Sunday, January 31, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 46

ผมรู้สึกหน้าชา อับอายเหลือที่จะกล่าว แม้ว่าตอนนั้นผมเริ่มยอมรับในความรู้สึกของตนเองแล้วว่าผมชอบผู้ชาย ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่มันก็เหมือนกับคนที่ยอมรับว่าตนเองป่วยหรือผิดปกติ มันก็แค่ยอมรับความจริงเท่านั้นแต่ไม่ได้ยินดีไปกับมันเลย ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะต้องมายอมรับความจริงต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย ดังนั้นเมื่อผมได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าผู้พูดอาจไม่มีเจตนาก็ตาม แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกอับอาย ผมไม่กล้ามองไปรอบๆว่ามีใครดูผมอยู่บ้างหรือเปล่า รีบเดินหนีไปจากบริเวณนั้นในทันที...

โชคดีที่ผมซื้อหนังสือที่ต้องการมาได้เรียบร้อยแล้ว พอเดินหนีออกมาได้ก็กลับหอพักเลย เมื่อกลับมาแล้วก็เอาหนังสือติวต่างๆมานั่งดูพร้อมทั้งวางแผนว่าจะอ่านอย่างไร เพราะว่าเนื้อหาที่ต้องอ่านมีมากมาย ตั้ง ๘ หมวด อีกทั้งยังต้องอ่านเนื้อหาตั้งแต่ ม.๔ ยัน ม.๖ อีกด้วย ไอ้กี้และเพื่อนคนอื่นๆจะได้เปรียบเพราะเริ่มดูหนังสือมาตั้งแต่เทอมต้น เท่ากับว่ามันมีเวลาเตรียมตัวสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ถึง ๒ ปี ในขณะที่ผมมีเวลาเพียงปีเดียว

ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มดูหนังสือของ ม.๔ ก่อน ทั้งสายวิทย์ที่จะใช้สอบเอนทรานซ์ และทั้งสายศิลป์คำนวณที่จะใช้สอบเทียบ เพราะว่าวิชา ม.๔ จะได้เอาไว้สอบปลายภาคด้วย หลังจากปิดเทอมแล้วจึงค่อยดูวิชาของ ม.๕ จากนั้นเปิดเทอมใหม่ค่อยมาดูวิชา ของ ม.๖ แล้วตอน ม.๕ เทอมปลายก็เอาไว้เป็นเวลาทบทวนและทำข้อสอบเอนทราซ์เก่าๆ

วิชาของ กศน. ในส่วนที่เป็นสังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ก็คล้ายๆกับที่ผมเรียนในโรงเรียน ดูๆแล้วเนื้อหาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่วนคณิตศาสตร์นั้นก็แตกต่างกันไม่มาก ที่จะต่างกันคือวิทยาศาสตร์ ของ กศน. เป็นพวกวิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพอะไรพวกนั้น ซึ่งไม่ได้เรียนเนื้อหามากเหมือนสายวิทย์ ดังนั้นโดยรวมแล้วความยากของการเรียน กศน. ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชา แต่อยู่ที่ความเยอะของเนื้อหาที่ต้องดูให้จบและจำให้ได้ในเวลาอันจำกัด

ดังนั้นหลังจากปีใหม่เป็นต้นมา ผมก็เริ่มอ่านหนังสือตามแผนที่วางเอาไว้ ในเวลาเรียน ผมพยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะวิชาต่างๆไม่ว่าสังคม ภาษาไทย ฯลฯ ที่พวกนักเรียนสายวิทย์ไม่ค่อยสนใจกันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ในการสอบเทียบ การเรียนกับอาจารย์ในห้องเรียนก็เหมือนช่วยการเรียน กศน. ไปด้วยในตัว ผมพยายามทำให้เนียนโดยไม่เอาหนังสือติวไปดูที่โรงเรียน เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังจะสอบเทียบ ถ้าเกิดไม่สำเร็จจะได้ไม่เสียหน้า แต่เพียงแค่อาการตั้งใจเรียนของผมก็ทำให้เพื่อนๆแปลกใจกันมากพอดูแล้ว

นับว่าเป็นโชคดีของผมอยู่บ้าง ที่หลังจากถูกป้ายขี้เป็นต้นมา ผมไม่ได้ถูกเวชแกล้งอะไรแรงๆอีกเลย จะมีบ้างก็เป็นไอ้เกรียงที่ชอบพูดกระทบกระเทียบ หรือบางทีก็แกล้งเล็กๆน้อยๆ เช่น เอาชอล์คปาหัว ซึ่งก็พอทนได้ ถึงแม้การแกล้งของเวชและพวกจะซาลงไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจที่ผมจะไปจากที่นี่เปลี่ยนแปลงไป

ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมอยู่ที่การปรับตัวในการดูหนังสือด้วยตนเอง เป็นปีๆแล้วที่ผมไม่ตั้งใจเรียน ชอบนั่งฝันสร้างวิมานในอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน ทำอะไรก็ห่วยแตกไปวันๆ การบ้านก็อาศัยลอกเพื่อนๆเป็นหลัก สอบก็แค่พอให้ผ่านเอาตัวรอดได้เท่านั้น การที่จะกลับมาตั้งใจเรียนอีกทั้งดูหนังสือในตอนกลางคืนด้วยนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผม

