Friday, November 23, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 65


วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ ผมก็จัดการนัดหมายกับเจ้าของทาวน์เฮ้าส์เพื่อขอดูบ้าน จากนั้นก็โทรไปบอกแม่ ผมไม่ค่อยกระตือรือร้นกับเรื่องนี้นักเพราะคิดว่าพ่อคงดูไปแบบงั้นๆ ที่มาเพราะว่าทนโดนรบเร้าไม่ได้มากกว่า อีกอย่างหนึ่งก็คือทาวน์เฮาส์หลังนี้หากจะเปรียบกับการสอบเอนทรานซ์ก็เหมือนกับเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายซึ่งเลือกเอาไว้กันเหนียว คืออาจไม่ได้ชอบแต่มีไว้เพื่อกันพลาด เพราะหากที่ชอบเกิดพลาดทั้งหมด ถึงอย่างไรติดอันดับสุดท้ายก็ยังดีกว่าเคว้ง ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าไม่ได้ถูกใจกับทาวน์เฮาส์หลังนี้เท่าไรนัก ที่ผมชอบมากคือบ้านที่มีต้นไม้ร่มครึ้มใกล้กับณัฐสตูดิโอหลังนั้นต่างหาก

หลังจากที่ตกลงนัดหมายกันแล้วผมก็อาบน้ำแต่งตัวและออกจากหอพัก อากาศในหน้าร้อนร้อนมาก โดนเฉพาะช่วงเที่ยงกับบ่าย ปกติช่วงปิดเทอม ตอนกลางวันผมมักใช้เวลาส่วนใหญ่สิงอยู่ที่ชมรมเพราะว่าอยู่ที่หอพักก็เหงาๆ เซ็งๆ แถมร้อนอีกต่างหาก ผมมักเอางานเตรียมสอนมาทำที่ชมรม หรือในบางวันที่ร้อนมากผมก็หลบไปนั่งทำงานในห้องสมุดซึ่งติดแอร์เย็นฉ่ำแทน

งานเตรียมสอนของป้อมค่อนข้างเยอะทีเดียวเพราะว่าในช่วงหลังผมติวทั้งคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษให้ป้อม โดยเฉพาะการเตรียมสอนภาษาอังกฤษใช้เวลามากเพราะว่าไม่มีอะไรที่สำเร็จรูปให้ใช้เลย ต้องเขียนชีตเองทั้งหมด สอนสามชั่วโมงแต่ต้องใช้เวลาเตรียมถึงสามวัน

ผมนั่งเขียนชีตให้ป้อมอยู่ในห้องสมุด แต่วันนั้นรู้สึกว่าไม่มีสมาธิเลย พยายามจะเขียนแต่ก็เขียนไม่ออก ใจของผมวุ่นวาย คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย

‘ป้อมรู้แล้วว่าพี่อูจริงใจ...’

ผมนึกถึงคำพูดของป้อมในร้านอาหารเมื่อวันก่อน

‘สีหน้าของมึงบอกกูหมดทุกอย่าง กูไม่เคยเห็นใครที่จริงใจและห่วงใยกูขนาดนี้มาก่อน...’

คำพูดของป้อมประโยคนั้นทำให้ภาพในอดีตที่ผมพยายามลืมกลับคืนมาอีก ผมรู้สึกวุ่นวายใจเพราะว่าเงาร่างของป้อมกำลังก่อตัวอยู่ในใจของผมเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่ผมจะรู้ตัว เงาร่างนั้นก็ตรึงแน่นอยู่ในใจผมไปเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ป้อมกำลังทำอะไรอยู่นะ

ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัว หมู่นี้ความคิดทำนองนี้มักแว่บเข้ามาบ่อยๆ ผมอยากรู้ว่าป้อมกำลังทำอะไรอยู่ ผมมักนึกถึงใบหน้าที่คมคาย แจ่มใสของป้อมอยู่เสมอ เมื่อก่อนป้อมดูนิ่งๆ ขรึมๆ แต่นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ตัวตนของป้อมนั้นจริงๆแล้วก็ไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆที่ชอบความเฮฮา สนุกสนาน คุณหนูนิดๆ และขี้อ้อนเป็นที่สุด

ผมนึกถึงตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ว่ายน้ำด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานมาก เมื่อก่อนผมเบื่อที่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปสอนป้อม ถึงขนาดเกือบเลิกสอน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าอยากไปสอนที่บ้านของป้อมบ่อยๆ อย่างวันนี้ถ้าได้ไปนั่งทำงานที่บ้านของป้อม ดูป้อมทำการบ้านไป ส่วนผมก็เตรียมการสอนไป ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ก็ได้แค่คิด เพราะว่าหากจะไปหาป้อมบ่อยๆมันก็ดูแปลกๆอย่างไรอยู่ พ่อของป้อมเองก็อาจคิดว่าผมต้องการทำชั่วโมงสอนมากๆก็ได้ ที่ทำได้จึงได้แค่ไปสอนป้อมเพียงสัปดาห์ละสองวันคือวันพุธกับวันเสาร์เท่านั้น กับวันอาทิตย์อีกวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ผมกับป้อมไปเที่ยวด้วยกัน

โอ๊ย เมื่อไรจะถึงวันพุธเสียที ผมเร่งวันเร่งคืนอยู่ในใจ นั่งในห้องสมุดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้งานเลยเพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจปิดสมุดหนังสือและเก็บของใส่เป้ ในเมื่อความคิดฟุ้งซ่านก็หาอะไรอย่างอื่นทำไปก่อนดีกว่า

ผมเดินออกจากคณะ ข้ามสนามหญ้าใหญ่ เพื่อไปยังอีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงตึกคณะศิลปกรรมก็เดินเข้าไปในข้างในและขึ้นบันไดไปชั้นบน

ผมเดินไปที่ห้องพักนักศึกษา จากนั้นก็ไปที่ห้องซ้อมดนตรี ตอนนั้นแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมแต่ก็มีนักศึกษาเดินขวักไขว่อยู่ภายในตึก พร้อมกับเสียงซ้อมดนตรีที่ลอยออกมาจากห้องต่างๆ ที่นี่ไม่เคยเหงาเลยตลอดทั้งปี มีนักศึกษามาซ้อมดนตรีอยู่เสมอ

ไม่อยู่แฮะ... ผมนึกในใจ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

“หาใครคะ...” ได้ยินเสียงใสๆของหญิงสาวดังขึ้นที่ด้านหลังของผม เพียงได้ยินเสียงผมก็รู้ว่าใคร

“มาหาพี่เหล่งมั้ง” ผมหันหลังกลับ และตอบคำถาม ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังผมคือจุ๋มนั่นเอง ผมรู้ดีว่าจุ๋มแกล้งถาม จึงแกล้งตอบไปบ้าง

“วันนี้พี่เหล่งไม่ได้มา” จุ๋มตอบด้วยเสียงล้อเลียน

ผมมองดูจุ๋ม เห็นจุ๋มผอมลงไปมาก ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มกลับซูบลง สีหน้าที่เคยแจ่มใสก็ปรากฏแววอิดโรย มีเพียงเสียงเท่านั้นที่ยังสดใสอยู่เช่นเดิม

“พี่พูดเล่นหรอก ที่จริงก็จะมาหาจุ๋มนั่นแหละ” ผมตอบ พลางตั้งข้อสังเกต “จุ๋มผอมลงไปมากเลย”

“ฮื่อ ใช่ ช่วงนี้วุ่นๆค่ะ เหนื่อยเหลือเกิน” จุ๋มรับ “แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงมาหาจุ๋มล่ะ”

“อยู่ดีๆไม่มาหรอก อยู่ไม่ดีต่างหากเลยมาหา” ผมกวน “อยากหาคนเลี้ยงขนมน่ะ”

