Thursday, January 21, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 44

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อไปถึงห้องเรียน ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือเวชและพวกกำลังนั่งลอกการบ้านกันอยู่ ผมเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง สายตามองไปรอบข้าง เวชก้มหน้าก้มตาทำการบ้านทำทีเป็นไม่สนใจกับการมาถึงของผม นั่นยิ่งทำให้ผมหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น

เมื่อไปถึงเก้าอี้เล็กเชอร์ซึ่งผมเอามาใช้ชั่วคราว ผมก็พยายามมองว่ามีกับดักอะไรอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจึงวางเป้ลง เพื่อนๆมองผมแล้วก็ทำหน้ายิ้มๆ ไม่รู้ว่าแอบสงสารหรือว่าแอบสมเพชกันแน่

ผมขอแรงนนกับแมนให้ช่วยผมยกโต๊ะตัวเดิมของผมขึ้นมาจากชั้นล่างเพื่อเอามาใช้ตามเดิม โต๊ะแห้งดีแล้ว แต่ที่ไม่แน่ใจคือเรื่องกลิ่น เพราะว่าเมื่อผมนั่งที่โต๊ะจมูกมักได้กลิ่นขี้อยู่ตลอดเวลา

“มึงล้างโต๊ะสะอาดแน่หรือเปล่าวะไอ้อู” ไอ้กี้ถามผมขณะที่นั่งเรียนในช่วงเช้าขณะที่เปลี่ยนคาบและรออาจารย์ มันทำจมูกฟุดฟิด

“ทำไมเหรอ” ผมถามกลับ ต้องการให้มันพูดออกมาเอง อยากรู้ว่ามันรู้สึกอย่างเดียวกับที่ผมรู้สึกไหม

“กูว่ากูยังได้กลิ่นขี้อยู่นะ” กี้พูด

“อุปาทานมั้ง” ผมพยายามโน้มน้าวมัน แต่ที่จริงแล้วผมก็ว่าผมยังได้กลิ่นอยู่เหมือนกัน

“ไม่รู้ดิ โอ๊ย” จู่ๆไอ้กี้ก็แหกปากร้อง “หมาตัวไหนปาหัวกูวะ”

หลังจากที่กี้โวยวาย ผมเห็นบนโต๊ะเรียนของมันมีชอล์คเล็กๆชิ้นหนึ่งตกอยู่ คงมีใครบางคนปาชอล์คใส่หัวไอ้กี้

“เฮ้ย โทษที” เกรียงพูด “ปาผิดว่ะ”

แค่เกรียงบอกว่าปาผิดก็เป็นที่รู้กันแล้วว่าถ้ามันปาถูกชอล์คชิ้นนั้นจะไปถูกหัวใครเข้า

“เฮ้อ ไอ้เหี้ยอู มึงทำกูเดือดร้อนไปด้วยเลยเห็นไหม ต้องมาถูกลูกหลงแทนมึง” กี้บ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ “กูบอกแล้ว คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เสือกไปคบกับไอ้พวกห่านั่น”

“เฮอะ มึงคบบัณฑิตหวังประโยชน์” นน จอมมารดำ นักอำประจำห้องหัวเราะขำ พูดสอดขึ้นมา “บัณฑิตเค้าก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน แล้วบัณฑิตที่ไหนจะยอมคบควายอย่างมึงเป็นเพื่อนวะ”

“มึงไม่ต้องเสือกเลย” ไอ้กี้หัวเราะกับเหตุผลของนน

แม้แต่ผมเองก็อดขำไม่ได้ จริงของนน เพราะว่าถ้าทุกคนพยายามคบแต่คนที่ดีกว่าเป็นเพื่อน แล้วใครจะมายอมคบกับคนที่ด้อยกว่า ถ้าเลือกคบเพราะว่าใครอำนวยประโยชน์ให้แก่เราได้ คำว่าเพื่อนก็คงไม่ได้แปลว่าเพื่อนอีกต่อไป

ผมรู้สึกขำกับคำพูดของนนได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหวนกลับมาสู่สภาพความจริงอีก ดูท่าเวชและพวกคงยังไม่หายเคืองผม แถมผมยังพลอยทำให้เพื่อนคนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปนานๆผมคงประสาทกินแน่

โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่ผมรัก ตลอดสี่ปีมานี้ได้ให้อะไรแก่ผมมากมาย ชีวิตวัยรุ่นในโรงเรียนนี้แม้ไม่ได้ราบรื่นโดยตลอด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีสีสันมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต มีความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นที่นี่ ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย ทั้งหวานและขมขื่น...

