Monday, October 27, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 31

ผมรู้สึกว่าไอ้นัยเดินชะลอลง เพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่าไอ้นัยกำลังย่อตัว แอบเอาส้นเท้าใส่เข้าไปในรองเท้าอยู่ จากนั้นมันก็ตีหน้าตายเร่งฝีเท้ามาจนทันผมกับตี๋

ตี๋เล่าเรื่องของมันขณะที่เราเดินไปด้วยกัน มันเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน พ่อแม่มันเปิดร้านขายของชำในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ฐานะที่บ้านไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เนื่องจากพ่อแม่ของมันไม่ได้เรียนหนังสือ ดังนั้นจึงอยากให้มันได้เรียนสูงที่สุดและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่จนอย่างพ่อแม่ ดังนั้นจึงส่งมันมาอยู่กับญาติในกรุงเทพฯเพื่อให้เรียนหนังสือ

ญาติของตี๋ในกรุงเทพฯก็ใช่ว่าจะมีฐานะดี เปิดแผงขายของชำในตลาดสด ดังนั้นในชั้นประถมตี๋จึงเรียนได้แค่โรงเรียน กทม. หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือโรงเรียนวัดนั่นเอง แต่แม้จะเป็นโรงเรียนวัด ถึงอย่างไรพ่อแม่ของตี๋ก็เชื่อว่าต้องดีกว่าโรงเรียนในต่างจังหวัด ซึ่งความคิดนี้อาจไม่เป็นจริงเสมอไป เพราะว่าแม้ในสมัยนั้นเองก็ตาม โรงเรียนในตัวจังหวัดที่มีมาตรฐานการเรียนการสอนดีๆก็มีอยู่ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนในระดับอำเภอบางแห่งละก็ อาจมีส่วนเป็นแบบที่พ่อแม่ของตี๋คิดได้เหมือนกัน

เมื่อตี๋มาเรียนที่กรุงเทพฯ ทางบ้านก็ต้องพยายามส่งเงินมาเพื่อส่งเสีย แม้การเรียนในการศึกษาภาคบังคับจะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง ยิ่งมาอยู่ในกรุงเทพฯ ค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ก็ยังจำเป็น ดังนั้นตี๋จึงต้องประหยัดทุกอย่าง และยังต้องช่วยญาติของมันขายของในตลาดสดเมื่อมีเวลาอีกด้วย

ไอ้นัยที่เดินมาด้วยกันก็พลอยได้ฟังเรื่องราวของตี๋ไปด้วย แม้สองคนนี้จะเคยเห็นหน้ากัน เพราะไอ้นัยมักมายืนคอยผมที่หน้าห้องเสมอ แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยพูดคุยกัน

“ทำไมมึงเล่าให้กูฟังวะ” ผมถามตี๋ รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติเรื่องแบบนี้มักจะอายเพื่อนฝูงกัน

“กูไว้ใจมึง กูรู้ว่ามึงเป็นคนดี” ตี๋พูด ทำเอาผมถึงกับเขิน เพราะมันเป็นการชมกันซึ่งหน้า แถมชมต่อหน้าไอ้นัยเสียด้วย

“แล้วทำไมมึงคิดยังงั้นล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ก็มึงไม่เคยล้อเลียนมือพิการของกู” ตี๋ตอบสั้นๆ แต่เป็นคำพูดที่ยังก้องอยู่ในหูของผมจนทุกวันนี้ เสมือนมันเพิ่งพูดกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง มันเป็นเรื่องที่ผมต้องจดจำไปชั่วชีวิต เพราะผมซื้อใจเพื่อนคนหนึ่งได้ โดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้แก่มันเลย ... เพียงแค่เห็นมันเป็นเพื่อนอย่างที่มันควรจะเป็น... เท่านั้นเอง

ในนาทีนั้นเอง ผมเริ่มมองตี๋แตกต่างจากที่เคย ผมเคยเห็นแต่ด้านที่กวนประสาท ชอบแกล้งคน แต่นั่นเป็นเพียงเกราะที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นภายในของมันเท่านั้น ตัวตนภายในของตี๋กลับเป็นคนที่อ่อนโยนและช่างคิดช่างสังเกต

อันที่จริง ผมไม่ถึงกับไม่เคยล้อเลียนมือลีบของมัน ใหม่ๆก็เคยโมโหจนหลุดปากว่ามันไปเหมือนกัน แต่แล้วต่อมาก็ไม่เคยเรียกมันว่าไอ้ลีบอีก

เราเดินคุยกันมาจนถึงหน้าประตูโรงเรียน หลังจากสวัสดีอาจารย์ที่ยืนต้อนรับพวกเราที่หน้าประตูแล้ว ไอ้นัยตีหน้าตายเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยที่มันใส่รองเท้าหุ้มส้นอยู่ ผมหันไปยิ้มให้มันก่อนที่เราจะแยกกัน ผมรู้ว่ามันไม่ใส่รองเท้าเหยียบส้นเข้าโรงเรียนเพราะอะไร

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตี๋ไม่ค่อยแหย่ผมมากนัก และมักเดินมาคุยกับผมที่โต๊ะ แต่ก็ยังแหย่คนอื่นตามปกติ

- - -

ชั่วโมงพลศึกษาในสัปดาห์นั้นเป็นครั้งที่วุ่นวายอลเวงที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อถึงช่วงเปลี่ยนคาบซึ่งเป็นเวลาที่เราต้องปิดประตูห้อง และเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดพละ ไอ้อ้วนก็เกิดทะเลาะกับพงษ์ขึ้นมา

“โอ๊ย แม่งจะแร่ดไปถึงไหนวะ กูละรำคาญแม่งฉิบหาย” อ้วนโวยวายลั่นห้อง

“แล้วมึงมาเสือกอะไรด้วยล่ะ อีอ้วน อีคางคกท้องแตก” พงษ์ด่าอย่างฉาดฉาน ชัดถ้อยชัดคำ ทีตอนตอบคำถามอาจารย์ในห้องเรียน ไม่เห็นฉาดฉานได้ขนาดนี้

หลังจากด่ากันไปด่ากันมา อ้วนก็โมโหจนถึงกับลงไม้ลงมือ

“อีตุ๊ด เสียชาติเกิด กูต้องขอดูหน่อยแล้วว่ามึงยังมีควยอยู่หรือเปล่า อีกระเทย” อ้วนด่า พลางบอกเพื่อนๆร่วมแก๊งของมัน “จับมันแก้ผ้าเลย”

เพื่อนๆแก๊งไอ้อ้วนเมื่อได้ยินก็ลงมือทันที มันช่วยกันจับแขนขาของพงษ์เอาไว้จนแน่น จากนั้นอ้วนเป็นคนลงมือถอดกางเกง พงษ์ด่าลั่นห้อง แต่ก็ดิ้นรนขัดขืนไม่ได้ เพราะว่าพวกนั้นแรงมากกว่า เพื่อนๆในห้องก็เฮกันเพราะเห็นว่าเป็นการหยอกเย้ากัน

ในที่สุด พงษ์ก็ถูกจับถอดกางเกงและกางเกงใน อวดท่อนเนื้อของมันแก่เพื่อนๆในห้องอย่างไม่เต็มใจ ท่อนเนื้อของมันขนาดกำลังดี นอนสงบนิ่งอยู่ในพงษ์หญ้าสีดำ ขณะที่มันดิ้น ทั้งท่อนและถุงของมันก็แกว่งไกวไปมา

“อ้าว มีควยมีหมอยเหมือนพวกเรานี่หว่า แล้วเสือกเป็นกระเทยเป็นตุ๊ด” อ้วนด่าอย่างมันในอารมณ์ ความชิงชังรังเกียจแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดแจ้ง ผมฟังแล้วรู้สึกสะอึก

“มีควยมีหมอย ยังงั้นต้องมีน้ำว่าวด้วย จับมันชักว่าวเลย” ไอ้อ้วนไม่หยุดอยู่แค่นั้น เอื้อมมือไปที่ท่อนลำของพงษ์ เตรียมจะรูดเอาน้ำว่าวออกมา

พงษ์ด่าจนเลิกด่า ดิ้นจนเลิกดิ้น แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา

ขณะที่อ้วนกำลังจะลงมือชักว่าวให้พงษ์นั้นเอง มือข้างหนึ่งก็เข้ามาจับข้อมือของอ้วนเอาไว้

“เฮ้ย พอแล้ว” ดิษฐ์นั่นเอง

“หัวหน้า ช่วยด้วย” พงษ์คร่ำครวญพลาง ร้องไห้ไปพลาง

“เฮ้ย งานนี้หัวหน้าไม่เกี่ยว อีนี่มันปากเสียนัก กูต้องสั่งสอนมันให้จำ” อ้วนยังไม่ยอมรามือ