“โอ๊ย นี่จะให้รุ่นน้องเลี้ยงเหรอ” จุ๋มหัวเราะ “ได้ ถ้าพี่อูกล้าไถ จุ๋มก็กล้าเลี้ยง”

“แหม่ พูดซะ เสียหมดเลย” ผมหัวเราะบ้าง “ไม่ได้เจอจุ๋มที่ป้ายรถเมล์มาพักใหญ่แล้ว เลยแวะมาเยี่ยมน่ะ จุ๋มว่างหรือยังล่ะ ไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง”

“ยังซ้อมไม่เสร็จเลยค่ะ วันนี้ซ้อมวง หนีกลับก่อนไม่ได้ พี่อูรอก่อนได้ไหม สักครึ่งชั่วโมง” จุ๋มพูด

“ได้ๆ งั้นพี่รอ” ผมตอบ

เมื่อผมรู้สึกวุ่นวายใจจนไม่มีสมาธิทำงาน ผมก็นึกถึงจุ๋มขึ้นมา ผมไม่ได้พบจุ๋มมาพักใหญ่แล้ว วันนี้ลองเสี่ยงแวะดู เผื่อว่าจุ๋มจะมาซ้อมดนตรีที่คณะ แล้วก็ได้พบจุ๋มจริงๆ จุ๋มเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ

จุ๋มผอมลงไปมาก ทำไมเรียนหนักขนาดนี้ก็ไม่รู้ หรือว่าจะซ้อมดนตรีหนัก จุ๋มอาจต้องซ้อมเพื่อไปแข่งที่ไหนสักแห่งกระมัง... ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะที่นั่งรอจุ๋มอยู่ที่ระเบียงตึก ความเปลี่ยนแปลงของจุ๋มทำให้ผมหันเหความคิดออกจากป้อมไปได้ชั่วคราว

“เฮ้ พี่อู จุ๋มเสร็จแล้ว” เสียงจุ๋มเรียก “ตื่นได้แล้วค่ะ”

ผมรอจุ๋มและคิดอะไรไปเรื่อย จนไม่รู้ว่าเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เมื่อไร มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จุ๋มเรียก

“ตึกนี้ลมดี น่านอนจัง” ผมพูดแก้เก้อ “ถ้าตึกคณะพี่เป็นแบบนี้บ้างก็ดีน่ะสิ”

“จะได้นอนทั้งวันเลยใช่มั้ย” จุ๋มรู้ทัน

“ก็ทำนองนั้น” ผมตอบกวน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ไปสยามสแควร์กันดีกว่า เบื่อตลาดสามย่านแล้ว”

ดูจุ๋มลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

“จุ๋มอยู่นานไม่ได้นะพี่อู” จุ๋มพูด “ตลาดสามย่านดีกว่า”

“งั้นก็ได้ ตามใจจุ๋ม” ผมพูด

เราสองคนเดินออกจากคณะศิลปกรรม คุยกันไปเรื่อยๆ

“ทำไมจุ๋มผอมไปเยอะเลยล่ะ”  ผมถามเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่ “เรียนหนักเหรอ”

จุ๋มส่ายหน้า

“เรื่องเรียนน่ะไม่เท่าไร หนักเรื่องที่บ้านมากกว่า”

“มีอะไรเหรอ เล่าได้ไหม” ผมถาม

“อาการพ่อแย่ลงเร็วค่ะ” จุ๋มตอบ “ข้าวปลาอาการไม่ยอมกิน เบาหวานก็กำเริบ ถ้าเผลอก็ละเลงอึฉี่เลอะไปหมด แล้วปัญหาเดิมๆก็วนมา แม่ก็เครียดแล้วมาลงที่คนน้องชาย น้องชายก็เครียดหนัก อยู่บ้านไม่ติด จุ๋มต้องดูแลพ่อเองเกือบทั้งหมด เฮ้อ...”