แม้ว่าผมจะรักที่นี่มากก็ตาม แต่สักวันหนึ่งผมก็ต้องจากที่นี่ไปตามครรลอง เดิมทีผมคิดอยากเรียนอยู่ที่นี่จนจบ ม.๖ แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าเวลาของผมที่นี่ใกล้หมดลงแล้ว... ใช่แล้ว ผมอยากไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตในที่แห่งใหม่ ผมอยากจะหลุดพ้นจากอดีตที่คอยตามหลอกหลอนผม หลายปีมานี้ชีวิตของผมดูเหมือนจะวนเวียนอยู่ในวังวนของความทุกข์ในอดีตจนผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้เลย เรื่องของเวชและพวกที่จริงแล้วเป็นเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ผมจะแบกรับเอาไว้ได้เท่านั้น สาเหตุสำคัญของความทุกข์ก็คือเรื่องของไอ้นัยมากกว่า เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเผชิญการติเตียนจากมโนธรรมของตนเองมาตลอด

- - -

พักเที่ยงวันนั้น ผมพยายามเดินหาตี๋ ที่จริงชั้น ม.๔ ก็มีกันอยู่เพียงสองชั้นในตึกนี้ ผมกับตี๋ปกติก็เดินสวนกันบ่อยๆ ดังนั้นการหาตัวมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้ที่ผมหาตัวมันเพราะมีเรื่องที่จะคุยกับมันเป็นพิเศษ

“เฮ้ย ไอ้ตี๋ เป็นไงบ้าง” ผมทักมันในขณะที่พวกนักเรียน ม.๔ กำลังเดินไปทางโรงอาหาร ผมรีบมาดักรอตี๋แถวหน้าห้องของมันตั้งแต่ตอนหมดคาบ เมื่อเห็นมันก็เดินตามไปแล้วทำเป็นเนียนเหมือนกับว่าเราเจอกันโดยบังเอิญ

แม้ว่าตี๋จะจะดูสูงขึ้นและหน้าตาไม่ใสเหมือนตอน ม.ต้น แล้ว แต่นอกนั้นตี๋ก็ยังเป็นตี๋คนเดิม โดยเฉพาะการแต่งตัว ตี๋ยังแต่งกายด้วยชุดนักเรียนเก่าๆ รองเท้าผ้าใบที่ขาดจนนิ้วก้อยโผล่

“ก็เรื่อยๆ แล้วมึงล่ะเป็นไง” ตี๋ตอบ

“ก็เรื่อยๆเหมือนกัน” ผมพูด

“เรื่อยห่าอะไรของมึง โดนเสียขนาดนั้น” ตี๋พูด

ผมอึ้งไป ไม่นึกว่าตี๋จะรู้เรื่องนี้ด้วย

“มึงรู้ด้วยเหรอวะ” ผมถาม

“มึงถามใหม่ว่า ม.๔ ทั้งระดับใครไม่รู้บ้างดีกว่า ไอ้อ๊อดมันก็รู้ เมื่อเช้าเจอมันมันยังบ่นสงสารมึงเลย” ตี๋พูด อ๊อดนั้นก็คือเพื่อนสนิทที่นั่งติดกับผมตอนเรียนอยู่ชั้น ม.๒ นั่นเอง “เรื่องเหม็นๆแบบนี้ใครจะไม่รู้วะ”

