Saturday, December 4, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 15

เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัย ผมรีบไปที่กลุ่มสามทันที ผมว่าผมไปเช้าแล้วแต่ว่ายังมีคนที่ไปเช้ากว่า ตอนที่ผมไปถึงนั้นที่กลุ่มมีนักศึกษาปีหนึ่งและปีสองแน่นขนัดไปหมด ดอกกล้วยไม้ ถัง กะละมัง วางเต็มไปหมด งานนี้ส่วนใหญ่ให้ปีหนึ่งกับพี่ไปสองไปทำกัน พวกพี่ปีสามและปีสี่มักไม่ค่อยเข้ามายุ่งด้วย คงถือว่าพ้นวัยสำหรับกิจกรรมนี้ไปแล้ว

กลุ่มย่อยไถเงินพี่บัณฑิตของผมมี ๕ คน เป็นชายสาม หญิงสอง ซึ่งก็คือก๊วนเรียนหนังสือของพวกเรานั่นเอง รุ่นพี่จะให้แบ่งกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มละ ๔-๕ คน มีทั้งชายและหญิงคละกัน หน้าที่ก็กำหนดกันเอาไว้คร่าวๆคือพวกนักศึกษาชายเอาไว้บูมและอ้อนพี่บัณฑิตที่เป็นหญิง ส่วนนักศึกษาหญิงเอาไว้คอยติดดอกไม้ อ้อนพี่บัณฑิตชาย และคอยเก็บเงินทอนเงิน กลุ่มของเราพอดีมี ๕ คนอยู่แล้วจึงไม่ต้องไปจับกลุ่มกันใหม่ งานนี้เป็นงานที่ไอ้เป้ารอทำเป็นกิจกรรมชิ้นสุดท้าย หลังจากนั้นมันก็จะไม่มาเรียนที่นี่อีกแล้ว

เมื่อพวกเรามากันครบทั้งห้าคนก็รับดอกไม้มาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มออกตระเวนหาพี่บัณฑิตทันที การติดดอกไม้นั้นไม่จำกัดคณะ น้องคณะไหนจะติดให้พี่คณะใดก็ได้แต่ส่วนใหญ่หากเป็นคณะเดียวกันจะได้ค่าดอกไม้ดีกว่าเนื่องจากพี่บัณฑิตส่วนใหญ่ต่างก็คิดคล้ายๆกัน นั่นคือเก็บเงินส่วนหนึ่งเอาไว้อุดหนุนน้องคณะของตนเอง

แม้เวลาจะยังเช้าอยู่แต่ทว่ามหาวิทยาลัยกลับแออัด ทั้งนักศึกษา บัณฑิต และญาติมิตร มากันเต็มไปหมด ร้านขายน้ำกับร้านขายฟิล์มขายดิบขายดีกันตั้งแต่เช้า ภายในมหาวิทยาลัยอนุญาตให้ตั้งโต๊ะขายสินค้าได้เฉพาะเครื่องดื่มกับฟิล์มถ่ายรูปเท่านั้น ส่วนดอกไม้ห้ามตั้งวางจำหน่าย ในยุคนั้นยังเป็นยุคที่ใช้กล้องฟิล์มอยู่ ดังนั้นเรื่องแผงขายฟิล์มจึงเป็นเรื่องจำเป็นเนื่องจากบางคนแม้จะเตรียมฟิล์มมาเองแล้วแต่ก็ยังไม่พอ ยังต้องหาซื้อเพิ่มในระหว่างวันอีก

ตากล้องของบัณฑิตมีอยู่สองแบบ คือตากล้องภาพนิ่งกับตากล้องวีดิโอ ส่วนใหญ่บัณฑิตที่ถ่ายวีดิโอก็มักถ่ายภาพนิ่งด้วย ดังนั้นบัณฑิตที่ถ่ายวีดิโอจึงมักใช้ตากล้องถึงสองคน ตากล้องนี่อาจเป็นญาติหรือเพื่อนมาทำหน้าที่ตากล้องจำเป็นก็ได้ หรือหากหาคนใกล้ตัวไม่ได้จริงๆก็จ้างนักศึกษาที่พอมีฝีมือและต้องการหารายได้พิเศษมาเป็นตากล้องก็ได้ ส่วนที่จ้างตากล้องมืออาชีพจริงๆก็มีแต่ว่าน้อยราย

งานรับปริญญามีทั้งสิ้นสามวัน บัณฑิตคณะเทคโนรับปริญญาในวันแรก พวกชี่คณะเทคโนจึงต้องแต่งชุดขาวและเข้าร่วมพิธีในหอประชุมเพียงในวันแรกเท่านั้น ส่วนงานขายดอกไม้หาเงินเข้ากลุ่มนั้นก็เน้นที่ในวันแรกเป็นหลัก ส่วนวันอื่นๆก็ตามอัธยาศัย ใครยังไม่เหนื่อยก็มาช่วยกันทำดอกไม้และออกไปบูม

