โชคดีที่ผมซื้อหนังสือที่ต้องการมาได้เรียบร้อยแล้ว พอเดินหนีออกมาได้ก็กลับหอพักเลย เมื่อกลับมาแล้วก็เอาหนังสือติวต่างๆมานั่งดูพร้อมทั้งวางแผนว่าจะอ่านอย่างไร เพราะว่าเนื้อหาที่ต้องอ่านมีมากมาย ตั้ง ๘ หมวด อีกทั้งยังต้องอ่านเนื้อหาตั้งแต่ ม.๔ ยัน ม.๖ อีกด้วย ไอ้กี้และเพื่อนคนอื่นๆจะได้เปรียบเพราะเริ่มดูหนังสือมาตั้งแต่เทอมต้น เท่ากับว่ามันมีเวลาเตรียมตัวสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ถึง ๒ ปี ในขณะที่ผมมีเวลาเพียงปีเดียว
ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มดูหนังสือของ ม.๔ ก่อน ทั้งสายวิทย์ที่จะใช้สอบเอนทรานซ์ และทั้งสายศิลป์คำนวณที่จะใช้สอบเทียบ เพราะว่าวิชา ม.๔ จะได้เอาไว้สอบปลายภาคด้วย หลังจากปิดเทอมแล้วจึงค่อยดูวิชาของ ม.๕ จากนั้นเปิดเทอมใหม่ค่อยมาดูวิชา ของ ม.๖ แล้วตอน ม.๕ เทอมปลายก็เอาไว้เป็นเวลาทบทวนและทำข้อสอบเอนทราซ์เก่าๆ
วิชาของ กศน. ในส่วนที่เป็นสังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ก็คล้ายๆกับที่ผมเรียนในโรงเรียน ดูๆแล้วเนื้อหาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่วนคณิตศาสตร์นั้นก็แตกต่างกันไม่มาก ที่จะต่างกันคือวิทยาศาสตร์ ของ กศน. เป็นพวกวิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพอะไรพวกนั้น ซึ่งไม่ได้เรียนเนื้อหามากเหมือนสายวิทย์ ดังนั้นโดยรวมแล้วความยากของการเรียน กศน. ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชา แต่อยู่ที่ความเยอะของเนื้อหาที่ต้องดูให้จบและจำให้ได้ในเวลาอันจำกัด
ดังนั้นหลังจากปีใหม่เป็นต้นมา ผมก็เริ่มอ่านหนังสือตามแผนที่วางเอาไว้ ในเวลาเรียน ผมพยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะวิชาต่างๆไม่ว่าสังคม ภาษาไทย ฯลฯ ที่พวกนักเรียนสายวิทย์ไม่ค่อยสนใจกันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ในการสอบเทียบ การเรียนกับอาจารย์ในห้องเรียนก็เหมือนช่วยการเรียน กศน. ไปด้วยในตัว ผมพยายามทำให้เนียนโดยไม่เอาหนังสือติวไปดูที่โรงเรียน เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังจะสอบเทียบ ถ้าเกิดไม่สำเร็จจะได้ไม่เสียหน้า แต่เพียงแค่อาการตั้งใจเรียนของผมก็ทำให้เพื่อนๆแปลกใจกันมากพอดูแล้ว
นับว่าเป็นโชคดีของผมอยู่บ้าง ที่หลังจากถูกป้ายขี้เป็นต้นมา ผมไม่ได้ถูกเวชแกล้งอะไรแรงๆอีกเลย จะมีบ้างก็เป็นไอ้เกรียงที่ชอบพูดกระทบกระเทียบ หรือบางทีก็แกล้งเล็กๆน้อยๆ เช่น เอาชอล์คปาหัว ซึ่งก็พอทนได้ ถึงแม้การแกล้งของเวชและพวกจะซาลงไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจที่ผมจะไปจากที่นี่เปลี่ยนแปลงไป
ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมอยู่ที่การปรับตัวในการดูหนังสือด้วยตนเอง เป็นปีๆแล้วที่ผมไม่ตั้งใจเรียน ชอบนั่งฝันสร้างวิมานในอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน ทำอะไรก็ห่วยแตกไปวันๆ การบ้านก็อาศัยลอกเพื่อนๆเป็นหลัก สอบก็แค่พอให้ผ่านเอาตัวรอดได้เท่านั้น การที่จะกลับมาตั้งใจเรียนอีกทั้งดูหนังสือในตอนกลางคืนด้วยนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผม
ในยามค่ำคืน ปกติผมจะนั่งฟังเพลงในความมืด ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็คิดฟุ้งซ่าน คิดถึงไอ้นัยบ้าง คิดถึงไอ้บอยบ้าง วาดวิมานในอากาศบ้าง บางทีก็ดูหนังสือนิดๆ ทำการบ้านหน่อยๆ ตามแต่ความจำเป็น จากนั้นก็เข้านอน จนเพาะเป็นนิสัยขี้เกียจ ส่วนเรื่องไอ้นัยนั้นเดิมทีที่ผมตั้งใจว่าจะลืมมันให้ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะทำอะไรผมมักหวนนึกถึงวันเก่าๆ ประสบการณ์เก่าๆ ใจประหวัดคิดถึงมันโดยตลอด โดยเฉพาะเวลาที่ผมพบไอ้บอยเป็นเวลาที่ผมคิดถึงไอ้นัยบ่อยที่สุด นอกจากนี้ ทุกครั้งเมื่อผมมีความเครียดหรืออยู่ในภาวะกดดัน อย่างเช่นตอนใกล้สอบ ผมมักฝันร้ายเรื่องเดิมๆอยู่เสมอ ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าผมพยายามหลอกตนเองมาโดยตลอดว่าผมลืมมันไปได้แล้ว
- - -
เดือนมกราคมในปีนั้นเป็นเดือนที่ยากลำบากมากเดือนหนึ่งในชีวิต ไม่ได้ลำบากแบบอดๆอยากๆ แต่ลำบากในการพยายามเอาชนะตนเอง ใครที่เคยขี้เกียจมาก่อนแล้วพยายามจะกลับมาขยันคงเข้าใจความรู้สึกได้ดี ไม่ใช่เพียงความเคยชินเก่าๆที่ฉุดรั้งเราเอาไว้เท่านั้น แต่ความท้อแท้ ความที่ไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จ เป็นตัวการสำคัญที่คอยบั่นทอนกำลังใจของผม เปรียบเหมือนคนที่ล้มลงไปนอนอยู่กับพื้นแล้วลุกไม่ขึ้น และก็ชินกับการนอนให้คนเหยียบผ่านไปผ่านมาอยู่เช่นนั้นอยู่นานๆ เมื่อยามจะกลับมาลุกขึ้นยืนใหม่อีกนั้นนั้นมันยากเย็นแสนเข็ญสิ้นดี
ผมพยายามดูหนังสือในเวลากลางคืน แต่ว่าแทบจะไม่มีสมาธิเลย ดูไปได้เดี๋ยวเดียวก็ต้องลุกมาทำนั่นทำนี่ เหมือนคนสมาธิสั้น พอดูไปๆกำลังจะติดลมก็เกิดง่วงขึ้นมาอีก ทำอะไรก็มีแต่ความขัดข้องไปหมด
“แป๋ง ดูหนังสือแล้วง่วงนี่ต้องทำไงวะ” ผมถามแป๋งในวันหนึ่งในตอนที่ผมกลับเข้าหอ แป๋งนั่งเฝ้าชั้นล่างอยู่พอดี เราจึงนั่งคุยกันเป็นปกติ เรื่องของผมกับแป๋งที่ผ่านมานั้นผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว เป็นเพียงแค่เสียความรู้สึกนิดหน่อยเท่านั้นเอง เหตุที่ไม่ได้ติดใจเพราะว่าผมไม่ได้คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรกับแป๋งให้ไกลไปกว่านี้อีกเนื่องจากช่วงนั้นสนิทกับบอยมาก ผมมองแป๋งเป็นแค่เพื่อนที่มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกันนิดหน่อย...ก็เท่านั้นเอง