คำพูดของตี๋ทำให้ผมสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองไปมาก ผมมองไปรอบๆตัว นักเรียนชั้น ม.๔ ที่กำลังเดินไปโรงอาหารด้วยกันเหล่านี้รู้เรื่องของผมกันทั้งหมด ผมอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผมเริ่มคิดว่าทุกคนที่อยู่รอบตัวผมกำลังมองผมด้วยสายตาแปลกๆทั้งๆที่เมื่อสักครู่นี้ผมไม่ได้คิดอะไรเลย

“เฮ้ย แต่มึงโคตรอึดเลยว่ะ” ตี๋ชม ผมรู้ว่ามันชมจริงๆ ไม่ได้ประชด “ทนได้ขนาดนี้เก่งมาก”

“แล้วมึงท่องหนังสือไปถึงไหนแล้ววะ” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด วกมาที่เรื่องที่ผมต้องการจะรู้

“ก็ดูทุกวันนั่นแหละ วันเสาร์ก็ไปติวและพบอาจารย์” ตี๋พูด

“วันเสาร์พบอาจารย์ที่ไหนวะ” ผมงง

“ก็ที่เรียนสอบเทียบไง” ตี๋ตอบ

นี่แหละคือเรื่องที่ผมต้องการจะรู้ นั่นคือ เรื่องการเรียน กศน. หรือว่าการศึกษานอกโรงเรียน แต่ก่อนเรียกว่าศึกษาผู้ใหญ่ ต่อมาเรียกว่าการศึกษานอกโรงเรียน แต่พวกนักเรียนมักเรียกกันว่าสอบเทียบเพราะจะมีการสอบเพื่อเทียบชั้น ม.๖ ผู้ที่สอบเทียบชั้น ม.๖ ได้ก็ไปสมัครสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้เลยโดยไม่ต้องรอให้จบชั้น ม.๖ จากโรงเรียนสามัญ

เมื่อตี๋พูดเรื่องการเรียน กศน. ขึ้นมา ผมจึงได้โอกาสชวนตี๋ไปนั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกันและคุยเกี่ยวกับเรื่องการเรียน กศน. ใช่แล้ว... ช่องทางการหนีไปจากที่นี่ของผมไม่ใช่การหนีกลับต่างจังหวัด แต่คือการสอบเทียบ ม.๖ ให้ได้และรีบเข้ามหาวิทยาลัยโดยเร็วนั่นเอง

ที่จริงไอ้กี้และเพื่อนอีกหลายคนในกลุ่มไอ้เฉาก็เรียน กศน. อยู่ แต่ผมไม่อยากถามเพื่อนๆในห้อง เพราะถ้าเพื่อนในห้องรู้เข้ามันคงเดาออกว่าผมคิดจะเรียนเพราะอะไร มันก็เสียหน้าอยู่ ผมจึงเลือกที่จะถามเอาจากตี๋แทนเนื่องจากมันก็เรียนเช่นกัน แต่ว่าการถามจากตี๋นั้นผมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง เพราะว่าถ้าตี๋รู้ว่าผมต้องการเรียน กศน. และสอบเอนทรานซ์เมื่อจบ ม.๕ แบบมัน มันก็คงจะเอาหนังสือติวทั้งหมดที่ผมให้มันไปคืนแก่ผมเนื่องจากนิสัยมันเป็นคนขี้เกรงใจ ดังนั้นผมจึงต้องเลียบๆเคียงๆถามเพื่อไม่ให้มันรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร

การเรียนและสอบเทียบชั้น ม.๖ กับ กศน. นั้นต้องไปสมัครเรียนตามศูนย์ กศน. ซึ่งมีอยู่หลายที่ จากนั้นก็เอาหนังสือมาเรียนด้วยตนเองเป็นหลัก แล้วไปเข้ากลุ่ม ทำกิจกรรม ติว และพบอาจารย์เพื่อซักถามปัญหาเกี่ยวกับวิชาที่เรียนในวันหยุด วิชาที่ต้องสอบมี ๘ วิชา มีทั้งสายวิทย์คณิตและสายศิลป์ ใครสอบผ่านครบทั้ง ๘ วิชาก็เท่ากับจบชั้น ม.๖ สามารถนำวุฒิ ม.๖ ไปสมัครสอบเอนทรานซ์ได้

