนุกแบบเพี้ยนๆ เพราะหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไอ้พงษ์มันก็กลายเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาในหอ ชั้น ป.๖ นั่นคือมหกรรมชักว่าวหมู่ โดยมันมักจะเป็นหัวโจกคอยชวนเพื่อนๆให้ชักว่าวหมู่ตอนอาบน้ำอยู่เสมอ ส่วนมากต้องเป็นตอนหัวค่ำแก่ๆหน่อย หรือไม่ก็ดึก เพราะกลัวครูจะมาเห็นเข้า สมาชิกที่ร่วมอาบน้ำและว่าวหมู่ก็มากขึ้นๆ บางทีตั้งเจ็ดแปดคน ใครที่ชักว่าวไม่เป็นก็ชักเป็นกันตอนนี้แหละครับ

ไม่เพียงแค่เป็นผู้นำในการชักว่าว แต่ไอ้พงษ์มันยังวิปริตมากกว่านั้นอีก นั่นคือ มันชอบเอาควยไล่จิ้มเพื่อนๆ พอหลังจากที่มันปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่เข้าที่เข้าทางดีแล้ว คราวนี้ก็เริ่มซ่า เพราะมันถือว่ามันแก่กว่าทุกคนในหอชั้น ป.๖ เลยไม่ค่อยเกรงใจใคร อย่างเช่นเวลาอาบน้ำ ถ้าวันไหนไม่ชักว่าว บางทีมันก็ปั่นควยจนลุก แล้วเอาควยไล่จิ้มเพื่อนที่อาบน้ำอยู่เล่น บางทีอยู่ในห้องนอน ก็ยังเอาควยไล่จิ้มเพื่อนๆเล่นด้วยเหมือนกัน และนอกจากนี้ บางทีมันก็นอนชักว่าวโชว์เพื่อนๆบนเตียงนอนก็มี

เรื่องเอาควยไล่จิ้มในห้องนอนนี่ผมเคยเห็นมากับตา คือจิ้มนี่หมายความว่าเอาควยไปทิ่มตามตัวเพื่อนๆ ไม่ได้หมายความว่าไปจิ้มกินถั่วดำนะครับ มันแก้ผ้าแล้วก็เอาควยทิ่มเพื่อนเล่นในห้องนอน เพื่อนๆก็ฮือฮาหนีกันกระเจิง ไล่กันไปไล่กันมาอยู่อย่างนั้น ส่วนเรื่องชักว่าวโชว์บนเตียงนั้นไม่เคยเห็นเองครับ แต่เพื่อนห้องนอนเดียวกับมันเล่าให้ฟัง ซึ่งเชื่อได้เพราะว่าหลายคนก็เล่าตรงกัน
- - - - -

นอกจากเรื่องอุบาทว์ของไอ้พงษ์โรคจิตที่หอแล้ว ... ไปว่ามันอุบาทว์ พูดยังกับว่าตัวผมเองดีกว่ามันงั้นแหละ แหะๆ ... ตอนกลางวันขณะอยู่ในห้องเรียนมันก็แสดงความอุบาทว์หนักยิ่งขึ้น โดยมันชอบงัดควยออกมาโชว์บ่อยๆ บางทีก็ปั่นว่าวจนมันแข็งบ้าง แต่ไม่เต็มที่ แล้วก็เก็บกลับไป บางทีบ้าๆขึ้นไอ้พงษ์ก็เดินไปหลังห้องเพื่อปั่นว่าวโชว์พวกไอ้เชียร พวกหลังห้องกลุ่มไอ้เชียรก็เฮฮาจับจู๋กันตามเดิมแหละครับ พอได้ไอ้พงษ์มาโชว์แบบนี้ก็ยิ่งเฮกันใหญ่ แต่ไม่เคยเห็นไอ้พงษ์น้ำแตกในห้องเรียนนะครับ สงสัยว่าที่ไม่แตกเพราะไอ้พงษ์มันเป็นคนที่น้ำแตกยากนั่นเอง

ส่วนกลุ่มผมกับไอ้นัยน่ะเหรอ ถ้าอยู่ในห้องเรียนพวกเราจะเงียบๆครับ เป็นขาแจมดูคนอื่นโชว์มากกว่า เพราะว่ากลุ่มพวกผมนั่งกระจายกันตรงกลางห้อง ผมเองก็นั่งโต๊ะเดี่ยวติดผนัง จะเล่นอะไรกันก็ยากหน่อย อีกอย่าง ผมรู้นิสัยไอ้นัยมัน มันโชว์แบบเนียนๆ ไม่ชอบโชว์ห่ามๆแบบไอ้พงษ์หรือไอ้เชียร ส่วนตัวผมนั้นไม่กล้าโชว์ในห้องเรียนหรอกครับ อายจะตาย

ความใจกล้าหน้าด้านของไอ้พงษ์กับไอ้เชียรยิ่งหนักขึ้น หนักขึ้น ทุกที จนถึงขนาดชั่วโมงบันเทิงมันก็ยังกล้าทำ ต้องขออธิบายหน่อยว่าชั่วโมงบันเทิงคืออะไร คือสมัยก่อนเด็กนักเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนผมจะมีวิชาหนึ่ง เรียกชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว เออ แปลกเนาะ วิชานี้เรียนตั้งแต่เด็กจนโตแต่ดันจำชื่อไม่ได้ บางอย่างก็จำซะแม่น บางอย่างกลับลืมชนิดนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ขอเรียกว่าชั่วโมงบันเทิงก็แล้วกัน

วิชาที่ว่านี้สัปดาห์หนึ่งดูเหมือนจะเรียนสองสามครั้งนี่แหละครับ ที่จริงก็ไม่ได้เรียนอะไรหรอก เป็นการไปทำกิจกรรมสันทนาการด้วยการร้องเพลงน่ะ พวกเราก็จะมีหนังสือเพลงคนละเล่ม มีเพลงให้เลือกหลายร้อยเพลงเลย ทั้งเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงไทยก็เป็นโอลดี้ พวกบัวขาว วอลตซ์นาวี กินกาแฟ อะไรประมาณนี้แหละครับ ส่วนเพลงฝรั่งก็พวกเพลงเด็ก หรือไม่ก็เพลงพื้นเมือง เช่น Danny Boy, Give me oil in my lamp, Old folks at home, Santa Lucia ฯลฯ มีเยอะแยะครับ

พอตอนเรียนก็ไม่ได้เรียนในห้องเรียนปกติ แต่จะเดินไปเรียนในห้องใหญ่อีกตึกหนึ่ง คาบนี้จะเป็นคาบที่เรียนรวมกันสี่ห้องเรียน (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ หรืออาจจะเรียนรวมกันมากกว่านั้นก็ได้) ห้องเรียนมีลักษณะเป็นห้องโถงใหญ่ ข้างหน้ามีเปียโน ตรงกลางเป็นทางเดิน ที่นั่งจะเป็นม้านั่งยาวอยู่สองฟากข้าง ม้านั่งยาวแต่ละตัวน่าจะจุเด็กนักเรียนได้สัก ๘-๑๐ คน ถ้าเล่าแล้วนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกภาพโบสถ์ฝรั่งก็ได้ครับ ที่เวลาเราดูหนังฝรั่งแล้วเค้าไปแต่งงานกันในโบสถ์ หน้าตาคล้ายๆยังงั้นแหละ ... เฮ้อ ... เล่ามาขนาดนี้บางคนคงร้องอ๋อ แน่ใจแล้วว่าผมอยู่สำนักไหน พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ร่วมสำนักรู้แล้วอย่าเอ็ดไปนะครับ เพราะไอ้ที่ผมเล่ามาและจะเล่าต่อไปนั้นมันเรื่องเสื่อมเสียทั้งนั้น แหะๆ ที่จริงโรงเรียนเขาดี แต่นักเรียน (อย่างผม) มันเลวเอง ดังนั้นอย่าไปโทษโรงเรียนเลยครับ

วิชานี้ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก นั่งร้องเพลง เพลงครูคุย คือครูจะเล่นเปียโนสลับกับการคุย คล้ายๆทอล์คโชว์

วิชานี้แหละเป็นชั่วโมงที่พิสูจน์ความหน้าด้านหน้าทนของไอ้พงษ์กับไอ้เชียร เริ่มด้วยไอ้เชียรก่อน ไอ้นี่มันชอบเล่นจับจู๋กับเพื่อนๆในชั่วโมงบันเทิงนี้ สงสัยจะคนเยอะ มันเลยชอบเป็นพิเศษ แต่มันจะจับเป็นกลุ่มเล็กๆเฉพาะพวกที่นั่งติดกัน แล้วก็งัดจู๋ออกมาโชว์ ส่วนใหญ่คนอื่นไม่กล้าเอาออกมาหรอกครับ มีแต่ไอ้เชียรนี่แหละ เอาออกมาให้คนอื่นจับเล่น มีอยู่คราวหนึ่ง จับกันเล่นเพลินๆ โดนครูจับได้ คือจับได้ว่าไม่ตั้งใจเรียนและเล่นกัน เพราะเห็นนั่งจุ๊กจิ๊กกัน ก็โดนเรียกออกมาสอบสวนหน้าชั้นเลย ครูถามว่าพวกมันเล่นอะไรกัน พวกไอ้เชียรก็ได้แต่อ้ำอึ้ง แล้วก็ตอบว่าเปล่าไม่มีอะไร เลยโดนครูเขกกบาลทั้งแก๊ง แหม มันน่าจะบอกไปนะครับว่าจับควยกันอยู่