ในยามค่ำคืน ปกติผมจะนั่งฟังเพลงในความมืด ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็คิดฟุ้งซ่าน คิดถึงไอ้นัยบ้าง คิดถึงไอ้บอยบ้าง วาดวิมานในอากาศบ้าง บางทีก็ดูหนังสือนิดๆ ทำการบ้านหน่อยๆ ตามแต่ความจำเป็น จากนั้นก็เข้านอน จนเพาะเป็นนิสัยขี้เกียจ ส่วนเรื่องไอ้นัยนั้นเดิมทีที่ผมตั้งใจว่าจะลืมมันให้ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะทำอะไรผมมักหวนนึกถึงวันเก่าๆ ประสบการณ์เก่าๆ ใจประหวัดคิดถึงมันโดยตลอด โดยเฉพาะเวลาที่ผมพบไอ้บอยเป็นเวลาที่ผมคิดถึงไอ้นัยบ่อยที่สุด นอกจากนี้ ทุกครั้งเมื่อผมมีความเครียดหรืออยู่ในภาวะกดดัน อย่างเช่นตอนใกล้สอบ ผมมักฝันร้ายเรื่องเดิมๆอยู่เสมอ ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าผมพยายามหลอกตนเองมาโดยตลอดว่าผมลืมมันไปได้แล้ว

- - -

เดือนมกราคมในปีนั้นเป็นเดือนที่ยากลำบากมากเดือนหนึ่งในชีวิต ไม่ได้ลำบากแบบอดๆอยากๆ แต่ลำบากในการพยายามเอาชนะตนเอง ใครที่เคยขี้เกียจมาก่อนแล้วพยายามจะกลับมาขยันคงเข้าใจความรู้สึกได้ดี ไม่ใช่เพียงความเคยชินเก่าๆที่ฉุดรั้งเราเอาไว้เท่านั้น แต่ความท้อแท้ ความที่ไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จ เป็นตัวการสำคัญที่คอยบั่นทอนกำลังใจของผม เปรียบเหมือนคนที่ล้มลงไปนอนอยู่กับพื้นแล้วลุกไม่ขึ้น และก็ชินกับการนอนให้คนเหยียบผ่านไปผ่านมาอยู่เช่นนั้นอยู่นานๆ เมื่อยามจะกลับมาลุกขึ้นยืนใหม่อีกนั้นนั้นมันยากเย็นแสนเข็ญสิ้นดี

ผมพยายามดูหนังสือในเวลากลางคืน แต่ว่าแทบจะไม่มีสมาธิเลย ดูไปได้เดี๋ยวเดียวก็ต้องลุกมาทำนั่นทำนี่ เหมือนคนสมาธิสั้น พอดูไปๆกำลังจะติดลมก็เกิดง่วงขึ้นมาอีก ทำอะไรก็มีแต่ความขัดข้องไปหมด

“แป๋ง ดูหนังสือแล้วง่วงนี่ต้องทำไงวะ” ผมถามแป๋งในวันหนึ่งในตอนที่ผมกลับเข้าหอ แป๋งนั่งเฝ้าชั้นล่างอยู่พอดี เราจึงนั่งคุยกันเป็นปกติ เรื่องของผมกับแป๋งที่ผ่านมานั้นผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว เป็นเพียงแค่เสียความรู้สึกนิดหน่อยเท่านั้นเอง เหตุที่ไม่ได้ติดใจเพราะว่าผมไม่ได้คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรกับแป๋งให้ไกลไปกว่านี้อีกเนื่องจากช่วงนั้นสนิทกับบอยมาก ผมมองแป๋งเป็นแค่เพื่อนที่มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกันนิดหน่อย...ก็เท่านั้นเอง

“กินกาแฟดิ” แป๋งแนะนำ

“แล้วนายเคยกินเหรอ” ผมถาม

“ไม่เคยหรอก กินแต่เหล้า” แป๋งตอบหน้าทะเล้น

“ไอ้นั่นน่ะรู้อยู่แล้ว” ผมหัวเราะ จากนั้นผมนึกยังไงก็ไม่รู้ ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบแล้วถามต่อ “แล้วน้ำว่าวไอ้วุฒิล่ะ เคยกินหรือยัง”

“ไอ้บ้า” แป๋งด่า ทีแรกแป๋งทำท่าตกใจ เหลียวมองซ้ายขวา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าทีเขิน เพิ่งจะเคยเห็นเด็กทะเล้นอย่างมันเขินก็วันนี้เอง “นายเอาอะไรมาพูดวะ”

ผมไม่ได้คุยอะไรเรื่องวุฒิต่อ แปลกใจตนเองเหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง มันหลุดปากจริงๆ จากนั้นผมก็เปลี่ยนเรื่องด้วยการซื้อกาแฟซองจากแป๋งและเดินขึ้นห้องไป