นักเรียน ม.ปลายสายสามัญที่ต้องการเรียนลัดให้จบเร็วขึ้นมักวางแผนการเรียนโดยให้จบ ม.ปลายภายใน ๒ ปี นั่นคือ ตอนอยู่ชั้น ม.๔ และ ม.๕ ก็เรียน กศน. รวมทั้งเตรียมสอบเอนทรานซ์ไปด้วย โดยให้สอบเทียบจนจบ ม.๖ ภายในสองปี แล้วเอาวุฒิ ม.๖ กศน. ไปสมัครสอบเอนทรานซ์ ถ้าทำได้สำเร็จตามแผนก็เท่ากับว่าเรียนเร็วกว่าเพื่อนๆหนึ่งปี แต่ก็มีบางคนที่เรียนเก่งมากๆ เมื่อขึ้น ม.๔ แล้วก็สามารถเรียน กศน. จนจบและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะดีๆอีกด้วยโดยใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้ามีก็มักเป็นข่าวดัง

เมื่อรู้รายละเอียดพอสมควรแล้วผมก็เดินหน้าต่อไปทันที หลังเลิกเรียนวันนั้นผมแวะลงที่สะพานควายเพราะจำได้ว่าที่นั่นมีศูนย์ กศน. อยู่แห่งหนึ่ง นั่งรถผ่านไปมาอยู่หลายปีเห็นป้ายอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยนึกว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาใช้บริการ

ผมไปขอรายละเอียดกลับมาก่อน ยังสมัครไม่ได้ ต้องรอให้เปิดเทอมใหม่เสียก่อน ถึงแม้วันนี้จะสมัครไม่สำเร็จแต่ก็ถือว่าวันนี้มีความคืบหน้ามากทีเดียว

- - -

ดึกแล้ว...

อากาศหนาวยังปกคลุมกรุงเทพฯอยู่ ผมใส่ชุดวอร์ม แถมยังต้มน้ำด้วยเตาไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นในห้อง ผมปิดดวงไฟและนั่งฟังเพลงอยู่ในความมืด ปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ

ผมใช้เวลายามดึกอันเงียบสงัดไปกับการครุ่นคิด ผมหวนคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมา รู้สึกว่าวันนี้เพียงวันเดียวได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิตของผมมากมาย

ผมหวนคิดถึงบ้านที่ใหญ่โตของเวช ผมเริ่มมีความใฝ่ฝันขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าผมเรียนได้เร็วขึ้นอีกปีหนึ่ง ผมก็คงจบเร็วขึ้น ทำงานหาเงินได้เร็วขึ้น ก็คงไม่เลว ผมควรจะเรียนอะไรดีที่ประกอบอาชีพแล้วมีความก้าวหน้า มีความสำเร็จ มีความร่ำรวย เรียนแพทย์ดีไหม หรือเรียนวิศวฯดี บัญชีก็คงใช้ได้... เมื่อมีอาชีพ มีเงิน มีความสำเร็จ จากนั้นเกียรติและความมีหน้ามีตาก็คงตามมา แล้วชีวิตก็คงสมบูรณ์แบบ...

คิดไปก็น่าขำ ชีวิตนั้นไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ความปรารถนาดีของอาจารย์วารีที่ต้องการให้พวกเรามีมานะพยายามทำเกรดให้ดีขึ้นได้กลายเป็นผลร้ายต่อผม แต่ในผลร้ายนั้นก็ทำให้ผมได้คิดและมองเห็นช่องทางที่จะหนีจากชีวิตแบบเดิมๆที่ไม่เอาไหน แม้มันจะไม่ใช่วิธีที่เห็นผลทันใจนัก เพราะว่าผมไม่สามารถหนีได้ในทันที ยังต้องทนเรียนในชั้น ม.๕ อีกปีหนึ่ง แต่เท่าที่คิดออกในตอนนี้วิธีนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว ถ้าทำได้ผมจะก้าวออกจากโรงเรียนนี้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แบบคนขี้แพ้ไม่เอาไหน ตกลงผมก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าที่จริงความคิดของอาจารย์เป็นผลดีหรือผลร้ายกันแน่ หรือว่าดีหรือร้ายอาจขึ้นกับมุมมองก็ได้

ในตอนนี้ผมขอมองในด้านดีเอาไว้ก่อน ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่มาคิดอีกที... นั่นมันไม่ใช่ความถนัดของผมเลย ความถนัดของผมเท่าที่ผ่านมาคือการเปลี่ยนโอกาสให้เป็นวิกฤตต่างหาก หรือว่าผมตัดสินใจผิดอีกแล้ว?

