Wednesday, December 12, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 66


เช้าวันรุ่งขึ้น

ผมและป้อมมาเจอกันที่หน้าสระว่ายน้ำ หลังจากนั้นผมก็พาป้อมเดินไปที่โต๊ะสนามข้างตึกหลังหนึ่งในคณะ โต๊ะสนามตัวนี้ผมมาเล็งเอาไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับเป็นที่สอนพิเศษ เพราะว่าอยู่ในทำเลที่ดี เวลาเรียนสามารถมองเห็นสนามหญ้าใหญ่สีเขียวขจี อีกทั้งตัวโต๊ะเองก็อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และยังมีตัวตึกช่วยบังแดด ทำให้บริเวณนี้ร่มเย็นตลอดช่วงเช้า ในช่วงเปิดเทอม โต๊ะสนามตัวนี้มักไม่ค่อยว่างเนื่องจากมีนักศึกษาจับจองเป็นสถานที่สอนพิเศษอยู่เสมอ แต่ในช่วงปิดเทอมและยังเป็นวันธรรมดาช่วงเช้าตรู่เช่นนี้ไม่มีใครมาเลย ผมและป้อมจึงใช้เรียนได้

ผมเอาเปรียบป้อมนิดหน่อยโดยเลือกนั่งด้านที่มองเห็นสนามหญ้า ส่วนป้อมนั่งด้านตรงข้ามกับผม จึงหันหลังให้สนามหญ้า และดูเหมือนว่าป้อมจะรู้ทันความคิดของผม

“ไม่เอา ป้อมจะนั่งตรงนั้น” ป้อมชี้มาตรงมานั่งที่ผมนั่ง

“อะไรกันล่ะ” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ป้อมนั่งตรงนั้นก็ดีแล้วนี่”

“นั่งด้านนี้เห็นแต่หน้าพี่อูกับผนัง ป้อมเบื่อแล้ว นั่งมองวิวสนามดีกว่า” ป้อมพูด

“นี่ พี่พามาเรียนหนังสือ ไม่ได้พามาชมวิว” ผมดุ “ถึงเวลาก็ก้มหน้าก้มตาทำโจทย์ จะมาห่วงดูวิวอะไรอีก”

“ไม่ห่วงดูวิวก็ได้ แต่ป้อมอยากนั่งตรงนั้น” ป้อมยังไม่ยอม

“นั่งตรงไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ป้อมนั่งแล้วก็นั่งๆไปเถอะ” ผมไม่ยอมเช่นกัน

“ก็ถ้าเหมือนกัน ป้อมอยากนั่งตรงนั้น พี่อูก็ให้ป้อมนั่งสิ จะเป็นอะไรไป หรือว่ามันไม่เหมือนกัน” ป้อมเถียงไม่ยอมแพ้

“เอ้อ ก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่ถ้านั่งด้านนี้ ป้อมอาจเอาแต่ดูโน่นดูนี่จนเสียสมาธิได้” ผมพยายามอธิบายอีก

“เฮอะ พี่อู จะเอาเบตาดีนมั้ย ป้อมมีนะ” ป้อมพูด

“จะเอาเบตาดีนมาทำไม” ผมงง

“สีข้างถลอกหมดแล้ว ทายาเสียหน่อยไง” ป้อมหัวเราะ

“เอา เอา ยอมแพ้คุณชาย” ผมหัวเราะเช่นกัน พลางลุกขึ้นยืน การต่อปากต่อคำครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายแพ้ รับมุขของป้อมไม่ทัน “ย้ายมานั่งด้านนี้ก็ได้”

“ป้อมรู้ว่าพี่อูอยากดูวิว พี่อูนั่งไปเถอะ สองคนนั่งข้างเดียวกันก็ได้นี่ ที่ว่างมีเยอะแยะ” ป้อมพูดพลา
งลุกขึ้นยืน และย้ายมานั่งที่ด้านเดียวกันกับผม

เดี๋ยวนี้ป้อมกับผมมักต่อปากต่อคำกันบ่อยขึ้น หลายครั้งที่ผมเถียงแพ้ ป้อมมักหัวเราะชอบใจที่เถียงจนชนะ แต่เมื่อชนะแล้วก็ปล่อยตามใจผม ซึ่งผมก็รู้ดีว่าป้อมไม่ได้จริงจังอะไร

“เออ จริงสินะ พี่ลืมไป ที่จริงนั่งข้างเดียวกันก็ได้” หลายครั้งที่ไหวพริบของผมก็ไม่ทันป้อม ผมชินกับการสอนโดยนั่งด้านตรงข้ามกับป้อมมาตลอด จึงลืมนึกไปว่านั่งเรียนด้านเดียวกันก็ได้ “สอนสะดวกขึ้นกว่าเดิมเสียอีก”