กาแฟผงสำเร็จรูปในยุคนั้นยังไม่มีแบบซอง 3 in 1 หรือว่าซองเล็กแบบชงได้หนึ่งแก้วอย่างในปัจจุบัน ต้องซื้อกาแฟผงสำเร็จรูป ครีมเทียม และน้ำตาลแต่ละอย่าง แล้วมาชงกับน้ำร้อนเอาเอง ครีมเทียมนี่ขายเป็นกล่องใหญ่ ดังนั้นที่ร้านของแป๋งจึงไม่ได้รับมาขาย คงมีแต่กาแฟผงซองขนาดย่อมกับน้ำตาล ผมจึงซื้อมาแต่กาแฟเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจกินเอาอร่อย แต่จะกินเพื่อให้หายง่วง ส่วนน้ำตาลทรายนั้นมีอยู่แล้วในห้อง

เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ผมก็ต้มน้ำเตรียมชงกาแฟ ผมก็อดนึกถึงพี่เอ้ไม่ได้ จำได้ว่าพี่เอ้เคยไปกินกาแฟที่ร้านออนล็อกหยุ่นกับไอ้นัยและพี่เต้ กลับมาแล้วบ่นนอนไม่หลับไปทั้งคืน กาแฟนี่น่าจะช่วยผมได้

น้ำร้อนแล้ว ผมชงกาแฟด้วยกาแฟผงกับน้ำตาลทราย ครีมเทียมไม่มีก็ช่างมัน ใส่กาแฟเท่าไรจึงจะหายง่วงก็ไม่รู้ ใส่ไปหนึ่งช้อนก่อนละกัน ตั้งแต่เด็กไม่เคยดื่มกาแฟเลย ต่างจากวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีบางส่วนนิยมดื่มกาแฟสด ยุคของผมไม่มีกาแฟสดขายกันทั่วไปแบบนี้ อีกทั้งผู้ใหญ่มักบอกว่าดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับ ก็เลยไม่ดื่ม เคยลองชิมเหมือนกันแต่ว่าขมจึงไม่ชอบ ดังนั้นผมจึงโตมาด้วยการดื่มน้ำเปล่า น้ำหวาน น้ำอัดลม แล้วก็ข้ามมาเหล้ากับเบียร์ไปเลย

“โอย แม่ง ขมฉิบหาย” ผมอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อได้ลิ้มรสกาแฟฝีมือตนเองแก้วแรกในชีวิต น่าแปลกที่กาแฟแก้วนี้นอกจากความขมแล้วมันยังทำให้ผมคิดถึงไอ้นัยขึ้นมาอย่างรุนแรง... ขมที่ลิ้น แต่ว่าขื่นที่ใจ...

ผมกัดฟันดื่มกาแฟจนหมดแก้ว จากนั้นก็ไปอาบน้ำ จากนั้นก็มานั่งอ่านหนังสือ เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มลงไปเท่านั้น กาแฟแก้วนั้นก็ออกฤทธิ์ ผมรู้สึกใจเต้น ตื่นเต้น กระสับกระส่าย ถึงแม้จะไม่ง่วงแต่ก็ดูหนังสือไม่รู้เรื่องเอาเลยเพราะความรู้สึกกระสับกระส่าย

ตีสามแล้ว...

คืนนั้นเป็นคืนที่แสนทรมาน จะนอนก็ไม่หลับ จะดูหนังสือก็ไม่ได้ ผมรู้สึกฟุ้งซ่านจึงขึ้นไปนั่งเล่นรับลมที่ชั้นดาดฟ้า ในยามดึกสงัด แทบปราศจากแสงไฟ ผมเหม่อมองดวงดาวที่พราวพรายในท้องฟ้ายามปลายฤดูหนาว ความคิดคำนึงก็หวนไปถึงไอ้นัย ไม่รู้ว่าคืนนี้เป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดถึงไอ้นัยมากเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ผมพยายามจะลืมมันไปให้ได้ ความรู้สึกอ้างว้างหวนกลับมาเคียงคู่ผมอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ผมพยายามจะลืมมัน ทั้งนี้ ก็เพราะผมต้องการหนีจากมโนธรรมของตนเอง แต่มันก็เปรียบเหมือนกับการที่ผมเอาล็อกเก็ตที่มีรูปไอ้นัยห้อยเอาไว้ที่หน้าอก ผมบอกว่าจะลืมมัน แต่เมื่อก้มลงไปผมก็เห็นมันอยู่ทุกครั้ง แล้วผมก็พยายามหลอกตนเองว่าผมลืมมันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมไม่สามารถที่จะลืมมันได้เลย รวมทั้งไม่สามารถหนีพ้นจากมโนธรรมองตนเองด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตของผมคงไปไม่ถึงไหน เป็นแน่

“ไอ้นัย ขอโทษนะที่กูพยายามจะลืมมึง ทั้งๆที่กูไม่ควรจะลืมเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างมึงเลย แต่ที่กูทำเพราะกูอยากหนีความผิดที่กูทำเอาไว้กับมึง” ผมพูดกับเวิ้งฟ้าและดาราพรายด้วยเสียงแผ่วเบา อากาศในตอนตีสามเย็นยะเยือก แต่ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเยียบเย็นยิ่งกว่า “ต่อไปกูจะไม่ลืมมึงแล้ว กูจะไม่หนีความผิดที่กูทำไว้กับมึงอีก เมื่อไรที่เราได้พบกันอีก กูจะพยายามชดใช้ให้นะนัย ไม่ว่าจะต้องชดใช้ด้วยอะไรตาม กูก็จะพยายาม”