กลุ่มของเราหอบดอกไม้แบบกลัดติดเสื้อมาจำนวนหนึ่ง กับแบบเป็นช่ออีกนิดหน่อย จากนั้นเดินออกจากหลังตึกไปยังลานถ่ายรูปหมู่ซึ่งอยู่ใกล้กับคณะศิลปกรรม ลานถ่ายรูปหมู่นี้อยู่ไกลจากคณะเทคโนมาก บัณฑิตทุกคนจะต้องไปชุมนุมกันที่นั่นเพื่อถ่ายรูปหมู่ไปทำหนังสืออนุสรณ์บัณฑิต หากไปดักรอที่นั่นถึงอย่างไรก็ต้องขายดอกไม้ได้แน่ๆ

แต่เพียงแค่เดินออกจากหลังตึกเราก็พบเหยื่อแล้ว

“ติดดอกไม้หน่อยนะคะพี่” แมวร้องทักพี่บัณฑิตชายคนหนึ่งด้วยเสียงอ่อนหวาน หางเปียสะบัดไปมาดูน่ารัก

“เต็มครุยแล้วละน้อง” พี่บัณฑิตบอก พี่คนนี้มีดอกไม้ติดเรียงรายอยู่เต็มเสื้อครุยจริงๆ แถมในมือยังถือช่อกล้วยไม้อีกช่อหนึ่ง

“หนูหาที่แทรกได้ค่ะ” แมวตอบ อ้อนถึงขนาดนี้ใครปฏิเสธก็ใจแข็งแล้ว

หลังจากกลัดดอกไม้เสร็จก็รับทรัพย์มา ๒๐ บาท ส่วนใหญ่ก็จะให้ค่าดอกไม้กันราว ๑๐ บาท ถึง ๒๐ บาท

“ขอบคุณนะคะ” แมวยกมือไหว้หลังจากรับเงิน

“อ้าว แล้วน้องไม้บูมให้พี่หน่อยเหรอ” บัณฑิตทวง “แหม แกล้งทำลืมเชียว”

“ไม่ได้แกล้งทำลืมค่ะ” แมวหัวเราะ แล้วหันมาทางพวกผู้ชายในกลุ่ม “เอ้า หนุ่มๆ บูมหน่อยเร็ว”

หลังจากนั้นพวกเราทั้งห้าคนก็ช่วยกันบูมให้พี่บัณฑิต จากนั้นลูกค้ารายแรกของพวกเราก็เดินจากไป

กว่าเราจะเดินไปถึงลานถ่ายรูปหมู่หรือว่าลานถ่ายรูปหมูก็หาเงินมาได้หลายร้อยบาท ติดดอกไม้ไปได้หลายสิบดอก บูมกันจนเจ็บคอ ตอนที่เดินออกจากคณะนั้นยังหน่อมแน้มอยู่ ไม่ค่อยตื๊อพี่บัณฑิตเท่าไรนัก เวลาบูมก็บูมกันจนสุดเสียงทั้งห้าคน แต่เมื่อเดินไปจนถึงลานถ่ายรูปหมู่พวกเราก็กลายเป็นผู้ชำนาญการ มีการใช้ลูกเล่นในการติดดอกไม้เพื่อให้ซื้อหลายๆดอก รวมทั้งเวลาบูมก็ผลัดกันบูมอีกทั้งยังบูมไม่เต็มเสียงเนื่องจากต้องออมเสียงกับออมแรงเอาไว้จนถึงใกล้เที่ยง

“ดอกไม้เต็มแล้วน้อง” บัณฑิตชายต่างคณะคนหนึ่งที่เราพบที่หน้าคณะศิลปกรรมพูดปฏิเสธเมื่อเราจะเข้าไปติดดอกไม้ให้ที่ชายครุย ครุยนี้มีดอกกล้วยไม้กลัดติดอยู่เต็มไปหมดจริงๆ แต่เป็นดอกกล้วยไม้ที่เหมือนกันหมดซึ่งแสดงว่าติดมาจากที่บ้าน บัณฑิตบางคนต้องการประหยัดมักนิยมใช้มุขนี้ นั่นคือ ติดดอกไม้มาเองจากที่บ้านมาส่วนหนึ่ง แล้วเหลือที่ว่างนิดหน่อยเพื่อให้รุ่นน้องติดให้ที่มหาวิทยาลัย เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าดอกไม้มากๆ แถมบางคนยังถือช่อดอกไม้มาจากบ้านอีกด้วย

พวกเรามองดอกกล้วยไม้ชนิดเดียวกันที่ติดเรียงรายอยู่เต็มชายครุยแล้วหันมามองหน้ากันเป็นทำนองว่าพี่คนนี้เขี้ยวเหลือเกิน

“ติดให้คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ค่ะ” จิ๊บพูดพลางพยักหน้ากับแมวแล้วรีบกลัดดอกไม้ให้แก่คนในครอบครัวที่มากับพี่คนนี้ เพิ่งติดไปได้ดอกเดียวพี่ก็บอกให้พอ

“พอแล้วๆน้อง” พี่บัณฑิตพูดพลางควักแบงค์ใบละห้าสิบบาทออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยุคนั้นมีแบงค์ใบละห้าสิบบาทแล้ว เพิ่งออกใช้ได้ไม่กี่ปี ผมยืนอยู่ใกล้ที่สุดจึงเป็นคนรับแบงค์มาถือเอาไว้