เราสองคนนั่งติดกัน โต๊ะสนามกว้างพอควรทำให้เรานั่งได้อย่างสบายโดยไม่เบียด เวลาที่นั่งด้านเดียวกันแล้วสอนสะดวกขึ้นจริงๆ เวลาจะเขียนอะไรให้ป้อมดูก็เขียนได้เลยโดยไม่ต้องจับกระดาษให้กลับหัวไปมา อากาศยามเช้าแถวนี้ก็สดชื่นแม้จะเป็นยามฤดูร้อน เรียนที่นี่ดีกว่าเรียนที่ห้องทำงานในบ้านของป้อมมาก

ป้อมตั้งใจเรียนได้เพียงพักเดียวก็เกเรอีก

“โอ๊ย เมื่อยแล้ว” ป้อมพูด พลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขาของผม

“อายุยังน้อยอยู่ ทำไมขี้เมื่อยเป็นคนแก่ยังงี้นะ พี่นั่งสอนพร้อมๆกับที่ป้อมเรียนยังไม่เมื่อยเลย” ผมดุป้อม

“ไม่รุ ก็ป้อมเมื่อยนี่” ป้อมจะเมื่อยเสียอย่าง พลางยกมือซ้ายขึ้นค้างเอาไว้ในอากาศ

เมื่อเห็นท่านี้ผมก็รู้ทันที่ว่าป้อมต้องการอะไร

“โอ๊ย จะมานวดมืออะไรกันตอนนี้ อายคนอื่นเค้า” ผมดุป้อมอีก “แล้วเขียนหนังสือมือขวาทำไมเมื่อยมือซ้าย”

“นวดไปเถอะน่า พี่อู อย่าเรื่องมาก” ป้อมพูดหน้าตาเฉย พลางกระดิกมือซ้ายอีก

ดูป้อมมีอารมณ์แจ่มใส คงเป็นเพราะบรรยากาศที่สดชื่นในสวนยามเช้านั่นเอง ผมเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงจับมือซ้ายของป้อมมาบีบนวดให้

“ใครกันแน่ที่เรื่องมาก” ผมบ่น “นี่พี่เป็นติวเตอร์สอนพิเศษนะ ไม่ใช่พนักงานบีบนวด โปรดเข้าใจไว้ด้วย”

“เข้าใจก็ได้ แต่นวดให้มันดีๆหน่อย โฮ้ย สบายจัง” ป้อมหัวเราะเบาๆอย่างพอใจ ขาของป้อมก็ก่ายขาผมอยู่ มือก็ให้ผม มิหนำซ้ำยังทำตาปรือเอนตัวมาพิงผมเสียอีก

“ทำโจทย์ไป ไม่ต้องหยุดสิ” ผมไม่ยอมให้ป้อมอู้ “ห้ามอู้ ห้ามหลับ”

แม้ว่าผมจะดุป้อม แต่กลับรู้สึกว่ามีความอบอุ่นแผ่ซ่านมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ผมนั่งตัวตรงเพื่อรับร่างที่พิงผมไว้ สายตาของผมมองตรงไปเบื้องหน้า ในจินตนาการ สนามหญ้าเขียวขจีเบื้องหน้าช่างคลับคล้ายบึงน้ำเขียวขจีที่ผมคุ้นเคย...

ผมเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ รู้สึกคุ้นเคยกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆนี้ราวกับรู้จักกันมาแสนนาน การพิงกายของคนผู้นี้เป็นเหมือนการฝากเนื้อฝากตัว... บ่งบอกถึงความอ่อนล้าและหมดหวัง... ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีหน้าที่ต้องดูแลและเป็นหลักให้พักพิง จู่ๆผมก็รู้สึกอยากกอดคนที่อยู่ข้างๆนี้ขึ้นมาเหลือเกิน...