ดิษฐ์ก็ไม่ยอมปล่อยมือจากอ้วนเช่นกัน

“ถ้ามึงจะสั่งสอนมัน ยังงั้นเจอกับกูก่อนก็แล้วกัน” ดิษฐ์พูด

เมื่อเห็นเรื่องชักจะบานปลาย พวกเพื่อนๆในห้องจึงส่งเสียงกันเซ็งแซ่ บอกให้ปล่อยพงษ์ไป อ้วนเห็นดังนั้นจึงปล่อยมือจากพงษ์ ดิษฐ์นั้นหุ่นนักกีฬา ตัวโตกว่าอ้วนมาก ดูยังไงอ้วนก็ไม่มีทางชนะดิษฐ์ได้

“เห็นแก่หัวหน้านะเนี่ย วันหลังอย่าปากเสียวอนส้นตีนอีกก็แล้วกัน” อ้วนพูดแบบยียวนกวนโทโส

เพื่อนๆของอ้วนก็ปล่อยมือที่ตรึงร่างของพงษ์อยู่ เมื่อพงษ์เป็นอิสระก็รีบถึงกางเกงขึ้นมาสวม พร้อมทั้งสะอึกสะอื้น แต่ไม่กล้าด่าอะไรอีก เพราะกลัวอ้วนเอาจริง

“เอ้า ใครเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็ออกไปตั้งแถว ไม่ต้องมามุง ไม่มีอะไรแล้ว” เสียงดิษฐ์ตะโกนกลบเสียงจ้อกแจ้กจอแจในห้อง

“โธ่ นึกว่าจะได้ดูหนังสด อดดูเลย” เสียงนักเรียนบางคนในห้องพึมพำ จากนั้นก็ทยอยกันเดินออกไปตั้งแถวที่หน้าห้อง

- - -

ชั่วโมงพลศึกษาในวันนั้นเป็นการเรียนยิมนาสติกท่าต่อมา ท่าแรกที่เรียนเป็นท่าสะพานโค้ง ท่าถัดมาคือท่าหกกบ

ท่าหกกบนี้เริ่มต้นด้วยการย่อตัวลงไปนั่งยองกับพื้น เอามือยันพื้นไว้ จากนั้นเอาหัวเข่าทั้งสองข้างหนีบข้อศอกเอาไว้ จุดที่หนีบกันนี้เองใช้เป็นจุดหมุน จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อโน้มตัวไปเช่นนี้ ขาจะลอยจากพื้น ตอนนี้ส่วนที่ยันพื้นเอาไว้คือมือทั้งสองข้าง

จากนั้นโน้มตัวต่อไปอีก หัวก็จะก้มลงไปแตะที่พื้น จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างและหน้าผากเป็นจุดที่ยันพื้นเอาไว้ ค่อยๆยกขาและลำตัวขึ้นชี้ฟ้า เมื่อปฏิบัติท่านี้เสร็จก็จะเป็นท่าคนหัวทิ่มเอาขาชี้ฟ้านั่นเอง

ลองคิดดู พวกนักเรียนที่ใส่กางเกงขาสั้น ผ้าร่ม ขากางเกงกว้างๆ เมื่อยกขาชี้ฟ้าแล้วจะเป็นอย่างไร...


<ท่าหกกบนี้เริ่มต้นด้วยการย่อตัวลงไปนั่งยองกับพื้น เอามือยันพื้นไว้ จากนั้นเอาหัวเข่าทั้งสองข้างหนีบข้อศอกเอาไว้ จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อโน้มตัวไปเช่นนี้ ขาจะลอยจากพื้น ตอนนี้ส่วนที่ยันพื้นเอาไว้คือมือทั้งสองข้าง จากนั้นโน้มตัวต่อไปอีก หัวก็จะก้มลงไปแตะที่พื้น ค่อยๆยกขาและลำตัวขึ้นชี้ฟ้า เมื่อปฏิบัติท่านี้เสร็จก็จะเป็นท่าคนหัวทิ่มเอาขาชี้ฟ้านั่นเอง>

Friday, October 24, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 30

ผมเปลี่ยนท่ามาเป็นท่าคลานสี่ขา รอรับการโจมตีจากไอ้นัย

“เบาๆนะ” ผมกำชับมัน แต่ก็ยังอดสยองในใจไม่ได้ เพราะรู้ดีไอ้นัยมันทำค่อนข้างรุนแรง

ผมรู้สึกจั๊กกระจี๋ที่ปากถ้ำของตนเอง เป็นนิ้วของไอ้นัยที่ชโลมไปด้วยออยล์นั่นเอง ยังดีที่มันทำตามอย่างผม โดยใช้นิ้วก่อน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกเจ็บนิดๆ

ไอ้นัยล้วงเข้าล้วงออกอยู่สักครู่ แล้วมันก็เปลี่ยนมาเป็นของจริง เนื่องจากก้นของผมว่างเว้นจากการใช้งานมานานพอสมควร จึงรู้สึกไม่ค่อยชิน เมื่อไอ้นัยยัดแท่งเนื้อเข้ามา ผมรู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกแท่งเหล็กร้อนๆนาบใส่ มิน่าเล่า เมื่อครู่ไอ้นัยถึงได้ร้องครวญคราง

“อูย...” ผมอดครางออกมาไม่ได้ แต่ก็พยายามทน เพราะอยากให้ไอ้นัยมีความสุขบ้าง “เบาๆหน่อย”

“ใจเย็นดิ อย่าเพิ่งบ่น” ไอ้นัยพูดแล้วหัวเราะกิ๊กกั๊ก “ทีใครทีมันว้อย”

ไอ้นัยพยายามขยับท่อนเนื้อของมันเข้าออกเบาๆ พยายามสอดลึกเข้าไปทีละนิด ผมรู้สึกค่อยเบาใจหน่อย ถึงเจ็บก็พอทนได้ ถ้ามันทำเบาๆ

ทันใดนั้นเอง เมื่อผมเผลอ ไอ้นัยก็ทิ่มท่อนลำของมันพรวดเดียวมิดด้าม ผมร้องจ๊าก จะคลานหนีก็ถูกไอ้นัยยึดเอวเอาไว้

“โอ๊ย ไอ้นัย เอาออกไปก่อน” ผมดิ้นทุรนทุราย ไอ้นัยรีบปล่อยมือที่จับเอวของผมไว้ แล้วถอนท่อนเนื้อของมันออก ไอ้ตอนถอนก็ถอนอย่างเร็ว จนผมรู้สึกแสบร้อนไปหมด

“โทษที” ไอ้นัยพูดแบบเสียใจ “เผลอไปอ่ะ”

ไอ้นัยมันจะเป็นแบบนี้ทุกที คือตอนแรกก็จะระวัง แต่แล้วก็จะลืมตัว กระแทกแบบไม่ยั้ง

“มึงทำเบาๆไม่เป็นหรือไง” ผมบ่น

“อ่า คราวนี้เบาๆแล้ว ต่อนะ นะ นะ” ไอ้นัยพูดด้วยสีหน้าประจบประแจง จนผมอดหัวเราะไม่ได้ ทำยังไงก็โกรธมันไม่ลง

ไอ้นัยชโลมออยล์ลงไปที่แท่งเนื้อของมันอีก คราวนี้มันพยายามสอดใส่อย่างระมัดระวัง ทำให้ความเจ็บปวดของผมลดน้อยลง ใช้เวลาไม่นาน ไอ้นัยก็สอดใส่เข้ามาได้จนมิดด้าม จากนั้นก็เริ่มซอยเบาๆ

ผมรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ในก้น สักพักก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น ขณะเดียวกัน ไอ้นัยก็กระแทกอาวุธของมันแรงขึ้นและแรงขึ้น เสียงผิวเนื้อกระแทกผิวเนื้อดังป้าบๆ ไอ้นัยลืมตัวอีกครั้ง กระแทกก้นของมันกระเด้าผมอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ก้นของผมคงเริ่มปรับตัวได้ เพราะไม่รู้สึกเจ็บเท่าไรแล้ว

ท่อนเนื้ออันแข็งแกร่งของไอ้นัยกระแทกเข้าออกภายในถ้ำของผมอีกพักใหญ่ จากนั้นผมก็รู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆฉีดพุ่งอยู่ภายในก้กนของผม จากนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของไอ้นัย

ไอ้นัยยังไม่หยุดซอยบั้นเอว แต่ลดความเร็วให้ช้าลง ช้าลง พายุร้ายได้โหมพัดผ่านไปแล้ว ตอนนี้ผมกลับมาเริ่มรู้สึกแสบอีกครั้ง

ไอ้นัยซบตัวลงบนหลังของผม ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด อยากให้มันซบอยู่อย่างนี้นานๆ ผมรู้สึกอยากดูแลมัน อยากให้มันมีความสุข...