- - -

ฤทธิ์ของกาแฟทำให้ผมนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านตลอดทั้งคืน กว่าจะหลับได้ก็เป็นตอนเช้าของวันอาทิตย์ แต่ก็เป็นการหลับที่ไม่สนิทนัก ดังนั้นตลอดวันอาทิตย์ทั้งวันผมจึงรู้สึกมึนตลอดทั้งวันแต่ก็พยายามแข็งใจดูหนังสือ

การพยายามตั้งใจเรียนและดูหนังสือในช่วงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่ขลุกขลักมาก ท้อจนเกือบจะเลิกกลางคันอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมาได้ กำลังใจอันน้อยนิดได้สะสมจนมากขึ้นและมากขึ้น... จนในที่สุดผมก็สามารถปรับตัวได้ กลางวันผมตั้งใจเรียน แต่ก็ทำเนียนไม่ให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะไอ้กี้ รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนกลางคืนผมดูหนังสืออย่างหนัก รวมทั้งทำการบ้านด้วยตนเองทั้งหมด เพราะว่าการบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถทบทวนความเข้าใจไปได้ในตัว

ตอนนี้ผมเลิกคิดที่จะลืมไอ้นัยแล้ว แต่ก็พยายามไม่ไปคิดถึงมัน เปรียบเหมือนกับผมเอาล็อกเก็ตรูปไอ้นัยห้อยเอาไว้ที่หลังของผม ผมไม่ได้ลืมความดำรงอยู่ของมัน แต่ผมก็ไม่พยายามคิดถึงมันเพื่อให้มารบกวนสมาธิในการเรียนของผม ที่จริงข้อเท็จจริงต่างๆก็ยังเป็นเช่นเดิม เพียงแต่ผมเปลี่ยนวิธีคิดเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้วมันได้ผลทีเดียว

ในยามเหงาหรือยามท้อ ผมมักคิดถึงบอยอยู่เสมอ แม้ว่าในช่วงนั้นจะเป็นช่วงปลายภาคแล้ว ทั้งผมและบอยต่างก็มีภาระเรื่องการเรียนและพบกันน้อยลงไปบ้าง แต่ผมเริ่มรู้สึกอย่างจริงจังแล้วว่าบอยเป็นกำลังใจอันสำคัญของผม

- - -

ต้นเดือนมีนาคม

ในที่สุดการสอบปลายภาคของภาค ๒ ก็สิ้นสุดลง ผมคิดว่าสอบครั้งนี้ผมน่าจะทำคะแนนได้ดีพอควร ที่นั่งสอบของผมในครั้งนี้อยู่ในเส้นทางของกลุ่มเวชและพวก ซึ่งนั่นหมายความว่าผมอยู่ในเส้นทางลำเลียงฝิ่นอีกแล้ว แต่ว่าโชคดีที่การสอบครั้งนี้ไม่มีฝิ่นส่งผ่านมาทางผมเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครั้งนั้นไม่มีการส่งฝิ่นกันหรือว่าเพื่อนๆส่งอ้อมผมไป ที่ไม่แน่ใจเพราะว่าผมตั้งใจทำข้อสอบมากจนไม่ได้สังเกตเรื่องเหล่านี้

ในราวต้นเดือน แก๊งพี่ธิตในหอพักมีการจัดเลี้ยงสังสรรค์กัน ถือเป็นการส่งท้ายปิดเทอม เพราะว่าหลังจากนี้ไปแล้วพวกชาวหอที่เป็นนักเรียนและนักศึกษามักจะกลับภูมิลำเนากันไปเป็นเวลานาน คงเหลืออยู่แต่พวกที่ทำงาน กว่าจะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกก็ต้องเป็นเดือนพฤษภาคมที่บรรดาน้องๆทยอยกลับมากัน

ที่จริงนักเรียนนักศึกษาที่มาเช่าหอพักค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะว่าแม้จะกลับบ้านแต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้องอยู่ตลอด จะพักจ่ายไม่ได้ เพราะหากหยุดจ่ายเมื่อไรก็เท่ากับว่าเลิกเช่า ดังนั้นแม้ไม่ได้อยู่แต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าเต็ม

งานเลี้ยงสังสรรค์จัดขึ้นที่ชั้นดาดฟ้า พวกชาวหอที่สนิทสนมกับพี่ธิตรวมทั้งคนอื่นๆในหอที่อยากมาร่วมด้วยรวมแล้วสิบกว่าคนมาสังสรรค์กัน แป๋งกับวุฒิก็มาด้วย

“มาๆ อู ชนแก้วกัน” พี่ธิตยื่นแก้วน้ำบรรจุของเหลวสีเหลืองอำพันมาให้ผม ส่วนพี่ธิตเองก็ถือเอาไว้แก้วหนึ่ง