“พี่อู พี่อู เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย” เสียงใสๆเรียกผมซ้ำหลายครั้ง จนผมตื่นจากภวังค์ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของป้อม

เมื่อผมเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ผมก็ตกใจ รีบปัดขาของป้อมที่ก่ายขาของผมอยู่ พร้อมกับวางมือของป้อมลงทันที

“หวัดดีจุ๋ม เดินมาจากทางไหนเนี่ย ทำไมพี่ไม่เห็น” ผมพูด เจ้าของเสียงใสๆนั้นคือจุ๋มนั่นเอง

“ก็เดินผ่านหน้าพี่อูมานี่แหละค่ะ จุ๋มก็ยังสงสัยว่าทำไมพี่อูมองไม่เห็นจุ๋ม แถมเรียกก็ยังไม่ขาน เชื่อเค้าเลย สงสัยนั่งหลับอยู่” จุ๋มหัวเราะ พลางหันมาทักทายป้อม “เป็นไงคะน้องป้อม”

ป้อมพยักหน้า แต่ไม่ยอมพูดกับจุ๋ม

“ป้อม คุยหน่อยสิ อย่าเอาแต่พยักหน้า” ผมดุ

ป้อมมีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง แล้วก็พูดเบาๆด้วยเสียงงุ้งงิ้งว่า

“หวัดดีครับ”

“พี่จุ๋มกับพี่สนิทกัน ป้อมไม่ต้องเขินหรอก คุยได้ตามสบาย” ผมพูด เพราะรู้ดีว่าปมด้อยของป้อมทำให้ป้อมไม่ชอบพูดคุยกับใคร มีแต่กับผมที่เป็นข้อยกเว้น

“พี่อูเปลี่ยนที่สอนแล้วเหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ” จุ๋มสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เปลี่ยนบรรยากาศน่ะจุ๋ม เพิ่งลองดูครั้งแรก แต่ก็เข้าท่าดี” ผมตอบ ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดไปว่าการสอนที่นี่ทำให้ผมกับป้อมมีเวลาเดินเล่นที่สยามสแควร์ในตอนบ่ายมากขึ้น “จุ๋มมาซ้อมใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” จุ๋มตอบ “วันนี้ซ้อมใหญ่ด้วย พี่อูจะมาดูไหม เหมือนฟังวันแสดงจริงเลยนะ”

“พี่ติดสอนอยู่น่ะ” ผมตอบ

“เดี๋ยวสอนเสร็จพาน้องป้อมไปฟังด้วยก็ได้ เพราะว่าจุ๋มซ้อมทั้งวัน ไปตอนบ่ายโมงก็ได้ เริ่มซ้อมใหญ่ภาคบ่ายตอนบ่ายโมง” จุ๋มชวนอย่างกระตือรือร้น

“เอ้อ... ยังงั้นก็ได้” ผมตอบอย่างลังเล เนื่องจากคิดถึงหนังรอบเที่ยงครึ่งที่จะไปดูกับป้อม ดูเหมือนเวลาจะไม่ค่อยอำนวยเท่าไรนัก แต่ไม่อยากให้จุ๋มเสียน้ำใจจึงตอบรับเอาไว้ก่อน

“งั้นจุ๋มไปก่อนละค่ะ ต้องรีบไปซ้อม” จุ๋มพูด พลางทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป “จุ๋มรอนะพี่อู”

หลังจากที่จุ๋มเดินจากไป ผมแอบรู้สึกหนาววูบ ไม่รู้ว่าจุ๋มจะคิดอย่างไรเมื่อได้เห็นผมนวดมือให้ป้อม ผมไม่แน่ใจว่าจุ๋มเห็นป้อมพาดขาบนขาผมหรือไม่ แต่หวังว่าคงไม่เห็น ถ้าเห็นละก็ซวยแน่เลย ผมอดคิดตำหนิตนเองไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ระมัดระวัง ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ผมระมัดระวังเรื่องการวางตัวมาก แต่วันนี้ก็พลาดจนได้ ได้แต่หวังว่าสิ่งที่จุ๋มเห็นคงไม่ได้ทำให้จุ๋มคิดระแวงอะไรในตัวผม

“จำชื่อป้อมได้ด้วย” ป้อมพูดเปรยๆ แต่ผมรู้ว่าป้อมหมายถึงใคร

“จำได้สิ เพราะว่าพี่คุยถึงป้อมให้จุ๋มฟังบ่อยๆ” ผมตอบ

“พี่อูสนิทกับพี่คนนี้มากเลยสินะ” ป้อมถาม ผมมัวแต่กังวลกับเรื่องเมื่อครู่จนไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของป้อม

“ช่าย สนิทกัน” ผมตอบ พลางเล่าต่อ “บางทีพี่ก็ไปหาจุ๋มที่คณะ ไปแอบเล่นเปียโน สนุกดี”