วิชานี้เวลาครูทำโทษจะไม่รุนแรงครับ ทำแบบตลกๆมากกว่า ก็บอกแล้วว่าเป็นวิชาแนวสันทนาการ วิธีทำโทษก็เช่นเขกหัวเบาๆ คล้ายๆตลกคาเฟ่นั่นแหละครับ บางทีก็เอาไม้เรียวพิเศษมาตี ไม้เรียวพิเศษที่ว่านี้คือเวลาตีมันจะไม่ค่อยเจ็บหรอกครับ ตีเบาๆแต่เสียงดังเพียะดังมาก เอาไว้ประกอบการแสดงตลกคาเฟ่ของครูเช่นกัน

แต่ไอ้เชียรมันก็ไม่ค่อยจะเข็ดครับ ชอบแอบโชว์จู๋ให้เพื่อนดูให้ห้องนี้เสมอ อาจจะมีคนสงสัยว่าโชว์ในห้องเรียนที่เรียนอยู่เป็นประจำยังไม่พอเหรอ ทำไมต้องมาโชว์ในชั่วโมงบันเทิงด้วย คำตอบก็คือเวลาโชว์ในห้องเรียน เพื่อนที่นั่งติดกันมันจะเป็นคนเดิมๆ แต่พอมาในห้องนี้เพื่อนที่นั่งติดกันจะไม่ใช่คนเดิมเสมอไป คือเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แต่ไม่ได้นั่งที่นั่งตายตัว ดังนั้นมันจึงชอบเพราะได้มีโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศในการโชว์เพื่อนๆ นี่ผมคิดเหตุผลเอาเองนะครับ ไอ้เชียรมันไม่เคยบอก

ที่จริงมันก็ตื่นเต้นดีครับ เพราะว่าเวลาไอ้เชียรมันเล่นจู๋อยู่ เพื่อนๆแปดคนสิบคนที่นั่งม้านั่งยาวแถวเดียวกับมันจะรู้หมด คนเยอะสะใจดี

ทีนี้พอไอ้พงษ์เริ่มเรียนรู้ว่าการโชว์ในชั่วโมงบันเทิงนี้น่าตื่นเต้นกว่าในห้องเรียนอีก มันก็เลยเอาอย่างมั่ง โดยงัดควยออกมาปั่นเล่นบ้างในขณะร้องเพลง โห สุดยอดครับ สร้างความฮือฮาให้แก่เพื่อนๆได้เป็นอย่างดี เพราะเวลาไอ้เชียรมันโชว์ เพื่อนที่นั่งติดกันเท่านั้นจึงจะได้เห็นจู๋มัน เพราะมันยังเด็ก จู๋ยังเด็กๆอยู่ แต่ไอ้พงษ์นี่สิครับ เวลามันเอาขึ้นมาปั่น แท่งของมันขนาดมหึมา ขนาดคนที่นั่งเก้าอี้ยาวอีกฝั่งหนึ่งยังมองเห็นควยมันเลยครับ แล้วยังมีเก้าอี้ยาวข้างหน้าที่หันมามอง และข้างหลังก็ชะโงกมามองมันอีก แล้วบางทีคนที่นั่งแถวหน้า แถวหลัง หรือว่าแถวตรงข้าม ไม่ใช่ห้องเดียวกันกับพวกเราด้วย เรียกว่ามันปั่นควยทีนี่เรียกเสียงฮือฮาได้มากเลย จนเพื่อนห้องอื่นยังรู้กิตติศัพท์เลยครับว่าไอ้พงษ์มันชอบโชว์ควย

แต่ไอ้พงษ์โชว์ในชั่วโมงบันเทิงไม่ค่อยบ่อยนัก เพราะการโชว์ของมันแต่ละครั้งจะมีเสียงฮือฮาและเพื่อนๆจะชะโงกมามุงดู ดังนั้นจึงเสี่ยงต่อการถูกครูจับได้ยิ่งนัก ต้องรอโอกาสเหมาะจริงๆ เช่น ตอนครูหันไปเขียนกระดานนานๆ จึงจะงัดออกมาโชว์ได้ งัดออกมาปั่นแล้วก็รีบเก็บ เพราะพอมีเสียงฮือฮา ครูก็มักจะหันมาดู ถึงตอนนั้นมันก็เก็บของเรียบร้อยนั่งทำหน้าตาเฉยแล้ว

เป็นยังไงครับ ความอุบาทว์ของไอ้พงษ์

Sunday, May 13, 2007

ตอนที่ 30

วันรุ่งขึ้น ผมเล่าเรื่องเมื่อคืนทั้งหมดให้ไอ้นัยฟังตั้งแต่เช้า ไอ้นัยมันมักจะมาแต่เช้าครับ ส่วนผมกับไอ้ชัชนั้นเด็กหอ เดินข้ามตึกมาก็ถึงห้องเรียนแล้ว ดังนั้นเรื่องมาสายจึงตัดไปได้ ผมเจอมันตอนเช้าก็รีบลากมันไปหาที่เงียบๆเล่าให้มันฟังเลย อยากเล่าครับ อยากเล่า อิอิ ตอนนั้นพวกเราสามคนสนิทกันมาก มีอะไรก็เล่าสู่กันฟัง ไม่เคยปิดบัง แม้แต่เรื่องเซ็กซ์ ไอ้นัยฟังตาโต หูผึ่ง ฟังมั่งซักมั่ง แต่ที่สำคัญ ท่อนเนื้อในกางเกงแข็งจนเห็นเป็นลำ

“วันนี้มึงใส่กางเกงในมารึปล่าวววววว” ผมยื่นหน้าไปถาม ลากหางเสียงยาวๆ ไอ้นัยมันคงนึกว่าผมจะหาเรื่องแก้กางเกงมันแต่เช้า (มันเป็นมุขน่ะครับ คงจำกันได้) จึงรีบเอามือมาผลักหน้าผม

“คนเยอะว้อย อย่าเพิ่ง”

เราสามคนเลยฮากันสนุก ชีวิตในวัยเด็ก ได้หยอกกัน คุยกันเล่นขำๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกสนุกอย่างเดียว ตอนที่ไอ้นัยมันเอามือผลักหน้าผม ตอนนั้นรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก มันคล้ายความอบอุ่นลึกๆอยู่ในใจ

หลายครั้งแล้ว ที่บางทีเมื่อผมได้สัมผัสตัวไอ้นัย ผมเกิดความรู้สึกแปลกๆอยู่ลึกๆ ตอนนั้นอธิบายกับตัวเองไม่ถูกเหมือนกันครับว่าเป็นความรู้สึกอะไร บอกได้แต่ว่าเป็นความรู้สึกที่ดี อือม์ ก็ไม่เชิง บางทีมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก คือบางทีก็รู้สึกอบอุ่น บางทีก็รู้สึกปั่นป่วนใจอย่างไรชอบกล และก็...ในบางครั้งการสัมผัสมันก็ทำให้ผมเกิดอารมณ์เพศขึ้นมา แต่ความรู้สึกเหล่านี้ผมไม่เคยบอกใครเลยนะครับ ไม่ว่ากับไอ้นัยเอง หรือกับไอ้ชัช ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากบอกใคร คงเป็นเพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจกระมังครับ เลยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะเล่าไปคนอื่นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

เมื่อไอ้พงษ์อยู่หอมาร่วมเดือน และชักว่าวให้ผมกับไอ้ชัชดู แล้วผมกับไอ้ชัชก็ชักว่าวให้มันดูบ้าง หลังจากนั้นสภาพการณ์ในหอชั้น ป.๖ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
- - - --

หลังจากวันนั้น ดูเหมือนว่าไอ้พงษ์จะได้ใจและแสดงอาการโรคจิตออกมามากยิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้เวลาอาบน้ำก็แก้ผ้าอาบหน้าตาเฉย แถมชวนคนอื่นชักว่าวเหมือนเป็นเรื่องธรรมดายังกับชวนกินข้าวหรืออะไรสักอย่าง

มีอยู่วันหนึ่ง ตอนหัวค่ำ ผมเดินผ่านห้องอาบน้ำ เห็นไอ้พงษ์กำลังอาบน้ำกับเพื่อนห้องนอนเดียวกันมันอีกสองคน พอมันเห็นผมมันก็แหกปากตะโกนเรียกออกมาจากในห้องน้ำ (คงยังจำได้นะครับว่าห้องน้ำหอผมด้านหน้าที่ติดทางเดินเป็นกำแพงครึ่ง กระจกครึ่ง ดังนั้นเวลาอาบน้ำจะมองเห็นข้างนอกได้ ข้างนอกก็มองเห็นข้างในได้ วาบหวิวดี)

“เฮ้ย อู ชัช อาบน้ำหรือยัง”

