Sunday, October 7, 2007

ตอนที่ 63

หลังจากเข้าแถว เคารพธงชาติแล้ว งานเลี้ยงปีใหม่ก็เริ่มอย่างเป็นทางการ บรรยากาศรื่นเริงเต็มที่ แต่ละห้องก็มีสไตล์การแต่งห้องและกิจกรรมที่ไม่เหมือนกัน

ห้องของผมตอนเช้าเริ่มด้วยครูประจำชั้นกล่าวให้โอวาทและเปิดงาน วันนี้แม้แต่ครูก็ดูใจดีและรื่นเริงกว่าทุกวัน หลังจากนั้นก็เป็นการเล่นเกม เล่นกันอยู่หลายเกมเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้แล้วครับ แต่ที่จำได้อยู่เกมหนึ่งก็คือเกมกระบอกเสียง คือให้คนทั้งห้องมาล้อมวงกัน แล้วให้คนต้นแถวคิดประโยคอะไรก็ได้หนึ่งประโยค แล้วบอกใส่หูคนถัดไปโดยห้ามไม่ให้คนอื่นได้ยิน พอบอกไปจนถึงคนสุดท้ายก็ให้คนสุดท้ายบอกออกมาดังๆว่าได้ยินอะไร ส่วนใหญ่ข้อความมักจะเพี้ยนไปจากคนต้นแถว หลังจากนั้นก็มาไล่เรียงกันว่าคนที่ถ่ายทอดเพี้ยนคนแรกคือใคร

จำได้อยู่ประโยคหนึ่ง คนต้นแถวบอกว่า “กินข้าวกับนมตราหมี” มันคิดได้ไงเนี่ย กินข้าวกับนมตราหมี แล้วมันก็บอกไปเรื่อยๆจนคนสุดท้ายบอกว่าที่มันได้ยินคือ “กินข้าวตัวดำปิ๊ดปี๋” เออ แล้วมันจะเกี่ยวกันมั้ยครับ กินข้าวกับตัวดำเนี่ย

จากนั้นก็มาเริ่มไล่ย้อนหลังกันว่าไปเริ่มเพี้ยนที่ใคร ตอนไล่หาคนเพี้ยนคนแรกนี่ฮากันมาก ปรากฏว่าไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง และเหตุที่ผมยังจำได้ก็เพราะว่าคำนี้ไอ้นัยเป็นคนทำเพี้ยนนี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นคงจำไม่ได้

หลังจากเล่นกันไปได้หลายๆประโยค คนที่ทำเพี้ยนในแต่ละครั้งจะถูกนำมารวมกันทำโทษ การทำโทษก็ให้มาเต้นท่าอุบาทว์ๆ ตอนทำโทษนี่แหละครับ ฮากันกลิ้งเลย โดยเฉพาะไอ้นัย เต้นได้น่ารักมาก ทำท่าเหมือนสัตว์ประหลาดตลกๆ พอลงโทษกันเสร็จแล้ว ครูประจำชั้นก็สรุปตบท้ายว่านี่แหละคือส่วนหนึ่งของกาลามสูตร คือ อย่าเชื่อคำบอกเล่าที่บอกต่อๆกันมา อะไรประมาณนี้แหละครับ ขนาดวันงานปีใหม่ยังไม่วายสอนธรรมะ

หลังจากเล่นเกมแล้วก็มีประกวดร้องเพลง แต่ไม่ใช่เพลงปกติ เป็นเพลงแปลง แต่ไม่ได้เลียนแบบเพลงแปลงของใคร คนร้องต้องคิดแปลงเนื้อเอาเอง สนุกตรงนี้แหละครับ เพราะบางคนก็แปลงเก่ง บางคนก็แปลงได้ห่วย แต่รวมแล้วก็สนุกมาก หัวเราะกันท้องแข็ง

หลังจากนั้นก็เป็นรายการอาหารกลางวัน แล้วก็ต่อด้วยการจับฉลากแลกของขวัญ ส่วนใหญ่ก็ของทั่วไปครับ เช่น ปากกา กรอบรูป อัลบั้มรูป ผ้าขนหนู ชุดดินสอสี ของกินพวกขนม คุกกี้ บางคนก็ให้เทปคาสเส็ตที่อัดเพลงเอาไว้ คือ เลือกเพลงมาแล้วอัดกันเอง สมัยนั้นมีแต่วิทยุกับเทปคาสเส็ต แล้วก็แผ่นเสียง ซีดี ดีวีดี ยังไม่มีครับ

