Wednesday, January 27, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 45

เนื่องจากในปัจจุบัน กศน. ไม่มีการสอบเทียบ ม.๖ เหมือนเช่นแต่ก่อนแล้ว ดังนั้นการสอบเทียบจึงเป็นเพียงตำนานบทหนึ่งของนักเรียนในยุคก่อนที่ต้องการเรียนระดับมัธยมให้จบเร็วกว่าปกติ

การศึกษาไทยในสมัยก่อนโน้นเป็นระบบ ๔-๖-๒ นั่นคือ ประถม ๔ ปี มัยธมต้น ๖ ปี และมัธยมปลาย ๒ ปี การศึกษาในยุคนั้นก็คือยุคที่มีมัธยมปลายถึงชั้น ม.๘ นั่นเอง

ต่อมาภายใต้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ มีการจัดระบบการศึกษาของไทยเสียใหม่ เป็นระบบ ๗-๓-๒ (ประถม ๗ ปี มัธยมต้น ๓ ปี มัธยมปลาย ๒ ปี) หรือยุคที่มี ป.๗ ม.ศ. ๕ นั่นเอง โดยปีการศึกษา ๒๕๐๗ เป็นปีที่มีชั้น ม.๘ เป็นรุ่นสุดท้าย

ต่อมาในยุคของแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๐ การเรียนในโรงเรียนสามัญในระบบ ๗-๓-๒ ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบ ๖-๓-๓ นั่นคือเข้าสู่ยุค ป.๖ และ ม.๑-ม.๖ ที่ใช้มาจนปัจจุบันนั่นเอง โดย ม.ศ.๑ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๑ ปีนั้นจะมีนักเรียน ม.๑ รุ่นแรกเข้ามาด้วย และ ม.ศ.๕ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๕

การศึกษานอกโรงเรียนนั้นเป็นระบบการศึกษาที่เคียงคู่ไปกับระบบการศึกษาในโรงเรียน ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสเรียนในระบบโรงเรียนได้มีโอกาสศึกษาต่อได้ โดยในสมัยก่อนเรียกว่าการศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาผู้ใหญ่ของไทยมีมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๓ และการสอบเทียบนั้นเริ่มมีเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเริ่มมีในยุคของระบบ ม.๘ นั่นเอง

การศึกษาผู้ใหญ่นั้นดำเนินการโดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ‘เรียนศึกษาผู้ใหญ่’ นั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จึงได้มีการตั้งกรมการศึกษานอกโรงเรียนขึ้น คำว่าศึกษาผู้ใหญ่จึงหมดไปและกลายเป็นคำว่า กศน. แทน

แนวทางการเรียนการสอนนอกระบบโรงเรียนในยุคก่อน สมัยที่ยังเป็นการศึกษาผู้ใหญ่นั้น การเรียนการสอนจะแตกต่างไปจาก กศน. ในปัจจุบัน และนอกจากนี้ ระบบศึกษาผู้ใหญ่ยุคที่มีการสอบเทียบนั้นทำให้เกิดธุรกิจที่เรียกว่า ‘โรงเรียนกวดวิชา’ ขึ้นมา โดยโรงเรียนกวดวิชาในยุคดั้งเดิมนั้นหมายถึงโรงเรียนที่สอนแบบติวเพื่อให้ผู้เรียนสามารถสอบเทียบได้ โดยสมัยก่อนมักมีป้ายแขวนตามเสาไฟฟ้าว่า เรียนจบ ม.ศ. ๓ ในหกเดือน หรือว่าเรียนจบ ม.ศ. ๕ ในหนึ่งปี สมัครเรียนได้ที่... ซึ่งก็เป็นการโฆษณาของธุรกิจกวดวิชานั่นเอง และในยุคต่อมาความหมายของโรงเรียนกวดวิชาจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นการติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแทน

และในยุคของศึกษาผู้ใหญ่นี่เองที่ทำให้เกิดสำนวน ‘โตแล้วเรียนลัด’ ขึ้นมา สำนวนนี้เดิมเป็นคำขวัญของโรงเรียนกวดวิชา หมายถึงว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหากไม่ได้เรียนในระบบโรงเรียนก็มาเรียนแบบศึกษาผู้ใหญ่เอา และต่อมาสำนวนโตแล้วเรียนลัดนี้ก็ได้กลายความหมายไป โดยหมายถึงการใช้วิธีลัด การซิกแซก การใช้วิธีไม่ปกติเพื่อการลดขั้นตอนหรือร่นระยะเวลา

การสอบเทียบในศึกษาผู้ใหญ่มีปีละครั้ง ตอนปลายปีของทุกปี วิชาที่ต้องสอบมีกี่หมวดผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ของสายวิทย์กับศิลป์คำนวณจะต้องสอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และนอกนั้นจะมีวิชาในหมวดอื่นด้วยหรือนี่เปล่าไม่แน่ใจ

การคิดคะแนน การตัดสินได้-ตก ในการสอบเทียบก็เหมือนกับในโรงเรียนสามัญในยุคนั้น นั่นคือ คิดคะแนนจากทุกวิชารวมกัน หากคะแนนรวมไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ก็สอบตก ปีหน้ามาสอบใหม่ทั้งหมด เช่นเดียวกับในโรงเรียนสามัญ ถ้าคะแนนสอบปลายปีทุกวิชารวมกันได้ไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นเดิมอีกหนึ่งปี เรียนซ้ำทุกวิชา ไม่มีการซ่อมเป็นรายวิชา

ต่อมาในยุคของแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๐ การเรียนในโรงเรียนสามัญในระบบ ๗-๓-๒ ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบ ๖-๓-๓ นั่นคือ ยุค ป.๖ และ ม.๑-ม.๖ ที่ใช้มาจนปัจจุบันนั่นเอง โดย ม.ศ.๑ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๑ ปีนั้นจะมีนักเรียน ม.๑ รุ่นแรกเข้ามาด้วย และ ม.ศ.๕ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๕ และในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน คือปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ก็เป็นการสิ้นสุดยุคการศึกษาผู้ใหญ่และเริ่มต้นยุค กศน.