มันตะโกนถามแต่น้ำเสียงก็เป็นแววเชิญชวนนั่นแหละครับ ผมเลยหันไปมองหน้าไอ้ชัช เป็นความหมายว่าจะอาบน้ำตอนนี้ไหม มันพยักหน้า

“ยังไม่ได้อาบ กำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมตอบไป ว่าแล้วผมกับไอ้ชัชก็กลับไปที่ห้องนอนเพื่อเตรียมผลัดผ้ามาอาบน้ำ

เมื่อมาถึงห้องอาบน้ำ ผมกับไอ้ชัชก็แก้ผ้าอาบน้ำตามปกติ ไอ้พงษ์อาบน้ำไข่แกว่งโตงเตงได้สักครู่ก็หันมาชวนผม

“เฮ้ย ชักว่าวกัน” ไอ้พงษ์ว่า

ผมลังเลนิดหนึ่ง การชักว่าวในห้องน้ำเวลาอาบน้ำก็เป็นเรื่องค่อนข้างปกติสำหรับเด็กหอรุ่นผม เด็กหอที่อื่นไม่ทราบเหมือนกันนะครับ ที่ใช้คำว่า ค่อนข้าง ก็เพราะว่ามันไม่ถึงกับปกติเท่าไร คือ การชักว่าวเวลาอาบน้ำของเด็กหอเท่าที่ผมเห็นมาและทำด้วยตัวเองนั้นก็คือพวกที่อาบน้ำดึกหน่อย คนน้อยๆ และก็แอบชักหลังอ่าง โดยใช้อ่างน้ำบังลำตัวไว้ไม่ให้เห็นจากข้างนอก แต่ถ้าข้างนอกมองมาจริงๆก็รู้ละครับว่าทำอะไรอยู่ เพราะท่าทางมันขยุกขยิกก็เดาได้แล้ว ดังนั้นบางคนก็ลงไปนั่งกับพื้น พิงอ่าง แล้วก็ชักว่าว ถ้าแบบนี้มองจากข้างนอกจะไม่เห็นเลยเพราะตัวอ่างอาบน้ำบังไว้หมด

เวลาจะว่าวก็มักตอนคนอาบน้ำน้อยๆ ตอนหัวค่ำคนอาบน้ำตั้งโหลจะมายืนว่าวอยู่คนเดียวก็กระไรอยู่ และก็มักเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันด้วย คือเด็กประจำนี่แม้จะรู้จักกันหมดก็จริง แต่ความสนิทสนมก็ไม่เท่ากัน มันก็เหมือนในห้องเรียนนั่นแหละครับ ส่วนใหญ่นอนห้องเดียวกันจะสนิทกัน ยิ่งนอนเตียงใกล้กันก็จะสนิทกันมากกว่า ถ้านอนคนละห้อง ความสนิทสนมก็ลดน้อยลงไป

อย่างผมนี่ก็เคยว่าวกับเพื่อนๆเวลาอาบน้ำครับ ส่วนใหญ่ก็กลุ่มเล็กๆสองถึงสี่คนซึ่งเป็นเพื่อนที่นอนห้องเดียวกัน ที่จริงว่าวเป็นกลุ่มนี่ก็ตื่นเต้นดี แต่กับคนที่ไม่คุ้นผมไม่ว่าวให้ดูครับ เขินเหมือนกัน

การชักว่าวตอนอาบน้ำในช่วง ป.๕ นั้นไม่ตื่นเต้นเอาเลย เพราะว่าส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีน้ำว่าวกัน หรือบางคนมีก็หยดสองหยด ดูแล้วเลยไม่ตื่นเต้นเพราะมีแต่ลม แถมจู๋ก็แบบเด็กๆ แต่พอมาตอน ป.๖ นี่เริ่มมีรสชาติได้อารมณ์แล้วละครับ เพราะหลายคนก็เริ่มเป็นหนุ่มเข้าสู่วัยรุ่น หลายคนเริ่มไม่จู๋แล้ว แต่กลายเป็นไส้กรอก กุนเชียง กล้วยเล็บมือนาง หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่ยังไม่ถึงขั้นกล้วยหอม แล้วที่เคยพ่นแต่ลมมาปีนี้ก็เริ่มพ่นน้ำพิษกันแล้ว บางคนก็น้อย บางคนก็มาก ขนบางคนก็เริ่มขึ้นแล้ว

พอไอ้พงษ์มันชวน ผมมองหน้าไอ้สองตัวที่อาบน้ำอยู่ก่อนกับไอ้พงษ์ ไม่ค่อยคุ้นกับมันสักเท่าไร ลังเลอยู่ว่าจะว่าวกับมันดีไหม ขณะลังเล ไอ้พงษ์ก็ไม่รอคำตอบ ลงมือปั่นว่าวของมันทันที เพียงครู่เดียว ท่อนเนื้อสีดำน่าเกลียดก็กลายเป็นไส้กรอกไหม้เกรียมขนาดยักษ์ ที่เรียกว่าไหม้เกรียมเพราะมันดำๆนั่นเอง (ที่จริงเหมือนปลิงทะเลมากกว่า แต่ว่าตอนเด็กๆยังไม่รู้จักปลิงทะเล เลยเปรียบเทียบกับไส้กรอก)

ไอ้สองตัวนั่นจ้องควยไอ้พงษ์เขม็ง สงสัยจะไม่เคยเห็นควยใหญ่ขนาดนี้แบบจะจะมาก่อน ทุกคนควยแข็งขึ้นมาทันที

พอเห็นไอ้พงษ์ว่าว ผมชักอยากว่าวขึ้นมาเหมือนกัน ว่าวกันหลายๆคนคงมันดี ผมหันไปพยักหน้ากับไอ้ชัช ไอ้ชัชยิ้มแบบรู้ใจผม แล้วเราสองคนก็ชักว่าวตามไอ้พงษ์ ส่วนไอ้สองตัวที่เหลือนั้นพอเห็นพวกเราชักว่าวกัน ก็อดไม่ได้ต้องชักว่าวตามบ้าง พวกเราทั้งหมดว่าวไปตาก็เหลือบดูควยไอ้พงษ์ไป เพราะลีลาการชักว่าวของมันดุเดือดรุนแรง น่าดูที่สุด

“พวกมึงทำอะไรกันน่ะ”

ในท่ามกลางความเงียบ มีเพียงเสียงมือที่รูดไปกระแทกหัวเหน่า และเสียงไข่กระแทกมือไอ้พงษ์ดังพั่บๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมา มีเด็กอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำและเห็นฉากว่าวหมู่ของพวกเราพอดี ไอ้นี่ก็เป็นเด็กที่นอนห้องเดียวกับไอ้พงษ์ ชื่อไอ้ชิว

“ก็ชักว่าวอยู่น่ะสิ ไอ้สัตว์ มึงไม่มีตาดูเหรอ” ไอ้พงษ์ตอบ มือก็ยังไม่หยุดกระทอกเข้าออก ไอ้นี่เวลาพูดจากับเพื่อน บางทีก็ถ่อยๆเหมือนกัน

ไอ้ชิวมองตาค้าง มองเหตุการณ์ว่าวหมู่ตาไม่กระพริบ

“มึงจะยืนดูทำซากอะไรวะ มาชักว่าวกัน เร็วๆ” ไอ้พงษ์สั่งไอ้ชิว ฟังการพูดจาแล้วสงสัยไอ้สองคนนี้มันจะสนิทกัน

ไอ้ชิวก็เลยปลดผ้าเช็ดตัว แล้วก็เข้ามาร่วมมหกรรมชักว่าวกับพวกเรา การชักว่าวในคืนวันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่มันมาก เพราะมีเด็กร่วมกันชักว่าวหมู่ถึง ๖ คนภายใต้การนำของไอ้พงษ์ ก่อนหน้านั้นผมกับไอ้ชัชก็ไม่เคยเข้าร่วมการชักว่าวหมู่กลุ่มใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย

ผมแตกก่อนคนแรกเลย เพราะตื่นเต้นมาก น้ำว่าวพุ่งออกมาเป็นสาย แล้วหลังจากนั้นคนอื่นๆก็ทยอยแตกตามมา แต่แตกแบบไม่พุ่ง แค่ทะลักออกมาแล้วก็หยดลงกับพื้น ส่วนไอ้พงษ์นั้นอึดที่สุดตามเคย พวกเราแตกกันแล้วยังดูมันชักอีกตั้งนานกว่ามันจะแตก แต่เวลาดูมันน้ำว่าวแตกแล้วสะใจ เพราะมันพ่นทะลักออกมาเยอะมาก แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือน้ำว่าวมันโคตรเหม็นคาวเลย

Wednesday, May 9, 2007

ตอนที่ 29

แต่เพิ่งจะลงมืออาบน้ำ ยังไม่ได้ทันจะได้ชัก ไอ้พงษ์ก็โผล่มาพอดี เซ็งเลยตู สงสัยวันนี้จะอดว่าวเพราะมีไอ้พงษ์เข้ามาขัด คือผมไม่ค่อยสนิทกับมันเท่าไร ถ้าว่าวให้คนไม่คุ้นกันดูผมไม่ชอบ ก็เขินเหมือนเป็นเหมือนกันน่ะ แต่ถ้าเพื่อนๆสนิทกันไม่เป็นไร

