Tuesday, October 14, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 28

มันเป็นกีตาร์สีไม้โอ๊ค ใหม่เอี่ยม ยี่ห้อยามาฮ่า ของญี่ปุ่น ข้างเตียงยังมีกล่องแข็งสำหรับบรรจุกีตาร์ มีหูหิ้ว เอาไว้ถือไปไหนมาไหนได้

ผมตื่นเต้นกับกีร์ตาตัวนี้ เพราะรูปร่างของมันสวย ดูสง่า เรานั่งลงที่เตียง ผมหยิบกีร์ตาขึ้นมา สังเกตพบว่าสายกีร์ตาเป็นสายไนลอนไม่ใช่สายเหล็ก

ผมลองกรีดนิ้วลงบนสายกีร์ตา เสียงดังกรุ๋งกริ๋งจากทุ้มไปหาแหลม กังวานเสียงของสายไนลอนนั้นนุ่มนวล แตกต่างจากสายเหล็ก

“ตัวนี้เป็นกีร์ตาคลาสสิก” ไอ้นัยบอกด้วยท่าทางภูมิใจ

“แล้วมันต่างจากกีร์ตาทั่วไปยังไง กูดูไม่เห็นต่างเลย” ผมถามด้วยความสงสัย ว่าอะไรคือกีร์ตาคลาสสิก

“กูไม่รู้หรอก” ไอ้นัยสั่นหัวดิก

ผมอดไม่ได้ต้องเขกกะโหลกมันไปเบาๆหนึ่งที ไอ้นัยทำคอย่นเพื่อหลบมือของผม แต่ก็หลบไม่พ้น

“พูดยังกับรู้ดี ไอ้เวร ทีหลังไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” ผมหยอกมัน

เรื่องของเรื่องก็คือ คุณอาเห็นไอ้นัยสนใจดนตรี พอไปเข้าวงดุริยางค์ ในที่สุดก็ไม่ได้เรียน จึงตัดสินใจสนับสนุนให้ไอ้นัยเรียนดนตรีให้เป็นชิ้นเป็นอัน เผื่อว่าอีกหน่อยหากมีแววอาจใช้ประกอบอาชีพได้ คุณอาก็เลยเลือกให้ไอ้นัยเรียนกีร์ตาคลาสสิก เพราะเห็นว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีช่องทางประกอบอาชีพได้ง่าย อีกทั้งราคาไม่แพงมาก กีร์ตาตัวที่คุณอาซื้อให้ไอ้นัยจำได้ว่าราคาตอนนั้นสองหมื่นกว่าบาท

“เนี่ยนะ ที่บอกว่าถูก” ผมถามเมื่อได้รู้ราคา

“ก็ถูกกว่าเปียโนอ่ะ” ไอ้นัยบอก “ตอนแรกอาจะให้กูเรียนเปียโน แต่เปียโนแพงกว่าเยอะ เลยเอาไอ้นี่แหละ”

แค่ส่งไอ้นัยเรียนกีร์ตาคลาสสิก แค่นี้ผมก็ทึ่งแล้ว ไม่ถึงกับต้องซื้อเปียโน ผมรู้สึกดีใจไปกับไอ้นัย คุณอาทั้งสองดีกับมันเหลือเกิน

“ยังมีอีก ยังไม่หมด” ไอ้นัยพูด

ว่าแล้วมันก็เดินไปหยิบกล่องรองเท้าที่มุมห้องมา ๒ กล่อง แล้วกลับมานั่งที่เตียง เมื่อเปิดกล่องแรกออกดู พบว่าข้างในเป็นรองเท้าแตะสกอลล์ สีเขียวสดใส

เด็กวัยรุ่นในตอนนั้นนิยมรองเท้าสกอลล์กันมาก ที่จริงน่าจะอ่านชอลล์ เพราะเขียนว่า Scholl ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเรียกสกอลล์กันจนติดก็ไม่ถือว่าอ่านผิด คงเป็นไปตามความนิยมมากกว่า