“จะให้ทอนเท่าไรดีครับพี่” ผมถาม หมายถึงว่าพี่จะให้ค่าดอกไม้เท่าไร

“เงินทอนไม่มีเลยครับพี่” ไอ้เป้ารีบพูดพลางเอามือสะกิดให้ผมหยุดพูด

“อ้าว น้องคนนี้บอกว่ามีทอน” พี่บัณฑิตมองมาทางผม

“มันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ เงินทอนไม่มีเลย ไม่ต้องทอนนะครับ ถือว่าช่วยน้องๆ” เป้าพูดเองเออเองแบบมัดมือชก “ติดเพิ่มไปอีกดอกหนึ่งก็ได้พี่”

พี่บัณฑิตเจอมุขของไอ้เป้าถึงกับอึ้ง เป็นอันว่าแบงค์ห้าสิบบาทใบนั้นจึงไม่ได้เงินทอน หลังจากที่แยกจากพี่คนนั้นแล้ว พวกเราก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครง

“อยากเขี้ยวนัก ต้องใช้แบบนี้” เป้าหัวเราะ

ในตอนนั้นพวกเรายังไม่ได้หาเงินใช้เอง วิธีการมองโลกของพวกเราก็เป็นแบบหนึ่ง แต่มาในวันนี้เมื่อมองย้อนไปก็คิดต่างออกไปจากเดิม คนเรามีกำลังทรัพย์ไม่เท่ากัน พี่คนนั้นอาจไม่ได้เขี้ยวแต่มีความจำเป็นก็เป็นได้

เรานึกว่าขุมทรัพย์ของพวกเราจะอยู่ที่อัฒจรรย์ถ่ายรูปหมู่ แต่ว่าเมื่อไปถึงจริงๆปรากฏว่าคนเยอะมาก พี่บัณฑิตมัวแต่ห่วงเรื่องเข้าคิวถ่ายรูปหมู่จนไม่มีเวลามาฟังน้องๆบูม อีกทั้งตอนถ่ายรูปหมู่นี่ต้องถอดเอาดอกไม้ที่ติดอยู่ที่เสื้อครุยออก จึงไม่เหมาะที่จะติดดอกไม้ พวกเราจึงเดินติดดอกไม้เรื่อยๆในบริเวณสนามหญ้าหน้าเสาธงซึ่งเป็นพื้นที่ถ่ายรูปยอดนิยม

จนสายๆ พวกเราก็บูมกันจนเสียงแหบและคอระบมไปหมด หาเงินมาได้พันกว่าบาท วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของผม เป็นวันที่พวเราสนุกมากและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมหาเงินได้ด้วยความสามารถของตนเอง จนถึงประมาณ ๑๑ โมงพวกเราก็เลิกบูมและไปกินอาหารเที่ยง เนื่องจากต้องเตรียมตัวเข้าหอประชุมในภาคบ่าย

หลังจากที่กินอาหารกันเสร็จ พวกชี่ก็ต้องไปตั้งแถวเตรียมตัวเข้าหอประชุมใหญ่เพื่อร่วมในพิธีรับปริญญา พวกปีหนึ่งตั้งแถวกันอยู่ทางด้านหนึ่ง พวกพี่บัณฑิตก็ตั้งแถวกันอยู่อีกด้านหนึ่ง เห็นบัณฑิตในชุดครุยสีขาวสะอาดตาแล้วผมก็อดนึกวาดภาพของตนเองไม่ได้ อีกเพียงไม่กี่ปีผมก็คงจะมีโอกาสแบบนี้บ้าง เรียนจบแล้วก็มีงานดีๆทำ เงินเดือนดีๆ แค่นี้ก็คงถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตได้แล้วกระมัง...

- - -

กว่าที่พวกเราจะออกจากหอประชุมก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว งานพิธีผ่านไปอย่างน่าประทับใจแม้ว่าผมจะหลับขณะอยู่ในหอประชุมไปหลายครั้งก็ตาม หลังจากที่เสร็จพิธีพวกเราทั้งห้าคนก็มาพบกันที่ข้างหอประชุม

“เฮ้ย ทุกคน พวกเราคงเจอกันเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ” เป้าพูดขึ้น “ต่อไปคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วล่ะ วันนี้สนุกมาก...” พูดได้เพียงแค่นี้เป้าก็หยุดพูดแล้วทำตาแดงๆ

“ไม่แน่หรอก วันเดินทางพวกเราอาจจะไปส่งที่สนามบิน ถ้าไปก็ได้เจอกันอีก” ชาญพูด

“ไม่ต้องลำบากหรอก ถ้าเราไปเที่ยวบินดึกมากหรือเช้ามากพวกนายก็คงไม่สะดวก ถ้าเป็นสายๆพวกนายก็ติดเรียนอีก ถือว่าลากันตอนนี้เลยก็แล้วกัน” เป้าพูด

เมื่อเป้าพูดถึงวันสุดท้ายและเที่ยวบินเช้า จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เมื่อหลายปีมาแล้วผมก็เคยไปที่สนามบินดอนเมืองมาครั้งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกและรถติดมาก...

ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้า เห็นท้องฟ้าในยามเย็นหม่นครึ้ม บรรยากาศราวกับยามโพล้เพล้ ลมพัดแรงคล้ายกับฝนใกล้จะตก... ผมอดรู้สึกใจหายไม่ได้ การอำลาของเป้าทำให้ผมเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอจับมือหน่อย ถึงเราจะรู้จักกันเพียงเดือนกว่าสองเดือนแต่เรากลับรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนกันมานาน” เป้าพูด พร้อมกับจับมือพวกพวกเราไปกุมเอาไว้ทีละคนเป็นการอำลา “เขียนจดหมายคุยกันบ้างนะ หวังว่าพวกเราคงมีโอกาสได้พบกันอีก”

ผมกุมมือเป้าเอาไว้ บีบจนแน่นอย่างลืมตัวเหมือนกับจะชดเชยความรู้สึกให้แก่ตนเอง...

“โชคดีนะเพื่อน... ขอให้โชคดี... ดูแล...” ผมพูด ประโยคท้ายๆราวกับพึมพำกับตนเอง

“ว่าอะไรนะไอ้อู” เป้าถาม “ดูแลอะไร”

“เอ้อ... ไม่มีอะไร” ผมตอบ

- - -

ดึกแล้ว...

วันนี้ผมกลับมาถึงหอพักในตอนค่ำ หลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงหอพักผมก็อาบน้ำและเข้านอนเลยเนื่องจากยังเหลืองานรับปริญญาอีกสองวัน ต้องพยายามนอนออมแรงเอาไว้ ราวๆตีสามผมก็ตื่นขึ้นมาและหลังจากนั้นก็นอนไม่หลับ จึงขึ้นมาเดินเล่นที่ดาดฟ้า

ท้องฟ้ายามกลางเดือนกรกฎาคมวันนั้นไร้ดวงดาวเนื่องจากเมฆฝนบดบังเอาไว้ สายลมที่พัดผ่านหอบเอากลิ่นไอฝนมาด้วย การร่ำลาเมื่อตอนเย็นยังทำให้ผมหดหู่ใจอยู่ไม่คลาย...

ผมเดินไปที่ต้นกุหลาบ ใต้แสงไฟที่สาดส่อง ผมเห็นกิ่งของต้นกุหลาบมอญกลายเป็นสีดำเกือบหมดทั้งต้น เดิมเป็นสีดำเพียงกิ่งใหญ่กิ่งเดียว แต่หลังจากนั้นอาการกิ่งดำก็ลุกลามทุกวัน จนมาวันนี้ต้นกุหลาบกลายเป็นสีดำเมื่อมเกือบทั้งต้น ส่วนใบนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่ใบเดียว ผมดูกุหลาบมอญด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย

“นี่ห่วงกุหลาบจนต้องมาเฝ้าดูดึกๆดื่นๆเลยเหรอ” ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหลัง เป็นเสียงของพี่ธิตนั่นเอง ไม่รู้ว่าพี่ธิตออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไร ผมคงใจลอยจนไม่ได้ยินเสียงประตู

“ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เลยขึ้นมาเดินเล่น” ผมตอบ

“คงไม่รอดแล้วละอู” พี่ธิตพูด

“ครับพี่” ผมรับคำ ที่จริงผมก็รู้มาหลายวันแล้วว่ากุหลาบมอญต้นนี้ในที่สุดก็คงไม่รอด แต่ก็ยังมีความหวังว่ามันอาจแข็งแรงพอที่จะกลับฟื้นขึ้นมาได้ และในที่สุดผมก็ต้องยอมรับว่าความหวังเช่นนั้นก็เหมือนกับหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น

“เอาไปทิ้งได้แล้ว” พี่ธิตพูดอีก

“ยังหรอกครับ ดูไปอีกสักนิด” ผมตอบ แม้รู้ว่าปาฏิหาริย์คงไม่เกิดขึ้นกับผมแต่ผมก็ยังตัดใจไม่ลง

“เฮ้ย อู เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมซึมไปเลย” พี่ธิตพูดพลางมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนกับจะหาความผิดปกติอะไรบางอย่างในตัวผม “มันก็แค่กุหลาบตายไปต้นหนึ่ง จะไปคิดอะไรมาก ปลูกใหม่ก็ได้”

“สองต้นแล้วครับพี่” ผมตอบ “คงไม่เลี้ยงอีกแล้วละครับ”

สำหรับผม กุหลาบมอญสองต้นนี้ไม่ได้เป็นพียงแค่กุหลาบ แต่ลึกๆแล้วมันเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างที่ผมเองก็บอกไม่ถูก ผมรู้แต่ว่าในยามที่ผมเหงาและผิดหวัง ผมเอาความหวังในใจของผมมาทุ่มเทให้กับกุหลาบทั้งสองต้นนี้จนหมดสิ้น...