ระบบการศึกษาแบบ ๖-๓-๓ นั้นใช้การเรียนระบบหน่วยกิต สอบตกและซ่อมเป็นรายวิชา ไม่ต้องเรียนซ้ำชั้นเหมาทุกวิชาเหมือนแต่ก่อน การเรียน กศน. เพื่อสอบเทียบในยุคนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป และสอดคล้องไปกับระบบของโรงเรียนสามัญเช่นกัน การเรียน กศน. และการสอบเทียบนั้นจะไปเข้าสอบเอาตอนปลายปีเพียงอย่างเดียวเหมือนในยุค ม.ศ. ๕ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องมีการลงทะเบียนเรียนและเข้าชั้นเรียนด้วย

ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผานมา ระบบการศึกษานอกโรงเรียนมีพัฒนาการมาโดยตลอด แต่ละยุคก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป แต่ในยุคที่ผมเรียน ม.ปลายนั้นการเรียน กศน. มี ๓ ประเภท นั่นคือ แบบชั้นเรียน แบบทางไกล และแบบศึกษาด้วยตนเอง

การเรียน กศน. หากเป็นระบบชั้นเรียนจะต้องมาเรียนในชั้นเรียนภาคค่ำ หากเป็นระบบทางไกลก็ต้องมาเข้าชั้นเรียนบ้าง เรียกว่าการพบกลุ่ม การพบกลุ่มก็หมายถึงการไปพบปะอาจารย์และผู้เรียนคนอื่นๆ ในวันอาทิตย์ทุกสัปดาห์ตลอดภาคเรียน หากเป็นการศึกษาด้วยตนเองก็คล้ายๆกับแบบทางไกล แต่มีการพบกลุ่มน้อยครั้งกว่า ดูเหมือนว่าจะ ๖-๘ ครั้งตลอดภาคเรียน สามารถขาดได้บ้าง

เมื่อถึงปลายภาคก็จะมีการสอบ วิชาใดผ่านก็จบไป ถ้าไม่ผ่านก็ต้องซ่อม ในตอนที่ผมเรียน ม.ปลาย วิชาของ กศน. ที่ต้องสอบจะต้องมีอย่างน้อย ๘ หมวด บังคับ ๕ หมวด ได้แก่ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย พลานามัย และพื้นฐานวิชาชีพ แล้วก็มีวิชาเลือกอย่างน้อย ๓ หมวด ตามแต่โปรแกรมการศึกษา เช่น สายวิทย์หรือศิลป์คำนวณก็จะต้องมีคณิตศาสตร์ อังกฤษ กับอะไรอีกสักอย่าง วิชาพิมพ์ดีดนี่อยู่ในหมวดไหนก็จำไม่ได้แล้ว แต่นักเรียนนิยมเรียนกันมากเพราะว่าไม่เรียนก็ผ่านได้เนื่องจากโตแล้วเรียนลัด ใช้วิธีซื้อใบประกาศนียบัตรพิมพ์ดีดเอา ทุ่นแรงไปได้มาก เรื่องการสอบ กศน. นี่ผมจำได้ไม่ค่อยแม่นนักเนื่องจากในชีวิตก็สอบเพียงครั้งเดียว จึงไม่ค่อยมีความทรงจำกับมันมากนัก เมื่อสอบผ่านจบครบ ๘ หมวดแล้วก็ถือว่าจบ ม.ปลาย

การเรียน กศน. ในยุคของผมหากวางแผนให้ดีก็สามารถเก็บทั้ง ๘ หมวดและสามารถจบ ม.๖ ได้ภายในปีเดียว ดังที่มีนักเรียนบางคนสอบเทียบจนจบ ม.๖ ได้ตั้งแต่ตอนที่เรียน ม.๔ บางคนร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ม.ต้นก็สอบเทียบมาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเมื่อขึ้น ม.ปลายก็มาสอบเทียบอีกครั้งหนึ่ง และก็สามารถสอบได้เสียด้วย

การที่นักเรียนสายสามัญไปสอบเทียบนี้มีปัญหามาทุกยุคทุกสมัย เพราะแนวคิดของ กศน. นั้นคือเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่นอกระบบโรงเรียนได้เรียน แต่ว่านักเรียนที่อยู่ในระบบโรงเรียนใช้ช่องทางนี้เรียนลัดเพื่อให้จบไวขึ้น การป้องกันไม่สามารถทำได้เพราะระเบียบของ กศน. นั้นอายุเกิน ๑๔ ปีก็สมัครเรียนได้แล้ว อีกทั้งในสมัยก่อนระบบทะเบียนนักเรียนยังเป็นระบบที่เป็นเอกสารกระดาษ ต่างหน่วยงานก็ต่างเก็บ ดังนั้นการตรวจสอบว่าผู้สมัครเรียน กศน. คนใดเป็นนักเรียนสายสามัญอยู่ด้วยจึงเป็นไปไม่ได้เลย

ผลของการที่นักเรียนในระบบโรงเรียนไปสอบเทียบของ กศน. ได้ก็คือ ชั้น ม.๖ ของโรงเรียนชื่อดังต่างก็มีนักเรียนเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว นอกจากนี้ ม.๕ ที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ยังเป็นบ่อเกิดของการสอบเอนทรานซ์ใหม่ ทำให้ระบบการสอบเอนทรานซ์อลเวง เพราะว่าตอนที่อยู่ ม.๕ เมื่อสอบเทียบและเอนทรานซ์ได้ ก็เท่ากับว่าไปแย่งที่ของรุ่นพี่ ม.๖ ที่เรียนตามปกติ ครั้นพอตนเองได้คณะที่ไม่ถูกใจ เมื่อเรียนปี ๑ ไปแล้วก็มาสอบเอนทรานซ์ใหม่อีก หากติดขึ้นมาก็เท่ากับไปแย่งที่ของเพื่อน ม.๖ รุ่นตนเองเสียอีก ดังนั้นทุกปีจึงมีนักเรียน ม.๖ ที่จบตามปกติจำนวนไม่น้อยต้องสอบเอนทรานซ์ไม่ติดเพราะถูกนักเรียนสอบเทียบกับพวกเอนทรานซ์ใหม่แย่งที่นั่ง พวก ม.๖ ก็มองว่าพวกสอบเทียบไม่ควรมาแย่งที่นั่ง ส่วนพวกสอบเทียบก็มองว่าเป็นเสรีภาพทางการศึกษา มองต่างมุมกันเช่นนี้มาตลอด

ต่อมา ในที่สุด กศน. ก็แก้ปัญหาเรื่องนักเรียนในระบบโรงเรียนมาสอบเทียบได้โดยเด็ดขาด นั่นคือ มีการปรับหลักสูตรของ กศน. เสียใหม่ และยกเลิกการสอบเทียบไปเสียเลย โดยปีสุดท้ายที่มีการสอบเทียบคือปีการศึกษา ๒๕๔๐ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๔๑ ก็ไม่มีการสอบเทียบอีก โดยกศน. หลักสูตรใหม่มีการปรับระบบการเรียนการสอน โดยผู้เรียน กศน. จะต้องใช้เวลาเรียนถึง ๒ ปี จะจบเร็วกว่านี้ไม่ได้ยกเว้นโดยการเทียบโอน รวมทั้งระบบสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่เรียกว่าเอนทรานซ์ระบบใหม่ก็ได้เริ่มใช้ในปีการศึกษา ๒๕๔๒ เอนทรานซ์ระบบใหม่นี้มีส่วนช่วยในการสกัดพวกนักเรียนสอบเทียบด้วย เช่น คณะทางสายวิทย์จะต้องตรวจสอบการเรียน กศน. ด้วยว่าเรียนวิทยาศาสตร์ภาคปฏิบัติมาครบหรือไม่ หากเวลาเรียนไม่ครบก็ไม่รับ เป็นต้น ดังนั้นตำนานการเรียนลัดสอบเทียบ กศน. ของเหล่านักเรียนสายสามัญจึงปิดฉากลงไปในที่สุด