ความเท่ของเด็กวัยรุ่นในตอนนั้น ส่วนหนึ่งวัดกันที่รองเท้าแตะนี่แหละ ใครใส่รองเท้าสกอลล์ถือว่ามีหน้ามีตา คู่หนึ่งตั้งหลายร้อยบาท แต่เด็กวัยรุ่นก็พยายามหาซื้อมาใส่กัน ใครมีรองเท้าสกอลล์ใหม่ต้องระวัง ถ้าถอดวางไว้ไม่ระวังอาจหายได้

“สองคู่เลยเหรอ” ผมถาม

“ฮึ” ไอ้นัยสั่นหัว ว่าแล้วก็เปิดกล่องรองเท้าอีกกล่องดู ข้างในเป็นรองเท้าผ้าใบยี่ห้อนันยาง ใหม่เอี่ยม

“ทำไมไม่เป็นคอนเวิร์สวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ เพราะในยุคนั้นนอกจากรองเท้าแตะสกอลล์แล้ว ของเท่สำหรับวัยรุ่นอีกอย่างก็คือรองเท้าผ้าใบยี่ห้อคอนเวิร์ส

“ไม่รู้ดิ แพงไปมั้ง” ไอ้นัยพูดติดตลก ไม่ได้มีแววผิดหวังแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่มันได้นั้นเยอะมากอยู่แล้ว “ต่อไปกูจะได้ใส่เดินเหยียบส้นได้”

วัฒนธรรมในการใส่รองเท้าผ้าใบของวัยรุ่นในตอนนั้นคือการใส่รองเท้าโดยไม่เอาส้นรองเท้าใส่เข้าไปในรองเท้า แต่จะใช้ส้นเท้าเหยียบส่วนที่เป็นส้นรองเท้าเอาไว้ ทำให้ดูไปแล้วเหมือนใส่รองเท้าแตะมากกว่ารองเท้าผ้าใบ วัฒนธรรมใส่รองเท้าเหยียบส้นนี้มีมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แต่ที่โรงเรียนเก่าของผมส่วนใหญ่ใส่รองเท้าหนังกัน ส้นของรองเท้าหนังจะแข็ง เหยียบได้ยาก เจ็บเท้าอีกต่างหาก อีกทั้งยังเด็กด้วย เลยไม่ค่อยมีใครนิยมเหยียบส้นกัน แต่ที่โรงเรียนนี้ใส่รองเท้าผ้าใบกันมาก เรื่องเหยียบส้นก็เลยเป็นที่นิยมกัน

สำหรับผมนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟนชั่นวัยรุ่นเท่าใดนัก จะว่าขวางโลกตั้งแต่ยังเด็กก็คงไม่ผิด ผมไม่เคยอยากได้รองเท้าสกอลล์หรือคอนเวิร์สเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าจะพูดไป การมีรองเท้าผ้าใบสักคู่ก็ไม่เลว เพราะว่าตึกเรียนของผมเป็นพื้นไม้ ถ้าใส่รองเท้าหนังเดินเสียงจะค่อนข้างดัง ถ้าวิ่งละก็ยิ่งเสียงดัง รองเท้าผ้าใบจะเดินได้เงียบกว่า เมื่อเห็นรองเท้านั้นยางสีดำ ผมก็ชักอยากจะได้บ้าง

“โห คุณอาเลี้ยงมึงยังกับลูก ป๋ากูยังไม่เคยซื้ออะไรแบบนี้ให้เลย” ผมชมคุณอาของไอ้นัยจากใจจริง

ไอ้นัยอึ้งไป สีหน้าที่ดูร่าเริงเปลี่ยนเป็นหมองลง ผมรู้สึกแปลกใจในท่าทีของเพื่อนรักที่เปลี่ยนไป

“อ้าว เป็นไรไปล่ะ อยู่ดีๆก็ซึมไปเลย”

“...”