ในท่ามกลางคืนอันหนาวเย็นและเงียบสงัด เสียงเปียโนจากเพลง Varitions on the Kanon by Johann Pachelbel ทำให้อารมณ์เหงาเข้ามาครอบคลุมจิตใจของผม ผมหวนคิดไปถึงคนที่ให้เทปม้วนนี้แก่ผม... แล้วบอยล่ะ ผมจะทำอย่างไรต่อไป ความสำเร็จในการเร่งเรียนของผมเท่ากับทำให้เวลาที่ผมจะอยู่ร่วมกับบอยที่โรงเรียนนี้เหลือสั้นลง แล้วมันจะคุ้มกันไหม? อีกทั้งผมกำลังคิดหนีอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหนีเวชและเกรียงก็อาจพอมีหวังสำเร็จ แต่ถ้าจะหนีจากมโนธรรมที่คอยติเตียน วิธีนี้จะทำให้ผมหนีพ้นได้จริงหรือ

ในสมองของผมสับสนและเต็มไปด้วยคำถาม มีคำถามอีกมากที่ผมต้องครุ่นคิดหาคำตอบ...



<เมื่อไปถึงห้องเรียน ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือเวชและพวกกำลังนั่งลอกการบ้านกันอยู่ ผมเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง สายตามองไปรอบข้าง เวชก้มหน้าก้มตาทำการบ้านทำทีเป็นไม่สนใจกับการมาถึงของผม นั่นยิ่งทำให้ผมหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น>

20 comments:

Anonymous said...

หวัดดีครับคุณอู ผมว่าน่าจะรุ่นใกล้ๆกันครับแต่โรงเรียนเขตเดียวกันมั้งครับ ติดตามคุณอูต่อไปครับ
โอมครับ

Anonymous said...

มาเร็วมากรีบมาโพสต์ก่อน รักอาอูเป็นที่สอง อิอิ
Oliver

Anonymous said...

ตอนที่แล้วเล่นกันแรงเกิน ไม่ไหวอ่ะ แหวะๆๆ ผมว่าตอน ม.ปลายเป็นอะไรที่ผมมีปัญหากับชีวิตมากอ่ะ แต่พออ่านเรื่องอาอูแล้ว ผมยังโชคดีกว่ามากมายนัก ว่าแต่ถ้าเอาอาอูเอารูปตัวเองมาลงก็ดีนะฮะ อยากเห็นมานานแล้ว
ป.ล.แล้วที่บอกหลานที่หนึ่งว่า ใส่เสื้อ XXL กับกางเกงเบอร์ 40 จริงป่ะอ่ะ เพราะเท่าที่อ่านมาตั้งแต่ตอนแรก ไม่ใช่แบบนี้ แกล้งตอบอ่ะเปล่าครับ อาอู
Oliver

Choo said...

แซวก่อน กศน.คือ การศึกษานอกโรงเรียน แต่คุ้นๆ นัยเคยบอกว่า กศน.คือ การศึกษานอกลู่นอกรอย

อะไรละครับ ที่จะทำให้อูรู้สึกผิดน้อยลงหรือชดเชยได้บ้าง จากมโนธรรมที่คอยติเตียนอูในเรื่องของนัย

สงสัยต้องพึ่งทางธรรมบ้างแล้วละครับ

เป็นกำลังใจครับ

ชู

Anonymous said...

มารักอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อ๋อคือการศึกษาผู้ใหญ่ที่อ่านเจอในบทความของคุณ
กิเลนประลองเชิงนี่เอง แต่เขาบอกว่าเรียนแค่ห้าเล่ม
เองนี่นา

สองปีที่แล้วที่อาอูบอกว่ามีช่วงที่หนี
พวกผมก็ิดว่าหนีออกจากบ้าน แต่จริงๆแล้ว คือหนี
แบบนี้เองเหรอเนี่ย
หนีแบบผู้ดี หนีแบบเด็กเรียนนะนั่น...

ต้องติวหนังสือให้คนที่จะสอบ ONet สัปดาห์หน้า
ด้วยล่ะ แอบเครียดจัง
แต่สอบเทียบที่ผมเคยได้ยินคำนี้นะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

หนีอย่างนี้นี่เอง

แอบเชียร์ให้นายอูจบเร็วๆนะครับ อาอู

หลานหนิง

Anonymous said...

สวัสดีครับอู
ที่ว่ามีจุดเปลี่ยนหรือหักเหนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงอันนี้ใช่ไหม ถ้าใช่ ขอบอกว่านายแน่มาก คิดดีในการหาทางออก ขอชมเชยในการตัดสินใจครั้งนี้
คงไม่ต้องรอให้ถึงCOMMENTS42หรอกนะ อันนี้จะเป็นก่ยืนยันได้หรือยังว่ายังติดตามอ่านอยู่ตลอด ขอให้โชคดีนะอู
ments42

Anonymous said...

เหมือนชีวิตจะดีขึ้น
เมื่อชีวิตมีเป้าหมาย
มันก็ดูมีคุณค่า

Anonymous said...

^
^
tl000

Anonymous said...

วิกฤติ เป็น โอกาศ

thom

คนลาดพร้าว said...

สวัสดีค่ะคุณอู..
เพิ่งเจอเรื่องของคุณอูเมื่อไม่นานมานี้
อดตาหลับขับตานอนอ่าน..
บางคืนเข้านอนพร้อมคราบน้ำตา
ช่างเล่าเหลือเกินนะคะเนี่ย..
จะตามอ่านตลอดไปค่ะ
จาก..คนลาดพร้าว

Anonymous said...

)^_^(ที่1+12 น้องบอยน่าจะต้องรู้เรื่องที่ลุงโดนแกล้งแน่เลย ตานี้แหละจะได้รู้ว่าบอยคิดยังไงกับลุง แล้วนี่ลุงจะไปเรียนที่ไหน เวลาไหน โอ้ยอึดอัดคิดแล้วเศร้าแทนทำไมพื่อนไม่ช่วยกันเลย แต่ผมพอเข้าใจที่ลุงเคยบอกว่าเพื่อนจำลุงไม่ได้ ผมเคยดูในยูทู้บเอ็มวีเพลงของรร.เราหละครับ....อาลัย แต่มันเสร้านะเพราะทำเพื่อระลึกถึงเพื่อนที่จากไป บางคนมีรูปใหญ่บางคนรูปเล็กมาก เลยอดนึกถึงลุงไม่ได้ที่ลุงบอกหนังสือรุ่นก็ไม่มีรูป
เจอกันเช้าวันอาทิตย์น้าค้าบบบไปละ

Anonymous said...

สวัสดีครับโอม มีเพื่อนรุ่นใกล้ๆกันเข้ามาอีกคนหนึ่งแล้ว

ตอบหลานโอ อาพูดให้เวอร์น่ะ หลานที่หนึ่งชอบบอกว่าลุงอ้วน ก็เลยเวอร์ไปเลย ตอนอยู่ ม.๕ น้ำหนัก ๖๐-๖๑ กก. สูงขนาดได้นั่งหลังห้องทุกปีน่ะ ตอน ม.๕ ที่จำน้ำหนักได้เพราะปีนั้นกางเกงหลวมหมดเลย กินแต่มาม่า คงเป็นโรคขาดสารอาหาร

กศน. ย่อมาจากการศึกษานอกลู่นอกทาง การศึกษานอกลู่นอกรอย การศึกษานิดหน่อย (เพราะเรียนน้อย) แปลตัวย่อกันได้หลายอย่าง ตอนนั้นมีความตั้งใจแต่จะสำเร็จหรือเปล่าต้องติดตามอ่านต่อไปครับ