“กินกาแฟดิ” แป๋งแนะนำ
“แล้วนายเคยกินเหรอ” ผมถาม
“ไม่เคยหรอก กินแต่เหล้า” แป๋งตอบหน้าทะเล้น
“ไอ้นั่นน่ะรู้อยู่แล้ว” ผมหัวเราะ จากนั้นผมนึกยังไงก็ไม่รู้ ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบแล้วถามต่อ “แล้วน้ำว่าวไอ้วุฒิล่ะ เคยกินหรือยัง”
“ไอ้บ้า” แป๋งด่า ทีแรกแป๋งทำท่าตกใจ เหลียวมองซ้ายขวา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าทีเขิน เพิ่งจะเคยเห็นเด็กทะเล้นอย่างมันเขินก็วันนี้เอง “นายเอาอะไรมาพูดวะ”
ผมไม่ได้คุยอะไรเรื่องวุฒิต่อ แปลกใจตนเองเหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง มันหลุดปากจริงๆ จากนั้นผมก็เปลี่ยนเรื่องด้วยการซื้อกาแฟซองจากแป๋งและเดินขึ้นห้องไป
กาแฟผงสำเร็จรูปในยุคนั้นยังไม่มีแบบซอง 3 in 1 หรือว่าซองเล็กแบบชงได้หนึ่งแก้วอย่างในปัจจุบัน ต้องซื้อกาแฟผงสำเร็จรูป ครีมเทียม และน้ำตาลแต่ละอย่าง แล้วมาชงกับน้ำร้อนเอาเอง ครีมเทียมนี่ขายเป็นกล่องใหญ่ ดังนั้นที่ร้านของแป๋งจึงไม่ได้รับมาขาย คงมีแต่กาแฟผงซองขนาดย่อมกับน้ำตาล ผมจึงซื้อมาแต่กาแฟเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจกินเอาอร่อย แต่จะกินเพื่อให้หายง่วง ส่วนน้ำตาลทรายนั้นมีอยู่แล้วในห้อง
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ผมก็ต้มน้ำเตรียมชงกาแฟ ผมก็อดนึกถึงพี่เอ้ไม่ได้ จำได้ว่าพี่เอ้เคยไปกินกาแฟที่ร้านออนล็อกหยุ่นกับไอ้นัยและพี่เต้ กลับมาแล้วบ่นนอนไม่หลับไปทั้งคืน กาแฟนี่น่าจะช่วยผมได้
น้ำร้อนแล้ว ผมชงกาแฟด้วยกาแฟผงกับน้ำตาลทราย ครีมเทียมไม่มีก็ช่างมัน ใส่กาแฟเท่าไรจึงจะหายง่วงก็ไม่รู้ ใส่ไปหนึ่งช้อนก่อนละกัน ตั้งแต่เด็กไม่เคยดื่มกาแฟเลย ต่างจากวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีบางส่วนนิยมดื่มกาแฟสด ยุคของผมไม่มีกาแฟสดขายกันทั่วไปแบบนี้ อีกทั้งผู้ใหญ่มักบอกว่าดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับ ก็เลยไม่ดื่ม เคยลองชิมเหมือนกันแต่ว่าขมจึงไม่ชอบ ดังนั้นผมจึงโตมาด้วยการดื่มน้ำเปล่า น้ำหวาน น้ำอัดลม แล้วก็ข้ามมาเหล้ากับเบียร์ไปเลย
“โอย แม่ง ขมฉิบหาย” ผมอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อได้ลิ้มรสกาแฟฝีมือตนเองแก้วแรกในชีวิต น่าแปลกที่กาแฟแก้วนี้นอกจากความขมแล้วมันยังทำให้ผมคิดถึงไอ้นัยขึ้นมาอย่างรุนแรง... ขมที่ลิ้น แต่ว่าขื่นที่ใจ...
ผมกัดฟันดื่มกาแฟจนหมดแก้ว จากนั้นก็ไปอาบน้ำ จากนั้นก็มานั่งอ่านหนังสือ เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มลงไปเท่านั้น กาแฟแก้วนั้นก็ออกฤทธิ์ ผมรู้สึกใจเต้น ตื่นเต้น กระสับกระส่าย ถึงแม้จะไม่ง่วงแต่ก็ดูหนังสือไม่รู้เรื่องเอาเลยเพราะความรู้สึกกระสับกระส่าย
ตีสามแล้ว...