แต่เนื่องจากการเรียนเร็วเรียนลัดเป็นเรื่องที่ชื่นชอบของนักเรียนบางส่วนอยู่ ดังนั้นจึงเป็นช่องทางการทำธุรกิจได้ ปัจจุบันการสอบเทียบจึงเกิดขึ้นในรูปแบบใหม่ แต่ไม่ใช่โดย กศน. แต่เป็นการสอบเทียบตามหลักสูตรต่างชาติ เช่น สอบเทียบเกรด ๑๒ ตามหลักสูตรของอเมริกัน หรือหลักสูตรอังกฤษก็มี จากนั้นมาเทียบเป็น ม.ปลายของไทยอีกที แล้วไปสอบแอดมิชชันกลาง (รับตรงไม่ได้) ก็ทำให้สามารถจบ ม.ปลายได้ภายใน ๒ ปีและสามารถเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ (ถ้าติด)

หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการเรียนพรีดีกรีกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยขณะที่อยู่ ม.ปลายก็ลงทะเบียนเรียนเก็บรายวิชาระดับปริญญาตรีไปเรื่อยๆ เมื่อไรที่จบ ม.๖ แล้วไปสมัครเรียนที่ม.รามฯ ทางมหาวิทยาลัยก็จะนับหน่วยกิตที่เคยเรียนมาแล้วให้ทั้งหมด ดังนั้นบางคนที่ขยันและวางแผนดีก็สามารถเรียนจบ ม.ปลาย รวมทั้งปริญญาตรีได้ภายในเวลา ๔ ถึง ๕ ปี จากปกติ ๖ ปีครึ่งถึง ๗ ปี

- - -

หลังจากที่ผมเริ่มตั้งเข็มทิศให้แก่ชีวิตของตนเองได้แล้วว่าจะหนีไปจากที่นี่โดยการสอบเทียบ ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้คิดมากมายนักว่าจะไปแย่งที่ใครบ้างหรือไม่ คิดแต่ว่าผมก็มีความจำเป็นของผม ผมอาจจะคิดเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยก็ได้ ขั้นต่อมาผมก็เริ่มวางแผนจัดระเบียบชีวิตของตนเองเสียใหม่หลังจากที่เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ผมไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิตเลย

ในสมัยเด็กผมเคยมีความใฝ่ฝัน อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ อยากเป็นครู อยากเป็นนักบินอวกาศ ฯลฯ แต่นับตั้งแต่ช่วง ม.๒ ที่เริ่มมีปัญหากับไอ้นัยจนถึง ม.๔ ผมกลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่เติบโตขึ้นมาอย่างไร้ความฝัน เรียนหนังสือไปวันๆ ไม่สนใจว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ผมเริ่มกลับมามีความฝันอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมฝันถึงอนาคตอันก้าวหน้า เส้นทางชีวิตอันรุ่งเรือง และมีคำถามหลายอย่างที่ผมยังตอบไม่ได้ ใช่แล้ว ผมจะต้องหาคำตอบให้แก่ชีวิตด้วย

หลังจากที่ผมได้ภาพคร่าวๆของการสอบเทียบมา ผมก็เริ่มสนใจการพูดคุยของไอ้กี้ จอมมารดำขาว และกลุ่มไอ้เฉา เพราะพวกนี้ล้วนแต่ตั้งเป้าหมายที่จะสอบเทียบกันทั้งสิ้น ผมฟังพวกเพื่อนๆคุยกันแต่ก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่าผมจะสอบเทียบบ้าง เพราะเหตุผลหลายๆประการ ส่วนหนึ่งก็เกรงว่าเวชกับเกรียงจะแกล้งผมมากยิ่งขึ้น กับอีกส่วนหนึ่งก็คือยังไม่ค่อยมั่นใจตนเองนักว่าจะทำได้ เกรงว่าจะเสียหน้า จึงไม่ได้บอกใคร เพื่อนๆที่สมัครเรียน กศน. เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี ถึงตอนนี้ก็สามารถสอบผ่านได้ในบางวิชาแล้ว

เมื่อก่อนไม่ได้สนใจฟังก็เลยไม่ค่อยรู้อะไร ตอนนี้เมื่อสนใจฟังเพื่อนๆพูดคุยก็พอได้ข้อมูลมาหลายอย่าง พวกเพื่อนๆหลายคนเลือกที่จะสอบเทียบในสายศิลป์คำนวณกัน ได้ยินมาว่าหากเลือกสายวิทย์จะมีปัญหาเรื่องเวลาทำแล็บ สายศิลป์คำนวณนั้นท่องอย่างเดียว ไม่ติดเรื่องภาคปฏิบัติ

เมื่อได้ข้อมูลมาพอสมควร ส่วนใหญ่ก็ฟังเขาเล่ามา ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ แต่ก็เชื่อเอาไว้ก่อน ผมก็คิดว่าน่าจะสมัครสอบเทียบในสายศิลป์คำนวณ ส่วนตอนสอบเอนทรานซ์ก็เอาไว้ว่ากันอีกที เพราะยุคนั้น จบ ม.๖ อะไรมา แล้วจะไปเอนทรานซ์เข้าคณะอะไรก็ได้ ขอให้ทำข้อสอบเอนทรานซ์ได้ก็เป็นอันใช้ได้

จากนั้น ขั้นต่อของผมก็คือต้องไปซื้อหนังสือติวมา ในยุคนั้นชั้นเรียนติวเพื่อสอบเทียบก็มี แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่ากับการติวเพื่อสอบเอนทรานซ์ แต่ครั้นจะไปสมัครติวก็กลัวว่าจะเจอเพื่อนๆ เดี๋ยวความจะแตก ประกอบกับตอนที่ผมสอบเข้า ม.๑ นั้นผมดูหนังสือด้วยตนเองมาตลอด ไม่เคยไปติวที่ใดเลย ซึ่งเป็นเพียงความภูมิใจเพียงเรื่องเดียวในชีวิตวัยเด็ก ผมคิดว่าเมื่อก่อนผมเคยทำได้ ตอนนี้ก็น่าจะมีโอกาสทำได้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะซื้อหนังสือมาอ่านเองทั้งติวสอบเทียบและติวสอบเอนทรานซ์

- - -

วันเสาร์ถัดมา

หลังจากที่วางแผนซื้อหนังสือเอาไว้แล้ว ในวันเสาร์นั้นเอง หลังจากที่เรียนเปียโนเสร็จแล้วผมก็ไปที่แผงหนังสือสนามหลวงอันเป็นศูนย์รวมหนังสือกวดวิชาและหนังสือเรียนต่างๆทันที

ผมใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์คิดอยู่ตลอดว่าจะบอกบอยดีหรือไม่เรื่องการเรียน กศน. ของผม ใจหนึ่งก็อยากบอกเพราะว่าตอนนี้ผมสนิทกับบอยมาก มีอะไรผมก็มักเล่าให้มันฟัง ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับเวชและพวก มีความรู้สึกว่าอยากได้กำลังใจจากมันอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเล่าเพราะยังไม่รู้ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ คิดไปคิดมาในที่สุดก็คิดไม่ออก จึงยังไม่ได้บอกกับบอย

เมื่อผมไปถึงสนามหลวง ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าสถานที่ด้านริมคลองหลอดและติดกับศาล ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของแผงหนังสือมากมาย ตอนนี้กลับกลายเป็นพื้นราบ ไม่มีซุ้ม ไม่มีหนังสือ และไม่มีคนซื้อขาย!