ป้อมเงียบไปชั่วครู่ ไม่ได้คุยอะไรต่อ ผมจึงพูดต่อ

“เดี๋ยวเรียนเสร็จแล้วไปฟังจุ๋มซ้อมดนตรีกันดีกว่า” ผมชวนป้อม

“อ้าว แล้วหนังล่ะ” ป้อมถามสวนทันที น้ำเสียงงุ้งงิ้งค่อนข้างแข็ง จนผมงง

“เอ้อ นั่นสินะ” ผมอึกอัก ทั้งอยากดูหนัง ทั้งอยากดูจุ๋มซ้อม อยากจะขอเลื่อนป้อมไปดูหนังรอบบ่ายสองโมงครึ่งแทน “แต่วันนี้จุ๋มซ้อมใหญ่ เมื่อกี้พี่ก็รับปากไปแล้วด้วยว่าจะไปดู”

“แต่พี่อูก็รับปากป้อมว่าจะไปดูหนังกับป้อมนี่” ป้อมเสียงแข็งยิ่งกว่าเดิม “พี่อูรับปากกับป้อมก่อนด้วย”

“แต่...” ผมงง ไม่นึกว่าป้อมจะเคืองกับเรื่องแค่นี้ “เราเลื่อนไปดูเป็นรอบบ่ายก็ได้ ดีมั้ย”

“นี่หมายความว่าเรื่องที่พี่อูรับปากกับป้อมไม่สำคัญอะไรเลยใช่ไหม ใครมาทีหลังจะนัดอะไรพี่อูก็มาเลื่อนเวลาเอากับป้อม” ป้อมโมโห

“วันนี้ป้อมเป็นอะไรไปน่ะ” ผมงง ป้อมไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธกับผมเช่นนี้มาก่อน “ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องโมโหด้วย”

“ป้อมมันไม่สำคัญอะไร พี่อูจะไปไหนก็ไปเถอะ ป้อมกลับบ้านก่อนก็ได้ พี่อูจะได้ไปไหนได้สะดวก” ป้อมพูด

“อ้าว ทำไมประชดพี่ยังงั้นล่ะ โอ๊ย พี่งง” ผมบ่น แต่เริ่มจับความรู้สึกป้อมได้ว่าป้อมน้อยใจที่ผมไม่เห็นความสำคัญของป้อม ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย “พี่ก็ตามใจคุณชายมาตลอด จนคุณชายจะเสียคนอยู่เพราะพี่อยู่แล้ว แล้วยังจะมาว่าพี่แบบนี้อีก มันน่าน้อยใจจัง”

“ถ้าตามใจป้อมจริงแล้วทำไมต้องเลื่อนหนังรอบเที่ยงกับป้อมล่ะ” ป้อมสวนคำ

“ก็รอบเที่ยงกับรอบบ่ายมันก็ต่างกันสองชั่วโมงเอง เลื่อนไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร ป้อมก็ไม่ได้รีบไปไหน” ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ป้อมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็โพล่งขึ้นมาว่า

“พี่คนนี้เป็นแฟนพี่อูใช่ไหม”

“เฮ้ย เปล่า” ผมตกใจกับความคิดของป้อม “คิดอะไรเลยเถิดไปขนาดนั้น”

“ก็ป้อมดูออก” ป้อมไม่เชื่อคำปฏิเสธของผม

“เปล่า ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่สนิทกันเท่านั้น” ผมอธิบาย “จริงๆ”

ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าป้อมน้อยใจผม คิดว่าผมไม่ให้ความสำคัญ จนพาลใส่ผมต่างๆนานา แม้ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแค่นี้ต้องน้อยใจ เรื่องคนน้อยใจนี่ผมรับมือไม่ค่อยถูก แต่ผมก็พยายามโอนอ่อนผ่อนตามป้อมเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย

“เอายังงี้” ผมพูด “งั้นพี่ให้ป้อมตัดสินใจก็แล้วกัน ถ้าคิดว่าพอจะเลื่อนไปดูหนังรอบบ่ายได้ เราก็ไปฟังเพลงกันก่อน เพลงพวกนี้เป็นเพลงคลาสสิก ไม่ใช่เพลงวัยรุ่น พี่เลยอยากให้ป้อมไปลองฟังดูเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าป้อมไม่ต้องการให้เลื่อน เราก็ไม่ต้องไปฟังเพลง เรียนเสร็จแล้วก็ไปดูหนังรอบเที่ยงกัน คุณชายตัดสินใจได้เลย เอายังไงพี่ก็เอายังงั้น”

เมื่อผมโยนภาระการตัดสินใจไปให้ป้อม ป้อมจึงได้เงียบไป คิดอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่ตอบ

“ว่าไง คุณชายเอาไงบอกมาได้เลย” ผมตามใจเต็มที่ ปากแข็งแต่ก็อดเสียดายนิดๆไม่ได้หากไม่ได้ไปดูจุ๋มซ้อมดนตรี