ผมรับแก้วมา จากนั้นชนแก้วกับพี่ธิต

“นิดเดียวนะพี่ ผมกินไม่เก่ง” ผมพูด

ไอ้แป๋งยักคิ้วแอบหัวเราะ ต่อหน้าพวกพี่ๆและเพื่อนๆในหอ ผมเป็นเด็กที่เรียบร้อย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ โคตรสร้างภาพได้ดีเลย ซึ่งผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นต่อไป คงมีเพียงแป๋งเท่านั้นที่พอรู้อะไรลึกๆอยู่ ดีที่มันไม่แฉออกมา

ผมสังเกตเห็นแป๋งนั่งติดกับวุฒิตลอดทั้งงาน บางครั้งก็เหมือนนั่งอิงกัน บางทีก็ส่งสายตาให้แก่กัน ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างที่ผมเห็นจริงๆหรือว่าผมคิดไปเอง


<แผงหนังสือสนามหลวงในอดีต เป็นแหล่งรวมหนังสือติวและกวดวิชาของนักเรียนทุกระดับชั้น อีกทั้งยังเป็นแหล่งขายหนังสือปกขาวหรือว่าหนังสือโป๊ บางคนก็ไม่ได้มาหาซื้อหนังสือเรียนแต่ว่าเจาะจงมาหาซื้อหนังสือโป๊ วิธีการขายจะไม่ได้วางขายให้เห็นเพราะว่าจะถูกตำรวจจับ ในการขายนั้นผู้ขายจะเดินถามลูกค้าทีละคนด้วยคำพูดที่ติดปาก นั่นคือ โป๊มั้ยครับ โป๊มั้ยครับ ใครที่ไปเดินดูหนังสือหากเป็นผู้ชายเป็นต้องโดนถาม ผู้ซื้อก็มีทั้งนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน ผู้ที่ไม่ซื้อก็อาจรู้สึกรำคาญเพราะกว่าจะเดินดูหนังสือเสร็จอาจถูกสะกิดถามไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้ง

การซื้อขายกันนั้นบางทีผู้ขายก็มีหนังสือตัวอย่างให้ดู บางทีก็ไม่มี ต้องซื้อแบบหลับหูหลับตา เมื่อมีการตกลงซื้อ คนขายก็จะรับเงินไปก่อน สักครู่จะเอาหนังสือมาส่งให้ และที่น่าสังเกตคือไม่เคยเห็นคนขายที่เป็นหญิงเลย อาจจะมีแต่ผมไม่เคยเห็นก็ได้>


<สถานที่ซึ่งเคยเป็นแผงหนังสือสนามหลวงในปัจจุบัน หลังจากที่แผงหนังสือถูกย้ายไป สถานที่นี้ก็ถูกปรับปรุงเป็นสวนหย่อม มีสุมทุมพุ่มไม้เล็กๆ ตอนที่เป็นแผงหนังสือก็มีสินค้าทางเพศเอาไว้บริการ นั่นคือหนังสือโป๊ พอตอนเป็นส่วนหย่อมก็ยังมีสินค้าทางเพศมาคอยบริการอีก นั่นคือ ผีขนุน

ผีขนุนคือผู้ขายบริการทางเพศ เดิมทีหมายถึงหญิงขายบริการ ในยุคเมื่อหลายสิบปีก่อน หลังศาลอาญาตรงสนามหลวง ติดกับแผงหนังสือนั่นเอง จะปลูกต้นขนุนเอาไว้ โดยการปลูกต้นขนุนนั้นเป็นเคล็ดของคนโบราณ โดยเฉพาะในวงข้าราชการ เพราะขนุนมีความหมายมงคล หมายถึงได้รับการหนุนส่งนั่นเอง

ต้นขนุนหลังศาลนี้ในยามกลางคืนจะมีหญิงทั้งสาวและไม่สาวมายืนขายบริการอยู่ เมื่อลูกค้าตกลงราคาได้แล้วส่วนใหญ่ก็มักเดินข้ามคลองหลอดไปเพื่อใช้บริการห้องพักชั่วคราวซึ่งมีราคาถูกและสภาพย่ำแย่สมราคา ที่ถูกมากๆก็จะมีห้องกับเสื่อ น้ำขวดหนึ่ง และกระดาษหนังสือพิมพ์ ยุคนี้คงเป็นยุคของพี่ๆ ม.๘ ผมเองก็ไม่ทัน

จากนั้นมา คำว่าผีขนุนจึงเป็นสแลง หมายถึงหญิงขายบริการ ซึ่งต่อมาการขายบริการไม่ได้มีเพียงใต้ต้นขนุน แต่ลามไปถึงใต้ต้นมะขามสนามหลวง พวกนั้นก็ยังเรียกผีขนุนอยู่ บางทีก็เรียกผีมะขาม รวมทั้งบางครั้งผู้ขายเป็นสาวประเภทสองก็ยังเรียกผีขนุน และเมื่อกิจการลามไปถึงด้านวังสราญรมย์อันเป็นแหล่งของชายขายบริการ แม้ผู้ขายเป็นชายและไม่มีต้นขนุน แต่ก็ยังเรียกว่าผีขนุนเช่นกัน ต่อมาจนเมื่อแผงหนังสือย้ายออกไปและกลายเป็นสวนหย่อม ผีขนุนก็มาสิงสถิตอยู่แถวนี้บ้างเหมือนกัน

มาจนถึงยุคปัจจุบัน สแลงผีขนุนก็มีวิวัฒนาการ เกิดเป็นผีขนุนสก๊อยขึ้นมา โดยเป็นพวกสาววัยรุ่นมาหาเงินเพื่อเอาไปแต่งรถกับเด็กแว้น ผีขนุนสก๊อยจะอยู่อีกด้านหนึ่งของสนามหลวง>

24 comments:

Anonymous said...