คืนนั้นเป็นคืนที่แสนทรมาน จะนอนก็ไม่หลับ จะดูหนังสือก็ไม่ได้ ผมรู้สึกฟุ้งซ่านจึงขึ้นไปนั่งเล่นรับลมที่ชั้นดาดฟ้า ในยามดึกสงัด แทบปราศจากแสงไฟ ผมเหม่อมองดวงดาวที่พราวพรายในท้องฟ้ายามปลายฤดูหนาว ความคิดคำนึงก็หวนไปถึงไอ้นัย ไม่รู้ว่าคืนนี้เป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดถึงไอ้นัยมากเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ผมพยายามจะลืมมันไปให้ได้ ความรู้สึกอ้างว้างหวนกลับมาเคียงคู่ผมอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ผมพยายามจะลืมมัน ทั้งนี้ ก็เพราะผมต้องการหนีจากมโนธรรมของตนเอง แต่มันก็เปรียบเหมือนกับการที่ผมเอาล็อกเก็ตที่มีรูปไอ้นัยห้อยเอาไว้ที่หน้าอก ผมบอกว่าจะลืมมัน แต่เมื่อก้มลงไปผมก็เห็นมันอยู่ทุกครั้ง แล้วผมก็พยายามหลอกตนเองว่าผมลืมมันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมไม่สามารถที่จะลืมมันได้เลย รวมทั้งไม่สามารถหนีพ้นจากมโนธรรมองตนเองด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตของผมคงไปไม่ถึงไหน เป็นแน่
“ไอ้นัย ขอโทษนะที่กูพยายามจะลืมมึง ทั้งๆที่กูไม่ควรจะลืมเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างมึงเลย แต่ที่กูทำเพราะกูอยากหนีความผิดที่กูทำเอาไว้กับมึง” ผมพูดกับเวิ้งฟ้าและดาราพรายด้วยเสียงแผ่วเบา อากาศในตอนตีสามเย็นยะเยือก แต่ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเยียบเย็นยิ่งกว่า “ต่อไปกูจะไม่ลืมมึงแล้ว กูจะไม่หนีความผิดที่กูทำไว้กับมึงอีก เมื่อไรที่เราได้พบกันอีก กูจะพยายามชดใช้ให้นะนัย ไม่ว่าจะต้องชดใช้ด้วยอะไรตาม กูก็จะพยายาม”
- - -
ฤทธิ์ของกาแฟทำให้ผมนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านตลอดทั้งคืน กว่าจะหลับได้ก็เป็นตอนเช้าของวันอาทิตย์ แต่ก็เป็นการหลับที่ไม่สนิทนัก ดังนั้นตลอดวันอาทิตย์ทั้งวันผมจึงรู้สึกมึนตลอดทั้งวันแต่ก็พยายามแข็งใจดูหนังสือ
การพยายามตั้งใจเรียนและดูหนังสือในช่วงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่ขลุกขลักมาก ท้อจนเกือบจะเลิกกลางคันอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมาได้ กำลังใจอันน้อยนิดได้สะสมจนมากขึ้นและมากขึ้น... จนในที่สุดผมก็สามารถปรับตัวได้ กลางวันผมตั้งใจเรียน แต่ก็ทำเนียนไม่ให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะไอ้กี้ รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนกลางคืนผมดูหนังสืออย่างหนัก รวมทั้งทำการบ้านด้วยตนเองทั้งหมด เพราะว่าการบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถทบทวนความเข้าใจไปได้ในตัว