“เอ้อ...” ป้อมลังเล “งั้นเราไปฟังเพลงกันก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปดูหนังรอบบ่าย แต่ถ้าตั๋วเต็มจนดูไม่ได้พี่อูต้องรับผิดชอบด้วย”

แม้ป้อมจะเคือง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ตัดสินใจแบบเอาแต่ใจตนเอง ป้อมยังคงมีน้ำใจห่วงความรู้สึกของผม ไม่อยากให้ผมผิดหวัง

“ขอบคุณนะคร้าบคุณชาย” ผมทำเสียงล้อเลียน รู้ว่าป้อมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว “พลางจับมือป้อมมานวดเอาใจ “คุณชายใจดีจัง”

“หน้าทะเล้นเชียวนะพี่อู” ป้อมประชด

“หูย ว่าซะ ตกลงใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่” ผมหัวเราะ

“ไม่รู้สิ ป้อมเป็นพี่มั้ง” ป้อมพูดหน้าตาย “น่าจะเป็นยังงั้นนะ”

-    - -

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงอินเตอร์คอมที่ชั้นสี่ของหอพักดังขึ้นในตอนหัวค่ำ

“ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมตะโกนตอบอินเตอร์คอม จากนั้นก็รีบคว้ากุญแจ ล็อกห้อง แล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อรับโทรศัพท์

คงเป็นป้อมแน่เลย หมู่นี้มีแต่ป้อมที่โทรมาหาผม จนผมเริ่มกังวลว่าคนที่หอโดยเฉพาะพี่พรจะระแวง

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“อู ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมไม่โทรกลับ” เสียงแม่นั่นเอง ประโยคแรกก็บ่นใส่ผมเลย

“แม่โทรมาตอนไหนอูยังไม่รู้เลย แล้วจะโทรกลับได้ยังไง” ผมกวน แม่ของผมเอง กวนได้เต็มที่ไม่มีเกรงใจ

“แม่โทรมาตั้งแต่ตอนเย็น โทรมาสองสามรอบแล้ว ฝากบอกให้โทรกลับทุกครั้ง” แม่ตอบ

“ยังไม่มีใครบอกอูเลยแม่ เดี๋ยวอูจะไปหาตัวคนรับสายก่อน แล้วจะต่อว่าให้” ผมตอบ

“ตอนเย็นอูไม่ได้อยู่ที่หอเหรอ” แม่ถาม

“อูกลับมาตอนค่ำน่ะแม่ เพิ่งกลับเมื่อกี้นี้เอง” ผมตอบ

วันนี้ผมออกจากหอพักตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนเช้าสอน ตอนบ่ายไปดูจุ๋มซ้อมเพลง จากนั้นก็ไปดูหนังกับป้อม อยู่กับป้อมทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น กว่าจะถึงหอพักก็ประมาณหนึ่งทุ่ม

“มีอะไรหรือเปล่าแม่” ผมถามต่อ แม่โทรมาแบบนี้แสดงว่ามีธุระแน่ๆ

“มีสิ” แม่พูด “ป๊าตกลงใจจะซื้อทาวน์เฮาส์ให้อูนะ แม่รู้ก็รีบโทรมาบอก”

“จริงเหรอแม่” ผมดีใจ แต่ก็ดีใจได้วูบเดียวเพราะนึกได้ว่าผมไม่ได้ชอบทาวน์เฮาส์หลังนั้นนัก “ขอเป็นบ้านเดี่ยวหลังนั้นไม่ได้เหรอ”

“คนเรานี่ไม่รู้จักพอจริงๆ” แม่ว่ากลับมา

“อะ อะ พอแค่นี้ก็ได้แม่” ผมไม่กล้างอแง

“แต่ป๊าบอกว่าอูต้องไปเจรจาต่อรองราคา ต่อรองเงื่อนไข และดูสภาพทาวน์เฮาส์มาให้ละเอียด อูจัดการเองทั้งหมดนะ ป๊าออกเงินอย่างเดียว และถ้ามีปัญหาอะไรอูต้องรับผิดชอบเพราะอูเป็นคนเลือกและตัดสินใจเอง”

“เอ๊า” ผมงง “แล้วปัญหาที่ว่าคืออะไร และจะให้อูรับผิดชอบยังไง ป๊าต้องบอกให้ละเอียดสิ พูดแบบนี้อูไม่รู้ขอบเขตก็แย่ ต้องไปโดดตึกรับผิดชอบไหม”

“ไม่รู้ ป๊าว่ามาอย่างนี้ ป๊าบอกว่าไม่ยุ่ง ออกเงินให้อย่างเดียว อูจัดการเองทั้งหมด” แม่สรุป