ขอคนแรก รึป่าวหว่า เหอๆๆ

Anonymous said...

คนที่สองก็และกัน ขอบคุณคร้าบบ

Anonymous said...

คนที่สาม หล่อสุดๆ

Anonymous said...

มารักช้า ยังทันไหมนะ T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

กลับตัวกลับใจ ไม่ลืมอานัยแล้วดีจัง
แถมกลัวตัวมาเรียนด้วย

มีจุดติงอย่างเดียวคือ เริ่มรู่ตัวว่านอกใจอานัย
มารักอาบอยแทนแล้ว

ไม่สบายอีกแล้ว ฝนตกเนี่ย อ่านหนังสือสอบไม่ได้เลย
T-T
เท่าที่ทราบผลการเรียนมาตอนนี้
อยู่ 80.25% ต่ำมากๆ... ยังไม่ได้เกียรตินิยม
อันดับหนึ่งเลยนะครับเนี่ย

หลา่น Arus ของอาอู

Anonymous said...

ผมพยายามตั้งหลายครั้งที่จะเริ่มตั้งใจเรียนใหม่

แต่ไปมะเคยรอก
จาก3.6 หลือ3.00

อามีวิธีเเนะนำดีๆป่าวครับ

เจอไม่เกิน10หน้า ก็เมินแล้วอ่า


หนังสือคือยานอนหลับที่ดีที่สุด


อิอิ

All about Rose said...

ที่เจ็ด

Anonymous said...

ที่เจ็ด

Anonymous said...

)^_^(ที่๙ สวัสดีตอนเช้าตื่นมากินข้าวได้แล้วครับ ลุงต้องทำการบ้านแล้วต้องทำโจทย์มากๆนะครับอันนี้เป็นเคล็ดลับของผมบอกลุงคนเดียวนะครับเนีย คาบว่าง ตอยเย็นก่อนกลับบ้าสนก็ทำการบ้านเลยไปชวนน้องบอยมานั่งทำด้วยสิครับ และที่สำมะคันห้ามลืมคือต้องไปจุดธูปขอด้วยแล้วลุงจะได้๔.๐๐หุหุ อ้อจุด๙ดอกนะ ลุงอะทำไมไม่เล่าเรื่องแป๋งกับวุฒละครับอยากอ่านอะครับไปละบายครับ

naja said...

เรื่องสอบเทียบเนี่ยกลายเป็นแฟชั่นของนักเรียนม.ปลายสมัยโน้นเลยนะครับ ใรไม่ไปสอบเทียบเนี่ยถือว่าเชยมากกก

บางครั้งการสอบเทียบผ่านมันก้อเป็นยันต์คุ้มครองตัวเราได้เหมือนกัน จากการวางก้ามของอาจารย์ในชั้นม. 6 บางคน ที่ชอบคิดว่า ตัวเองถือไพ่เหนือกว่านักเรียน จะจบหรือไม่จบต้องขึ้นอยู่กับเค้า

Anonymous said...

“ไอ้นัย ขอโทษนะที่กูพยายามจะลืมมึง ทั้งๆที่กูไม่ควรจะลืมเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างมึงเลย แต่ที่กูทำเพราะกูอยากหนีความผิดที่กูทำเอาไว้กับมึง” ผมพูดกับเวิ้งฟ้าและดาราพรายด้วยเสียงแผ่วเบา อากาศในตอนตีสามเย็นยะเยือก แต่ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเยียบเย็นยิ่งกว่า “ต่อไปกูจะไม่ลืมมึงแล้ว กูจะไม่หนีความผิดที่กูทำไว้กับมึงอีก เมื่อไรที่เราได้พบกันอีก กูจะพยายามชดใช้ให้นะนัย ไม่ว่าจะต้องชดใช้ด้วยอะไรตาม กูก็จะพยายาม”

ความคิดที่ตกผลึกของอู เรื่องนัย ยินดีด้วยครับ

thom

Anonymous said...

ภาษาไพเราะมาก อ่านแล้วกินใจจริงๆ

Anonymous said...