เมื่อเล่าถึงตอนนี้ สีหน้าของจุ๋มก็หมองคล้ำลง เสียงถอนใจของจุ๋มแสดงความรู้สึกอัดอั้นออกมาอย่างชัดแจ้ง จุ๋มไม่ใช่คนที่ขี้บ่นฟูมฟาย เพียงเล่าอย่างรวบรัดแล้วก็หยุด ผมนึกถึงตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๕ เทอมต้น ตอนที่รู้ข่าวจากไอ้นัยและมีปัญหากับคุณลุงคุณป้าจนพ่อต้องบังคับให้ผมย้ายโรงเรียน ตอนนั้นผมก็ผอมลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผมรู้ดีว่าจุ๋มคงเป็นทุกข์ เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร

“ที่จุ๋มต้องมาซ้อมดนตรีช่วงปิดเทอมนี่มีอะไรพิเศษหรือเปล่า มีแข่งหรือไง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

“มาซ้อมเล่นผสมวงค่ะ เอาไว้แสดง แต่ไม่ได้ไปแข่งที่ไหน” จุ๋มตอบ “แล้วพี่อูมาทำอะไรล่ะ ไม่ได้เรียนซัมเมอร์นี่”

“มาเตรียมงานสอนน่ะ อยู่ที่หอทั้งร้อนและเซ็ง มานั่งเล่นที่คณะดีกว่า” ผมตอบ

“สอนเด็กคนนั้นน่ะเหรอ” จุ๋มถาม “ชื่ออะไรนะคะ”

“ชื่อป้อม” ผมตอบ “ก็สอนอยู่คนเดียวนั่นแหละ แค่คนเดียวก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว เพราะว่าสอนตั้งสองวิชา”

เมื่อเปลี่ยนเรื่องคุย อารมณ์ของจุ๋มก็สดชื่นขึ้น

“ตอนนี้พี่อูคงรู้คำตอบแล้วสินะ” จุ๋มถาม

“คำตอบ...” ผมทวนคำอย่างงงๆ “คำตอบอะไรเหรอ”

“คำตอบที่ว่าพี่อูเป็นครูหรือเป็นนักศึกษารับจ้างสอนพิเศษไง” จุ๋มทบทวนความจำ

จริงสินะ จุ๋มเคยถามคำถามนี้กับผม แต่ตอนนั้นผมตอบไม่ได้

“เอ้อ... แล้วมันต่างกันยังไง” ผมแกล้งถาม

“ถ้าพี่อูสอนเท่ากับเงินที่ได้มา พี่อูก็อาจเป็นแค่นักศึกษารับจ้างสอนพิเศษ แต่ถ้าพี่อูสอนโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของเงิน พี่อูก็เป็นครู...” จุ๋มพูดแล้วหยุดไปเล็กน้อย “ที่จริงจุ๋มก็รู้คำตอบแต่แรกแล้วล่ะ”

“หมายความว่า...” ผมอึ้ง ผมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท

“จุ๋มรู้ว่าพี่อูเป็นแบบไหน...” จุ๋มตอบ “จุ๋มรู้ว่าพี่อูเป็นครู...”

คำพูดของจุ๋มทำให้ผมอึ้งซ้ำสอง

“ทำไมพี่ไม่รู้ตัวเลยแฮะ” ผมพยายามหัวเราะให้ขำ

“จุ๋มว่าจุ๋มดูพี่อูไม่ผิด พี่อูดูง่ายจะตาย” จุ๋มหัวเราะบ้าง

ผมเปลี่ยนเรื่องคุยอีก เราคุยสัพเพเหระกันอีกหลายเรื่อง เมื่อได้เวลาพอสมควรก็กลับบ้านด้วยกัน โดยจุ๋มลงจากรถก่อนที่ซอยอารีย์ แต่แม้ว่าจุ๋มจะแยกจากผมไปแล้ว คำพูดของจุ๋มยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของผม...

