Monday, October 27, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 31

ผมรู้สึกว่าไอ้นัยเดินชะลอลง เพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่าไอ้นัยกำลังย่อตัว แอบเอาส้นเท้าใส่เข้าไปในรองเท้าอยู่ จากนั้นมันก็ตีหน้าตายเร่งฝีเท้ามาจนทันผมกับตี๋

ตี๋เล่าเรื่องของมันขณะที่เราเดินไปด้วยกัน มันเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน พ่อแม่มันเปิดร้านขายของชำในจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ฐานะที่บ้านไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เนื่องจากพ่อแม่ของมันไม่ได้เรียนหนังสือ ดังนั้นจึงอยากให้มันได้เรียนสูงที่สุดและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่จนอย่างพ่อแม่ ดังนั้นจึงส่งมันมาอยู่กับญาติในกรุงเทพฯเพื่อให้เรียนหนังสือ

ญาติของตี๋ในกรุงเทพฯก็ใช่ว่าจะมีฐานะดี เปิดแผงขายของชำในตลาดสด ดังนั้นในชั้นประถมตี๋จึงเรียนได้แค่โรงเรียน กทม. หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือโรงเรียนวัดนั่นเอง แต่แม้จะเป็นโรงเรียนวัด ถึงอย่างไรพ่อแม่ของตี๋ก็เชื่อว่าต้องดีกว่าโรงเรียนในต่างจังหวัด ซึ่งความคิดนี้อาจไม่เป็นจริงเสมอไป เพราะว่าแม้ในสมัยนั้นเองก็ตาม โรงเรียนในตัวจังหวัดที่มีมาตรฐานการเรียนการสอนดีๆก็มีอยู่ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนในระดับอำเภอบางแห่งละก็ อาจมีส่วนเป็นแบบที่พ่อแม่ของตี๋คิดได้เหมือนกัน

เมื่อตี๋มาเรียนที่กรุงเทพฯ ทางบ้านก็ต้องพยายามส่งเงินมาเพื่อส่งเสีย แม้การเรียนในการศึกษาภาคบังคับจะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง ยิ่งมาอยู่ในกรุงเทพฯ ค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ก็ยังจำเป็น ดังนั้นตี๋จึงต้องประหยัดทุกอย่าง และยังต้องช่วยญาติของมันขายของในตลาดสดเมื่อมีเวลาอีกด้วย

ไอ้นัยที่เดินมาด้วยกันก็พลอยได้ฟังเรื่องราวของตี๋ไปด้วย แม้สองคนนี้จะเคยเห็นหน้ากัน เพราะไอ้นัยมักมายืนคอยผมที่หน้าห้องเสมอ แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยพูดคุยกัน

“ทำไมมึงเล่าให้กูฟังวะ” ผมถามตี๋ รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติเรื่องแบบนี้มักจะอายเพื่อนฝูงกัน

“กูไว้ใจมึง กูรู้ว่ามึงเป็นคนดี” ตี๋พูด ทำเอาผมถึงกับเขิน เพราะมันเป็นการชมกันซึ่งหน้า แถมชมต่อหน้าไอ้นัยเสียด้วย

“แล้วทำไมมึงคิดยังงั้นล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ก็มึงไม่เคยล้อเลียนมือพิการของกู” ตี๋ตอบสั้นๆ แต่เป็นคำพูดที่ยังก้องอยู่ในหูของผมจนทุกวันนี้ เสมือนมันเพิ่งพูดกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง มันเป็นเรื่องที่ผมต้องจดจำไปชั่วชีวิต เพราะผมซื้อใจเพื่อนคนหนึ่งได้ โดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้แก่มันเลย ... เพียงแค่เห็นมันเป็นเพื่อนอย่างที่มันควรจะเป็น... เท่านั้นเอง

ในนาทีนั้นเอง ผมเริ่มมองตี๋แตกต่างจากที่เคย ผมเคยเห็นแต่ด้านที่กวนประสาท ชอบแกล้งคน แต่นั่นเป็นเพียงเกราะที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นภายในของมันเท่านั้น ตัวตนภายในของตี๋กลับเป็นคนที่อ่อนโยนและช่างคิดช่างสังเกต

อันที่จริง ผมไม่ถึงกับไม่เคยล้อเลียนมือลีบของมัน ใหม่ๆก็เคยโมโหจนหลุดปากว่ามันไปเหมือนกัน แต่แล้วต่อมาก็ไม่เคยเรียกมันว่าไอ้ลีบอีก