เฮ้ย มันอะไรกันวะ ผมงง เมื่อสอบถามคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นจึงได้ความว่าแผงหนังสือสนามหลวงถูกรื้อและย้ายไปอยู่ที่ตลาดนัดสวนจตุจักรมาตั้งหลายเดือนแล้ว

ผมรู้สึกเซ็งขึ้นมา ความพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองของผมเพียงแค่เริ่มต้นก็ดูจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว เริ่มต้นก็ต้องเสียค่าโง่ ที่จริงผมก็โง่เองจริงๆ หลายปีก่อนตอนที่ทำงานอยู่ที่สหกรณ์ ผมเคยมาเดินซื้อหนังสือที่นี่อยู่บ้าง แต่พอชีวิตมีปัญหาและเลิกสนใจการเรียนก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องตำรับตำราอีก ยิ่งช่วง ม.๔ นี้ตอนที่คบอยู่กับกลุ่มของเวช พวกนี้มันอ่านหนังสือกันเสียที่ไหน ดังนั้นเรื่องการย้ายแผงหนังสือผมจึงตกข่าวไป

ผมตามไปที่ตลาดนัดสวนจตุจักร แผงหนังสือจตุจักรในตอนนั้นก็คือที่เดียวกับที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ตอนนั้นสภาพยังใหม่อยู่มาก แต่แผงหนังสือยังไม่มากเท่ากับที่สนามหลวง แต่ถึงแม้ว่าแผงหนังสือจะยังไม่มากนัก ผมก็หาซื้อหนังสือที่ผมต้องการมาได้ ผมซื้อพวกหนังสือติวสอบเทียบ ม.๖ มาดู ส่วนพวกติวสอบเอนทรานซ์นั้นแค่เล็งๆเอาไว้ก่อน ยังไม่ซื้อเพราะว่าถือไม่ไหว

“น้อง โป๊มั้ย” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของผม ผมหันไปดู เห็นเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง

“โป๊มั้ยน้อง เจ๋งๆทั้งนั้น” ชายคนนั้นถามอีก โห นี่ขนาดย้ายมาจากสนามหลวง หนังสือโป๊ก็ยังตามมา

ผมส่ายหน้าและรีบเดินหนี ขณะที่ผมเดินซอกแซกไปตามซุ้มหนังสือต่างๆ ผมไปชะงักตรงซอกแผงเล็กๆซอกหนึ่งมีหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กวางกองระเกะระกะอยู่ ภาพหน้าปกมีแต่ภาพผู้ชาย ที่หัวหนังสือมีชื่อมิถุนา มรกต นีออน ฯลฯ พร้อมกับมีป้ายเขียนด้วยลายมือตัวโตว่า ๓ เล่ม ๒๐

“อ้อ น้องชอบดูพวกนี้เหรอ” เสียงดังขึ้นที่ข้างหลังผมอีก เป็นเสียงชายหนุ่มคนเดิมนั่นเอง คงเดินตามผมมาเรื่อยๆโดยที่ผมไม่รู้ตัว คราวนี้ผมตกใจจนสะดุ้งเนื่องจากมีคนรู้ความจริงเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของผม


<แผงหนังสือสนามหลวง สวรรค์ของนักเรียนและคนรักหนังสือในยุคหนึ่ง ถ้าเป็นหนังสือทั่วไป ที่นี่มีหนังสือมือทั้งเก่าและใหม่ ทั้งไทยและเทศให้เลือกมากมาย และถ้าเป็นหนังสือแนวกวด ติว ที่นี่มีให้เลือกครบครัน และยังมีส่วนลดให้จากราคาหน้าปกอีกด้วย แม้แต่นักเรียนต่างจังหวัดก็ยังต้องมาเลือกซื้อหนังสือที่นี่ ภาพนี้ถ่ายไว้ก่อนที่แผงหนังสือที่จะถูกรื้อไม่นานมากนัก คลิกที่ตัวภาพจะเห็นภาพขนาดขยายซึ่งสามารถเห็นซุ้มหนังสือต่างๆได้>


<หลังจากที่ตลาดนัดสนามหลวงย้ายไปอยู่ที่ย่านสวนจตุจักรในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แผงหนังสือสนามหลวงยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายตามไป แม้ทาง กทม. จะพยายามผลักดันให้ย้ายตามตลาดนัดไป แต่ก็ยื้อมาได้อีกหลายปี แต่แล้วในที่สุดแผงหนังสือสนามหลวงก็เหลือแต่เพียงตำนาน โดยถูก กทม. รื้อไปในตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.๔ นี่เอง เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์รอบๆสนามหลวง ภาพนี้เป็นภาพในปัจจุบัน ถ่ายจากมุมเดียวกัน นั่นคือ จากด้านแม่ธรณีบีบมวยผม คลิกที่ตัวภาพจะเห็นภาพขนาดขยายได้>

40 comments:

Anonymous said...

เย่!! ดีใจ มารักอาอู คนแรก

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ห้าๆๆๆ อาอูครับ

ตอนนี้เจอเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาสมัยโบราณ

ถึงกับอ่านข้ามๆเลยทีเดียว

มาฮาเอาตอนท้าย

"โป๊มั้ยน้อง"

มารักอาอูเป็นคนที่สองละกัน

หลานหนิง

yo408 said...

พลาด ได้ที่3.
กะว่าจะฟันที่1กะเค้าบ้าง อย่างน้อยยังได้เหรียญทอง(ในภาษาลาว) กะเค้าซะที อิอิ

Anonymous said...

ตอนนี้ข้อมูลรายละเีอียดเพียบ
หลานๆคงไม่งง จนหลับนะ

thom

Anonymous said...

รักอาอูเป็นที่ห้า ดีอ่ะ เลขออกจะสวย (เข้าข้างตัวเองเต็มที่ อิอิ)
อ่านตอนนี้ก็คิดว่า นี่แหละ อาอูตัวจริง ให้ข้อมูลประกอบเรื่องอย่างดิบดี ได้ความรู้ใหม่ๆอีกต่างห่าง เยี่ยมจริงๆ

nai said...

