Wednesday, October 1, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 25

เมื่อเข้ามาเรียนได้หลายสัปดาห์ ความสนิทสนมคุ้นเคยระหว่างนักเรียนในห้องก็เพิ่มมากขึ้น นักเรียนในชั้นมีการแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามแต่ว่าใครถูกอัธยาศัยกับใครบางทีก็จับกลุ่มกันและสนิทสนมกันเพราะว่าที่นั่งในห้องอยู่ใกล้กัน

เล็ก นักเรียนหน้าตาตลก ที่นั่งอยู่หน้าดิษฐ์ ติดหัวหน้าชั้นแจ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ดิษฐ์นั้นแม้หุ่นจะเหมือนนักกีฬา แต่ไม่เห็นโปรดปรานกีฬาเท่าใดนัก เห็นชอบร้องเพลงมากกว่า

วีกิจ ไม่มีกลุ่มอะไรกับใคร เข้ากันได้กับทุกคน แม้จะนั่งติดกับผม แต่ก็ไม่ค่อยได้กินข้าวหรือทำอะไรด้วยกัน เพราะเมื่อมีเวลาว่างมันก็จะไปขลุกที่ห้องดนตรีไทย

ส่วนผมเองนั้น ค่อนข้างสนิทกับใหญ่ แล้วก็โหนก แล้วก็เพื่อนอีกหลายคนที่นั่งใกล้กัน ซึ่งคุยกันถูกคอ หลายสัปดาห์ที่ผมรู้จักโหนก ผมเริ่มรู้สึกว่าโหนกเป็นคนที่แปลกๆ แต่จะแปลกอย่างไรยังเห็นไม่ค่อยชัด อีกอย่าง ดูโหนกจะสนิทสนมกับพงษ์อยู่เหมือนกัน

อ้วน จับกลุ่มเข้ากับเพื่อนที่กวนๆ พวกขาแซว เป็นกลุ่มประมาณ ๔-๕ คน ตั้งหน้าตั้งตาแซวทุกคน และก่อความไม่สงบทุกครั้ง เท่าที่มีโอกาส แม้แต่อาจารย์ที่เข้ามาสอน ก็ไม่วายที่จะโดนกลุ่มไอ้อ้วนแซว ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นตัวจี๊ด

คนที่กลุ่มไอ้อ้วนชอบแกล้งมากที่สุด เห็นจะเป็นพงษ์เจ้าของฉายาพงษ์ปากกว้าง หรืออีพงษ์ปากกว้าง เพราะว่าพงษ์นั้นชอบทำกิริยาดัดจริต ทำให้กลุ่มไอ้อ้วนหมั่นไส้ การแกล้งก็มีตั้งแต่แซว ด่า หรือแม้แต่แกล้งเข้าไปกอดปล้ำ เรียกเสียงเฮฮาให้แก่เพื่อนในห้องได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะโดนหยามเพียงใด พงษ์ก็ยังทำตัววี้ดว้าย ใส่จริตแบบกึ่งหญิงกึ่งชายโดยไม่เปลี่ยนแปลง

“มึงนี่มันเสียชาติเกิดจริงๆ มีควยแต่เสือกอยากแดกควยด้วยกัน” ไอ้อ้วนด่าอย่างคะนองปาก

“มึงเคยเห็นกูอยากแดกควยใครเหรอ” ไอ้พงษ์เถียง ไม่ยอมปล่อยให้ถูกหยามหยันได้ง่ายๆ

“มึงเป็นตุ๊ด ไม่ชอบกินควย แล้วจะให้ชอบกินอะไร อ้อ ชอบกินถั่วดำละสิ” ไอ้อ้วนด่าอีก ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนจะไม่ใช่การเย้าแหย่ แต่มันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม

ผมนิ่งฟัง หัวเราะไม่ออก ใจหนึ่งรู้สึกเห็นใจที่พงษ์ถูกตั้งข้อรังเกียจและถูกหยามหยันจากเพื่อนๆ อีกใจหนึ่งก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง คำว่าตุ๊ดเริ่มก่อคำถามในจิตใจของผม แต่ก็เป็นความรู้สึกเล็กๆที่ผ่านวูบเข้ามาแล้วก็ผ่านเลยไป…