เราเดินคุยกันมาจนถึงหน้าประตูโรงเรียน หลังจากสวัสดีอาจารย์ที่ยืนต้อนรับพวกเราที่หน้าประตูแล้ว ไอ้นัยตีหน้าตายเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยที่มันใส่รองเท้าหุ้มส้นอยู่ ผมหันไปยิ้มให้มันก่อนที่เราจะแยกกัน ผมรู้ว่ามันไม่ใส่รองเท้าเหยียบส้นเข้าโรงเรียนเพราะอะไร

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตี๋ไม่ค่อยแหย่ผมมากนัก และมักเดินมาคุยกับผมที่โต๊ะ แต่ก็ยังแหย่คนอื่นตามปกติ

- - -

ชั่วโมงพลศึกษาในสัปดาห์นั้นเป็นครั้งที่วุ่นวายอลเวงที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะเมื่อถึงช่วงเปลี่ยนคาบซึ่งเป็นเวลาที่เราต้องปิดประตูห้อง และเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดพละ ไอ้อ้วนก็เกิดทะเลาะกับพงษ์ขึ้นมา

“โอ๊ย แม่งจะแร่ดไปถึงไหนวะ กูละรำคาญแม่งฉิบหาย” อ้วนโวยวายลั่นห้อง

“แล้วมึงมาเสือกอะไรด้วยล่ะ อีอ้วน อีคางคกท้องแตก” พงษ์ด่าอย่างฉาดฉาน ชัดถ้อยชัดคำ ทีตอนตอบคำถามอาจารย์ในห้องเรียน ไม่เห็นฉาดฉานได้ขนาดนี้

หลังจากด่ากันไปด่ากันมา อ้วนก็โมโหจนถึงกับลงไม้ลงมือ

“อีตุ๊ด เสียชาติเกิด กูต้องขอดูหน่อยแล้วว่ามึงยังมีควยอยู่หรือเปล่า อีกระเทย” อ้วนด่า พลางบอกเพื่อนๆร่วมแก๊งของมัน “จับมันแก้ผ้าเลย”

เพื่อนๆแก๊งไอ้อ้วนเมื่อได้ยินก็ลงมือทันที มันช่วยกันจับแขนขาของพงษ์เอาไว้จนแน่น จากนั้นอ้วนเป็นคนลงมือถอดกางเกง พงษ์ด่าลั่นห้อง แต่ก็ดิ้นรนขัดขืนไม่ได้ เพราะว่าพวกนั้นแรงมากกว่า เพื่อนๆในห้องก็เฮกันเพราะเห็นว่าเป็นการหยอกเย้ากัน

ในที่สุด พงษ์ก็ถูกจับถอดกางเกงและกางเกงใน อวดท่อนเนื้อของมันแก่เพื่อนๆในห้องอย่างไม่เต็มใจ ท่อนเนื้อของมันขนาดกำลังดี นอนสงบนิ่งอยู่ในพงษ์หญ้าสีดำ ขณะที่มันดิ้น ทั้งท่อนและถุงของมันก็แกว่งไกวไปมา

“อ้าว มีควยมีหมอยเหมือนพวกเรานี่หว่า แล้วเสือกเป็นกระเทยเป็นตุ๊ด” อ้วนด่าอย่างมันในอารมณ์ ความชิงชังรังเกียจแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดแจ้ง ผมฟังแล้วรู้สึกสะอึก

“มีควยมีหมอย ยังงั้นต้องมีน้ำว่าวด้วย จับมันชักว่าวเลย” ไอ้อ้วนไม่หยุดอยู่แค่นั้น เอื้อมมือไปที่ท่อนลำของพงษ์ เตรียมจะรูดเอาน้ำว่าวออกมา

พงษ์ด่าจนเลิกด่า ดิ้นจนเลิกดิ้น แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา

ขณะที่อ้วนกำลังจะลงมือชักว่าวให้พงษ์นั้นเอง มือข้างหนึ่งก็เข้ามาจับข้อมือของอ้วนเอาไว้

“เฮ้ย พอแล้ว” ดิษฐ์นั่นเอง

“หัวหน้า ช่วยด้วย” พงษ์คร่ำครวญพลาง ร้องไห้ไปพลาง

“เฮ้ย งานนี้หัวหน้าไม่เกี่ยว อีนี่มันปากเสียนัก กูต้องสั่งสอนมันให้จำ” อ้วนยังไม่ยอมรามือ

ดิษฐ์ก็ไม่ยอมปล่อยมือจากอ้วนเช่นกัน

“ถ้ามึงจะสั่งสอนมัน ยังงั้นเจอกับกูก่อนก็แล้วกัน” ดิษฐ์พูด

เมื่อเห็นเรื่องชักจะบานปลาย พวกเพื่อนๆในห้องจึงส่งเสียงกันเซ็งแซ่ บอกให้ปล่อยพงษ์ไป อ้วนเห็นดังนั้นจึงปล่อยมือจากพงษ์ ดิษฐ์นั้นหุ่นนักกีฬา ตัวโตกว่าอ้วนมาก ดูยังไงอ้วนก็ไม่มีทางชนะดิษฐ์ได้