ขอแซวก่อนว่า กลับเนื้อกลับตัวหรือได้ดิบได้ดี เพราะของเหม็นเหม็น หรือไม่ก็ของเหม็นนำพาไปสู่สิ่งดีดี มั้ง

ถามกันมามากนักว่า กศน.มีกี่เล่ม ตอนนี้ก็เลยออกแนววิชาการซะเกือบ 80% คงเหลือเรื่อง โป๊ไม่น้องให้อ่านนิดหน่อยตามสไตรค์ ให้ติดตามต่อ

อ่าน 2 ตอนหลัง ดีนะเป็นตัวอย่างให้แก่น้องน้อง ว่าจะหนีและแก้ปัญหากันอย่างไรดี แต่ระวังนะแฟนคลับ rrr xxx จะเฉาซะก่อน(ล้อเล่น)

นัย

nai said...

ขอแซวก่อนว่า กลับเนื้อกลับตัวหรือได้ดิบได้ดี เพราะของเหม็นเหม็น หรือไม่ก็ของเหม็นนำพาไปสู่สิ่งดีดี มั้ง

ถามกันมามากนักว่า กศน.มีกี่เล่ม ตอนนี้ก็เลยออกแนววิชาการซะเกือบ 80% คงเหลือเรื่อง โป๊ไม่น้องให้อ่านนิดหน่อยตามสไตรค์ ให้ติดตามต่อ

อ่าน 2 ตอนหลัง ดีนะเป็นตัวอย่างให้แก่น้องน้อง ว่าจะหนีและแก้ปัญหากันอย่างไรดี แต่ระวังนะแฟนคลับ rrr xxx จะเฉาซะก่อน(ล้อเล่น)

นัย

kapoom111 said...

อูครับ..อย่าท้อถอย..สูๆๆ

Anonymous said...

ประวัติศาสตร์สมัยโบราณครับ ตอนนี้มีแต่วิชาการมีเนื้อเรื่องอยู่นิดเดียวจริงๆ เรื่อง อีโรติคหายไปนานแล้ว สมาชิกเหงาหงอยไหมเนี่ย ล้อเล่นนะ แต่อ่านแล้วก็ได้ความรู้ดีในประวัติความเป็นมาของการศึกษาไทย ในยุคต่างๆ เริ่มจากยุคน้ำแข็ง เอ๊ยไม่ใช่ ขอเรียกว่าเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่จะมีการแอ็ดมิชชั่น รุ่นที่ผมเรียนยังเป็น ม.ศ.5 อยู่เลย
ments42

Choo said...

พี่ ment42 คับ. ถ้าช่วงนี้เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุค ม.ศ,5 ตอนพี่ ment ละอ่อนอยู่ คงเป็นยุคสำริดเลยมั่งคับ

ขอแซวนะคับพิ่

ชู

ปล. โป๊ไม่พี่. 55

Anonymous said...

โป๊ะแตกอ่ะ อิอิ คนขายดูออกด้วย

แบงค์ครับ

Anonymous said...

พี่ชู แซวเพื่อนยุค(สำริด)เดียวกันหรือไงครับ
นัย

คนลาดพร้าว said...

นิดนึงนะคะ..
พี่นึกว่าทันม.ศ.5คนเดียวซะอีก
ไม่คิดว่ามีบุคคลร่วมสมัยเดียวกับเรา
ส่วนเรื่องเรท..ตามสบายเลยค่ะคุณอู
ปูนนี้แระ!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ไปหาข้อมูลมานี่เอง
ข้อมูลแน่นมาก
รจ

Anonymous said...

ตอนนี้เป็นตอนที่ใช้เวลาเขียนนานมาก เพราะหาข้อมูลด้วย หารูปถ่ายด้วย เขียนเพราะอยากเขียนครับ เพราะเห็นว่ายุคนี้ไม่มีสอบเทียบ ไม่มีเอนทรานซ์แล้ว ก็เลยเขียนเอาไว้เพื่อรำลึกถึงความหลัง ขี้เกียจอ่านก็ข้ามๆไป

ที่จริงไม่ได้ตั้งใจให้ตอนนี้เป็นตอนเช็คอายุ แต่ก็ทำให้ทราบว่ามีรุ่น ม.ศ. ๕ มาอ่านด้วย ชื่นใจจังครับ พี่ชูก็... ขนาด ม.ศ.๕ ยังว่ายุคสำริด แล้วพี่ ม.๘ ที่ไหนจะกล้าแสดงตัว ขืนบอกคงโดนพี่ชูบอกว่ายุคหินเก่าเป็นแน่

ปกติสอบไล่ ม.ศ.๕ จะใช้คะแนนรวมทุกวิชา หากต่ำกว่า ๕๐% ก็สอบตก ยกเว้นปี ๒๕๑๙, ๒๕๒๐ ที่วิชาไหนตกก็ซ่อมได้ เหมือนแบบหน่วยกิต เป็นเรื่องที่อิงเหตุผลทางการเมือง พี่ ments42 กับพี่คนลาดพร้าวทันไหม ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ เดี๋ยวจะมียุคสังคโลก (หลังสำริดใช่ไหม) ในนี้แซวอีก

เรื่องเสียวๆคงมีน้อยลง ไม่เหมือนภาคก่อนๆ เป็นวัยรุ่นแล้วนะครับ อีกหน่อยก็เป็นหนุ่ม ชีวิตมีอะไรที่ต้องเรียนรู้และค้นหาคำตอบอีกมาก ชีวิตแบบเด็กๆก็คงต้องเอาทิ้งไปบ้าง

จะกลับตัวได้จริงหรือเปล่ายังตอบไม่ได้เหมือนกันเพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องตามดูกันต่อไป ใครกันนะบอกว่าได้ดีเพราะของเหม็น ลองมาขัดโต๊ะเปื้อนขี้ดูบ้างไหมจะได้เข้าใจซึ้ง

เรื่องหนีนั้นเป็นประสบการณ์ที่ผมเรียนรู้จากชีวิตจริง นั่นคือ บางอย่างเราแก้ไม่ได้ ถ้าอยู่กับมันก็ต้องตายไปกับมัน การหนีก็เป็นทางออกได้อย่างหนึ่งในบางกรณี ผมหนีมาตลอดชีวิตนั่นแหละครับ

เหตุการณ์ที่แผงหนังสือ เจเจ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ถูกคนจับได้ว่าสนใจผู้ชายด้วยกัน โป๊ะแตกนั่นแหละ อายโคตรเลย คนเยอะด้วย พูดซะดังลั่น ผมเคยโดนหลอกเงินด้วย เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าเป็นสมัยนี้คนขายจะเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ เป็นถามว่าหนังบอยไหมน้อง แทน

ขอบคุณสำหรับความรักของทุกคนครับ ถึงไม่รักก็ขอบคุณเหมือนกัน เพราะถ้าไม่รักผมก็แสดงว่ารักนัยหรือรักบอย

อู

Anonymous said...