หลังจากนั้น ไอ้นัยก็ลุกขึ้น และถอนท่อนลำออกจากก้นของผม

“ฮุ้ย มีเลือดด้วย” ไอ้นัยอุทานเบาๆ

ผมหันมาดู เห็นท่อนเนื้อของไอ้นัยมีเลือดสีแดงๆปนอยู่ ไม่ได้มากมายอะไร ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเลือดออกแบบนี้มาแล้ว ก็ไอ้นัยมันกระแทกแรงเสียขนาดนี้

“ควยกูเลือดออกเลย ดูดิ” ไอ้นัยพูด

ผมเคาะหัวมันอย่างหมั่นไส้ “ตูดกูต่างหากที่เลือดออก มึงทำกูเจ็บตัวแล้วยังจะมาตลกอีก”

ไอ้นัยหัวเราะ แล้วชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ “ขอโทษนะอู ขอบใจด้วย”

ปกติไอ้นัยชอบตีหน้าตาย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมา แต่จู่ๆมันก็หอมแก้มผม ริมฝีปากของมันที่ประทับบนแก้มของผมนั้นช่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง ความรู้สึกเจ็บของผมมลายหายไปในทันที ผมอยากหยุดเวลาช่วงนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ผมอยากจะบอกอะไรแก่มันบางอย่าง แต่แล้วก็พูดไม่ออก ...

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา ที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอย ผมก็พบไอ้นัยยืนรอผมอยู่แล้วเช่นเคย เช้าวันนี้มันใส่รองเท้าผ้าใบนันยางคู่ใหม่ แถมยังเหยียบส้นรองเท้าเสียด้วย

“เท่จริงนะมึง” ผมประชด

ไอ้นัยยิ้มแป้นกับคำพูดของผม “แน่อยู่แล้ว”

“แน่จริงมึงเหยียบส้นเข้าโรงเรียนไปเลยนะ” ผมท้าทาย เพราะการใส่รองเท้าเหยียบส้นนั้นแม้เป็นแฟชั่นของวัยรุ่น แต่ก็เป็นเรื่องผิดระเบียบของโรงเรียน ปกตินักเรียนจะไม่ค่อยกล้าใส่รองเท้าเหยียบส้นในโรงเรียน เพราะว่ากลัวอาจารย์เห็น

“สบายมาก” ไอ้นัยรับคำท้าอย่างอารมณ์ดี

เมื่อเราเดินทางถึงสุดสายรถเมล์ที่ใต้สะพานพุทธ ระหว่างที่เราเดินจากสะพานพุทธไปยังโรงเรียนนั้น ผมก็รู้สึกว่ามีใครมาดีดใบหูของผมเบาๆ

ผมหันไปมองด้านหลัง ก็ไม่เห็นใคร จึงก้มลงมองข้างล่าง ก็เห็นคนที่ดีดหูผมนั่งยองๆหลบอยู่ด้านหลังของผม หลบแค่นั้นจะไปพ้นได้อย่างไร… ตี๋นั่นเอง

“เฮ้ย เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไรวะ” ผมถาม ไม่ค่อยแปลกใจในพฤติกรรมของมัน เพราะว่าปกติมันก็ชอบแหย่คนโน้นแหย่คนนี้อยู่แล้ว

ตี๋ยืดตัวขึ้นมา แล้วเดินไปด้วยกันกับผมและไอ้นัย

“ตั้งแต่ใต้สะพานพุทธนั่นแหละ กูเห็นมึงลงรถเมล์ก็เดินตามมา” ตี๋ตอบ

แต่ไหนแต่ไรผมไม่เคยสนใจการแต่งตัว รวมทั้งรองเท้าของตี๋ แต่วันนี้ ผมให้ความสนใจกับรองเท้าของตี๋เป็นพิเศษ คงเป็นผลเนื่องจากรองเท้าใหม่ของไอ้นัยนั่นเอง ที่ทำให้ผมสังเกตรองเท้าของคนอื่น

รองเท้าของตี๋เป็นรองเท้าผ้าใบที่เก่า ผ้าใบตรงนิ้วก้อยทั้งสองข้างปริจนเห็นเนื้อถุงเท้า ท่าทางคงจะใช้มานานพอสมควรแล้ว

“อือม์ เพิ่งสังเกตว่ามึงก็นำแฟชั่นไม่เหมือนใคร คนอื่นใส่เหยียบส้น มึงใส่เปิดนิ้วตีน” ผมพูดยิ้มๆ

“ใส่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ต้องพยายามประหยัด ใส่ให้ได้จนถึงสิ้นปี” ตี๋พูดยิ้มๆ พยายามทำให้เป็นเรื่องขำๆ

ผมอึ้ง นึกเสียใจที่ตนเองปากเสีย พูดไม่ได้คิดเลยแท้ๆ

“ใส่เหยียบส้นไม่ได้หรอก เดี๋ยวรองเท้าพังเร็ว” ตี๋พูดต่อ


<ไอ้นัยชโลมออยล์ลงไปที่แท่งเนื้อของมันอีก คราวนี้มันพยายามสอดใส่อย่างระมัดระวัง ทำให้ความเจ็บปวดของผมลดน้อยลง ใช้เวลาไม่นาน ไอ้นัยก็สอดใส่เข้ามาได้จนมิดด้าม จากนั้นก็เริ่มซอยเบาๆ>

Saturday, October 18, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 29

เมื่อผมรูดกางเกงนักเรียนของไอ้นัยลง ก็เห็นกางเกงในของไอ้นัยโป่งพองจากแท่งเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อผมรูดกางเกงในลง ท่อนเนื้อของไอ้นัยก็ดีดผึงออกมา

ผมจับท่อนเนื้อนั้นรูดลง หนังหุ้มปลายของไอ้นัยก็ถอกร่นลงมาจนสุดเงี่ยง ผมรั้งหนังหุ้มปลายให้ถอกอยู่อย่างนั้น พลางใช้ปลายนิ้วชี้ลูบไล้วนเวียนอยู่ที่หัวถอกของมัน ไอ้นัยถึงกับดิ้นไปมาและคราง

“เสียวโว้ยอู”

ไอ้นัยเอื้อมมือมาด้านหลัง พยายามคลำเปะปะจนพบเป้ากางเกงของผม เมื่อมันหาท่อนเนื้อของผมเจอ มันก็กำและบีบ จากนั้นก็รูดไปมา

“ไปที่ห้องน้ำเถอะ” ไอ้นัยพูด

- - -

สายน้ำจากฝักบัวราดรดร่างที่เปลือยเปล่าของเรา ท่อนเนื้อของเราทั้งสองคนแข็งตัวเต็มที่

“มา กูฟอกสบู่ให้มึง” ผมพูดกับไอ้นัย

ว่าแล้ว ผมก็เอาก้อนสบู่มาถูกับสองมือจนเป็นฟอง จากนั้นเอาฟองสบู่ละเลงลงบนลำตัวของไอ้นัย ฝ่ามือที่ลูบไล้อยู่บนหน้าอกของไอ้นัยสัมผัสถึงกล้ามเนื้อที่แน่นและแข็งแรง ตามธรรมชาติของวัยรุ่นที่มีการออกกำลังกาย ส่วนปลายนิ้วทั้งสิบของผมก็สัมผัสถึงผิวเนื้ออันเนียนนุ่ม เรือนกายของไอ้นัยนั้นได้สัดส่วน มันดูสมบูรณ์แบบในสายตาของผมราวกับประติมากรรมชิ้นงาม

ผมลูบไล้ฟองสบู่เรื่อยมาจากทรวงอกจนถึงท้องน้อยที่เกร็งกระชับ จากนั้นวนเวียนอยู่ตรงพงหญ้ารอบท่อนเนื้อ ถุงไข่ของไอ้นัยหดเกร็งด้วยความเสียวซ่าน

“โอว” ไอ้นัยครางออกมาเบาๆ

ผมเอามือถูก้อนสบู่อีก จากนั้นเอาฟองสบู่มาละเลงที่ท่อนลำของไอ้นัย ผมจับมันถอกจนสุดลำอีกครั้ง พร้อมทั้งละเลงฟองสบู่ไปที่ส่วนดอกเห็ด

ดอกเห็ดของไอ้นัยซึ่งเดิมเป็นสีชมพูอ่อนได้กลายเป็นสีม่วงคล้ำ เงี่ยงที่ดอกเห็ดนั้นพองและแข็ง ผมใช้นิ้วที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ไล้ไปที่เงี่ยงและส่วนล่างตรงบริเวณเส้นสองสลึง ไอ้นัยถึงกับดิ้นพราด

“พอก่อนอู เดี๋ยวแตก” ไอ้นัยพูดไปครางไป

ผมไม่ได้มีโอกาสปล่อยอารมณ์กับไอ้นัยอย่างเต็มที่เช่นนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ช่วงหลังที่เราสนุกกันก็เป็นไปอย่างรวบรัด แม้แต่เสื้อก็ยังไม่ได้ถอดออกด้วยซ้ำ

“ขอกูอัดตูดมึงนะ” ผมกระซิบที่หูไอ้นัย มันพยักหน้า

ผมเปิดตู้เหนืออ่างล้างมือ ผมรู้ว่าไอ้นัยเก็บเบบี้ออยล์เอาไว้ที่นั่น

เราสองคนอยู่ในท่าคุกเข่า ผมชโลมแท่งเนื้อด้วยเบบี้ออยล์จนชุ่ม ไอ้นัยก้มหน้าโก้งโค้งอย่างรู้งาน ผมก้มลงดูก้นของไอ้นัย ปากถ้ำสีชมพูอ่อนนั้นปิดมิดชิด