“เห็นแก่หัวหน้านะเนี่ย วันหลังอย่าปากเสียวอนส้นตีนอีกก็แล้วกัน” อ้วนพูดแบบยียวนกวนโทโส

เพื่อนๆของอ้วนก็ปล่อยมือที่ตรึงร่างของพงษ์อยู่ เมื่อพงษ์เป็นอิสระก็รีบถึงกางเกงขึ้นมาสวม พร้อมทั้งสะอึกสะอื้น แต่ไม่กล้าด่าอะไรอีก เพราะกลัวอ้วนเอาจริง

“เอ้า ใครเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็ออกไปตั้งแถว ไม่ต้องมามุง ไม่มีอะไรแล้ว” เสียงดิษฐ์ตะโกนกลบเสียงจ้อกแจ้กจอแจในห้อง

“โธ่ นึกว่าจะได้ดูหนังสด อดดูเลย” เสียงนักเรียนบางคนในห้องพึมพำ จากนั้นก็ทยอยกันเดินออกไปตั้งแถวที่หน้าห้อง

- - -

ชั่วโมงพลศึกษาในวันนั้นเป็นการเรียนยิมนาสติกท่าต่อมา ท่าแรกที่เรียนเป็นท่าสะพานโค้ง ท่าถัดมาคือท่าหกกบ

ท่าหกกบนี้เริ่มต้นด้วยการย่อตัวลงไปนั่งยองกับพื้น เอามือยันพื้นไว้ จากนั้นเอาหัวเข่าทั้งสองข้างหนีบข้อศอกเอาไว้ จุดที่หนีบกันนี้เองใช้เป็นจุดหมุน จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อโน้มตัวไปเช่นนี้ ขาจะลอยจากพื้น ตอนนี้ส่วนที่ยันพื้นเอาไว้คือมือทั้งสองข้าง

จากนั้นโน้มตัวต่อไปอีก หัวก็จะก้มลงไปแตะที่พื้น จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างและหน้าผากเป็นจุดที่ยันพื้นเอาไว้ ค่อยๆยกขาและลำตัวขึ้นชี้ฟ้า เมื่อปฏิบัติท่านี้เสร็จก็จะเป็นท่าคนหัวทิ่มเอาขาชี้ฟ้านั่นเอง

ลองคิดดู พวกนักเรียนที่ใส่กางเกงขาสั้น ผ้าร่ม ขากางเกงกว้างๆ เมื่อยกขาชี้ฟ้าแล้วจะเป็นอย่างไร...


<ท่าหกกบนี้เริ่มต้นด้วยการย่อตัวลงไปนั่งยองกับพื้น เอามือยันพื้นไว้ จากนั้นเอาหัวเข่าทั้งสองข้างหนีบข้อศอกเอาไว้ จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อโน้มตัวไปเช่นนี้ ขาจะลอยจากพื้น ตอนนี้ส่วนที่ยันพื้นเอาไว้คือมือทั้งสองข้าง จากนั้นโน้มตัวต่อไปอีก หัวก็จะก้มลงไปแตะที่พื้น ค่อยๆยกขาและลำตัวขึ้นชี้ฟ้า เมื่อปฏิบัติท่านี้เสร็จก็จะเป็นท่าคนหัวทิ่มเอาขาชี้ฟ้านั่นเอง>

5 comments:

Anonymous said...

ตอนนี่อ่านแล้วรู้สึกสงสาร พงษ กับตี๋ จังดิษนี่สมกับเป็นหัวหน้าแล้ว ผมคงเป็นไม่ได้อ้วนคงจะโดนตืบตายสะก่อนอะดิ เอิ้กเอิ้ก
ใช่แล้วลุงอูแอบมอง กกน ใช่มะ เหมือนกันเลย หุ หุ ชอบชอบ

Anonymous said...

love love มารักอาอูแล้วครับ

หลาน Arus

Anonymous said...

แอบหลงรักเจ้าของบล๊อคโดยไม่รู้ตัว

แบงค์

Anonymous said...

ไม่ได้เข้ามาหลายวัน ผ่านไปหลายตอนแล้ว ต้องรีบมาเก็บให้ทัน หุหุหุ ดีครับนานๆ จะได้อ่านหลายตอนซักที ขอบคุณนะครับอู ยังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ
กร ครับ

Anonymous said...

เข้ามาให้กำลังใจอูคับ
สู้ๆ
รออ่านต่อไปคับ
^^sky^^