ไอ้พงษ์เข้ามาก็ปลดผ้าเช็ดตัว ควยกับไข่แกว่งโตงเตง อาบน้ำสบายอารมณ์ ผมก็อาบน้ำไปคุยกับมันไป ยังไงก็เรียนห้องเดียวกันถึงไม่สนิทแต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อน

“เงี่ยนว่ะวันนี้” ไอ้พงษ์พูดเปรยๆ พูดเพียงแค่นี้ สมองอันสัปดนของผมก็เริ่มคิดไปไกล คิดว่าวันนี้สงสัยมีดีให้ดูแน่

“เงี่ยนก็ว่าวเด่ะ” สงสัยสมองไอ้ชัชจะไวกว่าผม เพราะผมเพียงแค่คิด แต่ไอ้ชัชมันพูดออกไปแล้ว

“พวกมึงชักว่าวกันเป็นหรือเปล่าวะ” ไอ้พงษ์ถาม

“ทำไมจะไม่เป็นวะ” ผมตอบ

“อ้าว ว่าวเป็นด้วยเหรอ นึกว่าไม่เป็นกัน” มันพูด ท่าทางที่มันพูดไม่ได้กำลังเยาะเย้ย แต่กำลังสงสัยจริงๆ

“ทำไมมึงคิดว่าพวกเราชักว่าวไม่เป็นวะ” ผมถามมัน

“อ้าว ก็ตอนอาบน้ำกูไม่เคยเห็นใครชักว่าวสักที ก็ก็นึกว่ายังเด็กอยู่ชักว่าวไม่เป็นน่ะสิ” โห ฟังมันพูด ดูถูกกันเกินไปแล้ว ป.๖ นะเฟ้ย ไม่ใช่ ป.๓ จะได้ว่าวไม่เป็น

“เค้าอายมึงมั้ง เลยไม่ว่าวให้มึงดู ปกติก็มีว่าวกันตอนอาบน้ำบ้างเหมือนกันแหละ แต่บางคนก็ว่าวในส้วม” ผมอธิบาย “มึงคงแอบไปว่าวในส้วมแน่เลย”

“ฮื่อ ใช่ แต่ไม่ค่อยชอบว่าวในส้วมว่ะ ชอบว่าวตอนอาบน้ำมากกว่า” มันบอก

เข้าทางผมสิครับ ผมก็เลยยุส่งทันทีเพื่อให้ได้ดูของดี

“ก็ว่าวดิ ใครไปว่าอะไรล่ะ”

พอไอ้พงษ์ได้ฟังดังนั้น มันก็เลยเดินอ้อมอ่างอาบน้ำไปหน่อย ไปอาบด้านที่ให้อ่างอาบน้ำบังลำตัวส่วนล่างเอาไว้ เวลามองจากข้างนอกจะได้ไม่ประเจิดประเจ้อ เรื่องอะไรผมจะพลาด ผมกับไอ้ชัชก้ย้ายที่อาบตามมัน

ไอ้พงษ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอได้ทำเลเหมาะ มันก็เริ่มปั่นว่าวมันที ชักเข้าชักออกได้ไม่นาน ควยของมันก็แข็งเต็มที่ ตอนนั้นผมกับไอ้ชัชหยุดอาบน้ำแล้ว ยืนตาโตควยแข็งดูไอ้พงษ์ชักว่าว

ควยมันตอนแข็งเต็มที่นี่ใหญ่มากครับ จะว่ายาวก็ไม่ยาวมาก แต่ก็ยาวกว่าพวกผมแหละ แต่ที่สำคัญคือควยมันอวบมาก อวบยังกับท่อประปา เวลามันชักว่าว หนังหุ้มปลายผลุบเข้าผลุบออกเสียดสีกับหัวเห็ด เห็นหัวของมันบานมาก สีแดงคล้ำเหมือนกับสีตับหมู ผมดูจนน้ำลายเหนียวเลยครับ ไม่รู้เป็นอะไร เวลาเกิดอารมณ์และตื่นเต้นมากๆน้ำลายมักจะรู้สึกว่าเหนียว

เวลามันชัก ไข่พวงใหญ่ของมันก็แกว่งไปมากระแทกกับมือที่ชักเข้าออก เสียงบดังพั่บๆ ผมหันไปมองไอ้ชัช เห็นมันยืนควยลุกมองตาค้างเหมือนกัน

ไอ้พงษ์ชักว่าวอึดมากครับ ชักตั้งนานยังไม่ยอมเสร็จ ที่จริงผมอยากจะชักตามเหมือนกัน ถ้าผมชักนี่ป่านนี้เสร็จไปสองรอบแล้วมั้ง แต่ไอ้พงษ์ยังไม่เสร็จสักรอบ แต่ก็ไม่อยากชักครับ ตอนนั้นมีอารมณ์ก็จริง แต่ยังเขินไอ้พงษ์อยู่ เขินเพราะไม่ค่อยสนิทกับมัน อีกอย่าง เครื่องเคราผมสู้มันไม่ได้เลย น้ำก็ยังมีไม่เยอะ ตอนนั้นกลัวชักว่าวให้มันดูแล้วจะเสียฟอร์มเลยอดใจไว้ ส่วนไอ้ชัชเห็นผมไม่ชัก มันก็เลยไม่ชักเช่นกัน

ชักได้สัก ๑๐ นาที จนผมเริ่มเหนื่อยแทนมัน มันก็เริ่มสูดปากซี้ดซ้าด ทำหน้าเบี้ยวหน้าบูด และแล้ว น้ำว่าวของมันก็ทะลักออกมายังกับเขื่อนแตก น้ำว่าวของมันพุ่งออกมาไม่ไกลเท่ากับของไอ้นัย แต่ปริมาณเยอะมาก สงสัยอั้นมาหลายวัน น้ำว่าวมันพุ่งออกมาตั้งไม่รู้กี่ที นองพื้นกลิ่นคาวคลุ้งไปหมด

- - - -

ลีลาการชักว่าวของไอ้พงษ์ดุเดือดเร้าใจมาก เล่นเอาผมอารมณ์กระเจิงไปเลย พอมันว่าวเสร็จก็อาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผมกับไอ้ชัชก็อาบน้ำไปควยแข็งไป อยากจะว่าวให้น้ำแตกพร้อมๆกับมันจัง แต่กลัวเสียฟอร์ม

“เฮ้ย พวกมึงไม่ว่าวกันมั่งเหรอ” ไอ้พงษ์ถาม เพราะเห็นผมกับไอ้ชัชควยแข็งไม่ยอมลงสักที

“ยังอ่ะ เอาไว้ก่อน” ผมตอบอย่างไว้เชิง

“มึงจะเอาไว้เมื่อไหร่เหรอ ควยลุกออกยังงี้” ไอ้พงษ์พาซื่อถาม

ผมอึ้งไปชั่วขณะ ตอบส่งเดชไปยังงั้นเอง ไม่ได้นึกว่ามันจะถามต่อ เลยไม่รู้จะตอบยังไง

“เอาไว้เมื่อไหร่ดีวะชัช” ผมเลยหันไปถามไอ้ชัช ไอ้ชัชตีหน้ายุ่งบอกไม่ถูก คงนึกไม่ถึงที่ผมส่งมุขให้มัน มันอึ้งไปชั่วขณะเหมือนกัน

“เอ้อ... กูจะไปรู้มึงเหรอวะ ว่าเมื่อไร”

“ว่าวดิ อายอะไรกันวะ กูยังชักว่าวให้พวกมึงดู ไม่เห็นอายเลย” ไอ้พงษ์คะยั้นคะยอ

เออ ก็มึงหน้าด้านนี่หว่า ผมนึกในใจ แต่แล้วก็มานึกได้ว่าที่จริงผมเองก็หน้าด้านเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่มากเท่ามัน

“เอา ก็ได้วะ” ในที่สุดก็เลยตัดสินใจชักว่าว ที่จริงตอนนั้นก็เกิดอารมณ์มากอยากว่าวอยู่แล้วละครับ แค่กลัวเสียฟอร์มเท่านั้นเอง

ว่าแล้วผมก็ลงมือชักว่าว ที่จริงเดิมกะว่าจะไถก้นไอ้ชัชเสียหน่อย แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ก็เลยต้องตามเลย เพราะมีไอ้พงษ์มาขัดจังหวะ แถมยังมาเซ้าซี้อยู่นั่นแหละ เก็บก้นไอ้ชัชเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

ไอ้ชัชเมื่อเห็นผมว่าวก็ลงมือว่าวบ้าง ผมนึกถึงภาพไอ้พงษ์ที่กำลังชักว่าวอยู่เมื่อครู่ ควยดำเมื่อมขนาดไม่ยาวแต่ใหญ่มหึมาของมันตอนแข็งตัว สายตาก็เหลือบมองไปที่ควยของมัน เห็นตอนนี้มันอ่อนตัวลงแล้ว แต่ก็ยังขนาดเขื่องอยู่ หมอยดำเหมือนพงหญ้าสีดำรกๆ ทั้งภาพจริงและจินตนาการกระตุ้นให้ผมน้ำแตกอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกเสียวที่ท้องน้อยและควยกระตุกอย่างรุนแรง...รุนแรงกว่าทุกครั้ง