“เบาๆนะ” ไอ้นัยกำชับ

ผมดันท่อนเนื้อของผมเข้าไปในถ้ำของไอ้นัย มันแน่นมาก เมื่อส่วนหัวของผมล่วงล้ำเข้าไปได้เพียงนิดเดียว ไอ้นัยก็ร้องลั่น

“เอาออกก่อนอู เจ็บ”

“กูยังไม่ทันใส่เข้าไปเลย จะเอาออกได้ยังไง แค่นี้โวยวายไปได้” ผมพูด

“เจ็บชิบหายเลย” ไอ้นัยบ่น

ผมลองเอานิ้วชี้ที่ชุ่มโชกไปด้วยออยล์แหย่เข้าไปในถ้ำของไอ้นัยดู เพื่อทดสอบดูว่าถ้าเป็นนิ้วมือที่เล็กกว่าแท่งเนื้อ มันจะเจ็บหรือไม่

นิ้วของผมสามารถผ่านปากถ้ำของไอ้นัยเข้าไปได้โดยไม่ยากนัก และเมื่อนิ้วของผมล่วงล้ำเข้าสู่ภายในถ้ำ ผมก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่รัดกระชับ ผนังถ้ำของไอ้นัยบีบรัดนิ้วผมอย่างรุนแรง แต่ในความรัดกระชับนั้นก็แฝงความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นเอาไว้ ปลายนิ้วที่เต็มไปด้วยประสาทสัมผัสของผมได้สัมผัสกับความรู้สึกที่แปลกใหม่ภายในถ้ำของไอ้นัย มันทำให้ผมรู้สึกเสียวซ่านที่ท้องน้อยจนน้ำแทบจะแตกออกมา

ผมควานนิ้วอยู่ในถ้ำอีกชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนนิ้วออกมา และลองเอาแท่งเนื้อของผมใส่เข้าไปใหม่ คราวนี้ไอ้นัยคงเจ็บน้อยลง

ผมสอดแท่งเนื้อเข้าไปอย่างช้าๆ เมื่อผมส่งส่วนหัวผ่านปากถ้ำเข้าไปได้ ผมก็พยายามดันมันต่อไป หนังหุ้มปลายของผมถูกร่นไปจนสุดเพราะความฝืดจากผนังถ้ำ เมื่อผมเดินหน้าต่อไป ส่วนหัวซึ่งไม่มีหนังหุ้มปลายปกคลุมก็ได้สัมผัสกับความกระชับ แข็งแรง และยืดหยุ่น ของผนังถ้ำอย่างเต็มที่ ความเสียวที่เกิดขึ้นทำให้ผมแทบทนไม่ไหว

“เจ็บจังอู เอาออกก่อนเถอะ” ไอ้นัยร้องโอดโอย

ผมจำใจต้องถอนท่อนเนื้อออกมา ทั้งๆที่เพิ่งผ่านเข้าไปได้จนมิดลำเท่านั้น ยังไม่ได้ทำอะไรต่อเลย

แต่ในขณะที่ผมค่อยๆถอนท่อนเนื้ออกมานั้น ความรู้สึกตอดรัดจากผนังถ้ำที่เกิดขึ้นที่ส่วนหัว ทำให้ผมเสียวอย่างสุดที่จะทนได้อีกต่อไป ผมจึงปล่อยน้ำของผมให้แตกออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

ผมหยุดท่อนเนื้อเอาไว้กลางลำ ปล่อยให้น้ำแตกออกมาในก้นของไอ้นัย ผมรู้สึกกระตุกและฉีดพ่นน้ำออกมาหลายครั้ง น้ำว่าวของผมย้อยออกมาจากปากถ้ำเป็นเส้น และเมื่อผมถอนท่อนเนื้ออกมา น้ำว่าวสีขาวขุ่นของผมก็ทะลักออกมาจากปากถ้ำของไอ้นัยเป็นจำนวนมาก ย้อยไปตามต้นขาเต็มไปหมด ส่งกลิ่นคาวคลุ้ง

“ทำไมแตกง่ายจัง” ไอ้นัยหันมาถามยิ้มๆ “แต่ก็ดี กูจะได้ไม่เจ็บ”

“ก็ตูดมึงแน่นมาก กูเสียวจนทนไม่ไหว” ผมบอก

“ทีนี้ตากูแล้ว” ไอ้นัยพูด


<หนังหุ้มปลายของผมถูกร่นไปจนสุดเพราะความฝืดจากผนังถ้ำ เมื่อผมเดินหน้าต่อไป ส่วนหัวซึ่งไม่มีหนังหุ้มปลายปกคลุมก็ได้สัมผัสกับความกระชับ แข็งแรง และยืดหยุ่น ของผนังถ้ำอย่างเต็มที่ ความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นทำให้ผมแทบทนไม่ไหว>

Tuesday, October 14, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 28

มันเป็นกีตาร์สีไม้โอ๊ค ใหม่เอี่ยม ยี่ห้อยามาฮ่า ของญี่ปุ่น ข้างเตียงยังมีกล่องแข็งสำหรับบรรจุกีตาร์ มีหูหิ้ว เอาไว้ถือไปไหนมาไหนได้

ผมตื่นเต้นกับกีร์ตาตัวนี้ เพราะรูปร่างของมันสวย ดูสง่า เรานั่งลงที่เตียง ผมหยิบกีร์ตาขึ้นมา สังเกตพบว่าสายกีร์ตาเป็นสายไนลอนไม่ใช่สายเหล็ก

ผมลองกรีดนิ้วลงบนสายกีร์ตา เสียงดังกรุ๋งกริ๋งจากทุ้มไปหาแหลม กังวานเสียงของสายไนลอนนั้นนุ่มนวล แตกต่างจากสายเหล็ก

“ตัวนี้เป็นกีร์ตาคลาสสิก” ไอ้นัยบอกด้วยท่าทางภูมิใจ

“แล้วมันต่างจากกีร์ตาทั่วไปยังไง กูดูไม่เห็นต่างเลย” ผมถามด้วยความสงสัย ว่าอะไรคือกีร์ตาคลาสสิก

“กูไม่รู้หรอก” ไอ้นัยสั่นหัวดิก

ผมอดไม่ได้ต้องเขกกะโหลกมันไปเบาๆหนึ่งที ไอ้นัยทำคอย่นเพื่อหลบมือของผม แต่ก็หลบไม่พ้น

“พูดยังกับรู้ดี ไอ้เวร ทีหลังไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” ผมหยอกมัน

เรื่องของเรื่องก็คือ คุณอาเห็นไอ้นัยสนใจดนตรี พอไปเข้าวงดุริยางค์ ในที่สุดก็ไม่ได้เรียน จึงตัดสินใจสนับสนุนให้ไอ้นัยเรียนดนตรีให้เป็นชิ้นเป็นอัน เผื่อว่าอีกหน่อยหากมีแววอาจใช้ประกอบอาชีพได้ คุณอาก็เลยเลือกให้ไอ้นัยเรียนกีร์ตาคลาสสิก เพราะเห็นว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีช่องทางประกอบอาชีพได้ง่าย อีกทั้งราคาไม่แพงมาก กีร์ตาตัวที่คุณอาซื้อให้ไอ้นัยจำได้ว่าราคาตอนนั้นสองหมื่นกว่าบาท

“เนี่ยนะ ที่บอกว่าถูก” ผมถามเมื่อได้รู้ราคา

“ก็ถูกกว่าเปียโนอ่ะ” ไอ้นัยบอก “ตอนแรกอาจะให้กูเรียนเปียโน แต่เปียโนแพงกว่าเยอะ เลยเอาไอ้นี่แหละ”

แค่ส่งไอ้นัยเรียนกีร์ตาคลาสสิก แค่นี้ผมก็ทึ่งแล้ว ไม่ถึงกับต้องซื้อเปียโน ผมรู้สึกดีใจไปกับไอ้นัย คุณอาทั้งสองดีกับมันเหลือเกิน

“ยังมีอีก ยังไม่หมด” ไอ้นัยพูด

ว่าแล้วมันก็เดินไปหยิบกล่องรองเท้าที่มุมห้องมา ๒ กล่อง แล้วกลับมานั่งที่เตียง เมื่อเปิดกล่องแรกออกดู พบว่าข้างในเป็นรองเท้าแตะสกอลล์ สีเขียวสดใส

เด็กวัยรุ่นในตอนนั้นนิยมรองเท้าสกอลล์กันมาก ที่จริงน่าจะอ่านชอลล์ เพราะเขียนว่า Scholl ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเรียกสกอลล์กันจนติดก็ไม่ถือว่าอ่านผิด คงเป็นไปตามความนิยมมากกว่า

ความเท่ของเด็กวัยรุ่นในตอนนั้น ส่วนหนึ่งวัดกันที่รองเท้าแตะนี่แหละ ใครใส่รองเท้าสกอลล์ถือว่ามีหน้ามีตา คู่หนึ่งตั้งหลายร้อยบาท แต่เด็กวัยรุ่นก็พยายามหาซื้อมาใส่กัน ใครมีรองเท้าสกอลล์ใหม่ต้องระวัง ถ้าถอดวางไว้ไม่ระวังอาจหายได้