- - -

งานรับปริญญาในวันที่สองสำหรับชี่คณะเทคโนแล้วก็ไม่มีอะไรมาก การขายดอกไม้ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากไม่มีพี่บัณฑิตคณะเทคโนมาคอยอุดหนุน ตอนบ่ายก็ไม่ต้องเข้าหอประชุม งานในวันนี้ของพวกเราจึงสบายกว่าเมื่อวานมาก ทีมของเราเหลือเพียง ๔ คนเนื่องจากเป้าไม่มาแล้ว เวลาออกไปติดดอกไม้และบูมอดรู้สึกเหมือนกับขาดอะไรไปไม่ได้ พวกเราเดินกันไปก็บ่นถึงเป้ากันไป

“คิดถึงไอ้หน้าปักเป้าจัง” จิ๊บพูด

“เรายังอยู่นะ แถมยังหล่อกว่ามันด้วย” ชาญพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “สนใจเราแทนก็ได้”

“บ้าแล้ว ใครบอกว่าเราสนใจไอ้เป้ามัน” จิ๊บรีบปฏิเสธ “อย่างนายก็หล่อไม่พอ เรายังไม่สนหรอก”

“เฮอะ อย่าให้รู้นะว่าแอบชอบเรา” ชาญพูด พลางเหลือบมองมาทางผมแว่บหนึ่ง มันเป็นเพียงแว่บเล็กๆที่แทบไม่มีใครสังเกต...

“เออ สองคู่พอดี จีบกันเองก็ดีเหมือนกัน” ผมปล่อยมุขไปเรื่อยเปื่อย

“เออ. ความคิดไอ้อูนี่เข้าท่าดีว่ะ” ชาญเห็นด้วย

“โอ๊ย ผู้ชายติงต๊อง ไม่เอาหรอก เราไปหาที่อื่นดีกว่า” แมวรีบปฏิเสธ

พวกเราติดดอกไม้กันจนประมาณ ๑๑ โมงก็ต้องเลิกเนื่องจากบัณฑิตต้องเตรียมตัวเข้าหอประชุม ช่วงเที่ยงจนถึงบ่ายพวกเราจึงไม่มีอะไรทำ แมวกับจิ๊บขอตัวกลับเนื่องจากเห็นว่าไม่มีอะไรให้ช่วยแล้วจึงอยากกลับไปพักผ่อน ส่วนผมกับชาญนั่งเคว้งอยู่ที่กลุ่ม ผมกลับหอไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ แต่ถึงอยู่ที่คณะก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน

“เฮ้ย อู ไอ้เวิลด์เทรดนี่มันเป็นยังไง สวยไหม” จู่ๆชาญก็ถามขึ้นมา

เวิลด์เทรดที่ชาญพูดถึงคือเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งก็คือเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ ในปัจจุบันนั่นเอง ในยุคนั้นยังเรียกว่าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้านี้อยู่ในย่านราชประสงค์ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นและวัยรุ่นคนหนุ่มสาวหรือว่าเป็นดาวน์ทาวน์ของกรุงเทพฯมาช่วงหนึ่งอันเป็นยุคที่ต่อมาจากยุควังบูรพา ต่อมาเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ยุคของราชประสงค์ก็โรยราไปและเข้าสู่ยุคสยามสแควร์ ต่อมาเมื่อสยามสแควร์เริ่มแออัดจึงมีกลุ่มธุรกิจที่พยายามดึงความเจริญของสยามสแควร์ให้กลับมาชุบชีวิตราชประสงค์อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของการนำพื้นที่ย่านราชประสงค์ด้านวังเพชรบูรณ์เดิมมาสร้างเป็นศูนย์การค้าใหญ่ ศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์นี้ใช้เวลาก่อสร้างอยู่หลายปีและเพิ่งเปิดให้บริการส่วนหนึ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ผมเองไม่ค่อยชอบเดินตามห้างนัก แม้แต่มาบุญครองก็ยังไม่ค่อยได้ไปเดิน ส่วนใหญ่ชอบเดินเล่นอยู่ในสยามสแควร์มากกว่า ดังนั้นตั้งแต่เวิลด์เทรดเปิดผมจึงยังไม่ได้มาเดินเที่ยวสักที ส่วนพวกผู้หญิงนั้นมาเดินกันคนละหลายๆครั้งแล้ว โดยเฉพาะแมวกับจิ๊บ

“ยังไม่เคยไปเลย” ผมตอบ

“ทำไมเชยยังงี้วะ” ไอ้ชาญพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ ซึ่งมันก็จริง ขอบโลกด้านหนึ่งของผมไปจรดเพียงแค่สยามสแควร์เท่านั้น ไกลออกไปกว่านั้นแทบไม่เคยไปเอาเลย

“แล้วนายไปมาแล้วหรือไง” ผมถาม

“ก็ยังน่ะสิ” ชาญตอบพลางทำหน้าทะเล้น “วันนี้ว่างๆ ลองไปเดินเล่นที่เวิลด์เทรดกันไหม”