-    - -

“โอ้โฮ อู ทำไมมันลึกยังงี้” เสียงแม่อุทาน ในขณะที่เรากำลังขับรถอยู่ในซอยสุภาพงษ์หรือว่าซอยลาดพร้าว ๓๕ และผ่านบ้านสวนที่ประกาศขาย

วันนั้นเป็นวันนัดหมายเพื่อดูทาวน์เฮาส์ พ่อ แม่ และเอ๊ด มากันพร้อมหน้า พ่อขับรถไปรับผมที่หอพัก จากนั้นก็ขับเข้ามาในซอยสุภาพงษ์ ก่อนที่จะไปดูทาวน์เฮาส์หลังที่นัดหมาย ผมก็บอกทางให้พ่อขับเลยมาอีกหน่อยเพื่อมาดูบ้านสวนที่ผมชอบ ใครจะรู้ เผื่อว่าพ่ออาจจะชอบบ้านหลังนี้ขึ้นมาและอยากซื้อเอาไว้ก็ได้

“หลังนี้ก็ลึกหน่อย แต่เดินถึงปากซอยได้นะแม่ อูลองเดินมาแล้ว” ผมตอบ และพยายามพูดถึงข้อดีของบ้านหลังนี้ “ลึกนิดหน่อย แต่สงบ ร่มรื่น น่าอยู่เชียว”

“ไปดูทาวน์เฮาส์กันดีกว่า” แม่พูด ส่วนพ่อนั้นขับรถอย่างเดียว ไม่พูดอะไรสักคำ เอ๊ดก็นั่งฟังเฉย

เมื่อขับรถไปถึงทาวน์เฮาส์ที่นัดหมาย ตอนนั้นเห็นเจ้าของบ้านยืนรออยู่หน้าบ้านแล้ว

“นี่ยิ่งลึกหนักเข้าไปใหญ่” แม่บ่นอีก “ฝนตก หิ้วของหนัก ป่วยไข้ไม่สบาย แล้วจะเดินเข้าบ้านไหวเหรอ”

“หลังนี้ไม่ลึกหรอกแม่” ผมตอบ พลางอธิบาย “ถ้าเข้าทางซอยบ้านคุณลุงก็ไม่ไกล นี่เข้าทางซอย ๓๕ เพราะอยากผ่านไปดูบ้านเดี่ยวหลังนั้น เป็นทางอ้อม ก็เลยไกล หรือว่าถ้าขี้เกียจเดินก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้”

หลังจากนั้นเราก็ลงจากรถ ทักทายเจ้าของบ้าน และเข้าไปชมด้านในของทาวน์เฮาส์กัน

บ้านหลังนั้นมีเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา สร้างมาแล้วประมาณ ๑๐ ปี สภาพดูเก่าทั้งภายนอกและภายใน สีกระเทาะ หลุดร่วง บางส่วนก็ขึ้นรา ด้านหลังของทาวน์เฮาส์หลังนี้เป็นที่ว่างเปล่าแปลงใหญ่ มีหญ้าขึ้นรก ลานซักล้างส่วนหลังของทาวน์เฮาส์ถูกดัดแปลง ต่อหลังคาออกมาคลุม ใช้เป็นห้องครัว ซึ่งเป็นความนิยมในการต่อเติมทาวน์เฮาส์ในยุคนั้น คือลานซักล้างด้านหลังต่อออกมาเป็นครัวไทย กลิ่นและควันจากการทำอาหารจะได้ไม่คลุ้งอยู่ภายในตัวบ้าน การซักผ้าก็ซักอยู่ในห้องครัวนั่นเอง แล้วเอามาตากหน้าบ้าน หรือว่าจะซักและตากที่หน้าบ้านก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก

ภายในตัวบ้านชั้นล่างแบ่งออกเป็นสองตอน ที่จริงเป็นพื้นที่เปิดโล่งตลอดทั้งชั้น เจ้าของบ้านเอาตู้มากั้นเพื่อแบ่งตัวบ้านออกเป็นสองตอน ส่วนหน้าเป็นห้องนั่งเล่น รับแขก ดูทีวี ส่วนหลังตู้ซึ่งเดิมควรจะเป็นห้องครัว เจ้าของบ้านใช้เป็นห้องกินอาหาร ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน ติดกับห้องนั่งเล่น

ชั้นสองมีสองห้องนอน ห้องนอนใหญ่ห้องหนึ่งและห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่เล็กกว่า มีห้องน้ำชั้นบนอีกหนึ่งห้อง และระเบียงเล็กๆด้านหน้าบ้านอีกหนึ่งจุด

เราเดินดูจนทั่วบ้าน ส่วนใหญ่แม่เป็นคนซักถามเจ้าของบ้าน ส่วนพ่อนั้นไม่ค่อยพูดอะไร เรื่องที่แม่ซักถามก็เป็นเรื่องทางสัมคมมากกว่าเรื่องตัวบ้าน เช่น เจ้าของอยู่มากี่ปีแล้ว ทำไมจึงย้าย ข้างบ้านและบ้านตรงข้ามเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ฯลฯ มีการคุยราคากันบ้างนิดหน่อยแต่ว่าไม่มีการต่อรองราคากันอย่างจริงจัง

ผมเดินดูบ้านด้วยความรู้สึกเซ็งๆ ดูท่าทีของพ่อแล้วไม่ได้คิดจะซื้อแม้แต่น้อย เพราะว่าหากคิดจะซื้อก็คงไม่เงียบเฉยขนาดนี้

หลังจากดูบ้านและคุยกับเจ้าของบ้านสักพัก พวกเราก็ขอตัวกลับ ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ พ่อก็ถามเอ๊ดขึ้นมา

“เอ๊ดว่าทาวน์เฮาวส์หลังนี้เป็นไง”

“โครงสร้างใช้ได้นะป๊า ก่อสร้างดีทีเดียว ดูที่จอดรถไม่ทรุดแยกจากตัวบ้าน แสดงว่าดินอยู่ตัวแล้ว ตัวบ้านเท่าที่เอ๊ดดู กำแพง คาน ไม่มีรอยฉีก แสดงว่าบ้านไม่ทรุดตัว คิดว่าการก่อสร้างน่าจะใช้ได้ ไอ้เรื่องเก่าก็ตามสภาพ ฝ้าเพดานเป็นฝ้าเก่า ไม่มีรอยน้ำฝนรั่ว แสดงว่าหลังคาคงยังใช้ได้” เอ๊ดวิจารณ์ เอ๊ดสังเกตบ้านในจุดที่ละเอียดละออตามนิสัย

“บ้านหลังนี้มีส้วมอยู่หน้าบ้าน โบราณเขาถือนะ” แม่ท้วง

“แม่ ส้วมไว้หน้าบ้านตรงนั้นก็ดีตรงที่ทำช่องระบายอากาศได้ ถ้าเป็นห้องน้ำอยู่กลางบ้านจะไม่มีช่องระบายอากาศเลย อย่างนี้ถูกสุขลักษณะกว่านะแม่”

“แต่โบราณเขาถือ” แม่ย้ำอีก

“แม่ สมัยโบราณไม่มีทาวน์เฮาวส์นะแม่” ผมคันปาก อดแย้งไม่ได้

“โอ๊ย อูจะไปรู้อะไร” แม่ไม่ยอม

หลังจากนั้นพ่อก็ขับรถออกมาที่ถนนใหญ่ เมื่อถึงซอย ๒๕ ผมก็แยกลง ส่วนทั้งสามคนก็กลับต่างจังหวัดไป ตลอดการมาดูบ้านในครั้งนี้ ผมแทบไม่ได้พูดอะไรเลย รวมทั้งพ่อก็ไม่ได้ถามความเห็นอะไรจากผมด้วย