คุณอูคะ..
ตอนอยู่ม.ศ.5ปี2523คะแนนออกเป็นเกรดแล้วค่ะ
การสอบเทียบได้ใช่จะให้ผลดีเสมอไป
บางครั้งย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองซะอีก..
เคยโดนกะตัวเองมาแล้วค่ะ!!
ป.ล.ตอนนี้เช็คอายุจริงๆด้วย..555

..คนลาดพร้าว
(ผู้เฒ่าณ.ที่แห่งนี้)

Anonymous said...

ลืมใส่ชื่ออ่ะ ที่ 5 ของผมนะ รักอาอูจัง จุ๊บๆ
Federick

Anonymous said...

ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าที่ ๕ นั้นใคร ตอนนี้รู้แล้ว

พี่คนลาดพร้าวครับ ไม่ได้ตั้งใจหลอกถามรุ่นพี่หรอก แต่ทราบว่าช่วงท้ายของยุค ม.ศ. ๕ เป็นอย่างไรเท่านั้นเอง แต่ควรระวังพี่ชู ขานั้นชอบหลอกถาม

ลาดพร้าวแถวที่ผมเคยอยู่ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ตรงแถวๆปากซอย ๒๓ ที่แต่ก่อนเป็นตลาด ตอนนี้รื้อไปแล้ว กำลังจะขึ้นคอนโด เสียดายจังครับ ถ่ายรูปตลาดเก็บไว้ไม่ทัน เผลอเดี๋ยวเดียวรื้อไปหมดเลย

ยังมีรูปเก่าๆให้นึกถึงความหลังได้อีก ผมมีรูปห้าแยกลาดพร้าวตอนยังไม่มีสะพานพาดไปพาดมาด้วย เอาไว้เมื่อมีโอกาสจะโพสต์ให้ชมครับ

หลานๆเงียบไปหลายคน สงสัยสอบ ส่วน arus คงสอบเสร็จแล้วใช่ไหม ร่าเริงมาเชียว ไปเล่นไพ่กับลุงชูอานัยมาหรือยัง

อู

Frederyk C. said...

แอบเข้ามาอ่านครับ แต่บางทีไม่ได้ comment เข้าไป
(คอมเม้นต์ล่องหน 55)

ช่วงนี้งานเต็มเลยครับ มากๆ หมกจนไฟลนก้นแล้ว เลยต้องรีบสะสางครับ ยังไง จะติดตามต่อไปนะครับอาอู
อย่างน้อย ก็เป็นกำลังใจให้อาเขียนต่อไปๆ เยอะๆ ยาวๆ นะครับ

สวัสดีปีใหม่ + ตรุษจีน + Valentine ล่วงหน้าครับ

Choo said...

อ้าว พี่อู ไงมาว่าผมชอบหลอกถามละครับ จริงๆ ผมถามตรงๆ เลยนะครับ แต่อูคิดมากไปเอง ทุกคนอย่าไปเชื่อนะครับ ขอร้องงงงงงง

พี่คนลาดพร้าว ผมคำนวณไม่ถูกเลย ปี 2523 อยู่ ม.ศ.5 ซะแล้ว ผมนะยังอยู่ประถม กำลังเรียนบรรญัติไตรยางค์อยู่เลยยยยยยครับ ก็ยินดีที่ได้รู้จักครับ

อาอู "โป๊ไม่น้อง" ซอยลาดพร้าว 23 ตอนนี้มันทะลุไป ม.ราชภัฎจันทรเกษม ซอยเสือใหญ่ ออกวังหินได้เลยนะครับ ตอนนี้มีขโมยกะโจรเยอะมาก แต่ซอย 25 รู้สึกจะเป็นซอยตัน ใช่ป่ะ

ชู

ปล. นัยก็คงอยู่ยุดสำริดเหมือนอูใช่ป่ะ ว่าแต่เมื่อไรจะเฉลยซะทีละครับ ถามไปตั้งนานแล้ว แหะ แหะ

Anonymous said...

ชอบครับ

Anonymous said...

อิอิ

รักนะครับ


ช่วงนี้ไกล้สอบแล้ว


เครียดมากมาย

อิอิ

Anonymous said...

โหย ทำไมตอนนี้มันอุดมไปด้วยเนื้อหาขนาดนี้ ยังกับเรียนประวัติศาสตร์การศึกษาไทยเลยอ่ะ 55 แต่สมัยก่อนดีนะครับ มีสอบเทียบด้วยอ่ะ สมัยนี้มันอะไรไม่รุ วุ่นวาย =_= ช่วงนี้สอบเยอะมากกกกกกกกคับ เดะอาทิดหน้าก้มีสอบ o-net อีก เฮ้อ เหนื่อย

จำได้ว่าตอนสมัยอานัยยังยุมียุตอนนึง ที่อาอูเอาเพลง my love is like a red red rose มาให้ฟังกัน วันนี้ผมเอามาให้ฟังบ้างนะครับ แต่อันนี้เปนเสียงของนักร้องหญิงที่ผมว่าร้องเก่งมาก eva cassidy เอาไปฟังกันนะครับ เพราะมาก
http://www.youtube.com/watch?v=gpXbSJCh0KQ

ช่วงนี้ผมยังตามอ่านยุครับ ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่มันไม่ค่อยมีเวลาเม้นเท่านั้นเอง คิดถึงทุกๆคนครับ

ปล.ขอบคุณอาอูครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

Anonymous said...

ฉงไฉมานานว่าพี่อูอายุเท่าไหร่
เอด.... พอบอกว่าแผงสนามหลวงย้ายไปราว 2528 ตอนพี่อูอยู่ ม. 4 (อายุ 15 - 16 ปี) แหะๆ ต้องเีรียกอาอูซะแล้น

ไว

Anonymous said...

มีบอยด้วย!!~

งั้นแปลว่าอาบอยเป็นพระเอกเหรอครับ?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

จริงๆแล้วผมไม่อยากบอกว่าผมเรียน ม.ศ.5ประมาณปี 2519 รุ่นแรก ที่เรียนเป็นเกรด ที่เปลี่ยนจากที่ต้องสอบให้ได้คะแนน 50 % จึงจะสอบผ่านม.ศ.5 ได้นั้นแหละ ยังมีรุ่นพี่ที่สอบไม่ผ่าน 50% มาเรียนรุ่นเดียวกับผมเลย ขนาดบอกว่าเรียน ม.ศ.5 ยังโดนว่าอยู่ในยุคสำริดเลย แล้วนี่ถ้ารู้อย่างนี้จะอยู่ในยุคใหนกันละเนี่ย แต่ที่สำคัญอยากรู้ว่าคุณชูอยู่ยุคไหนกันแน่
ments42

Anonymous said...