“เออ ก็ดีเหมือนกัน” ผมตอบ ลองไปเดินเล่นฆ่าเวลาก็ดีเหมือนกัน

- - -

เราสองคนมาที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในช่วงบ่ายโดยนั่งรถเมล์สาย ๔๐ มาลงที่หน้าวัดปทุมวนาราม จากนั้นก็เดินต่ออีกเล็กน้อยก็มาถึงสี่แยกราชประสงค์

สี่แยกราชประสงค์ในตอนนั้นแตกต่างจากในยุคนี้มากทีเดียว ด้านโรงพยาบาลตำรวจก็ยังไม่มีตึกสูงที่มุมถนนเช่นในวันนี้ ส่วนด้านโรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณนั้นเมื่อตอนนั้นเป็นโรงแรมชื่อเอราวัณอันเป็นโรงแรมรัฐวิสาหกิจเก่าแก่ โรงแรมเอราวัณปิดตัวไปในปีที่เวิลด์เทรดเปิดนั่นเอง หลังจากนั้นมีการรื้อและก่อสร้างใหม่ กลายเป็นโรงแรมเช่นในปัจจุบัน

ทางด้านตรงข้ามกับเวิลด์เทรดเมื่อก่อนเป็นอาคารพาณิชย์และถนนสายเล็กๆอยู่ตรงมุมถนนเลย เรียกว่าถนนเกษร ซึ่งปัจจุบันเป็นเกษรพลาซ่า ถัดจากถนนเกษรเป็นเดอะมอลล์ราชดำริ (ต่อมาเป็นร้านนารายณ์ภัณฑ์และปัจจุบันเป็นที่ว่างซึ่งกำลังมีการก่อสร้างอยู่ข้างโรงแรมอโนมา) ถัดจากเดอะมอลล์มาเป็นสหกรณ์กรุงเทพ (ปัจจุบันเป็นโรงแรมอโนมา) และถัดจากสหกรณ์กรุงเทพเป็นราชดำริอาเขต ห้างไทยไดมารู (ปัจจุบันคือห้างบิ๊กซีราชดำริ) และถัดจากนั้นไปก็เป็นห้างโรบินสันราชดำริซึ่งอยู่ในซอย (ปัจจุบันเป็นร้านขายเครื่องเสียง)

เวิลด์เทรดในวันนั้นเป็นตึกที่มีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากในวันนี้ หัวมุมด้านสี่แยกราชประสงค์เป็นห้างญี่ปุ่นชื่อเซน หัวมุมด้านคลองแสนแสบเป็นห้างญี่ปุ่นเช่นกันชื่ออิเซตัน ตรงกลางเป็นช้อปปิ้งพลาซ่าขนาดใหญ่

ชาญกับผมเดินจากป้ายรถเมล์หน้าวัดปทุมมาจนถึงสี่แยกราชประสงค์ เห็นหัวมุมสี่แยกมีป้ายหินแกรนิตขนาดใหญ่สลักอักษร World Trade Center WTC ขนาดใหญ่เอาไว้ พวกเราจึงเดินเข้าไปตรงทางเข้าด้านเซน

“โห ใหญ่ฉิบหายเลย” ชาญอุทานเมื่อเห็นสภาพภายใน ผมเองก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนกัน เวิลด์เทรดในวันนั้นมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวทั้งในชุดทำงานและชุดนักเรียนนักศึกษา

“ใหญ่กว่าภูเขาหน้าบ้านนายหรือเปล่าวะ” ผมอดเหน็บมันไม่ได้

“ใหญ่พอๆกันเลยโว้ย” ชาญหัวเราะและรับมุขของผมอย่างอารมณ์ดี

เราเดินชมร้านรวงและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไปเรื่อยๆ อากาศภายในตึกเย็นสบายทำให้รู้สึกน่าเดิน แต่เนื่องจากอาคารมีขนาดใหญ่มากอีกทั้งมีทางเดินและชุดเชื่อมต่างๆมากมายไปหมด เดินไปนานๆเข้าในที่สุดเราก็หลงจนจำทิศทางไม่ได้ ตรงนั้นเป็นส่วนที่คนเดินกันน้อยมากเพราะมีร้านค้าค่อนข้างน้อย

“นี่มันตรงไหนกันละเนี่ย” ผมถามชาญอย่างงงๆ “แล้วจะออกไปป้ายรถเมล์ได้ยังไง”

“นั่นดิ งงเหมือนกันวุ้ย” ชาญตอบ “จะกลับแล้วเหรอ”

“เมื่อยแล้วว่ะ” ผมพยักหน้า

“เฮ่ย เดินอีกหน่อยน่า ยังไม่หมดทุกชั้นเลย” ชาญตอบ พลางคว้ามือผมในลักษณะกึ่งลากกึ่งจูงเพื่อให้ผมเดินต่อ ผมนึกอยากแกล้งมันจึงจับมือมันและรั้งเอาไว้ ชาญก็พยายามออกแรงทั้งลากทั้งจูงผม

“ไอ้อู หนักนะโว้ย อย่าขืนสิ” ชาญหัวเราะ

ผมปล่อยให้มันจูงผมไปได้เพียงครู่เดียวก็เห็นคนเดินเลี้ยวออกมาจากร้านค้าหัวมุมทางเดิน เป็นนักเรียนชายหญิงสองคน ผมและชาญปะเข้ากับนักเรียนสองคนนั้นที่หัวมุมทางเดินพอดี

นักเรียนชายหญิงคู่นั้นเดินใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนม ทั้งคู่อยู่ในชุดกางเกงและกระโปรงนักเรียนสีดำ ที่อกเสื้อติดเข็มพระเกี้ยวโดยไม่ปักชื่อโรงเรียน เมื่อเห็นใบหน้าชัดผมก็ต้องตกใจและรีบสลัดมือชาญออกไปทันที...