“สองคู่เลยเหรอ” ผมถาม

“ฮึ” ไอ้นัยสั่นหัว ว่าแล้วก็เปิดกล่องรองเท้าอีกกล่องดู ข้างในเป็นรองเท้าผ้าใบยี่ห้อนันยาง ใหม่เอี่ยม

“ทำไมไม่เป็นคอนเวิร์สวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ เพราะในยุคนั้นนอกจากรองเท้าแตะสกอลล์แล้ว ของเท่สำหรับวัยรุ่นอีกอย่างก็คือรองเท้าผ้าใบยี่ห้อคอนเวิร์ส

“ไม่รู้ดิ แพงไปมั้ง” ไอ้นัยพูดติดตลก ไม่ได้มีแววผิดหวังแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่มันได้นั้นเยอะมากอยู่แล้ว “ต่อไปกูจะได้ใส่เดินเหยียบส้นได้”

วัฒนธรรมในการใส่รองเท้าผ้าใบของวัยรุ่นในตอนนั้นคือการใส่รองเท้าโดยไม่เอาส้นรองเท้าใส่เข้าไปในรองเท้า แต่จะใช้ส้นเท้าเหยียบส่วนที่เป็นส้นรองเท้าเอาไว้ ทำให้ดูไปแล้วเหมือนใส่รองเท้าแตะมากกว่ารองเท้าผ้าใบ วัฒนธรรมใส่รองเท้าเหยียบส้นนี้มีมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แต่ที่โรงเรียนเก่าของผมส่วนใหญ่ใส่รองเท้าหนังกัน ส้นของรองเท้าหนังจะแข็ง เหยียบได้ยาก เจ็บเท้าอีกต่างหาก อีกทั้งยังเด็กด้วย เลยไม่ค่อยมีใครนิยมเหยียบส้นกัน แต่ที่โรงเรียนนี้ใส่รองเท้าผ้าใบกันมาก เรื่องเหยียบส้นก็เลยเป็นที่นิยมกัน

สำหรับผมนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟนชั่นวัยรุ่นเท่าใดนัก จะว่าขวางโลกตั้งแต่ยังเด็กก็คงไม่ผิด ผมไม่เคยอยากได้รองเท้าสกอลล์หรือคอนเวิร์สเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าจะพูดไป การมีรองเท้าผ้าใบสักคู่ก็ไม่เลว เพราะว่าตึกเรียนของผมเป็นพื้นไม้ ถ้าใส่รองเท้าหนังเดินเสียงจะค่อนข้างดัง ถ้าวิ่งละก็ยิ่งเสียงดัง รองเท้าผ้าใบจะเดินได้เงียบกว่า เมื่อเห็นรองเท้านั้นยางสีดำ ผมก็ชักอยากจะได้บ้าง

“โห คุณอาเลี้ยงมึงยังกับลูก ป๋ากูยังไม่เคยซื้ออะไรแบบนี้ให้เลย” ผมชมคุณอาของไอ้นัยจากใจจริง

ไอ้นัยอึ้งไป สีหน้าที่ดูร่าเริงเปลี่ยนเป็นหมองลง ผมรู้สึกแปลกใจในท่าทีของเพื่อนรักที่เปลี่ยนไป

“อ้าว เป็นไรไปล่ะ อยู่ดีๆก็ซึมไปเลย”

“...”

“นัย เป็นไรไป” ผมถามอีก

“เปล่า ไม่มีอะไร คิดถึงพ่อแม่นิดหน่อยอ่ะ” ไอ้นัยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“เออ กูก็คิดถึงชิบหายเลย อยู่มาสักพักแล้วยังไม่คุ้นเลย กลางคืนมึงก็โทรไปหาดิ ถูกหน่อย” ผมแนะนำไป เพราะช่วงนั้นผมก็เหงาๆ เซ็งๆ โทรไปคุยกับพ่อและแม่บ่อย จนโดนบ่นว่าเปลืองค่าโทรศัพท์

เมื่อเห็นไอ้นัยยังซึมอยู่ ผมจึงวางกล่องรองเท้ามือลง แล้วใช้วงแขนโอบมันเอาไว้

“คิดถึงบ้านก็ไม่เป็นไร กูเข้าใจ มึงยังมีกูนะ” ผมบอกมัน

“นั่นแหละ ที่มันแย่” ไอ้นัยพูดเบาๆ

“ยังตลกได้ แสดงว่ายังดีอยู่” ผมหัวเราะ แล้วกอดมันแน่นนิ่งขึ้น

กลิ่นกายของมันในระยะใกล้ชิด ทำให้ผมอดไม่ได้ ต้องโน้มหน้าเข้าไปที่ต้นคอของมัน จากวงแขนที่โอบไหล่ ผมขยับตัวไปนั่งด้านหลัง ใช้สองแขนโอบรอบเอวของมันแทน จมูกของผมซุกไซร้จากต้นคอ หลังหู เรื่อยมาจนถึงพวงแก้ม ไอ้นัยหลับตาพริ้ม

จมูกซุกไซร้อยู่ที่ใบหน้า มือของผมก็เปะปะไปที่เป้ากางเกงของไอ้นัย เพียงพริบตา จากเป้ากางเกงที่แบนราบ ก็กลายเป็นโป่งพอง เพราะมีของแข็งดันไว้อยู่ภายใน

“อาบน้ำก่อน ตัวเหนอะมาทั้งวัน” ไอ้นัยพูด

“งั้นอาบด้วยกันนะ” ผมบอก

ผมไม่พูดเปล่า มือของผมละจากเป้ากางเกงของไอ้นัย เปลี่ยนเป็นปลดกระดุมเสื้อของมัน เมื่อปลดกระดุมทุกเม็ดแล้ว ผมก็เริ่มปลดหัวเข็มขัดของมัน จากนั้นปลดตะขอกางเกง ตลอดวลา ไอ้นัยนั่งเฉย ปล่อยให้ผมจัดการแต่โดยดี …


<กลิ่นกายของมันในระยะใกล้ชิด ทำให้ผมอดไม่ได้ ต้องโน้มหน้าเข้าไปที่ต้นคอของมัน จากวงแขนที่โอบไหล่ ผมขยับตัวไปนั่งด้านหลัง ใช้สองแขนโอบรอบเอวของมันแทน จมูกของผมซุกไซร้จากต้นคอ หลังหู เรื่อยมาจนถึงพวงแก้ม ไอ้นัยหลับตาพริ้ม>

Saturday, October 11, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 27

หลังจากนั้นเราก็ไปยังซุ้มต่อไป แต่ละซุ้มก็มีการรับน้องและการลงโทษที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น บางซุ้มก็ให้เดินบนสะพานที่สร้างขึ้นจากไม้กระดานแผ่นเดียว ยาวๆ แคบๆ ซึ่งตัวสะพานสูงประมาณเอว ถ้าใครเดินแล้วหล่นลงมาก็จะโดนทำโทษ การทำโทษก็อย่างเช่นเอาตะปูมาเผาไฟจนแดงแล้วนาบไปที่น่อง แต่ตอนนาบนี่รุ่นพี่จะเอาผ้าพลาสติกบังเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็น ตัวคนที่ถูกลงโทษเองก็ไม่เห็น จะรู้สึกแต่เพียงว่ามันร้อนวูบที่น่อง แล้วก็ร้องจ๊ากออกมา แต่ที่จริงไม่มีอะไร มารู้เอาทีหลังว่าตอนนาบนี่พี่เปลี่ยนจากตะปูมาเป็นก้อนน้ำแข็งนาบที่น่องแทน

นอกจากนี้ก็มีลงโทษให้กินอึ โดยเอาของเหลวข้นๆคล้ายอึของคนท้องเสีย เอามาให้กิน อึนี้ทำได้เหมือนของจริงมาก ทั้งมีฟองฟ่อดเล็กน้อย เหมือนอึเป็นมูก แถมมีกลิ่นจางๆด้วย ตอนแรกก็แน่ใจว่าเป็นอึปลอม แต่ตอนกินเข้าไปนี่ชักไม่แน่ใจแล้ว เพราะว่ามันมีกลิ่นตุ่ยๆโชยจางๆด้วย ชวนให้คิดไปได้เหมือนกันว่ามีส่วนผสมของอึจริงๆ แหวะ ตอนกินนี่ขยะแขยงอยู่เหมือนกัน แต่ต่อมาก็มารู้ทีหลังว่าอึนั้นทำจากแป้งเปียก ใส่สี แล้วก็มีส่วนผสมของทุเรียนกวน เลยส่งกลิ่นจางๆ

การรับน้องแต่ละซุ้ม แม้รุ่นพี่จะแกล้งรุ่นน้อง แต่ก็แกล้งแบบพอสนุก เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความอบอุ่น และความประทับใจ ไม่มีความรุนแรงหรือการแกล้งแบบพิสดารที่ต้องเจ็บตัว ความรู้สึกรักโรงเรียนและรักพวกพ้องส่วนหนึ่งก็ถูกปลูกฝังมาจากการรับน้องนี่เอง