ตอนที่ผมเรียนมหาลัยปี1 ผมเคยพักอยู่แถวลาดพร้าวซอย 1 ตอนนั้นเซ็นทรัลลาดพร้าวยังไม่มีเลย ตรงที่เป็นเซ็นทรัลยังเป็นที่ว่าง เขาเอาไม้ซุงท่อนใหญ่ๆมาว่างไว้ นึกถึงภาพในอดีต รถรายังไม่ติดเหมือนปัจจุบันนี้ อยู่ลาดพร้าวจะไปไหนก็ยังไปสบายๆ จำได้ว่าหนังของ เปี้ยกโปสเตอร์ เรื่อง วัยอลวน ที่ไพโรจน์ สังวรีย์บุตรกับ ลลนา สุลาวรรณ แสดง ดังมากๆ คิดเอาก็แล้วกันว่าขนาดนี้แล้ว ผมเชื่อว่าน้องๆ หรือหลานๆบางคนยังเป็นวุ้นอยู่เลยหรือเปล่า เอ๊ะแล้วจะมาบอกให้คนอื่นเค้ารู้ทำไม เดี๋ยวคุณชูก็หายุคให้อีกเท่านั้นแหละ
ก็อย่างนี้แหละครับ ค่อนข้างจะ สว.นึกถึงความหลัง อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า ยิ่งตอนที่ได้อ่านเรื่องที่อูเขียนตอนที่ผ่านๆมา ทำให้นึกถึงภาพในอดีตชัดเจนขึ้นมา แต่ก็ดีใจที่ยังมีคุณลาดพร้าวที่ยังพอใกล้เคียงกัน แล้วอูละ เปิดเผยได้หรือยังว่าอยู่ในยุคไหน
ments42

Anonymous said...

นี่ไม่มีใครคิดว่าอูเป็นพระเอกบ้างเลยหรือ T_T'

Anonymous said...

ชูวับ ชูวับ ชูวับ ชูวับ

ชูวับ ชูวับ โว้โวโว...


สาวหนึ่งงามสดใส
เยื้องกรายเดินผ่านมา
พบเธอที่อินทรา
ลักษณางามสมใจ

เอ๊ะเธอจะไปไหน
เอ๊ะเธอพูดกับใคร
เอ๊ะเธอพูดอะไร
เอ๊ะใยเธอยิ้มมา

เอิ๊กๆ

Anonymous said...

ตอนคุณments42อยู่ปี1
คุณอูคงอยู่ป.1กระมังคะ
คำนวณแล้วคุณอูน่าจะประมาณ41ขวบ
ตอนนี้เช็คอายุ..ตอนหน้าจะเช็คชื่อแล้วน้า..
เม้นท์ที่29น่าจะทันวัยอลวนเหมือนกันนิ
ร้องซะคล่องเชียว..!!
ป.ล.งานนี้มีโล่แจกบรรดาส.ว.ป่าวเอ่ย?

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

แวะมาแซว

กลับสู่บอร์ดผู้สูงวัยอีกครั้ง 555+

หลานหนิง

Anonymous said...

)^_^(ที่32 อ่าน2รอบเลยน้ายังวื้นวืออยู่เลยครับ ลุงนี่สุดยอดตั้งใจเขียนจริงๆ ศิษย์หลานขอนับถือ เม้นบนหัวนี่อายุรวมน่าจะมากกว่า500ปีละมั้ง หุหุดีใจกับลุงด้วยที่ท่านสว.เข้ามาเม้นอย่างมีความสุขกันนะครับยังไงมาบ่อยๆนะครับลุงเขาชอบคุยกับคนวัยเดียวกันมากกว่าคุยกับผมซะอีก ดูรูปแล้วรูปป้จจุบันมีตู้โทรศัพท2ตู้ แต่ต้นไม้ใหญ่นี่เดิมๆ ไม่บอกน้องบอยเรื่องอี้ แต่ผมว่าบอยต้องรู้แล้วแน่น้อลอืมผมว่างั้นนะขนาดบีบมือกันนี่บอยมันต้องคอยแอบดูลุงอยู่บ้างละนะ

Anonymous said...

บางครั้งอายุก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามาตรวัดระยะทางบนเส้นทางของเราเท่านั้น สำหรับบล็อกนี้ ตอนนี้ทุกคนร่วมทางกันอยู่ เคารพและให้เกียรติกันและกัน ส่วนใครจะผ่านหลักกิโลที่เท่าไรมาแล้วบางทีมันก็ไม่มีความสำคัญกับการที่เราจะร่วมทางไปด้วยกันอย่างมีความสุขหรอกครับ

หลานที่สามสิบสองคงเข้าใจผิด ลุงไม่ได้ชอบคุยกับรุ่นเดียวกันมากกว่าหลานๆหรอก ที่จริงลุงก็คุยกับทุกคน เพียงแต่ว่าช่วงนี้หลานๆสอบกันอยู่ ใครไม่สอบก็เลยคุยกันเองมากหน่อยเท่านั้นเอง

ตั้งแต่เด็กแล้ว ลุงชอบคุยกับผู้ใหญ่กว่า เพราะรู้สึกว่าได้ความคิดและความรู้ดี อย่างลุง ments42 ของหลานนี่พอลุงรู้รุ่นลุงนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรกรู้ไหม ลุงนึกทึ่งทันที เพราะลุงว่า พี่ ments42 ของลุงคนนี้ต้องผ่านเหตุการณ์ ๑๔ ตุลามาด้วยแน่ๆ ตอนนั้นลุงเองเพิ่งหัดพูดอยู่มั้ง อยากฟังเรื่อง ๑๔ ตุลาจากคนในเหตุการณ์ว่าไปพบเห็นอะไรมากบ้าง (ว่างๆเล่าให้ฟังบ้างนะครับ)

ต่อมาพอโตแล้วก็ยังชอบคุยกับผู้ใหญ่กว่า ด้วยเหตุผลเดิม และก็ชอบคุยกับคนที่อายุน้อยกว่า เพราะว่าทำให้เรารู้เกี่ยวกับโลกทรรศน์ใหม่ๆที่เราไม่เคยมีมุมมองแ บบนั้นมาก่อน สรุปว่าคนที่ลุงคุยด้วยน้อยที่สุดเป็นรุ่นเดียวกันนั่นเอง เล่ามาเสียยาว

มีใครมาแอบร้องเพลงวัยอลวน หลานหนิงเห็นเลยโดดเข้าใส่เลย หาว่าสามคนสองร้อยเสียได้ ที่จริงวัยอลวนวัยรุ่นยุคนี้ก็รู้จัก เพราะว่าเพิ่งฉายไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ภาคเท่าไรนะ จำไม่ได้เหมือนกัน

มีเพลงเพลงหนึ่ง ตอนแรกไม่รู้จะฝากใครดี เพราะหลานๆอาจไม่รู้จัก พี่คนลาดพร้าวอาจไม่สนใจเพลงนี้เท่าไร ฝากพี่ ments42 กับ ktb ละกัน ขออุบไว้ก่อนนะครับ อีกไม่นานจะบอก หลอกให้ตามอ่านไปยังงั้นแหละ พี่คนลาดพร้าวทายเกือบถูก ตอนที่พี่ ments42 อยู่ปีหนึ่งนั้นผมกำลังเรียนอนุบาลอยู่ครับ ไม่ใช่ประถม