ตอนนี้..โตขึ้นมากเลยนะคะ
เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด..
รู้สึกได้เลยว่าสุขขึ้น..สงบขึ้น
บวกกับเริ่มมีเป้าหมายในชีวิต
เหลือเพียงเดินไปตามเส้นทางเท่านั้น..
.......
ส่วนเรื่องกาแฟ..พี่เองเริ่มหัดกิน
ตอนม.ปลายเหมือนกันค่ะ
นับจากวันนั้น..จนถึงวันนี้
ขาดไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว..
อยากมอบโล่ให้คนค้นพบกาแฟจัง!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับตอนนี้นะครับอาอู

ตอนนี้ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้หลายๆอย่าง

ตอนนี้ผมชอบที่อาอูพูดถึงเรื่องล๊อกเก็ตมากๆ

เพราะมัน....เหมือนกับความคิดของผมในตอนนี้เหลือเกิน

หลายๆครั้ง ที่ผมพยายามบอกตัวเอง

ว่าต้องคิดเอาไว้แค่ว่า

การได้คิดถึงคนๆนั้น มันก็เป็นความสุขแล้ว

แต่ทุกๆครั้ง ที่ฟังเพลงเก่าๆ ที่เคยได้ฟังกับมัน

ผมก็ยังคิดถึงทุกครั้ง และบางครั้งก็มีน้ำตา

หลายๆครั้งที่พยายามบอกตัวเองให้ลืม

แต่แหวนวงนั้นที่มันให้มา

ที่ผมเคยเอาไปคืนมัน แต่มันก็ไม่เอา

แม้ผมจะบอกตัวเองว่า ผมคงไม่สามารถสวมมันไว้ที่นิ้วนางอีกแล้ว

แต่สุดท้ายก็ตัดใจเอาไปทิ้ง หรือเก็บไว้ห่างๆตัวไม่ได้ซักที

เลยเอามาร้อยกับเชือกแล้วห้อยไว้ที่คอเหมือนล๊อกเกตรูปอานัยของอาอู

แม้ผมจะไม่สามารถมองเห็นแหวนวงนี้ ถ้าไม่ก้มลงมาดู

แต่ทุกครั้ง ที่ส่องกระจก

ผมก็จะเห็นแหวนวงนี้ และภาพวันเก่าๆ

ตอนนี้ผมเองก็ใกล้จะจบแล้ว กำลังเครียดๆกับโปรเจคจบพอสมควร

ได้มาอ่านตอนนี้แล้ว ผมเองก็ได้แต่หวังว่า

วันหนึ่ง ผมเองอาจจะสามารถเอาสร้อยที่ร้อยแหวนวงนี้

ไปห้อยไว้ข้างหลังได้เหมือนนายอูนะครับ

รออ่านต่อไปนะครับอาอู

(กอดดด อาอู ที่รัก)

หลานหนิง

Anonymous said...

ขอกอดอาอูด้วยอีกคน
Oliver

Anonymous said...

รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเรื่องของอาทำให้หนิงคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง กว่าอาจะได้คิดก็หลายปี ดังนั้นหนิงเองคงต้องใช้เวลาบ้างเช่นกัน บางครั้งความคิดมันเหมือนสวิทช์ กดปุ๊บความคิดก็เปลี่ยนได้เลย แต่บางครั้งก็เหมือนกับการตีเหล็กที่ต้องอาศัยเวลาและต้องผ่านการเคี่ยวกรำจิตใจเสียก่อน แต่เมื่อผ่านแล้วหลานก็จะเดินหน้าต่อไปได้ครับ อาจะรอดูวันที่หลานเอาแหวนวงนั้นห้อยไว้ที่ข้างหลังได้สำเร็จ

ตอน ม.ปลายผมกินกาแฟแบบอุบาทว์มากพี่ หลังจากที่รู้สึกว่ามันขม ผมเลยเอาช้อนตักใส่ปากแล้วกินน้ำตาม แบบกินยา มันทำให้ขมในช่วงสั้นๆ ไม่ขมนานเหมือนกินเป็นแก้ว ความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศเลย โตมาหน่อยก็เปลี่ยนไปกินกระทิงแดงเม็ดแทน ในนั้นมีกาเฟอีนแก้ง่วงได้เหมือนกัน

ตอบหลานที่ ๙ ขอบคุณเคล็ดลับที่บอกลุงคนเดียว คนอื่นห้ามอ่าน จุดธูปกี่ดอกแล้วจะได้ ๔.๐ ลุงจะจุดสองเท่าเลยด้วย กันเหนียว แต่ต้องระวังไฟไหม้ อย่ามัวแต่ทักลุง รีบไปกินโจ๊กได้แล้ว

arus เป็นอย่างไรบ้าง ป่านนี้คงกินยาและนอนหลับไปแล้ว เกียรตินิยมไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก อย่าเครียดกับมันมาก อาพูดได้เพราะว่าไม่เคยได้กับเขาเลยสักครั้ง ไม่ได้ก็มาอยู่เป็นเพื่อนอาละกัน

ใกล้สอบปลายภาคกันแล้ว หลานๆตั้งใจดูหนังสือกันนะครับ อาก็ดูหนังสือหนักเหมือนกัน ตอนหน้าลองดูซิว่าอาได้เกรดเท่าไร

อู

nai said...