พวกของพิเรนทร์หน่อยก็มีครับ มีคนหนึ่งให้กางเกงใน อีกคนเอากะละมังพลาสติกห่อของขวัญมา ห่อใหญ่เบ้อเริ่ม ตอนแรกทุกคนแปลกใจว่าของอะไร ใหญ่ๆ เบาๆ แต่มันไม่ยอมบอก สุดท้ายคนที่จับได้ของขวัญมันบ่นใหญ่เลย เพราะมันนั่งรถเมล์ ขี้เกียจหอบขึ้นรถเมล์

สำหรับผมนั้น ตอนเช้าๆก็รู้สึกเซ็งๆ เพราะกำลังเคืองไอ้ชัชกับไอ้นัย แต่พอสายๆหน่อยก็กลับมาอารมณ์ดี เพราะความสนุกสนานของงานเลี้ยงทำให้ลืมความขุ่นเคืองไป

และท้ายที่สุดของงาน ก็เป็นการเฉลยบัดดี้ ตอนนั้นบ่ายสามโมงกว่าแล้วครับ เล่นกันไปเล่นกันมาจนรายการสุดท้ายช้ากว่ากำหนด ครูประจำชั้นขอตัวกลับไปก่อน มีอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณครึ่งห้องขอตัวกลับเช่นกันเพราะวางแผนกันไว้แล้วว่าจะไปดูหนัง เดี๋ยวจะไม่ทันรอบฉาย เพราะนัดกันไว้แล้วว่าหลังเลิกงานเลี้ยงแล้วจะไปดูหนังกัน แล้วก็อีกส่วนหนึ่งผู้ปกครองมารับพอดี เด็กประจำบางคนจะรีบกลับต่างจังหวัดเพราะว่าหลังจากงานเลี้ยงแล้วเราหยุดกันยาวหลายวัน

สุดท้ายก็เลยตกลงกันว่า ให้อยู่ร่วมกันจนแค่เฉลยว่าใครเป็นบัดดี้ของใคร แล้วหลังจากนั้นใครจะไปไหนก็ไป ไม่มีการลงโทษคนที่ทายบัดดี้ไม่ถูกเพราะว่าเวลาไม่พอ

การเฉลยก็เป็นไปอย่างรีบเร่งนิดหน่อย เพราะว่าไอ้พวกที่มันจะไปดูหนังคอยเร่งอยู่ เลยไม่สนุกเท่าที่ควร แต่ก็สรุปได้ว่าผมได้เป็นบัดดี้ไอ้ชิด แล้วไอ้ชิดก็ทายไม่ถูก

ไอ้ชัชเป็นบัดดี้ของไอ้นัย และไอ้นัยก็ทายไม่ถูก ตอนนี้เองที่ผมได้รู้ความจริงว่าทำไมไอ้ชัชถึงดีกับไอ้นัยเป็นพิเศษ ที่แท้มันพยายามดูแลไอ้นัยนั่นเอง

ส่วนบัดดี้ของไอ้ชัชนี่เป็นเพื่อนในกลุ่มไอ้เชียรที่อยู่หลังห้อง ไอ้ชัชก็ทายไม่ถูกเหมือนกัน

สรุปแล้วคนที่ทายบัดดี้ของตนเองไม่ถูกมีค่อนข้างเยอะทีเดียว สงสัยจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้สนใจที่จะเล่นเกมนี้กันมั้งครับ

หลังจากเฉลยแล้วก็ถือว่างานเลี้ยงปีใหม่จบลงโดยปริยาย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกัน คนที่จะไปดูหนังก็ไป ส่วนที่เหลือก็อยู่ต่ออยากทำอะไรก็ทำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานเก็บห้องให้คืนสภาพเดิมเสียมากกว่า สมัยนั้นก็ยังเด็ก ไม่ค่อยเกี่ยงกันครับ ใครอยู่ก็ช่วยๆกัน ไม่ได้คิดว่าเพื่อนกินแรงหรืออะไร

หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว คนก็จากไปกว่าครึ่งห้อง ขณะที่พวกเราที่เหลือซึ่งรวมทั้งผม ไอ้นัย และไอ้ชัช ที่ไม่ได้ไปดูหนัง กำลังจะลงมือเก็บห้องกันนั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

“เฮ้ย ยังไม่ได้ลงโทษคนที่ทายบัดดี้ไม่ถูกเลย เสียดายจริง”

“ไม่ต้องเสือกเลยมึง งานเลิกแล้ว” ไอ้พงษ์พูดขึ้น ไอ้พงษ์นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ทายบัดดี้ไม่ถูก “มึงอยากให้ลงโทษอะไรล่ะ”

ไอ้พงษ์มันคงอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้คนเสนอความคิดมันอยากลงโทษอะไร

“ให้ไอ้พงษ์ถอกควยชักว่าวโชว์ก็แล้วกัน” ไอ้จ๋อพูดขึ้น จำได้ไหมครับ ไอ้จ๋อที่นั่งใกล้ไอ้พงษ์เวลาเรียน และไอ้พงษ์นี่มันก็ชอบควักดอออกมาโชว์บ่อยๆเวลาอยู่ในห้องเรียนตอนครูไม่อยู่ ไอ้จ๋อมันเห็นเป็นประจำ

“เออๆ ดีๆ” เสียงคนที่เหลือในห้องสนับสนุนกันเซ็งแซ่ “ว่าวโชว์เลยๆ”

“อ๋อ ถ้างั้นได้เลย” ไอ้พงษ์พูดขึ้น ไอ้เปรตนี่มันชอบโชว์อยู่แล้วครับ พอมีใครพูดแบบนี้มันก็รับมุขทันที ผมว่าถึงมันไม่เล่นเกมแพ้ หากมีใครบอกให้มันโชว์มันก็คงยินดี

สำหรับผมกับไอ้ชัชนั้นไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะชักว่าวหมู่กับไอ้พงษ์ในห้องอาบน้ำจนชินแล้ว แถมยังรู้ความลับของมันว่าคู่ขาของมันคือไอ้ติ๊ก แต่กับคนอื่นโดยเฉพาะพวกนักเรียนไปกลับแล้วคงอยากดูหนังสดที่แสดงเดี่ยวโดยไอ้พงษ์เพราะว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นของดีแบบที่เด็กหอเห็นกัน

ว่าแล้วไอ้พงษ์ก็บอกให้ใครช่วยดูต้นทางที่ประตูห้องให้หน่อย แล้วมันเองก็ยืนกลางห้องให้เพื่อนๆที่เหลือมุงรอบตัวมัน จากนั้นมันงัดดอออกมาปั่นเล่นต่อหน้าเพื่อนๆ

พริบตาเดียว ดอของไอ้พงษ์ก็ขยายใหญ่ และลุกชันเต็มที่ มันชักว่าวเสียงดังพั่บๆอย่างไม่อาย โคตรหน้าด้านเลย เพื่อนๆจ้องเป๋งตาเป็นมัน เพราะไม่ได้นึกว่าจะได้ดูหนังโป๊เป็นของแถมหลังเลิกงานเลี้ยง

“เฮ้ย ชักว่าวคนเดียวไม่มันว่ะ ไอ้พวกที่แพ้นี่แหละ มาชักว่าวแข่งกันดีกว่า ใครน้ำว่าวพุ่งไกลกว่ากัน” ไอ้พงษ์เสนอ

เสียงเพื่อนๆเชียร์กันสนั่นห้อง โดยเฉพาะพวกที่ไม่ได้แพ้เกมบัดดี้ ทำไมจะไม่เชียร์ละครับ ก็อยู่ดีๆได้ดูหนังสดฟรีๆ แต่พวกคนที่แพ้เกมบัดดี้นี่สิครับ หนาวๆร้อนๆ เพราะแต่ละคนไม่ได้ชอบโชว์อย่างไอ้พงษ์