- - -

การเข้าเป็นนักเรียนของที่นี่จะถือว่าเป็นนักเรียนโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ผ่านพิธีกรรมรับน้องเสียก่อน จริงอยู่ ในทางระเบียบข้อบังคับ พวกเราถือว่าเป็นนักเรียนของที่นี่โดยสมบูรณ์แล้วก็ตาม แต่ในทางประเพณี เรายังต้องผ่านการรับน้องเสียก่อน

เรื่องการรับน้องแม้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม ที่โรงเรียนเก่าก็มีปฏิบัติกัน อย่างเช่น การรับน้องหอ แต่เท่าที่เคยผ่านมา มักเป็นการรับน้องแบบเล็กๆ จัดกันเองในหมู่รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น

แต่สำหรับที่นี่ การรับน้องถือเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียว โดยสภานักเรียนของโรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการ ร่วมกับทางโรงเรียน นักเรียนชั้น ม.๑ ทุกคนจะถูกขอร้องแกมบังคับ ว่าให้มาร่วมพิธีกันทุกคน โดยพิธีรับน้องนี้จะจัดกันในวันเสาร์ภายในเดือนมิถุนายน ที่ว่าของร้องแกมบังคับนั้น เพราะว่าไม่ใช่กิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น แต่เป็นกิจกรรมตามประเพณีที่รุ่นพี่จัดให้รุ่นน้อง ดังนั้นจึงไม่มีสภาพบังคับ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนก็อยากมาร่วม เพราะไม่มีใครหรอกที่อยากได้ชื่อว่าไม่ใช่นักเรียนโดยสมบูรณ์ เพราะไม่ได้ผ่านพิธีรับน้อง

ดิษฐ์ หัวหน้าชั้นรูปหล่อ หุ่นนักกีฬา ได้แจ้งให้พวกเราทุกคนรู้ว่า การรับน้องจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ที่จริงก็รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดิษฐ์มาย้ำอีกที พร้อมทั้งยังย้ำด้วยว่าให้นำเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเก่าๆมาเปลี่ยนตอนรับน้องด้วย เพราะว่าเสื้อผ้าจะเลอะสุดๆ

พวกเราทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย เพื่อที่จะได้ร่วมพิธีกรรมสำคัญนี้ และอยากรู้ว่าจะโดนอะไรตอนรับน้องบ้าง

- - -

เช้าวันเสาร์นั้น ผมออกมาขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอยเคย ตามปกติวันเสาร์เป็นวันทำงานบ้านของผม แต่เนื่องจากวันนี้มีกิจกรรมพิเศษ ผมจึงต้องเลื่อนงานบ้านไป งานบ้านอะไรที่เอ๊ดทำได้ก็ทำไปก่อน ส่วนที่เหลือผมจะมาทำต่อให้ในวันอาทิตย์

ปกติผมมักจะเห็นไอ้นัยมายืนรอผมเสมอ แต่วันนี้ผมต้องรออยู่สักครู่ ไอ้นัยจึงโผล่มา มันใส่เสื้อยืด กางเกงนักเรียน พร้อมทั้งสะพายเป้มาใบหนึ่ง ไอ้นัยมีสีหน้าแจ่มใสเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดเดินผิวปากมาเลยทีเดียว

“สงสัยวันนี้ฝนตกหนักแน่เลย” ผมพูดกับมัน

“ทำไมเหรอ ฟ้าออกสว่าง” ไอ้นัยพาซื่อ แหงนมองท้องฟ้า

“ก็มึงมาช้ากว่ากู แล้วแถมยังเดินผิวปาก ถูกหวยมาหรือไง” ผมถามมัน ใช้สำนวนที่จำมาจากตลาดสดสะพานสอง

“ป่าว ไม่ได้ซื้อหวยสักหน่อย” ไอ้นัยยังซื่อไม่เสร็จ

“โธ่เอ๊ย ยิ่งโตยิ่งเซ่อนะมึง หมายความว่าทำไมมึงถึงอารมณ์ดีขนาดนี้” ผมตบหัวมันไปหนึ่งที เบาๆ

ไอ้นัยทำปากหมุบหมิบ คงด่าผมในใจเช่นเคย

“เรื่องอะไรจะบอกมึง ฮุฮุ” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงสะใจที่ได้แกล้งผมบ้าง