น้ำว่าวสีขาวอมเขียว ข้นคลั่กของผมก็หลั่งออกมา แต่ครั้งนี้มันไม่ได้หยดออกมาแล้วละครับ มันพุ่งออกมาเลย เย้...น้ำว่าวของผมพุ่งได้แล้ว มันพุ่งออกมาสองสามครั้ง ไม่เยอะและไม่ไกลเท่าไร แต่แค่นี้ก็ภูมิใจแล้วละครับ

“ไอ้เปรต โห วันนี้สงสัยเงี่ยนจัด น้ำว่าวพุ่งเลยวุ้ย” ไอ้ชัชว่า มือยังไม่หยุดชักว่าว เพียงครู่เดียวมันก็น้ำแตกตามมาติดๆ มันปล่อยน้ำว่าวจากปลายควยหล่นลงบนพื้นสองสามกองเล็กๆ

หลังจากนั้นพวกเราก็อาบน้ำกันต่อ หุ่นของไอ้พงษ์ไม่น่าดูเลยสักนิดในสายตาของผม ตัวท้วมๆ ตันๆ คล้ำๆ จะเรียกว่าไม่ใช่สเป็กก็คงจะได้มังครับ ดูมันแก้ผ้าแล้วก็ไม่เกิดอารมณ์แต่อย่างใด แต่ตอนมันชักว่าวนี่ดุดันรุนแรง ได้อารมณ์ดี สรุปแล้วก็คือชอบลีลาของมันมากกว่า แต่ไม่ได้ชอบหุ่นมันหรือตัวมันเลยสักนิด

ไอ้พงษ์อาบน้ำเสร็จก่อนก็ปลีกตัวไปนอนก่อน ก็ว่าวเสร็จสบายตัวแล้วนี่ครับ จะอยู่ต่อไปทำไม ส่วนผมน่ะเหรอ อิอิ ยังครับ พอมันคล้อยหลังไป ผมอดไม่ได้ต้องลากไอ้ชัชไปที่ข้างห้องส้วม ตำแหน่งที่มองไม่เห็นจากข้างนอกห้องน้ำ ปิดไฟห้องน้ำให้เหลือดวงเดียว แล้วก็จับไอ้ชัชไถก้นต่ออีกรอบอย่างรวดเร็ว ต้องทำเร็วๆครับ กลัวใครมาเห็นเข้า เพราะดึกๆเด็กหอออกมาเข้าห้องน้ำก็มี เวลามันเดินมาเข้าห้องน้ำก็มักจะไม่ค่อยได้ยินเสียงเสียด้วย ดังนั้นต้องระวังหน่อย

“อู้ย เจ็บว่ะ ทำไมวันนี้มึงไถแรงจังวะ” ไอ้ชัชบ่นเจ็บ เพราะผมไถก้นมันค่อนข้างแรง คงเป็นเพราะผมเห็นการชักว่าวอย่างดุดันของไอ้พงษ์นั่นเอง เลยเลียนแบบความรุนแรงมาโดยไม่รู้ตัว แต่ที่จริงก็มันดีนะครับ แหะๆ

“แรงไปเหรอ โทษทีว่ะ” ผมขอโทษมัน

ไถได้ครู่เดียว น้ำของผมก็แตกอีกรอบ ไอ้ชัชไม่ยอมเสียเปรียบ มันจับผมไถก้นบ้างเช่นกันเป็นการแก้แค้น ที่จริงก็ไม่ได้แก้แค้นอะไรหรอก ส่วนใหญ่ก็ผลัดกันไถคนละที ไม่เอาเปรียบกัน

Sunday, May 6, 2007

ตอนที่ 28

หลังจากเปิดเรียนไปได้สักระยะหนึ่ง พงษ์ศักดิ์ก็กลายเป็นไอ้พงษ์ของเพื่อนๆ มันเริ่มเข้ากับนักเรียนหน้าเก่าๆได้แล้ว โต๊ะมันอยู่ห่างจากโต๊ะผม แถมตอนกลางคืนก็นอนกันคนละห้อง ดังนั้นผมเลยไม่ค่อยสนิทกับมันเท่าไร พวกที่นั่งใกล้กับมันจะสนิทสนมกับมันมากกว่า

เรียนด้วยกันไปสักระยะจึงได้รู้ว่า ไอ้พงษ์นี่อายุ ๑๔ ย่าง ๑๕ แล้ว เด็ก ป.๖ ทั่วไปอายุประมาณ ๑๒ เอง ไอ้นี่ไม่รู้ไปถูกดองอยู่ที่ไหนมาถึงได้เรียนช้าขนาดนี้ ผมเดาเอาเองว่ามันคงเคยสอบตกและเรียนซ้ำชั้นมาจากที่อื่น แต่มันไม่เคยพูดเรื่องที่ว่าทำไมมันเรียนช้าเลย ใครถามมันว่าทำไมมันเรียนช้า มันก็บอกว่าที่ช้าเป็นเพราะว่ามันเรียนช้า เลยสามวาสองศอกอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงสักที

พอเปิดเทอมไปได้สักเกือบเดือน อะไรๆก็เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ข้างหลังห้องก็จับจู๋จับเจี๊ยวกันอย่างมันมือ นำทีมโดยไอ้เชียร อย่างที่เล่าไปแล้ว ปีนี้ไอ้นี่มันผีเข้าครับ ถ้าไม่ใช่ผีเข้าก็คงเป็นโรคจิต ตอนป.๕ ไม่เห็นแววเลยสักนิดว่าจะทะลึ่ง มาปีนี้ชอบให้เพื่อนๆจับจู๋เล่น บางทีอยู่ดีๆไม่มีใครมาจับจู๋มัน มันก็ควักจู๋ออกมาให้เพื่อนๆจับเล่นเสียยังงั้นแหละ แต่ไอ้นี่ไม่ใหญ่เท่าไรครับ ยังเด็กๆ แถมหนังหุ้มปลายยาวอีกต่างหาก ขนาดแข็งแล้วหนังหุ้มปลายก็ยังคลุมมิดชิดเลย ไอ้เชียรนี่มันต่างจากไอ้นัยครับ เพราะไอ้นัยไม่เคยควักออกมาให้ใครจับเล่นหรือชวนให้ใครมาจับ มีแต่คนอื่นมาแกล้งจับแกล้งล้วงของมันเอง

และแล้ว ไอ้พงษ์ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ หางที่อุตส่าห์เก็บไว้อย่างมิดชิดทำให้นึกว่ามันเป็นคนดีก็โผล่ออกมา ...

ไอ้พงษ์นี่มันตัวโตก็จริง แต่มันได้นั่งหน้าชั้นติดโต๊ะครูเลย ครูให้เหตุผลว่าไอ้พงษ์เรียนไม่ค่อยเก่ง เลยอยากให้มานั่งใกล้ๆ จะได้ดูแลได้ใกล้ชิด กลัวจะตามไม่ทันเพื่อน

มีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นเป็นตอนหมดคาบ ขณะที่ครูภาษาอังกฤษออกไปและรอให้ครูประจำชั้นกลับมาสอน ตอนนั้นจะเป็นช่วงว่างประมาณ ๕ นาทีซึ่งไม่มีครูอยู่ในห้อง ตอนนั้นละครับเป็นเวลาเจี๊ยวจ๊าวของพวกเรา ต่างคนต่างก็คุยกันให้แซ่ด และแล้ว จู่ๆผมก็เห็นไอ้พงษ์งัดควยออกมา ผมนั่งโต๊ะหน้าสุดริมผนัง ส่วนไอ้พงษ์ก็โต๊ะหน้าสุดเหมือนกันแต่ว่าอยู่กลางห้อง เราเลยอยู่ในระนาบเดียวกัน ผมเห็นมันงัดออกมา ควยอันเบ้อเริ่มเลยครับ สีดำคล้ำ ใหญ่กว่าของไอ้นัยตั้งเยอะ ก็น่าจะใหญ่กว่าหรอกครับเพราะว่าไอ้พงษ์มันวัยรุ่นแล้ว แล้วก็ชักเข้าชักออกสองสามที จากนั้นเก็บกลับเข้าไปในกางเกงตามเดิม

พวกที่อยู่ด้านหน้าพอเห็นก็รีบเข้ามามุงดู เพราะของมันใหญ่จริงๆ พอข้างหน้าเข้ามามุง พวกข้างหลังห้องก็อยากรู้ว่าดูอะไร ก็เข้ามามุงกันมั่ง ตกลงเลยเข้ามามุงดูมันกันทั้งห้อง ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ไอ้พงษ์เห็นมิตรรักแฟนเพลงมุงกันมากขนาดนั้น ก็เลยงัดควยออกมาและชักให้ดูอีกสองสามทีเพื่อไม่ให้เสียศรัทธาว่ามามุงแล้วไม่ได้เห็น แล้วก็เก็บเข้าไปอีก