ตอนนี้ผมเลิกคิดที่จะลืมไอ้นัยแล้ว แต่ก็พยายามไม่ไปคิดถึงมัน เปรียบเหมือนกับผมเอาล็อกเก็ตรูปไอ้นัยห้อยเอาไว้ที่หลังของผม ผมไม่ได้ลืมความดำรงอยู่ของมัน แต่ผมก็ไม่พยายามคิดถึงมันเพื่อให้มารบกวนสมาธิในการเรียนของผม ที่จริงข้อเท็จจริงต่างๆก็ยังเป็นเช่นเดิม เพียงแต่ผมเปลี่ยนวิธีคิดเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้วมันได้ผลทีเดียว
ในยามเหงาหรือยามท้อ ผมมักคิดถึงบอยอยู่เสมอ แม้ว่าในช่วงนั้นจะเป็นช่วงปลายภาคแล้ว ทั้งผมและบอยต่างก็มีภาระเรื่องการเรียนและพบกันน้อยลงไปบ้าง แต่ผมเริ่มรู้สึกอย่างจริงจังแล้วว่าบอยเป็นกำลังใจอันสำคัญของผม
- - -
ต้นเดือนมีนาคม
ในที่สุดการสอบปลายภาคของภาค ๒ ก็สิ้นสุดลง ผมคิดว่าสอบครั้งนี้ผมน่าจะทำคะแนนได้ดีพอควร ที่นั่งสอบของผมในครั้งนี้อยู่ในเส้นทางของกลุ่มเวชและพวก ซึ่งนั่นหมายความว่าผมอยู่ในเส้นทางลำเลียงฝิ่นอีกแล้ว แต่ว่าโชคดีที่การสอบครั้งนี้ไม่มีฝิ่นส่งผ่านมาทางผมเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครั้งนั้นไม่มีการส่งฝิ่นกันหรือว่าเพื่อนๆส่งอ้อมผมไป ที่ไม่แน่ใจเพราะว่าผมตั้งใจทำข้อสอบมากจนไม่ได้สังเกตเรื่องเหล่านี้
ในราวต้นเดือน แก๊งพี่ธิตในหอพักมีการจัดเลี้ยงสังสรรค์กัน ถือเป็นการส่งท้ายปิดเทอม เพราะว่าหลังจากนี้ไปแล้วพวกชาวหอที่เป็นนักเรียนและนักศึกษามักจะกลับภูมิลำเนากันไปเป็นเวลานาน คงเหลืออยู่แต่พวกที่ทำงาน กว่าจะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกก็ต้องเป็นเดือนพฤษภาคมที่บรรดาน้องๆทยอยกลับมากัน
ที่จริงนักเรียนนักศึกษาที่มาเช่าหอพักค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะว่าแม้จะกลับบ้านแต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้องอยู่ตลอด จะพักจ่ายไม่ได้ เพราะหากหยุดจ่ายเมื่อไรก็เท่ากับว่าเลิกเช่า ดังนั้นแม้ไม่ได้อยู่แต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าเต็ม
งานเลี้ยงสังสรรค์จัดขึ้นที่ชั้นดาดฟ้า พวกชาวหอที่สนิทสนมกับพี่ธิตรวมทั้งคนอื่นๆในหอที่อยากมาร่วมด้วยรวมแล้วสิบกว่าคนมาสังสรรค์กัน แป๋งกับวุฒิก็มาด้วย
“มาๆ อู ชนแก้วกัน” พี่ธิตยื่นแก้วน้ำบรรจุของเหลวสีเหลืองอำพันมาให้ผม ส่วนพี่ธิตเองก็ถือเอาไว้แก้วหนึ่ง
ผมรับแก้วมา จากนั้นชนแก้วกับพี่ธิต
“นิดเดียวนะพี่ ผมกินไม่เก่ง” ผมพูด
ไอ้แป๋งยักคิ้วแอบหัวเราะ ต่อหน้าพวกพี่ๆและเพื่อนๆในหอ ผมเป็นเด็กที่เรียบร้อย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ โคตรสร้างภาพได้ดีเลย ซึ่งผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นต่อไป คงมีเพียงแป๋งเท่านั้นที่พอรู้อะไรลึกๆอยู่ ดีที่มันไม่แฉออกมา
ผมสังเกตเห็นแป๋งนั่งติดกับวุฒิตลอดทั้งงาน บางครั้งก็เหมือนนั่งอิงกัน บางทีก็ส่งสายตาให้แก่กัน ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างที่ผมเห็นจริงๆหรือว่าผมคิดไปเอง