“นี่เดี๋ยวนี้มึงแกล้งคนเป็นแล้วเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ขอแกล้งมึงสักวัน ได้ป่าว” แน่ะ อยากจะแกล้งยังต้องขออนุญาตอีก ไอ้นัยมันดีขนาดนี้ ใครจะไปขัดใจมันลง

“จะแกล้งกูก็ได้ แต่ต้องบอกก่อนว่ามึงดีใจเรื่องอะไร” ผมพูด แล้วก็อดหัวเราะขำไอ้นัยไม่ได้

“ยังงั้น วันนี้รับน้องเสร็จตอนบ่าย ไปที่บ้านกู มีอะไรให้มึงดู ตอนนี้ยังไม่บอก จะแกล้งให้มึงอยากรู้สักวัน” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วก็ยิ้มแฉ่ง คงดีใจที่ได้แกล้งผม


<ห้องน้ำหลังโรงยิม สภาพค่อนข้างเก่าเพราะใช้มานานแล้ว ด้านหนึ่งแบ่งเป็นซองสำหรับปัสสาวะ อีกด้านหนึ่งเป็นห้องส้วม ฝาผนังกั้นสูงพอประมาณ ไม่ได้จรดถึงหลังคา ดังนั้นจึงสามารถปีนดูห้องข้างเคียงได้>

8 comments:

Anonymous said...

ชอบมากครับ จะติดตามจนกว่าจะจบนะครับ

Anonymous said...

ตอนจบเหรอ?
เค้าว่าหนังสือดี เราจะรีบอ่านเพื่อนอยากรู้ตอนจบ
แต่อีกใจหนึ่งก็กลัว กลัวมันจะจบ

ผมรู้สึกอย่างนั้นกับเรื่องของอูคับ

แต่ขอถามหน่อยเดียวได้ม่ะ
คงไม่ทำให้เสียรูปคดีน่ะ

แค่อยากรู้ว่าตอนนี้ หมายถึงปัจจุบัน
ชัชเป็นไงบ้าง ทำอะไรอยู่ มีครอบครัวหรือยัง

T1000

Anonymous said...

ตอนนี้สั้นจังเลย รอตั้งนาน

แต่จะรออีกต่อไป ชอบๆๆ

แบงค์

Anonymous said...

ยิ่งอ่านก้อยิ่งน่าติดตาม อยากรู้เหมือนกันว่าพระเอกของผม หรือ นัยจะมีอะไรมาเซอร์ไพร์ อู หุหุหุ คิดแล้วก้อยิ่งตื่นเต้นอยากอ่านต่อแล้วครับ ไงก้อรีบมาต่อเร็วๆนะครับ
เป็นกำลังให้เหมือนเดิมครับ
กร ครับ

Anonymous said...

ผมพยายามจะโพสต์ให้ได้เดือนละประมาณ ๖ ตอน แต่เดือนที่แล้วทำได้เพียงแค่ ๕ ตอนเท่านั้นเอง เดือนนี้จะพยายามใหม่

เรื่องชัชขอเอาไว้เฉลยตอนจบ ม.๓ ก็แล้วกันนะครับ อดใจลุ้นกันไปก่อน

ส่วนเรื่องสิ่งที่ไอ้นัยจะอวดนั้น ทายกันไม่ถูกหรอกครับ นึกกันไม่ถึง รออีกตอนสองตอนคงได้ทราบกัน

อู

Anonymous said...

ชอบมากครับอู

เอ่อ ขอถามหน่อยได้ไหมครับ

รร.ตอนประถม นี่ใช่ รร.ปานะพันธ์ หรือป่าวครับ

พอดีจบมาจากที่นั่นอะครับ

Anonymous said...

คิดเหมืนผมเลย ผมก้อคิดว่าปานะพันธ์ นะ อยู่ปากทางเข้าถนนลาดพร้าวไปหน่อย แต่ตอนนี้โรงเรียนเลิกกิจการไปแล้ว
คิดถึงอูนะครับ
เคทีบี

Anonymous said...

คือเป็นนิยายน่ะครับ โรงเรียนไม่มีจริงหรอกครับ

แม้โรงเรยีนมัธยมก็ไม่มีจริงเช่นกัน

อู