กว่ากิจกรรมรับน้องจะเสร็จสิ้นทุกซุ้ม ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว ใบหน้าและเสื้อผ้าของแต่ละคนเลอะเทอะไปหมด ก๊อกน้ำทุกแห่งมีแต่นักเรียนชั้น ม.๑ ที่มารอล้างหน้า ล้างตัว แต่ลิปสติกนี่ล้างยังไงก็ไม่หมด

ไอ้นัยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้ายังคงลายพร้อยไปด้วยลิปสติก คล้ายชนเผ่าอินเดียนแดงในหนังทีวี ลิปสติก ที่จริงใบหน้าของทุกคนก็มีรอยลิปสติก ของผมก็มี แต่พี่ๆคงจะชอบใจใบหน้าของไอ้นัยเป็นพิเศษ คงเห็นว่าน่ารักดี เลยเขียนให้เยอะเป็นพิเศษ

“จะกลับบ้านยังไงวะเนี่ย อายเค้าตายห่า” ไอ้นัยบ่น ขณะที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ

“จะไปอายอะไรกัน ก็หน้าลายกันทุกคน” ผมบอก

“ก็ไม่มีใครลายพร้อยขนาดกูนี่ หมดหล่อเลย” ไอ้นัยพูด จนผมอดหัวเราะไม่ได้ ไอ้นัยดูรักสวยรักงามมากขึ้นกว่าตอนเด็ก

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก เพราะมึงไม่หล่ออยู่แล้ว” ผมขัดคอมัน

เรารอโหนกกันสักครู่ ไม่เห็นมันออกมาจากห้องน้ำเสียที ผมอยากรีบไปบ้านไอ้นัย เพราะอยากรู้ว่ามันมีของอะไรจะอวด เมื่อรอนานพอสมควรแล้ว ผมจึงชวนไอ้นัยให้กลับกันก่อน เพราะถึงอย่างไรโหนกก็กลับบ้านคนละทางกับเรา ถึงรอไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ไอ้นัยกับผมเดินออกมาจากห้องน้ำได้ไม่นาน โหนกก็วิ่งตามมา

“แหม ไม่รอกันเลย” โหนกบ่น

“ก็มึงไม่ออกจากห้องน้ำเสียทีนี่หว่า แล้วบ้านก็คนละทางกัน กูก็กลับก่อนดิ” ผมตอบ

“จะกลับบ้านกันแล้วเหรอ” โหนกถาม “ยังไม่บ่ายเลย จะชวนมึงไปเดินดูร้านหนังสือในวังบูรพา ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

ตามที่ผมรู้มา ใจกลางเมืองหรือที่เรียกว่าดาวน์ทาวน์ของกรุงเทพฯ ในยุคหนึ่งเคยอยู่ที่วังบูรพา ตั้งแต่ยุค ๒๔๘๐ เป็นต้นมา กินเวลาหลายสิบปี หลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคเสื่อม ความรุ่งเรืองย้ายไปที่ประตูน้ำ จากนั้นก็ไปที่สยามสแควร์ในเวลาต่อมา ในสมัยก่อน ย่านวังบูรพามีโรงหนังถึง ๔ แห่ง ยังไม่นับรวมที่มีอยู่รอบๆวังบูรพาอีกหลายแห่ง แต่ตอนที่ผมเรียนมัธยม โรงหนังเหล่านี้ถูกรื้อไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ศาลาเฉลิมกรุง แต่ก็ปิดเอาไว้ ไม่ได้ฉายหนังอะไร อนุสรณ์แห่งความรุ่งเรืองในอดีตที่ยังพอหลงเหลือมาจนถึงในรุ่นที่ผมเรียนมัธยม นั่นก็คือร้านหนังสือ ในวังบูรพานั้นมีร้านหนังสืออยู่สิบกว่าร้าน แม้ส่วนใหญ่เป็นร้านหนังสือรุ่นเก่า แต่ก็ยังถือว่าเป็นแหล่งที่น่าเดินของคนรักหนังสือ แต่ปัจจุบันร้านเหล่านี้ไม่ค่อยมีวัยรุ่นเข้ากันแล้ว คงมีแต่ผู้ใหญ่มากๆเท่านั้น

ผมเองรู้สึกสะกิดใจกับคำชวนของโหนกนิดหน่อย ตรงที่โหนกบอกว่า ‘จะชวนมึง’ โดยไม่ได้บอกว่า ‘จะชวนพวกมึง’ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

“ไม่เอาอ่ะ วันนี้จะรีบกลับ” ผมตอบไปตรงๆ คงจะตรงไปหน่อย จนโหนกหน้าเสีย

“ไปด้วยกันหน่อยน่า” โหนกไม่ละความพยายาม “วันนี้วันหยุด จะรีบไปไหนกันล่ะ”

“ไม่ล่ะ จะรีบไปบ้านไอ้นัย” ผมปฏิเสธอีก

“ทำไมพอนัยชวนแล้วมึงไป แล้วทำไมกูชวนมึงไม่ไปวะ” โหนกทำเสียงไม่พอใจ

ผมเองเริ่มรู้สึกรำคาญที่โหนกพยายามรุกเร้าเซ้าซี้ อีกทั้งทำเสียงไม่พอใจใส่

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย บอกไม่ไปก็ไม่ไปดิ” ผมสรุปเอาดื้อๆ ที่จริงผมเองก็พูดไม่ค่อยดีเหมือนกัน ถ้าบอกว่าเพราะไอ้นัยมันชวนไว้ก่อนแล้ว เรื่องร้านหนังสือวันหลังค่อยไปดูกัน ก็จะน่าฟังกว่านี้

“เออ จำไว้เลย” โหนกพูด

“อะไรวะ ผู้ชายงอน” ผมรู้สึกงงกับอาการงอนของโหนก แต่ตอนนั้นจะรีบไปบ้านไอ้นัย เพราะว่าต้องกลับบ้านให้ทันหกโมงเย็น เลยไม่ค่อยสนใจกับอาการงอนของโหนกเท่าไรนัก

- - -

กว่าที่ผมจะไปถึงบ้านไอ้นัยก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่า เกือบสามโมงเข้าไปแล้ว การจราจรในวันเสาร์แน่นขนัดไม่แพ้วันธรรมดาเลย ตลอดทางผมพยายามเซ้าซี้ถามไอ้นัย ว่ามีของอะไรจะอวด แต่ไอ้นัยก็เอาแต่ยิ้ม ไม่ยอมบอก

บ่ายวันนั้น คุณอาทั้งสองคนไม่อยู่ที่บ้าน ไอ้นัยบอกว่าลูกค้ามักชอบนัดคุณอาในวันหยุด ดังนั้นบางช่วงที่งานชุก ไอ้นัยเองก็จะได้เจอหน้าคุณอาเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น

“มึงแกล้งให้กูอยากรู้มาทั้งวัน คงสะใจแล้วสิ” ผมพูด

ไอ้นัยยิ้มแฉ่ง คงรู้สึกสนุกที่แกล้งผมได้สำเร็จ เมื่อผมเห็นไอ้นัยยิ้ม ผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

“เมื่อวาน คุณอากลับบ้านมา ซื้อของมาให้กูตั้งหลายอย่างเลย” ไอ้นัยพูดแบบอวด ปกติไอ้นัยชอบตีหน้าตาย เก็บความรู้สึกได้มิดชิด น้อยครั้งนักที่มันแสดงอาการอยากอวดเพื่อนๆ ของที่มันได้จากคุณอาต้องพิเศษมากแน่ๆ

ไอ้นัยพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบน เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป ก็เห็นของที่มันต้องการจะอวดตั้งอยู่บนเตียง...


<การรับน้องแต่ละซุ้ม แม้รุ่นพี่จะแกล้งรุ่นน้อง แต่ก็แกล้งแบบพอสนุก เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความอบอุ่น และความประทับใจ ไม่มีความรุนแรงหรือการแกล้งแบบพิสดารที่ต้องเจ็บตัว ความรู้สึกรักโรงเรียนและรักพวกพ้องส่วนหนึ่งก็ถูกปลูกฝังมาจากการรับน้องนี่เอง>

Monday, October 6, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 26

สนามผืนใหญ่ใจกลางโรงเรียนที่มีหญ้าบ้าง ไม่มีหญ้าบ้าง ในวันรับน้อง เต็มไปด้วยนักเรียนในชุดเสื้อยืดและกางเกงนักเรียน นอกจากนักเรียนชั้น ม.๑ แล้ว ยังมีนักเรียนรุ่นพี่อีกเป็นจำนวนมาก แถมยังมีการก่อสร้างเป็นซุ้มรับน้องขนาดใหญ่จำนวนห้าซุ้ม แต่ละซุ้มจะมีลักษณะภายนอกที่ดูคล้ายกัน นั่นคือ รอบๆซุ้มจะเป็นรั้วที่ทำขึ้นแบบลำลอง เอาท่อนไม้มาตั้งเป็นเสา แล้วเอาเชือกขึง จากนั้นเอาหนังสือพิมพ์มาบุบ้าง ใช้ใบตองบ้าง ตามแต่จะตกแต่ง รวมความแล้วก็คือ คนที่อยู่ข้างนอกจะมองไม่เห็นสภาพภายในซุ้ม