“มา ไอ้ชิด มาชักว่าวแข่งกันฉลองปีใหม่ดีกว่า” ไอ้พงษ์พูดอีกเมื่อไม่เห็นมีใครเสนอตัวเป็นคู่แข่งกับมัน

คราวนี้ยิ่งเฮกันใหญ่ เพราะไอ้ชิดมันเป็นวัยรุ่นแล้ว ตัวของมันโตกว่าเพื่อน อีกทั้งยังมีเสียงลือกันว่าไอ้ชิดดอใหญ่มาก ใครๆก็อยากเห็นของจริง

“ไม่เอาโว้ย แข่งกันสองคนจะไปสนุกอะไร” ไอ้ชิดปฏิเสธ มันไม่ได้บอกไม่กล้าแข่งนะครับ แต่บอกว่าคนเข้าแข่งน้อยไป

“เฮ้ย ไอ้พวกที่แพ้น่ะ ใครจะมาแข่งกับพวกกูบ้าง เร็วๆเข้า” ไอ้พงษ์เชิญชวน แต่ไม่มีใครเล่นด้วย

ตอนนั้นผมสังเกตเห็นไอ้นัยเป้ากางเกงตุงเป็นลำออกมาชัดเจน คงดูไอ้พงษ์ชักว่าวจนเกิดอารมณ์ มันนูนออกมามากเลย สงสัยวันนั้นจะไม่ได้ใส่กางเกงในมา

“วันนี้มึงใส่กางเกงในมาป่าว” ผมกระซิบถามมันด้วยคำถามเดิมที่เคยชอบถามก่อนจะแกล้งมันเล่น

ไอ้นัยสั่นหัวเป็นคำตอบ ไหมล่ะ ไม่ได้ใส่มา ผมก็นึกไม่ถึงนะครับ ว่ามันจะไม่ใส่มา เพราะช่วงหลังเห็นมันโตขึ้นเยอะแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อีกทั้งกิจกรรมจับจู๋เล่นยามพักเที่ยงก็เลิกไปตั้งนานแล้ว มันคงใส่กางเกงในมาทุกวันเหมือนคนอื่นๆ

ฉับพลันนั้น ผมก็มีความคิดแปลกๆเกิดขึ้น เป็นความคิดอยากแกล้งไอ้นัย ความคิดถึงเรื่องที่ไอ้ชัชไปมีอะไรกับไอ้นัยกันสองคน รวมทั้งเรื่องเมื่องวานที่ไอ้ชัชชวนไอ้นัยไปซื้อของแต่ไม่ชวนผมไป จริงอยู่ เรื่องหลังนั้นอาจเกี่ยวกับการที่มันสองคนเป็นบัดดี้กัน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เชิง เพราะหากมันเป็นบัดดี้กัน ไอ้ชัชจะชวนผมไปซื้อของด้วยก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องกีดกันผมแบบเมื่อวาน

คิดไปคิดมา ความขุ่นเคืองที่เก็บซ่อนเอาไว้ในระหว่างวันก็กลับเข้ามาในใจของผมอีก ผมรู้สึกอยากแกล้งไอ้นัยสักหน่อย หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญยิ่งในชีวิตของเราทั้งสามคนซึ่งผมจะไม่มีวันลืมได้เลยชั่วชีวิต

“ไอ้นัย เอาหน่อยนะ” ผมกระซิบกับมัน ว่าแล้วก็หันไปบอกไอ้ชิด

“เอาอีกคนพอไหม กูขอส่งไอ้นัยเป็นตัวแทน”

2 comments:

Anonymous said...

ขอลองมาเม้นในนี้บ้างครับ
ตอนนี้ทิ้งท้ายไว้น่าติดตามมาก
อยากกอ่านต่อแล้วสิ
เป็นกำลังใจให้ครับ

ฟ้าลั่น

Anonymous said...

ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตามครับ โดยเฉพาะตอนท้ายครับ อยากอ่านต่อเร็วๆครับ อดใจไว้ไม่ไหวแล้วครับ รีบๆมาต่อนะครับ นัยจะโกรธอูหรือป่าวครับที่แกล้งนัยอ่ะครับยังไงแล้วถ้าว่างรีบมาต่อเลยนะครับ
ยังเป็นกะลังใจให้เหมือนเดิมนะครับ
กร ครับ