พอดีครูเข้ามาครับ วงเลยแตก ครูถามว่ามุงอะไรกันก็ไม่มีใครกล้าบอก ได้แต่หัวเราะกันสนุก

มาถึงตอนพักเที่ยง พวกเพื่อนๆคุยกันจึงได้ความมาว่า เหตุที่ไอ้พงษ์งัดของดีออกมาโชว์นั้นเป็นเพราะมันท้ากับไอ้จ๋อเพื่อนที่นั่งติดกับมันว่ามันจะกล้างัดควยออกมาโชว์ในช่วงที่ครูยังไม่มาหรือไม่ คือมันเสี่ยงนะครับ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรครูจะเข้ามา ถ้าเข้ามาเจอตอนมันถอกควยโชว์อยู่ละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ (ครูเกือบทั้งหมดเป็นครูผู้หญิงครับ ยกเว้นครูพละเป็นครูชาย) ไอ้จ๋อบอกว่ามันไม่กล้า ไอ้พงษ์เลยรับคำท้า แถมงัดออกมาโชว์เพื่อนๆเสียสองรอบด้วย ใจถึงมากๆเลย

เรื่องของไอ้พงษ์นี่เพิ่งแค่ออร์เดิฟครับ ยังมีอะไรอุบาทว์อีกเยอะ หลังจากที่วันนั้นมันงัดควยออกมาโชว์จนสร้างความฮือฮาแก่เพื่อนๆแล้วก็ดูมันจะได้ใจ หลังจากนั้นก็มีการงัดออกมาโชว์อีกบ้างเป็นระยะๆ งัดออกมาในชั้นเรียนระหว่างเปลี่ยนครูนั่นแหละครับ บางทีอยู่ดีๆก็งัดออกมาเอง หรือไม่อย่างนั้นเพื่อนๆก็ยุให้มันควักออกมา ซึ่งมันก็ไม่ขัดศรัทธา

ควยไอ้พงษ์ใหญ่มากครับ ก็ตอนนั้นมันเป็นนักเรียนที่อายุมากที่สุดในห้อง จะไม่โตที่สุดได้ไง เพราะคนอื่นยังเด็กอยู่ส่วนมันเป็นวัยรุ่นแล้ว เป็นแท่งสีดำคล้ำคล้ายกับสีผิวของมัน ตอนมันงัดออกมาส่วนมากจะกึ่งแข็งกึ่งอ่อน คือยังแข็งไม่เต็มที่ แต่ขนาดไม่เต็มที่ก็ใหญ่มากแล้ว หัวมันเปิดได้ไม่หมด แค่ปลายเปิดออกมาได้หน่อยเดียว และที่สำคัญ มันไม่ได้ใส่กางเกงในมาเรียนด้วย เพราะสังเกตเวลามันควักออกมานั้นแค่รูดซิปก็ควักออกมาเลย

และที่สร้างความฮือฮาแก่เพื่อนๆอีกอย่างคือหมอยมันดกมากครับ เป็นพุ่มดำหนาเลย เวลารูดซิปออกมาทีหมอยงี้ล้นทะลักออกมาเลย

เอาละสิ ยังงั้นก็แปลว่าไอ้นัยเจอคู่ปรับเข้าแล้วละสิ อิอิ ก็ไม่เชิงครับ เพราะไอ้นัยมันเงียบๆ สุภาพเรียบร้อย ถ้าไม่มีใครไปจับมักล้วงออกมา อยู่ดีๆมันไม่ควักออกมาหรอก ส่วนไอ้พงษ์นั้นมันโรคจิต ควักออกมาไม่มีกาละเทศะ

ส่วนไอ้เชียรหลังห้องนั้นก็มีการแอบล้วงควักกันไปเรื่อยตามแต่สถานการณ์จะอำนวย แต่ไม่ค่อยโฉ่งฉ่าง

หลังจากวันที่ไอ้พงษ์ควักควยออกมาโชว์ พฤติกรรมของมันก็เริ่มเปลี่ยนไป คงจะได้ใจละครับ เพราะหลังจากนั้นมันก็ไปออกฤทธิ์ที่หอ คือตอนมันมาใหม่ๆ เวลาอาบน้ำมันจะใส่กางเกงในอาบ ก็อย่างที่เคยเล่าไว้ตั้งแต่ตอนต้นๆ ขอเล่าทวนความจำหน่อยละกัน คือว่าการอาบน้ำของนักเรียนประจำที่นี่นั้นจะเป็นห้องน้ำรวม ในห้องน้ำตรงกลางจะเป็นอ่างปูนขนาดใหญ่ เด็กๆก็มาตักอาบจากอ่าง ในตอน ป.๕ นั้น ส่วนใหญ่ก็จะแก้ผ้าอาบน้ำกัน เพราะยังเด็กอยู่ และอีกอย่างพวกเด็กๆส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมหอที่อยู่กันมาตั้งแต่ ป. ต้นๆทั้งนั้น บางคนอยู่มาตั้งแต่ ป.๑ ดังนั้นความคุ้นเคยกันจึงมีมาก เวลาอาบน้ำเลยไม่ค่อยอายกัน

พอมาถึงชั้น ป.๖ บางคนที่เคยแก้ผ้าอาบน้ำก็กลับมาใส่กางเกงในอาบ แค่บางคนนะครับ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะหมอยมันกำลังขึ้นครับ ถ้าแก้ผ้าอาบมักจะโดนเพื่อนล้อเพราะแปลกแยกกว่าคนอื่น หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะบางคนเริ่มมีอารมณ์เพศ พออาบน้ำแล้วจะควยลุก เลยต้องใส่กางเกงในอาบ เหตุผลข้อหลังนี่คิดเอาเองครับ แต่เรื่องหมอยขึ้นแล้วใส่กางเกงในอาบนี่ในที่สุดจะไปไม่รอด เพราะว่าถ้าแก้ผ้าอาบก็โดนล้อ แต่ถ้าใส่กางเกงในอาบ กลายเป็นตัวประหลาดไปเลย ยิ่งโดนล้อใหญ่ ในที่สุดพอเวลาผ่านไปสักระยะ พอหลายๆคนเริ่มมีเหมือนกัน คราวนี้ก็ไม่แปลกอีกแล้ว ก็กลับมาแก้ผ้าอาบตามเดิม

ส่วนผมน่ะเหรอ ก็แก้ผ้าอาบน้ำตลอดละครับ ไม่ค่อยจะอายหรอก หน้าด้านแล้ว เวลาอาบน้ำบางทีควยลุกมั่งก็ช่างมัน ต่อมาแม้ตอนหมอยเริ่มขึ้นก็ยังแก้ผ้าอาบ ไอ้ชัชก็เหมือนกัน ปีนี้สนุกครับ เพราะใครชักว่าวเป็นหรือไม่เป็นดูก็รู้เลย เพราะเวลาควยแข็งหัวมันจะเปิดออกมาได้บ้างไม่มากก็น้อย ใครยังชักไม่เป็นในที่สุดเพื่อนๆก็สอนให้ แล้วในที่สุดมันก็เป็นกันหมด หมายถึงชักว่าวเป็นนะครับ ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นเกย์กันหมด

มาว่ากันถึงไอ้พงษ์ต่อ ตอนมาใหม่ๆมันใส่กางเกงในอาบน้ำครับ ไอ้นี่มันแปลก กลางวันไม่ใส่กางเกงในแต่ตอนอาบน้ำกลับใส่ คือเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันไม่ได้ใส่กางเกงในไปเรียน เนื่องจากนอนกันคนละห้อง เลยไม่สนิท นิสัยส่วนตัวบางอย่างเลยไม่รู้

แต่มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันหลังจากที่มันเริ่มงัดควยออกมาโชว์ในห้อง มันก็เริ่มแก้ผ้าอาบน้ำบ้าง วันนั้นบังเอิญผมกับไอ้ชัชและเพื่อนๆอีกสองสามคนกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนนั้นคนไม่เยอะเพราะดึกนิดหน่อยแล้ว ก็อาบกันอยู่สี่ห้าคน ไอ้พงษ์ก็เดินเข้ามาจะอาบน้ำบ้าง พอมันปลดผ้าเช็ดตัวเท่านั้นแหละครับ จากไอ้พงษ์ก็เลยกลายเปรตพงษ์ เพราะวันนั้นมันไม่ได้ใส่กางเกงในมาอาบ โห เห็นเต็มๆเลยครับท่านผู้ชม แท่งสีดำขนาดเขื่อง ห้อยสงบอยู่ ขนาดอ่อนตัวอยู่ยังใหญ่มาก ใหญ่กว่าเด็ก ป.๖ คนไหนที่ผมเคยเห็นมาก่อน ของคนละไซส์กันเลยเพราะไอ้นี่มันไซส์ผู้ใหญ่ หมอยก็ดกดำเป็นพงหญ้า หมอยมันยาวกว่าของไอ้นัยเยอะครับ ทั้งดกและยาวกว่า แนวขนลามเลียไปถึงสะดือ แถมขนรักแร้ก็เยอะอีกต่างหาก ไอ้นี่สงสัยเป็นพันธุ์ขนดกแน่เลย ไข่ก็พวงเบ้อเริ่มสีดำคล้ำห้อยโตงเตง