<ประเพณีในวันรับปริญญา นักศึกษาปีหนึ่งจะใส่ชุดขาวและมาร้องเพลงบูมให้พี่บัณฑิตฟัง พร้อมกับติดดอกไม้ให้ที่เสื้อครุยหรือที่เสื้อของญาติมิตรของบัณฑิต บัณฑิตก็จะให้เงินมาเป็นค่าดอกไม้เพื่อนำไปใช้เป็นเงินสวัสดิการของกลุ่ม ดอกไม้กลัดเสื้อดอกหนึ่งมักอยู่ในราว ๑๐-๒๐ บาท หากเป็นช่อก็ มักจะ ๕๐ บาทขึ้นไป รวมทั้งขึ้นอยู่กับความพอใจด้วย หากบูมถูกใจก็อาจให้มากกว่านี้ ปัจจุบันประเพณีขายดอกไม้นี้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากเห็นว่าเป็นการเบียดเบียนบัณฑิตที่แต่ละคนอาจมีภาระและความจำเป็นต่างๆกัน ปัจจุบันมีเพียงการติดดอกไม้แสดงความยินดีและบูมให้โดยไม่มีการขายดอกไม้หรือรับสินน้ำใจ>


<การแต่งกายของวัยรุ่นในยุคนั้น กางเกงขามอสขาเดฟหมดสมัยไปแล้ว กางเกงที่นิยมกันมักเป็นกางเกงยีนหรือสแล็กทรงกระบอกธรรมดานี่เอง>

22 comments:

Bomber_Boy said...

ตอนนี้มาเป็นคนแรกเลยหรือเนี่น!!!!
ตื่นเต้นจัง

งั้นขอจับจองพื้นที่ก่อนนะครับ

Anonymous said...

ใครอ่ะ ชัดเหรอ
หรือว่าใคร

รออีกนานแน่เลยกว่าจะรู้

tl000

yo408 said...

ตอนตี5 เกือบ6โมง เข้ามาตอนยังไม่เปลี่ยนเลย
เผลอแป๊บเดียว อัพซะแล้ว

ที่3

Anonymous said...

ปูเสื่อเสร็จ เอากาแฟกับขนมมาตั้ง เอาโน็ตบุค มาอ่านเรื่องของนายอู

กัน

Anonymous said...

เดาว่าน้องบอยอ่ะค่ะ

หลาบเอง

Anonymous said...

เออ เป็นไปได้ ลืมนึกไปเลย
ถ้าเป็นบอยนี่ อูคงทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

tl000

Anonymous said...

น้องบอย....ซิครับ

Anonymous said...

คิดว่าเป็นบอยเหมือนกัน


สะเทือนใจ


...OaH...

Anonymous said...

ใช่น้องบอยหรือเปล่าคะนั่น
!!!

หญิง

Anonymous said...

อื่ม...
กุหลาบต้นแรก จากอูไปอยู่แดนไกล
กุหลายต้นที่สองก็จากอูไปแล้วเช่นกัน
แต่...ก็คุณอูก็ยังไม่ทิ้งมันไป ปาฏิหารไม่มีครับ แต่ถ้ารากยังไม่ตาย...มันก็แตกหน่อใหม่ได้นะ ผมหวังว่าอย่างนั้น
ก็...เริ่มได้อารมณ์และกลิ่นอายของความรู้สึกเก่าๆกลับมาแล้วล่ะ

ท๊อปครับ

Anonymous said...

โอ้ยๆๆๆ

ปวดใจจัง

Bomber_Boy said...

ขอเดาว่าต้องเป็นน้องบอยอยางแน่นอน พี่อูต้องมาเฉลยโดยเร็วที่สุดนะครับ น้องๆ จะได้ไม่ต้องรอนาน
แต่กับนายชาญเนี่ยสิ คิดอะไรกับพี่อูแน่ๆ เลย...

Anonymous said...

พี่อูกั๊กเรื่องเอาไว้อีกแล้ว ยังงี้เรื่อยเลย

ทายว่าเป็นน้องบอยเหมือนกัน เห็นจูงมือกันนี่ทำหน้าไม่ถูกเลย รีบๆมาเฉลยตอนต่อไปเร็วนะครับ

Anonymous said...

กำลังลุ้นว่าคนๆนั้นคือใคร
ถ้าให้เดาก็คงต้องเป็นน้องบอยแน่นอนเลย
พี่อูมาต่อเร็วๆน๊าา
สงสารคนรอ อิอิ

Anonymous said...

ขบวนคนรักอาอูมาแล้วครับ

หลาน Arus ของอาอู

jj said...