แต่ละซุ้มจะเรียกว่าฐาน นักเรียนรุ่นพี่ตั้งแต่ชั้น ม.๒ ถึง ม.๖ จะดูแลระดับชั้นละหนึ่งฐาน กิจกรรมรับน้องในแต่ละฐานเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับความอุตริพิเรนทร์ของรุ่นพี่แต่ละชั้นปี ว่าจะคิดเกมอะไรที่พิสดารมารับน้อง[hk’

นักเรียนชั้น ม.๑ ที่เข้ามาในโรงเรียนจะถูกเรียกให้มารวมกัน ณ จุดรวมพล วันนี้ไม่มีการแยกห้อง เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละคนรู้จักเพื่อนต่างห้องบ้าง สำหรับผมนั้นยืนอยู่กับไอ้นัย รอบๆข้างเป็นเพื่อนจากห้องต่างๆคละเคล้ากันไป

“อู อยู่นี่เอง” มีเสียงอันคุ้นเคยเรียกชื่อผม ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร โหนกนั่นเอง

“พวกห้องเราไปไหนกันหมดล่ะ” ผมถาม

“ก็แยกๆกันนั่นแหละ” โหนกตอบ ว่าแล้วโหนกก็เข้ามาเกาะกลุ่มกับผม

ยืนรออยู่ครู่ใหญ่ๆ พวกรุ่นพี่ที่เป็นสต๊าฟจัดงานรับน้องก็มาสั่งให้พวกเราตั้งแถว พวกน้อง ม.๑ ยืนเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่ค่อยเรียบร้อย เพราะว่ามัวแต่คุยกันสนุก ไม่สนใจฟังพี่ จนรุ่นพี่ต้องว้าก

เมื่อตั้งแถวเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ใหญ่ก็ออกมาให้โอวาท หลังจากนั้นประธานนักเรียนก็ออกมากล่าวต้อนรับน้องใหม่ และชี้แจงเรื่องขั้นตอนการรับน้อง

หลังจากชี้แจงเสร็จ พวกเราชั้น ม.๑ ก็ถูกแบ่งออกเป็น ๕ กลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มจะถูกส่งไปเข้าซุ้มหรือว่าเข้าฐานต่างๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่ไม่ว่าใครจะเข้าฐานไหนก่อน ท้ายที่สุดพวกเราก็จะต้องถูกรุ่นพี่แกล้งจนครบทุกฐาน

และแล้ว ความอลเวงก็เริ่มขึ้น เสียงฉิ่งเสียงกลองดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด

เกมการรับน้องส่วนใหญ่เป็นเกมที่แกล้งน้อง ทำให้ตกใจบ้าง เสียวไส้บ้าง แล้วจะแต่คิดสรรหากันขึ้นมา อย่างฐานแรกที่ผมต้องเข้าไปนั้น เป็นฐานของพี่ ม.๖ พวกนี้คงชำนาญในการรับน้อง เพราะลูกเล่นเยอะมาก

เมื่อผม ไอ้นัย และโหนก และเพื่อนคนอื่นๆเดินเข้าไปในฐาน ค่อยเห็นสภาพภายใน โดยภายในฐานหรือว่าภายในซุ้มนี้ จัดสร้างกระโจมเตี้ยๆ กระโจมที่ว่านี้สร้างจากพวกแฝกมุงหลังคา ทางมะพร้าว หนังสือพิมพ์และอื่นๆ เอามาทำเป็นทรงกระโจม ความยาวสิบกว่าเมตรเห็นจะได้

“เอาล่ะ” รุ่นพี่ผู้ดูแลกระโจมประกาศด้วยเสียงตะโกน “เข้าไปทีละ ๕ คน ให้เวลา ๑๐ วินาที ต้องคลานไปออกปลายด้านโน้นให้ได้ คนสุดท้ายของกลุ่มหากไม่ออกมาภายใน ๑๐ วินาทีจะโดนทำโทษทั้งกลุ่ม ใครทำกระโจมพัง โดนหนักเป็นสองเท่า ... เข้าใจ๋”

พวกชั้น ม.๑ ทยอยกันคลานลอดกระโจมทีละ ๕ คน การคลานไม่ใช่คลานได้ง่ายๆ เพราะกระโจมทั้งเตี้ยและแคบ แถมยังบอบบาง ต้องคลานทั้งเร็ว และทั้งระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระโจมพังลงมา

ที่ร้ายที่สุด พื้นกระโจมยาวนั้นไม่ใช่พื้นดินสนามตามปกติ แต่รุ่นพี่เอาดินเหนียวแฉะๆมาปูไว้ ดังนั้นเมื่อพวกเราคลานเข้าไป ทั้งแขน ขา มือ และเท้าจึงเลอะโคลนไปหมด

“โห ฐานแรกก็เละเลย” ไอ้คนที่อยู่ข้างหน้าผมเปรยเบาๆ กลุ่มของผมไม่ใช่ชุดแรกที่ต้องมุดกระโจม ดังนั้นเราจึงมีเวลาศึกษาจากชุดที่เข้าไปก่อนหน้า

ความสนุกสนานของฐานนี้อยู่ตรงที่เวลาคนเข้าไปในกระโจมแล้วจะต้องรีบทำเวลาในการคลานเพื่อให้ทัน ๑๐ วินาที บางคนตัวใหญ่หน่อยก็ไปติดอยู่กลางกระโจม ทำให้เพื่อนคนอื่นๆไปต่อไม่ได้ พวกที่อยู่ในกระโจมก็เร่งกันเอง ด่ากันเอง เป็นที่สนุกสนาน

เมื่อถึงคราวของชุดเรา สองคนแรกของชุดเป็นเพื่อห้องอื่น โหนกนำหน้าผม ส่วนไอ้นัยรั้งท้าย

โชคดีที่โหนกตังไม่ใหญ่ ดังนั้นจึงคลานได้ไม่ยากนัก แต่คนข้างหน้าโหนกนี่สิ ตัวใหญ่หน่อย คลานไปแล้วก็ติดอยู่ที่ท่อนกลางของกระโจมซึ่งแคบเล็ก

โหนกหยุดกะทันหัน ส่วนผมหยุดไม่ทัน หัวของผมจึงกระแทกก้นของโหนกเข้าไปเต็มแรง

“พลั่ก” ...

“ว้าย” เสียงโหนกร้อง

หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกว่าหัวของไอ้นัยกระแทกเข้าที่ก้นของผมเช่นกัน เราทั้งหมดจึงอัดกันอยู่ในกระโจม และดิ้นขลุกขลักครู่หนึ่ง จากนั้นเราก็รีบคลานออกไปให้เร็วที่สุด

“หมดเวลา” เสียงรุ่นพี่ที่ปากทางออกตะโกน เมื่อโหนกโผล่ออกจากกระโจมไปได้ครึ่งตัว “ทีมนี้ไม่ผ่าน ออกมาได้แค่สองคนครึ่ง เอาไปทำโทษ”

การทำโทษของฐานนี้ไม่โหดร้ายอะไรมากนัก เพียงแค่ถูกเขียนหน้าจนเละเท่านั้นเอง พวกพี่ๆเอาอุปกรณ์แต่งหน้า ทาปาก ปัดพวงแก้ม พวกเราจนคล้ายตัวตลก ไอ้นัยได้รับแจกวิกมาด้วยหนึ่งอัน ทำจากเชือกกล้วย รุ่นพี่บังคับให้ใส่ให้ตลอดทุกฐาน ห้ามถอด

ไอ้นัยเมื่อใส่วิกที่ทำจากเชือกกล้วย ทำให้ดูคล้ายคนป่าผมยาว ประกอบกับลิปสติกที่เลอะเทอะเต็มใบหน้า ผมว่าหน้าของมันทั้งตลก ทั้งหวาน น่ารัก ในสายตาของผม

หลังจากที่ถูกพี่รับน้องจนพอแก่ใจ พวกเราก็ถูกปล่อยออกมาจากฐาน เพื่อไปเข้าฐานอื่นต่อไป สภาพที่พวกเราออกมาจากนั้น ม.๖ นั้น ทั้งตัวเลอะไปด้วยดินโคลน ส่วนใบหน้าก็เลอะไปด้วยลิปสติกหลากสี


<การรับน้อง ม.๑ กิจกรรมที่สร้างความประทับใจอย่างไม่มีวันลืม>

Wednesday, October 1, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 25

เมื่อเข้ามาเรียนได้หลายสัปดาห์ ความสนิทสนมคุ้นเคยระหว่างนักเรียนในห้องก็เพิ่มมากขึ้น นักเรียนในชั้นมีการแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามแต่ว่าใครถูกอัธยาศัยกับใครบางทีก็จับกลุ่มกันและสนิทสนมกันเพราะว่าที่นั่งในห้องอยู่ใกล้กัน