พวกเพื่อนๆก็ฮือฮากันใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นของใหญ่ๆแบบนี้มาก่อน

“โหย แม่งโคตรใหญ่เลย” ไอ้เพื่อนคนหนึ่งอุทานออกมา ไอ้พงษ์ยักคิ้วให้กับคำชมด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นมันก็ลงมืออาบน้ำ ตอนอาบน้ำนี่มีการถอกควยออกมาล้างโชว์ให้ดูด้วย ถอกเข้าถอกออก ผลก็คือพวกเราที่กำลังอาบกันอยู่ดูจนควยแข็งไปตามๆกัน ทีนี้ของใครใหญ่ของใครเล็กก็ฟ้องออกมา แต่ส่วนใหญ่ก็ไล่เลี่ยกันละครับ ต่างกันแค่นิดหน่อย

“ฮ่ะฮ่ะ พวกมึงยังเด็กอยู่เลย ควยนิดเดียวเอง หมอยก็ยังไม่มีสักคน” ไอ้พงษ์พูดไปหัวเราะไป อ้าว ไอ้หอก เสือกพูดยังงั้น มึงเป็นนักเรียนโค่งแทนที่จะคิดว่าตัวเองประหลาดผิดกับคนอื่น ยังกลับมาเยาะเย้ยคนอื่นอีก ตอนนั้นในกลุ่มคนที่อาบน้ำยังไม่มีใครมีหมอยเลย

“รู้งี้กูเอาไอ้นัยมาอาบด้วยดีกว่า” ผมกระซิบบอกไอ้ชัช “มันจะได้ไม่หยามพวกเราขนาดนี้”

ตอนนั้นไอ้นัยก็เข้าสู่วัยรุ่นแล้ว อะไรๆก็พอจะไม่น้อยหน้ามัน ผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อยแหละครับ ช่วงนั้นติดไอ้นัยมาก มีอะไรก็นึกถึงแต่มัน

วันนั้นก็ไม่มีอะไรครับ แค่อาบน้ำโชว์ควยกันเฉยๆ แต่ต่อมาผมจะเริ่มสังเกตว่ามันอาบน้ำตอนไหน ส่วนใหญ่มักจะอาบหัวค่ำแก่ๆ ตอนที่คนอื่นอาบกันไปแล้วและห้องอาบน้ำคนน้อย พอผมสังเกตได้เช่นนั้นก็ชวนไอ้ชัช

“เฮ้ย ทีหลังเราอาบน้ำช้าหน่อยดีกว่า รออาบพร้อมไอ้พงษ์” ผมบอกมัน

“ทำไมวะ” มันถาม

“ก็เผื่อได้ดูของดีไง” ผมตอบ

ไอ้ชัชก็ไม่ว่าอะไร มันก็ตามใจผม คงอยากดูด้วยเหมือนกันแหละ เป็นอันว่าหลังจากนั้นมา ผมก็พยายามไปอาบน้ำพร้อมไอ้พงษ์ แต่ก็ไม่ทุกวันหรอกครับ เพราะกลัวมันผิดสังเกต แต่ไอ้นี่ก็แปลก ยังไม่เคยเห็นของมันตอนแข็งเต็มที่สักที ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ตอนอ่อนหรือไม่ก็แข็งนิดๆ นี่แหละที่ผมรอดูอยู่ ว่าเมื่อไรมันจะแข็งเต็มที่สักที

ไม่ต้องรอนานหรอกครับ เพราะอีกไม่กี่วันต่อมา มีอยู่วันหนึ่ง ผมอาบน้ำดึกหน่อย ไปอาบกับไอ้ชัชสองคน วันนั้นไม่ได้ไปดักอาบรอไอ้พงษ์หรอก แต่กะว่าจะชักว่าวสักหน่อย เลยรอให้ดึกสักนิด ชะได้ชักว่าวกับไอ้ชัชสองคน

Wednesday, May 2, 2007

ตอนที่ 27

วันถัดมา เป็นวันเปิดเรียนวันแรก วันเปิดเรียนเป็นวันที่เด็กๆส่วนใหญ่รอคอย เพราะว่าจะได้เจอเพื่อนหลังจากที่จากกันมาหลายเดือน ได้แต่งตัวด้วยชุดนักเรียนชุดใหม่ หนังสือเรียนใหม่เอี่ยมจนกลิ่นกระดาษและหมึกพิมพ์โชยออกมา เด็กๆก็ชอบอะไรใหม่ๆละครับ แต่ว่าส่วนน้อยที่ไม่อยากเปิดเทอมก็มี คือพวกที่ไม่ค่อยชอบไปโรงเรียน แต่สำหรับผมนั้น ผมชอบไปโรงเรียนครับ เพราะมีเพื่อนเยอะ และที่สำคัญคือจะได้เจอไอ้นัย ส่วนไอ้ชัชนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าอยากเจอหรือไม่อยากเจอมัน เพราะถึงอย่างไรก็ต้องนอนติดกับมันอยู่แล้ว

เพื่อน ป.๖ ก็ไม่ต่างจากชั้น ป.๕ หรอกครับ เพราะยกห้องกันมา ไม่ได้จัดคละห้องใหม่ ตอนเช้าตรู่ ก่อน ๘ โมงเช้าเข้าแถวเคารพธงชาติ พวกเราก็รีบขึ้นไปที่ห้องเพื่อจับจองที่นั่ง ใครอยากนั่งกับใครก็รีบไปจับจองกัน ส่วนใหญ่ก็มาก่อนได้ก่อน ไม่ค่อยมีทะเลาะเรื่องแย่งที่นั่งกัน

เป็นธรรมเนียมที่นักเรียนตัวสูงจะต้องไปนั่งหลังชั้น ส่วนพวกตัวเล็กๆต้องมานั่งหน้าชั้น จะได้ไม่บังกัน ยกเว้นโต๊ะแถวติดประตูกับแถวติดหน้าต่าง สองแถวนี้จะเป็นโต๊ะเดี่ยว นั่งคนเดียว ซึ่งคนตัวสูงจะมานั่งข้างหน้าก็ได้ เพราะไม่ได้บังใคร ดังนั้นในการจับจองที่นั่ง ส่วนใหญ่ก็คำนึงถึงความสูงของตนเองด้วย เพราะหากนั่งแล้วบังเพื่อน จะต้องถูกครูจัดให้ใหม่ คราวนี้ละครับ ที่หวังจะได้นั่งติดกับใครจะอดหมดเลย

พูดถึงตัวสูงตัวเตี้ย ตอน ป.๕ นั้นไอ้นัยจัดว่าเป็นคนสูงครับ เพราะมันโตค่อนข้างเร็วกว่าเพื่อนๆในห้อง แต่พอมา ป.๖ นี่มันกลับกัน ยังกับว่าไอ้นัยมันหยุดสูงไปเสียยังงั้นแหละ ตอนแรกผมก็ไม่ได้สังเกตหรอก แต่เมื่อเปิดเรียนและมากันพร้อมหน้าพร้อมตา เลยเพิ่งมาสังเกต ว่าไอ้นัยนั้นมันกลายเป็นความสูงขนาดปานกลางไปเสียแล้ว ไอ้ชัชที่เดิมเตี้ยกว่ามัน ปีนี้ก็เริ่มสูงทันกันแล้ว ส่วนผมที่เดิมเตี้ยกว่าไอ้นัยนิดเดียว ตอนนี้กลับสูงกว่ามันหน่อยนึง หลายๆคนที่สูงพอๆกับไอ้นัยหรือเตี้ยกว่ามันหน่อยในปีที่แล้ว ปีนี้เริ่มแซงมันแล้ว วัยนี้มันเป็นวัยโตวันโตคืนจริงๆครับ แต่ละคนโตเร็วไม่เท่ากันด้วย

หลังจากไอ้นัยถูกวัดความสูง ต่อมามันก็ถูกเพื่อนๆจับวัดความยาว อิอิ ไอ้นัยก็ยังเป็นไอ้นัยคนเดิมของเพื่อนๆในกลุ่ม คือ แกล้งได้ จับได้ คลำได้ ล้วงออกมาก็ได้ แต่อย่าให้ประเจิดประเจ้อนัก แต่พอดีตอนเช้านั้นคนเยอะมาก ไม่มีมุมสงบเลย เพื่อนๆเลยไม่มีโอกาสได้ล้วงไอ้นัยน้อยออกมา ได้แค่จับๆ ส่วนผมกับไอ้ชัชนั้นวันนี้ยังขี้เกียจแกล้งมัน เพราะเมื่อวานเพิ่งล้วงควักทิ่มแทงกันไปหยกๆ

หลังจากที่เจี๊ยวจ๊าวจองโต๊ะเรียนกัน ระฆังเรียกเข้าแถวก็ดังขึ้น พวกเราก็ต้องไปยืนเข้าแถวเคารพธงชาติตามลำดับชั้นและห้องที่ถูกจัดเอาไว้ ผมเพิ่งสังเกตว่าในแถวของห้องผมนั้น มีนักเรียนหน้าใหม่อยู่ด้วย พงษ์ศักดิ์นั่นเอง!