ความเป็นจริงที่โหดร้าย...น้อยคนนักที่ไม่เคยได้ยินคำนี้ น้อยคนนักที่ไม่เคยซาบซึ้งถึงความหมายของคำนี้ น้อยคนนักที่เมื่อรู้จักคำนี้แล้วไม่เคยตั้งคำถามว่า ชีวิตของเรานี้ ใช่ของผู้ใดหรือไม่ ใยไม่เป็นดังที่เรานึกฝันไว้ อย่างน้อยควรหรือที่เราต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ รึว่าชีวิตเป็นดั่งนิยายที่ถูกกำหนดขึ้นไว้ให้เป็นโศกนาฏกรรมทุกครั้งที่ตัวเอกในเรื่องพบเจอกัน เหตุใดความรักต้องการการพิสูจน์ด้วยวิธีการที่เจ็บปวด รึว่า ผู้คนมิอาจเรียนรู้ความรักที่แท้จริงด้วยความงดงามและดีพร้อม

kotaro said...

ความเป็นจริงที่โหดร้าย...น้อยคนนักที่ไม่เคยได้ยินคำนี้ น้อยคนนักที่ไม่เคยซาบซึ้งถึงความหมายของคำนี้ น้อยคนนักที่เมื่อรู้จักคำนี้แล้วไม่เคยตั้งคำถามว่า ชีวิตของเรานี้ ใช่ของผู้ใดหรือไม่ ใยไม่เป็นดังที่เรานึกฝันไว้ อย่างน้อยควรหรือที่เราต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ รึว่าชีวิตเป็นดั่งนิยายที่ถูกกำหนดขึ้นไว้ให้เป็นโศกนาฏกรรมทุกครั้งที่ตัวเอกในเรื่องพบเจอกัน เหตุใดความรักต้องการการพิสูจน์ด้วยวิธีการที่เจ็บปวด รึว่า ผู้คนมิอาจเรียนรู้ความรักที่แท้จริงด้วยความงดงามและดีพร้อมหรือไร?

Anonymous said...

น้องอูมาไม่ทันกางเกงขามอส
แต่ว่าป้ามาทันขามอสยุคท้ายๆพอดี
ต้องบานให้คลุมรองเท้า(ส้นตึก)เดินยากชมัด


ป้าขสัญ

Anonymous said...

)^_^(ที่1+9 น่าจะเป็นน้องบอย หรือไม่ก็เพื่อนชัชของลุง อยากรู้เกิ้นครับ ชาญนี่ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วแต่ท่าทางจะยากนะครับ ไม่รู้ลุงจะว่าไงแต่ผมว่าคนนี้ไม่มีลักษณะของลุงนัยเหมือนน้องบอย จะได้รักกันใหม่ๆหุหุ

U Nakrub said...

บางคนคิดว่าน้องบอย บางคนคิดไปถึงชัช แต่ไม่มีใครคิดว่าเป็นนัยแฮะ

คอยอีกหน่อยก็แล้วกันครับ ขอกั๊กเอาไว้ก่อน อยากว่ากั๊กก็กั๊กเสียเลย

เรื่องชาญนี่ก็ไม่แน่ครับ ผมอาจคิดเองเออเองก็ได้ ทีน้องบอยนึกว่าใช่ก็กลับเป็นไม่ใช่ บางทีเรามองแบบอย่างมีอคติโน้มเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง เราก็มักตีความออกมาเป็นแนวนั้นๆ คงต้องดูกันต่อไป

ขามอสขาเดฟนี่เกือบทันครับพี่ป้าขวัญ เห็นแต่ในรูปเก่าๆ วงชาตรีสมัยก่อนยังงี้ ขาบานคลุมรองเท้าอย่างที่ว่าจริงๆ ไม่รู้ว่าใต้ขากางเกงนั้นกวาดเอาฝุ่นกับเศษขยะไว้เท่าไร เคยอ่านความเป็นมา ว่ากันว่าขามอสเลียนแบบมาจากกางเกงทหารเรือ ทหารเรือต้องใส่กางเกงขาบานเวลาตกน้ำจะได้ถอดง่าย แถมเอาปลายขากางเกงผูกเป็นโปงทำทุ่นลอยได้อีก ฟังดูก็พอมีเหตุผลเหมือนกัน แต่ขาเดฟก็เหมือนขาเกาหลีสมัยนี้ แต่กางเกงสมัยนี้น่าจะใส่ยากกว่า เพราะเห็นบางคนต้องใช้อุปกรณ์เสริมเป็นถุงพลาสติกช่วยด้วย

ไม่ว่าคนที่ผมเจอที่เวิลด์เทรดจะเป็นใคร ผมก็ไม่กลับไปจมกับอดีตเก่าๆอีกแล้วละครับ ถึงเวลาต้องเดินหน้าเสียที

อู

Anonymous said...

^
^
^
^
บอกแล้วว่าจะมาจิ้มลุง 555+ โดน
)^_^(ที่โหล่

Choo said...

มาเม้นต์ไม่ทัน ขอปิดท้ายบทละกันครับ

ชู