ตอบหลาน arus เรื่องสอบ ๕ วิชา น่าจะเป็นหลักสูตรเก่า ขอติดไว้ก่อน เอาไว้หาข้อมูลได้แล้วจะมาตอบอีกที

รวมทั้งขอเป็นกำลังใจให้ arus และหลานคนอื่นๆที่กำลังใกล้สอบด้วย

ขอบคุณคนลาดพร้าวที่เข้ามาทักทาย มีสุภาพสตรีเข้ามาอ่านเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว แม่หญิงจริงๆใช่ไหม หรือว่าผู้บ่าวพูดคะขา คงอย่างแรกมากกว่า ทำไมชอบอ่านละครับ อยากทราบความรู้สึก

ขอบคุณพี่ ments42 มีรุ่นพี่มาให้กำลังใจบ่อยๆ อบอุ่นใจดีจัง คงไม่ใช่พี่เต้นะ

อู

Anonymous said...

ทำไมคนที่เรารักถึงไม่รัก

แต่คนที่รักเรากลับเป็นคนที่เราไม่ได้รัก

แต่ก้อยังดีที่มีคนรักยุบ้าง

อิอิ


สาหวัดดีครับ



รอตอนใหม่นะ


น้อย ส.ฎ

Anonymous said...

หวัดดีคับพี่อูผมเพิ่งติดตามเรื่องของพี่อูประมาณ 2 อาทิตย์เห็นจะได้ผมชอบมากทำไมพี่อูไม่ลองทำเป็นหนังสือขายหรือไม่ก็ภาพยนต์ไปเสียเลยเหมือนกับเรื่องเซ็งเป็ดฮะครับ ตอนนี้ผมอายุ 31 ปี พี่อูอายุเท่าไหร่เหรอคับ ผมอยากให้พี่อูโพสเร็วๆอะครับ ไม่รู้ว่าอูกับนัยจะได้พบกันอีกอะป่าวอยากลุ้นอะคับ

Anonymous said...

เป็นแม่หญิงจริงๆค่ะ..
ชอบวิธีการเล่าเรื่องของคุณอู
มีทั้งความละเมียดและขัดแย้งทางอารมณ์
ที่แสนจะดราม่า..
แถมภาพประกอบสถานที่
จากลาดพร้าวถึงสยาม..
..ถูกใจใช่เลย..
อ่านแล้วย้อนถึงวันวาน
ตอนมหา'ลัยเมืองเหนือปิดแต่ละครั้ง
ต้องมาซ่องสุมนัดเจอกันแถวสยาม
ภาพเก่าชัดเจนขึ้นเพราะคุณอูนี่ล่ะค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

)^_^( หนัก60กก. ตามหลักสุขศึกษาลุงจะสูง170 หุหุ น้องบอยสูง160 หนัก50กก.หุ่นดีนะครับไม่ผอมซะหน่อย ไม่เห็นลุงเล่าตอนเรียนรด.บ้างเลยครับหรือว่าวิดพื้นไม่ไหวเลยอดเรียนกิ้กๆ ตื่นมากินข้าวได้แล้วครับบายครับ

Anonymous said...

ถ้ามีสุภาพสตรีเข้ามาอ่านแล้วพวกเราๆทั้งหลายจะมีโอกาศได้อ่านบท xxx ที่มันส์ ๆและบรรยายอย่างโจ่งครื่มเหมือนเมื่อก่อนอีกหรอป่าวนี่
คิดว่าคงไม่มีปัญหานะ เพราะสภาพสตรีที่เข้ามาอ่านตั้งแต่ต้นก้อคงได้อ่านบทอัศจรรย์ของอูกับนัย อูกับชัช
ชัชกับนัย และอูกับป๋อง รวมถึงไอ้พงษ์ด้วย
อูก้อไม่ต้องเกรงใจนะ ห้ามตัดบทxxx ออกเด็ดขาด

Anonymous said...

พี่อู
รออยู่นิ
รจ