-    - -

“โอ๊ย เซ็งโว้ย” ผมร้องอยู่ภายในห้อง

“โอ๊ย หนวกหูโว้ย” เสียงห้องตรงข้ามตะโกนตอบ

“โทษทีพี่” ผมหัวเราะ พร้อมกับตะโกนคุยข้ามห้อง “ขอระบายหน่อย”

“เบื่อก็มาดูหนังห้องนี้ไหม” พี่ห้องตรงข้ามเชื้อเชิญด้วยเสียงตะโกนเช่นกัน

“ขอบคุณครับพี่ แต่งานยังไม่เสร็จเลย” ผมตะโกนตอบ

หลังจากที่ไปดูทาวน์เฮาส์กลับมา ผมก็กลับมาเตรียมงานสอนป้อมต่อเพราะว่าผมยังเตรียมชีตการสอนของวันรุ่งขึ้นยังไม่เสร็จ เรื่องเมื่อตอนกลางวันทำให้ผมรู้สึกเซ็ง

“ไม่ไหวโว้ย” ผมบ่นอีก รู้สึกวุ่นวายใจจนทำงานต่อไม่ได้ ผมจึงหยิบเหรียญบาทมากำหนึ่ง จากนั้นเดินลงไปชั้นล่างเพื่อออกไปโทรศัพท์ที่ตู้ใกล้กับหอพัก

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งรับสาย

“คุณชาย” ผมทักทาย รู้สึกอารมณ์แจ่มใสขึ้นมาทันที

เมื่อก่อนป้อมจะไม่รับโทรศัพท์เลย ปกติพ่อกับแม่ หรือคนในบ้านจะเป็นคนรับสาย เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนของป้อมโทรมาป้อมจึงจะมารับสายอีกทีหนึ่ง เมื่อก่อนผมโทรไปหาป้อมก็เป็นคนอื่นรับสาย แต่ในระยะหลังนี้ป้อมรับโทรศัพท์เองทุกครั้ง

“พี่อูทำอะไรอยู่” ป้อมถาม แล้วรีบพูดต่อ “อย่าบอกว่าโทรศัพท์นะ”

“แน่ะ รู้ทัน ว่าจะตอบแบบนี้อยู่เชียว” ผมหัวเราะ “เมื่อกี้เตรียมชีตให้คุณชายอยู่ ยังไม่เสร็จเลย”

“แล้วโทรมาทำไม” ป้อมทำเสียงกวน

“จะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้พี่อยากเปลี่ยนที่สอน” ผมพูด “มาเรียนนอกสถานที่กันดีกว่า”

“เหรอ ที่ไหนล่ะ” ป้อมทำเสียงดีใจจนผมรู้สึกได้

“มาเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ได้” ผมหมายถึงมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ “สนามหญ้าเขียวๆ สวยๆ ดีกว่าเรียนในห้องอุดอู้ เรียนเสร็จแล้วไปเดินเล่นที่สยามสแควร์กัน”

“ว้าว” ป้อมร้อง ทำเสียงกวนเสียด้วย “คิดได้ไงเนี่ย”

“อ้าว ไม่ดีเหรอ” ผมถาม

“เปล่า ดีสิคร้าบ” ป้อมหัวเราะ “จะบอกว่าพี่อูฉลาดต่างหาก”

“อ๋อ นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่งั้นจะสอนคุณชายได้เหรอ” ผมอวยตัวเอง “ว่าแต่พ่อจะให้หรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่อู” ป้อมตอบ “ตอนเช้าพอพ่อแม่ออกไปทำงาน ป้อมก็ค่อยออกจากบ้าน ใครจะมาห้ามล่ะ ฮ่าฮ่า”

“เออ เข้าที” ผมพูด “งั้นพรุ่งนี้เก้าโมง เจอกันที่ม้าหินหน้าสระว่ายน้ำละกัน ถ้าร้อนค่อยย้ายเข้าใต้ตึก”

“ได้ฮะพี่อู” ป้อมรับคำ