- - - - -

พงษ์ศักดิ์ที่ว่านี่ก็คือพงษ์ศักดิ์นักเรียนประจำหน้าใหม่ที่ผมเจอในหอเมื่อคืนนั่นเอง ไอ้หมอนี่ผิวคล้ำๆ ตัวบึกๆ แบบไอ้ทิวเลย ยังจำได้ไหมครับ ไอ้ทิวที่อัดไอ้นัยจนจุกไง หุ่นยังงั้นเลย แต่ว่าไอ้นี่ท้วมกว่า หน้ารีๆแบบลูกขนุน ใส่กางเกงขาสั้นแต่ว่ายาวเฟื้อยปิดหัวเข่า (ต่อมาก็เป็นเอกลักษณ์ของมันครับ เพราะว่ากางเกงขาสั้นของมันกี่ตัวๆก็ยาวปิดหัวเข่าเหมือนกันหมด) ที่จมูกมีสิวเม็ดเบ้อเริ่มสีแดงๆคล้ายๆนอแรด

“ไอ้นี่อีกแล้ว มันมาได้ไงวะเนี่ย” ผมกระซิบบอกไอ้ชัชในแถว มันกับผมยืนติดกัน ส่วนไอ้นัยอยู่ข้างหน้าไปถัดอีกคนหนึ่ง

“ย้ายตามพ่อแม่มามั้ง” ชัชว่า

“พูดถึงใครอ่ะ ฟังด้วยคนดิ” ไอ้นัยยื่นหน้าเข้ามาถาม อ้อ ลืมบอกไป ไอ้นัยตอนนี้เสียหล่อไปเยอะครับ เพราะว่าเพิ่งไปตัดผมมาเมื่อวานตอนเย็น จากเส้นผมหยักศกสลวยเหลือแต่หัวเกรียนเขียวๆ... ดีแล้ว จะได้ไม่หล่อเกินหน้าเกินตาผม อิอิ

ไอ้ชัชเลยบุ้ยใบ้ให้ไอ้นัยดูเด็กใหม่ที่มาร่วมห้องกับเรา

“เดี๋ยวขึ้นห้องเรียนแล้วก็จะรู้” ไอ้ชัชสรุป

หลังจากขึ้นห้องเรียนแล้ว พวกเราก็ได้พบกับครูประจำชั้นคนใหม่ ก็ใหม่สำหรับพวกเราละครับ แต่ว่าที่จริงเก่าแล้ว คือว่าใครที่อยู่ ป.๖ ห้องนี้ก็ต้องเรียนกับครูคนนี้ สมัยที่ผมเรียนนี้ครูประจำชั้นสอนเหมาเกือบทุกวิชา จะมีเพียงบางวิชาเท่านั้นที่ใช้ครูพิเศษสอน เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ศิลปะ พลศึกษา ฯลฯ

ชั่วโมงแรกของการเรียนในปีการศึกษาใหม่ก็จะเป็นการแนะนำเพื่อนใหม่และแจ้งตารางสอนของภาคเรียนแรก ครูก็บอกให้เด็กๆจด ส่วนใหญ่เด็กๆจะมีแผ่นกระดาษแข็งทำเป็นตารางสอน (ที่จริงควรเรียกว่าตารางเรียน แต่เห็นเรียกว่าตารางสอนกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็เลยขอเรียกว่าตารางสอน) คือแบ่งเป็นช่องๆ มี ๕ แถว แถวละ ๗ คาบเรียน ไม่ต้องไปซื้อหามาจากไหนหรอกครับ ส่วนใหญ่เวลาซื้อชุดนักเรียนมักจะได้รับแจกมา

เรื่องพงษ์ศักดิ์นั้นไอ้ชัชทายถูกครับ คือมันย้ายตามพ่อแม่มาจากจังหวัดไหนก็ไม่รู้ ลืมไปแล้ว เมื่อพ่อแม่มาอยู่กรุงเทพฯ มันก็เลยต้องย้ายโรงเรียนตามมาด้วย เรื่องเด็กแทรกเข้ามาใหม่นี้ที่จริงส่วนใหญ่แล้วก็มักเป็นเหตุผลย้ายตามผู้ปกครองนั่นแหละครับ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แต่ก็น่าแปลกใจที่ว่าถ้ามันย้ายตามพ่อแม่มาอยู่กรุงเทพฯแล้วทำไมไม่นอนที่บ้าน มาอยู่โรงเรียนประจำให้เสียเงินทำไม เรื่องนี้ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงครับ คงมีลับลมคมนัยอะไรสักอย่าง จนจบ ป.๖ แยกย้ายจากกันก็ยังไม่รู้อยู่ดี

วันแรกนี่ไม่ค่อยจะได้เรียนกันหรอกครับ พอจดตารางสอนเสร็จก็คุยกันเล่นกันเสียมากกว่า ซึ่งครูประจำชั้นบางคนก็ใจดี เห็นว่านักเรียนไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายเดือนในช่วงปิดเทอม ก็จะสอนแบบหลวมๆ ปล่อยให้เด็กได้คุยกันบ้าง แต่ครูบางคนก็เฮี้ยบครับ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันตั้งแต่วันแรกเลย ส่วนครูประจำชั้นของผมนั้นค่อนข้างใจดี คือเข้าใจเด็กน่ะ ดังนั้นวันแรกก็ไม่ค่อยได้เรียนอะไรเท่าไร

ปีนี้พวกเด็กๆโตกันเร็วครับ หลายคนก็ทยอยกันแตกเนื้อหนุ่ม เด็กๆพอเขาสู่วัยหนุ่มกันแล้วเรื่องทะลึ่งทะเล้นก็จะมากขึ้นกว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก สงสัยจะเกี่ยวกับฮอร์โมนกระมัง คงประกอบกับการตากแดดมากด้วยละ เลยแก่แดดไงครับ ฮ่า

เรื่องสนุกของชั้น ป.๖ เทอมต้นนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องการจับนมเพื่อนๆคนที่กำลังนมแตกพานเล่น เทอมต้นนี่มีแตกเนื้อหนุ่มอยู่สองคน ที่โดนแกล้งบีบนมเป็นประจำ นอกจากเรื่องจับนมแล้วก็เป็นเรื่องจับจู๋ ไอ้พวกนั่งหลังห้องนี่แหละตัวดี ชอบสุมหัวกันเล่นจับจู๋ อยู่หน้าห้องเล่นยากครับ เพราะครูนั่งอยู่ข้างหน้า ทำอะไรกันครูเห็นหมด แต่ถึงอยู่หลังห้องก็เถอะ ต้องเล่นกันเนียนๆหน่อยเพราะห้องหนึ่งก็แค่ ๕๐ คน ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก มองไปก็เห็นหมด ดาวเด่นถูกจับจู๋ปีที่แล้วมีแต่ไอ้นัยคนเดียว ปีนี้มีดาวมาแข่งเพิ่มอีกดวงชื่อไอ้เชียร ไอ้นี่อยู่หลังห้อง

ห้องผมนี่มี... จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ คือมีเด็กนักเรียนชายที่ทำนิสัยแบบผู้หญิง คือกระตุ้งกระติ้ง จีบปากจีบคอ พูดจาก็ต้องวี้ดว้าย สมัยนั้นเรียกกันว่ากระเทยครับ เด็กประถมยังไม่รู้จักคำว่าเกย์หรือแต๋วกัน (ยกเว้นผม ไอ้นัย กับไอ้ชัช เพราะอ่านมิถุนามาแล้ว) ถ้าใครตุ้งติ้งก็เรียกว่ากระเทย ห้องผมมีอยู่ ๒ คน ที่จริงมันก็อยู่ประดับห้องนี้มานานหลายปีแล้วละ อยู่ร่วมห้องกันมาตั้งแต่ ป.๔ ตอน ป.๔, ป.๕ มันยังไม่ดัดจริตเท่าไร แต่ปีนี้จริตมากเหลือเกิน

คนนึงชื่อยะครับ มาจากปิยะ เพื่อนๆเรียกมันว่านังยะ หรืออียะ ไม่เรียกว่าไอ้ยะ คนนี้เป็นเด็กชายนิสัยหญิง แต่นิสัยดีครับ น่ารัก รักการเรียน ชอบการบ้านการเรือน ไม่แร่ด ส่วนอีกคนชื่ออีที ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวนะครับ มาจากอีธีรพงษ์นั่นเอง อีคนนี้ เอ๊ย ไอ้คนนี้กวนตีนมากกกกกก ปากร้ายยิ่งกว่าอะไร ไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี ถ้าใครแกล้งมันมันจะด่าแบบมาราธอนโดยคำด่าไม่ซ้ำกันด้วย ผมไม่ค่อยชอบหน้ามันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเคยแกล้งมันแล้วโดนมันด่าเช็ด โคตรแค้นเลย ที่จริงผมผิดเองที่ไปแกล้งมัน แต่ว่าปากมันเกินไป เลยทำให้ผมไม่ค่อยชอบหน้ามัน แกล้งไอ้นัยดีกว่ากันตั้งเยอะ