อ้อ ตอบหลานที่ ๓๒

เรื่องเหม็นๆบอยไม่รู้หรอก เรียนคนละตึกกัน ถ้ารู้ละก็คงเสียหน้ามากเลย ตัวเองยังถูกข่มเหงแล้วจะปกป้องรุ่นน้องได้ยังไง อยากให้มันมีแต่ความทรงจที่ดีๆเอาไว้

แล้วที่หลานเคยถามเรื่อง รด. ลุงก็ลืมตอบเสียทุกที ก็เรียนเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ที่ไม่ได้เล่าเพราะว่าตอน ม.๔ มันไม่ค่อยมีอะไร อีกทั้งเรื่องอื่นที่เล่ามาก้ยาวมากแล้ว เลยตัดๆออกไปบ้าง แต่ว่าตอน ม.๕ นี้มันมีประเด็นอยู่เหมือนกัน เอาไว้จะเล่าให้ฟังครับ

อู

naja said...

เรื่องแผงหนังสือที่สนามหลวงอ่ะ

จำได้ว่าตอนผมอยู่ ม.1 (ปี 2529) ยังมีอยู่เลย

ประโยคฮิตเลยว่า "โป๊มั๊ยน้องๆ"

แถมเพิ่งเคยเห็นหนังสือโป๊ผู้ชายก็ตอนนั้นเอง
ไปฟอร์มเปิดๆพลิกดูที่แผง ใจงี้เต้นตึ่กๆ

555

Anonymous said...

ตอน 14 ตุลาผมอยู่ ม.ศ.1 แต่ก็ดูเหตุการณ์จากทาง tv เพราะเรียนอยู่ต่างจังหวัด
แต่ตอนนี้ สว.ได้ยึดพื้นที่ไว้หมดแล้ว แต่ ผบ.สว.
พ.อ.อ.ชู หายไปใหนไม่มาบัญชาการละครับ(แซวเล่นนะครับ)
ยินดีนะครับที่มีเพื่อนคุย ผมว่าคุณชูก็คงไม่ห่างจากผมเท่าไรนักใช่ไหม อย่าเอาแบบอูนะ พอรู้ว่าผมเรียนอยู่ปี 1 เลยเอาตัวรอดว่ายังเรียนอยู่อนุบาลเลย(ล้อเล่น) แต่ก็สงสัยว่าถ้าอยู่อนุบาลจริงทำไมถึงจำเหตุการณ์ต่างๆได้มากกว่าผมอีก
ments42

Anonymous said...

อ่านะ

กระทู้นี้ ส.ว. คึกคักจัง แอบอ่านมานาน ไม่ค่อยเม้น แต่ชอบ ส.ว. ครับ อิอิอิ อบอุ่นดี อ่านที่คุณอา คุณลุง คุณป้า เรียกป้าดีป่ะคับ หรือเรียนคุณอาดีก่า เห็นเม้นแล้วอดแจมไม่ได้ ชอบฟังเรื่องเล่าเก่าๆคับ ที่ชอบเรื่องของอาอูเพราะมีเรื่องเก่าๆเล่าให้ฟังเยอะ เสียวด้วย 555

ไปละค้าบ

เดียว

Anonymous said...

เรียกอะไรก็ได้ค่ะหลานเดียว..
แต่หากจะเรียก"คุณยาย"
ขออีกหลายๆปีหน่อยแล้วกัน..555

..คนลาดพร้าว..
(อาวุโสฝ่ายหญิง)

Choo said...

รายงานตัวครับ พี่เม้นต์ 42 ตอนนี้น่าจะถึงเม้นต์ของพี่แน่แน่ครับ พวกเราอย่าลืมละเม้นต์ที่ 42 ถ้าถึงมีคนจองนะครับ แล้วก็ ซาหวัดดีครับ ซือเจ๊คนลาดพร้าว

กลายเป็นเม้นต์สืบอายุพวก สว.รุ่นสำริด กันแล้ว เอาอายุ สว.5-6 คนมารวมกันอาจได้เกือบ 300 เอานะครับ อันตรายจริงๆ ถ้าวันไหนมีพี่ ม.8 มาเซย์ฮัลโหลเมื่อไร สงสัยจะมีเฮครับ

ผมไม่ได้ไปไหนนะ มาเม้นต์ให้อูตั้งแต่เริ่มภาค 3 เม้นต์มาทุกตอนครับ ตรวจสอบได้ครับ แต่ผมทำดีไม่ค่อยขึ้นครับ เพราะเป็นรุ่นเดียวกับพี่เต้ คู่แค้นของอูเข้าละ อูก็เลยไม่ปลื้มครับ ก็เลยมีปากเสียงกับอูอยู่บ่อยๆ

อายุผมก็อยู่ที่ อายุอู + 1.75 ได้กะมั๊งครับ ตอนที่อูโดนถามว่า "โป๊มั๋ยน้อง" ที่เจเจ ผมก็คงกำลังร้อง "เอี๊ย เอี๊ย เอี๊ย" อยู่ที่เข้าชนไก่พอดี เวลานั้นไปเฉพาะ นศท.ปี 3 ไป 7วัน กำลังโดนทำโทษเอานิ้วล้างส้วม ก็เวลาใกล้เคียงกับที่อูล้างโต๊ะพอดี ดังนั้นผมก็เป็นน้องพีเม้นต์หลายอยู่ครับ ตอนพี่อยู่ มศ.5 ปี 19 ผมก็กำลังเรียน มานี มานะ อยู่กะมั๊ง อูก็เรียนอนุบาล ก.ไก่ ข.ไข่ นอนกลางวันขี้มูกไหล อึรดกางเกงอยู่เลย

แต่ที่อูรู้ไปหมดก็เพราะอูเป็นกูรูไงครับพี่ รู้ทุกอย่าง ไม่รู้อยู่อย่างเดียวครับ ???

ว่าแต่น้องๆ หลานๆ รู้จักแบบเรียน มานี มานะ หรือเปล่า ยังไงอูหรือพี่ๆ ช่วยมาเฉลยหน่อยนะ

ชู

ปล. นัยชอบทำไรลอยตัวนะครับ ออกมาช่วยอูบ้างนะ ช้าเดี๋ยวได้เคลียร์กับอูยาวครับงานนี้

Anonymous said...

พูดถึงมานีมานะ เราเรียนเป็นรุ่นรองสุดท้ายเลยค่ะ

รจ

Anonymous said...

สรุปว่า ลุง ment32 50ปี
ป้า คนลาดพร้าว 50++
อา ชู 43+-
อา อู 40+-
ส่วน ผม 10 ต้นๆ

แหม่! ส.ว. บล็อกนี้ หลากอายุจิงๆ

ไว