“นัย เป็นไรไป” ผมถามอีก

“เปล่า ไม่มีอะไร คิดถึงพ่อแม่นิดหน่อยอ่ะ” ไอ้นัยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“เออ กูก็คิดถึงชิบหายเลย อยู่มาสักพักแล้วยังไม่คุ้นเลย กลางคืนมึงก็โทรไปหาดิ ถูกหน่อย” ผมแนะนำไป เพราะช่วงนั้นผมก็เหงาๆ เซ็งๆ โทรไปคุยกับพ่อและแม่บ่อย จนโดนบ่นว่าเปลืองค่าโทรศัพท์

เมื่อเห็นไอ้นัยยังซึมอยู่ ผมจึงวางกล่องรองเท้ามือลง แล้วใช้วงแขนโอบมันเอาไว้

“คิดถึงบ้านก็ไม่เป็นไร กูเข้าใจ มึงยังมีกูนะ” ผมบอกมัน

“นั่นแหละ ที่มันแย่” ไอ้นัยพูดเบาๆ

“ยังตลกได้ แสดงว่ายังดีอยู่” ผมหัวเราะ แล้วกอดมันแน่นนิ่งขึ้น

กลิ่นกายของมันในระยะใกล้ชิด ทำให้ผมอดไม่ได้ ต้องโน้มหน้าเข้าไปที่ต้นคอของมัน จากวงแขนที่โอบไหล่ ผมขยับตัวไปนั่งด้านหลัง ใช้สองแขนโอบรอบเอวของมันแทน จมูกของผมซุกไซร้จากต้นคอ หลังหู เรื่อยมาจนถึงพวงแก้ม ไอ้นัยหลับตาพริ้ม

จมูกซุกไซร้อยู่ที่ใบหน้า มือของผมก็เปะปะไปที่เป้ากางเกงของไอ้นัย เพียงพริบตา จากเป้ากางเกงที่แบนราบ ก็กลายเป็นโป่งพอง เพราะมีของแข็งดันไว้อยู่ภายใน

“อาบน้ำก่อน ตัวเหนอะมาทั้งวัน” ไอ้นัยพูด

“งั้นอาบด้วยกันนะ” ผมบอก

ผมไม่พูดเปล่า มือของผมละจากเป้ากางเกงของไอ้นัย เปลี่ยนเป็นปลดกระดุมเสื้อของมัน เมื่อปลดกระดุมทุกเม็ดแล้ว ผมก็เริ่มปลดหัวเข็มขัดของมัน จากนั้นปลดตะขอกางเกง ตลอดวลา ไอ้นัยนั่งเฉย ปล่อยให้ผมจัดการแต่โดยดี …


<กลิ่นกายของมันในระยะใกล้ชิด ทำให้ผมอดไม่ได้ ต้องโน้มหน้าเข้าไปที่ต้นคอของมัน จากวงแขนที่โอบไหล่ ผมขยับตัวไปนั่งด้านหลัง ใช้สองแขนโอบรอบเอวของมันแทน จมูกของผมซุกไซร้จากต้นคอ หลังหู เรื่อยมาจนถึงพวงแก้ม ไอ้นัยหลับตาพริ้ม>

6 comments:

Anonymous said...

เพิงกลับจากเบรน มาเม้นคนแรกเรยนะลุง
ผมเดาถูกด้วย รองเท้าไง 2 ตอนเรยนะด่วน

Anonymous said...

อูครับ จะพิมพ์เป็นหนังสือมั้ยจะได้ซื้อเก็บไว้อ่าน
ชอบครับอ่านเพลินดี
กุ๊กกู๋

Anonymous said...

หลานมาแล้ว หลานประสบอุบัติเหตุซ้ำอีก
สงสัยเพราะอาอูไม่รับ ก็เลยเกิดเรื่องบ่อยๆ

หลาน Arus

Anonymous said...

น้อยใจเล็กๆ ทายถูกอาอูก็ไม่สังเกต
สงสัยไม่ใส่ใจหลานแล้วมั้ง
ขนาดทายถูกคนแรกนะเนี่ย

หลาน Arus ที่อาอูลืม

Anonymous said...

อ่านแล้วเพลินดีจัง ตอนนี้โรแมนติกเล็กๆนะ

ถ้าอยากดูดวงต้องทำไงบ้างคับผม

แบงค์

Anonymous said...

อยากปลอบนัย มั้งจัง

T1000