<แผงหนังสือสนามหลวงในอดีต เป็นแหล่งรวมหนังสือติวและกวดวิชาของนักเรียนทุกระดับชั้น อีกทั้งยังเป็นแหล่งขายหนังสือปกขาวหรือว่าหนังสือโป๊ บางคนก็ไม่ได้มาหาซื้อหนังสือเรียนแต่ว่าเจาะจงมาหาซื้อหนังสือโป๊ วิธีการขายจะไม่ได้วางขายให้เห็นเพราะว่าจะถูกตำรวจจับ ในการขายนั้นผู้ขายจะเดินถามลูกค้าทีละคนด้วยคำพูดที่ติดปาก นั่นคือ โป๊มั้ยครับ โป๊มั้ยครับ ใครที่ไปเดินดูหนังสือหากเป็นผู้ชายเป็นต้องโดนถาม ผู้ซื้อก็มีทั้งนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน ผู้ที่ไม่ซื้อก็อาจรู้สึกรำคาญเพราะกว่าจะเดินดูหนังสือเสร็จอาจถูกสะกิดถามไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้ง
การซื้อขายกันนั้นบางทีผู้ขายก็มีหนังสือตัวอย่างให้ดู บางทีก็ไม่มี ต้องซื้อแบบหลับหูหลับตา เมื่อมีการตกลงซื้อ คนขายก็จะรับเงินไปก่อน สักครู่จะเอาหนังสือมาส่งให้ และที่น่าสังเกตคือไม่เคยเห็นคนขายที่เป็นหญิงเลย อาจจะมีแต่ผมไม่เคยเห็นก็ได้>

<สถานที่ซึ่งเคยเป็นแผงหนังสือสนามหลวงในปัจจุบัน หลังจากที่แผงหนังสือถูกย้ายไป สถานที่นี้ก็ถูกปรับปรุงเป็นสวนหย่อม มีสุมทุมพุ่มไม้เล็กๆ ตอนที่เป็นแผงหนังสือก็มีสินค้าทางเพศเอาไว้บริการ นั่นคือหนังสือโป๊ พอตอนเป็นส่วนหย่อมก็ยังมีสินค้าทางเพศมาคอยบริการอีก นั่นคือ ผีขนุน
ผีขนุนคือผู้ขายบริการทางเพศ เดิมทีหมายถึงหญิงขายบริการ ในยุคเมื่อหลายสิบปีก่อน หลังศาลอาญาตรงสนามหลวง ติดกับแผงหนังสือนั่นเอง จะปลูกต้นขนุนเอาไว้ โดยการปลูกต้นขนุนนั้นเป็นเคล็ดของคนโบราณ โดยเฉพาะในวงข้าราชการ เพราะขนุนมีความหมายมงคล หมายถึงได้รับการหนุนส่งนั่นเอง
ต้นขนุนหลังศาลนี้ในยามกลางคืนจะมีหญิงทั้งสาวและไม่สาวมายืนขายบริการอยู่ เมื่อลูกค้าตกลงราคาได้แล้วส่วนใหญ่ก็มักเดินข้ามคลองหลอดไปเพื่อใช้บริการห้องพักชั่วคราวซึ่งมีราคาถูกและสภาพย่ำแย่สมราคา ที่ถูกมากๆก็จะมีห้องกับเสื่อ น้ำขวดหนึ่ง และกระดาษหนังสือพิมพ์ ยุคนี้คงเป็นยุคของพี่ๆ ม.๘ ผมเองก็ไม่ทัน
จากนั้นมา คำว่าผีขนุนจึงเป็นสแลง หมายถึงหญิงขายบริการ ซึ่งต่อมาการขายบริการไม่ได้มีเพียงใต้ต้นขนุน แต่ลามไปถึงใต้ต้นมะขามสนามหลวง พวกนั้นก็ยังเรียกผีขนุนอยู่ บางทีก็เรียกผีมะขาม รวมทั้งบางครั้งผู้ขายเป็นสาวประเภทสองก็ยังเรียกผีขนุน และเมื่อกิจการลามไปถึงด้านวังสราญรมย์อันเป็นแหล่งของชายขายบริการ แม้ผู้ขายเป็นชายและไม่มีต้นขนุน แต่ก็ยังเรียกว่าผีขนุนเช่นกัน ต่อมาจนเมื่อแผงหนังสือย้ายออกไปและกลายเป็นสวนหย่อม ผีขนุนก็มาสิงสถิตอยู่แถวนี้บ้างเหมือนกัน
มาจนถึงยุคปัจจุบัน สแลงผีขนุนก็มีวิวัฒนาการ เกิดเป็นผีขนุนสก๊อยขึ้นมา โดยเป็นพวกสาววัยรุ่นมาหาเงินเพื่อเอาไปแต่งรถกับเด็กแว้น ผีขนุนสก๊อยจะอยู่อีกด้านหนึ่งของสนามหลวง>