อ่านตอนนี้แล้ว หลากหลายอารมณ์พอสมควรเลย เห็นประโยชน์ ของวิธีคิดของคนได้ดีทีเดียว

เหตุการณ์อย่างเดียวกัน แต่คิดไม่เหมือนกัน ก็ส่งผลทบไม่เหมือนกัน เป็นตอนที่สอดแทรกวิธีคิด การพยายามมองโลกในแง่ดี น่าจะดีกว่าการมองโลกในแง่ร้าย มองดีผลที่ได้ก็ดีด้วย มองร้ายผลที่ได้ก็ร้ายตาม

คิดได้อย่างไรนี่ ขมที่ลิ้น แต่ว่าขื่นที่ใจ... จะให้ทำไง ถึงหายขื่นใจต่อสำนวนเล็กน้อยจะได้ใช้ไบกอนได้หมดกระป๋อง

นัย

Choo said...

เอาใจช่วยหลานหนิงนะครับ วันหน้าต้องเป็นวันของเราซักวัน ตอนนี้ตั้งใจเรียนให้จบก่อนนะคร๊าบ

วันก่อนยัง "กอดดด อาชู คุณพ่อขายาว" อยู่เลย
ไงวันนี้ "กอดดด อาอู ที่รัก" ไปซะแล้ววววว

อูบอกว่าถนัดเปลี่ยนโอกาสเป็นวิกฤต แต่ตอนที่ 46
มันเปลี่ยนจากวิกฤตเป็นโอกาสนะครับ แล้วอูถนัดหรือครับ

ตอนนี้เม้นต์ไม่ถูกครับ เป็นว่าเป็นกำลังใจให้นายอูต่อสู้กับอุปสรรคทุกรูปแบบต่อไป จบตอนแบบการ์ตูนญี่ปุ่น

"เพื่อผดุงความยุติธรรม สู้เขาต่อไป ไอ้อู โป๊มั๊ยน้อง"

ว่าแต่กินกาแฟแบบนี้อุบาทว์จริงๆ ตามที่อูคิดเลย คิดไปไดดดดด้

ชู

Anonymous said...

เข้ามาขำมุขลุงชู

"อาอูโป๊มั้ยน้อง!!!"

ลุงชูอยากเป็นที่รักมั่งก็เขียนเรื่องให้หลานๆอ่านมั่งสิ

(กอดดอาชู คุณพ่อขายาว)

Anonymous said...

คุณอูคะ..กระทิงแดงเม็ดคืออะไร
ใช่แบบเดียวกับ"แอ๊บปิ้นวี"ยุคโน้นรึป่าว..
มีอยู่ครั้งนึงอ่านหนังสือสอบไม่ทัน
เจ้าเพื่อนตัวดีซื้อยาที่ว่ามาแจก
บอกว่าเป็นวิตามินช่วยให้ความจำสดใส+ร่างกาย
สดชื่น แถมเภสัชกรร้านขายยาเค้าแนะนำมาด้วย
ให้กินตอนประมาณ3-4ทุ่ม
..กินกันยกแก๊งค์เลยค่ะ..
ผลปรากฎว่า..อ่านฉลุยกันทั้งคืน..
รุ่งเช้าไปสอบ..กลับถึงหอหลับเป็นตาย..
ส่วนเพื่อนพี่ที่มีสอบควบตอนบ่าย..
หลับโชว์คาห้องสอบซะงั้น..
เวลาเจอกันคุยเรื่องนี้ทีไร.อดขำไม่ได้ทุกที
และจำเจ้า"แอ๊บปิ้นวี"ได้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ

Anonymous said...

แฮ่ะ!แฮ่ะ!ลืมลงชื่อ..
เม้นท์ข้างบนเป็นของพี่เองค่ะ
แกร่แล้วก้อเงียะ!!

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ถึงขนาดจะเอาไบกอนฉีดกันเลยเชียว

หนิงก็อย่าไปกอดขาอาชู ขาเค้ายาวเดี๋ยวหกล้ม

แอ๊ปปิ้นวีนี่ไม่เคยได้ยินครับ อันที่จริงช่วงเรียนมัธยมกินกาแฟน้อยครับ นานๆครั้งจึงจะรู้สึกง่วง หลังจากนั้นจึงมากินมากขึ้น

กระทิงแดงเม็ดก็เหมือนกระทิงแดงขวด แต่ทำเป็นเม็ดให้กินสะดวก สารสำคัญก้คือกาเฟอีน กินอย่างขวดหรืออย่างเม็ดก็หายง่วงได้เหมือนกัน เคยมีวางขายอยู่พักเดียว แต่แล้วก็เลิกไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกันครับ ส่วนพวกยาหรืออาหารบำรุงอะไรนั้นไม่เคยได้สัมผัสครับ เพราะช่วงนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารการกิน

สมัยก่อนถ้าจะกินแล้วหายง่วงได้เด็ดขาดก็คือยาขยันหรือว่ายาบ้าไงครับ สมัยก่อนรียกยาม้า คือแอมเฟตามีน พวกใกล้สอบเอนทรานซ์บางคนก็กิน แต่ส่วนใหญ่ไม่กินกันหรอกครับ อันตรายมาก เป็นยาเสพติดอย่างหนึ่ง

อู

Anonymous said...

เป็นกำลังใจให้นะคะ

All about Rose said...

เดาว่าพี่อู จะมาตอนเที่ยงคืนครึ่งของคืนนี้
ช่ายปะ รออ่านอยู่อะนะ