เล็ก นักเรียนหน้าตาตลก ที่นั่งอยู่หน้าดิษฐ์ ติดหัวหน้าชั้นแจ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ดิษฐ์นั้นแม้หุ่นจะเหมือนนักกีฬา แต่ไม่เห็นโปรดปรานกีฬาเท่าใดนัก เห็นชอบร้องเพลงมากกว่า

วีกิจ ไม่มีกลุ่มอะไรกับใคร เข้ากันได้กับทุกคน แม้จะนั่งติดกับผม แต่ก็ไม่ค่อยได้กินข้าวหรือทำอะไรด้วยกัน เพราะเมื่อมีเวลาว่างมันก็จะไปขลุกที่ห้องดนตรีไทย

ส่วนผมเองนั้น ค่อนข้างสนิทกับใหญ่ แล้วก็โหนก แล้วก็เพื่อนอีกหลายคนที่นั่งใกล้กัน ซึ่งคุยกันถูกคอ หลายสัปดาห์ที่ผมรู้จักโหนก ผมเริ่มรู้สึกว่าโหนกเป็นคนที่แปลกๆ แต่จะแปลกอย่างไรยังเห็นไม่ค่อยชัด อีกอย่าง ดูโหนกจะสนิทสนมกับพงษ์อยู่เหมือนกัน

อ้วน จับกลุ่มเข้ากับเพื่อนที่กวนๆ พวกขาแซว เป็นกลุ่มประมาณ ๔-๕ คน ตั้งหน้าตั้งตาแซวทุกคน และก่อความไม่สงบทุกครั้ง เท่าที่มีโอกาส แม้แต่อาจารย์ที่เข้ามาสอน ก็ไม่วายที่จะโดนกลุ่มไอ้อ้วนแซว ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นตัวจี๊ด

คนที่กลุ่มไอ้อ้วนชอบแกล้งมากที่สุด เห็นจะเป็นพงษ์เจ้าของฉายาพงษ์ปากกว้าง หรืออีพงษ์ปากกว้าง เพราะว่าพงษ์นั้นชอบทำกิริยาดัดจริต ทำให้กลุ่มไอ้อ้วนหมั่นไส้ การแกล้งก็มีตั้งแต่แซว ด่า หรือแม้แต่แกล้งเข้าไปกอดปล้ำ เรียกเสียงเฮฮาให้แก่เพื่อนในห้องได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะโดนหยามเพียงใด พงษ์ก็ยังทำตัววี้ดว้าย ใส่จริตแบบกึ่งหญิงกึ่งชายโดยไม่เปลี่ยนแปลง

“มึงนี่มันเสียชาติเกิดจริงๆ มีควยแต่เสือกอยากแดกควยด้วยกัน” ไอ้อ้วนด่าอย่างคะนองปาก

“มึงเคยเห็นกูอยากแดกควยใครเหรอ” ไอ้พงษ์เถียง ไม่ยอมปล่อยให้ถูกหยามหยันได้ง่ายๆ

“มึงเป็นตุ๊ด ไม่ชอบกินควย แล้วจะให้ชอบกินอะไร อ้อ ชอบกินถั่วดำละสิ” ไอ้อ้วนด่าอีก ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนจะไม่ใช่การเย้าแหย่ แต่มันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม

ผมนิ่งฟัง หัวเราะไม่ออก ใจหนึ่งรู้สึกเห็นใจที่พงษ์ถูกตั้งข้อรังเกียจและถูกหยามหยันจากเพื่อนๆ อีกใจหนึ่งก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง คำว่าตุ๊ดเริ่มก่อคำถามในจิตใจของผม แต่ก็เป็นความรู้สึกเล็กๆที่ผ่านวูบเข้ามาแล้วก็ผ่านเลยไป…

- - -

การเข้าเป็นนักเรียนของที่นี่จะถือว่าเป็นนักเรียนโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ผ่านพิธีกรรมรับน้องเสียก่อน จริงอยู่ ในทางระเบียบข้อบังคับ พวกเราถือว่าเป็นนักเรียนของที่นี่โดยสมบูรณ์แล้วก็ตาม แต่ในทางประเพณี เรายังต้องผ่านการรับน้องเสียก่อน

เรื่องการรับน้องแม้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม ที่โรงเรียนเก่าก็มีปฏิบัติกัน อย่างเช่น การรับน้องหอ แต่เท่าที่เคยผ่านมา มักเป็นการรับน้องแบบเล็กๆ จัดกันเองในหมู่รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น

แต่สำหรับที่นี่ การรับน้องถือเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียว โดยสภานักเรียนของโรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการ ร่วมกับทางโรงเรียน นักเรียนชั้น ม.๑ ทุกคนจะถูกขอร้องแกมบังคับ ว่าให้มาร่วมพิธีกันทุกคน โดยพิธีรับน้องนี้จะจัดกันในวันเสาร์ภายในเดือนมิถุนายน ที่ว่าของร้องแกมบังคับนั้น เพราะว่าไม่ใช่กิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น แต่เป็นกิจกรรมตามประเพณีที่รุ่นพี่จัดให้รุ่นน้อง ดังนั้นจึงไม่มีสภาพบังคับ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนก็อยากมาร่วม เพราะไม่มีใครหรอกที่อยากได้ชื่อว่าไม่ใช่นักเรียนโดยสมบูรณ์ เพราะไม่ได้ผ่านพิธีรับน้อง

ดิษฐ์ หัวหน้าชั้นรูปหล่อ หุ่นนักกีฬา ได้แจ้งให้พวกเราทุกคนรู้ว่า การรับน้องจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ที่จริงก็รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดิษฐ์มาย้ำอีกที พร้อมทั้งยังย้ำด้วยว่าให้นำเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเก่าๆมาเปลี่ยนตอนรับน้องด้วย เพราะว่าเสื้อผ้าจะเลอะสุดๆ

พวกเราทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย เพื่อที่จะได้ร่วมพิธีกรรมสำคัญนี้ และอยากรู้ว่าจะโดนอะไรตอนรับน้องบ้าง

- - -

เช้าวันเสาร์นั้น ผมออกมาขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอยเคย ตามปกติวันเสาร์เป็นวันทำงานบ้านของผม แต่เนื่องจากวันนี้มีกิจกรรมพิเศษ ผมจึงต้องเลื่อนงานบ้านไป งานบ้านอะไรที่เอ๊ดทำได้ก็ทำไปก่อน ส่วนที่เหลือผมจะมาทำต่อให้ในวันอาทิตย์

ปกติผมมักจะเห็นไอ้นัยมายืนรอผมเสมอ แต่วันนี้ผมต้องรออยู่สักครู่ ไอ้นัยจึงโผล่มา มันใส่เสื้อยืด กางเกงนักเรียน พร้อมทั้งสะพายเป้มาใบหนึ่ง ไอ้นัยมีสีหน้าแจ่มใสเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดเดินผิวปากมาเลยทีเดียว

“สงสัยวันนี้ฝนตกหนักแน่เลย” ผมพูดกับมัน

“ทำไมเหรอ ฟ้าออกสว่าง” ไอ้นัยพาซื่อ แหงนมองท้องฟ้า

“ก็มึงมาช้ากว่ากู แล้วแถมยังเดินผิวปาก ถูกหวยมาหรือไง” ผมถามมัน ใช้สำนวนที่จำมาจากตลาดสดสะพานสอง

“ป่าว ไม่ได้ซื้อหวยสักหน่อย” ไอ้นัยยังซื่อไม่เสร็จ

“โธ่เอ๊ย ยิ่งโตยิ่งเซ่อนะมึง หมายความว่าทำไมมึงถึงอารมณ์ดีขนาดนี้” ผมตบหัวมันไปหนึ่งที เบาๆ

ไอ้นัยทำปากหมุบหมิบ คงด่าผมในใจเช่นเคย

“เรื่องอะไรจะบอกมึง ฮุฮุ” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงสะใจที่ได้แกล้งผมบ้าง

“นี่เดี๋ยวนี้มึงแกล้งคนเป็นแล้วเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ขอแกล้งมึงสักวัน ได้ป่าว” แน่ะ อยากจะแกล้งยังต้องขออนุญาตอีก ไอ้นัยมันดีขนาดนี้ ใครจะไปขัดใจมันลง

“จะแกล้งกูก็ได้ แต่ต้องบอกก่อนว่ามึงดีใจเรื่องอะไร” ผมพูด แล้วก็อดหัวเราะขำไอ้นัยไม่ได้

“ยังงั้น วันนี้รับน้องเสร็จตอนบ่าย ไปที่บ้านกู มีอะไรให้มึงดู ตอนนี้ยังไม่บอก จะแกล้งให้มึงอยากรู้สักวัน” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วก็ยิ้มแฉ่ง คงดีใจที่ได้แกล้งผม


<ห้องน้ำหลังโรงยิม สภาพค่อนข้างเก่าเพราะใช้มานานแล้ว ด้านหนึ่งแบ่งเป็นซองสำหรับปัสสาวะ อีกด้านหนึ่งเป็นห้องส้วม ฝาผนังกั้นสูงพอประมาณ ไม่ได้จรดถึงหลังคา ดังนั้นจึงสามารถปีนดูห้องข้างเคียงได้>