Sunday, January 18, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 51

แม้เพื่อนที่มาจากห้องเดียวกันในปีที่แล้วจะมีเพียงสามคน เมื่อรวมตัวผมด้วยก็เป็นสี่คน แต่ว่าเพื่อนคนอื่นๆส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว เพราะว่าตอนอยู่ ม.๑ เดินไปเดินมาก็เจอกันอยู่ตลอดทั้งปี

เมื่ออยู่ชั้น ม.๒ ผลจากปัญหาเรื่องไอ้โหนกทำให้เราเรียนรู้ว่าจะต้องวางตัวเสียใหม่ ผมกับไอ้นัยทำตัวเนียนยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้ดูสนิทสนมกันจนเกินไป โดยเรานั่งรถไปกลับด้วยกัน แต่ว่าในช่วงพักเที่ยงเราจะขลุกอยู่ด้วยกันน้อยลง เราต่างก็ไปกินอาหารร่วมกับเพื่อนร่วมห้องของตนเอง เมื่อมีเวลาว่างต่างก็ใช้เวลากับเพื่อนในห้องมากกว่า

การมีเรื่องกับไอ้โหนกในตอน ม.๑ ส่งผลแก่ผมในระยะยาวอย่างที่ผมเองก็นึกไม่ถึง เพราะมันทำให้ผมกลายเป็นคนที่พูดน้อย มีนิสัยรักสันโดษ ชอบความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบทำตัวให้เป็นที่รู้จักหรือเด่นดังในเวลาต่อมา เมื่อโตแล้วและมองย้อนไปข้างหลัง ผมก็เพิ่งจะได้คิดว่านิสัยต่างๆเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ตอนอยู่ชั้น ม.๑ นี่เอง

ผมคิดว่าการวางตัวของเราคงไม่ทำให้เพื่อนๆสงสัยอะไร เพื่อนที่มาจาก ม.๑ ด้วยกันที่รู้ว่าผมกับไอ้นัยสนิทกันต่างก็คงเลิกสนใจไปแล้ว คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังจำได้ว่าผมกับไอ้นัยสนิทกันมาก และคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็น่าจะเป็นตี๋

“เพื่อนมึงไปไหนแล้ววะ” ตี๋ถามผมในวันหนึ่ง เมื่อเห็นผมเดินเลือกซื้ออาหารอยู่คนเดียวในโรงอาหาร จำได้ว่าวันนั้นเป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากเปิดเรียน

“คนไหนวะ” ผมถามอย่างงงๆ

“ก็ไอ้คนนั้นไง” ตี๋ตอบยียวน แล้วทำหน้าแบบรู้กัน ผมรู้แล้วว่ามันหมายถึงใคร

“มึงไม่บอกชื่อแล้วก็จะรู้ได้ไงว่าคนไหน เพื่อนกูเยอะแยะ” ผมยังทำไก๋

“ก็ไอ้คนที่ไปกลับกับมึงทุกวันไง” ตี๋อธิบายอีก ผมคิดว่ามันรู้จักชื่อของไอ้นัย เพราะตี๋เองก็เคยคุยกับไอ้นัยมาก่อน แต่มันเลี่ยงที่จะพูดชื่อ คล้ายกับอยากจะแหย่ผม

“ไม่รู้โว้ย ไม่ได้ลงมากินข้าวด้วยกัน” ผมตอบ ไม่ค่อยอยากคุยหัวข้อนี้สักเท่าไร

เมื่อเราซื้ออาหารแล้วก็เลยไปนั่งกินด้วยกัน

“ไอ้หัวหน้าห้อง ๒/๕ ไง” ตี๋พูดต่ออีก

“อะไรนะ” ผมงง คราวนี้งงจริงๆ “มึงหมายถึงไอ้นัยหรือเปล่า”

“ก็ใช่น่ะสิ” ตี๋ตอบ

“มันเป็นหัวหน้าห้องได้ไงวะ” ผมถาม ไอ้ที่พยายามวางตัวให้เนียนก็ลืมไปหมด “ไม่เห็นมันบอกกูเลย”

“ก็เพื่อนๆเลือกมัน มันก็ได้เป็นน่ะสิ” ตี๋ตอบกวนอีก “ก็เลือกวันเดียวกับที่เราเลือกหัวหน้าห้องนั่นแหละ นี่มึงไม่รู้เรื่องเลยเหรอ” ประโยคสุดท้ายตี๋ถามอย่างสงสัย

ผมสั่นหัวแทนคำตอบ ในใจเกิดเป็นรสชาติประหลาดยากจะบรรยาย เรื่องแบบนี้ทำไมไอ้นัยไม่บอกผมเลย

เที่ยงวันนั้น หลังกินอาหารเสร็จ ผมเดินไปหาด้อมๆมองๆหาไอ้นัยที่ห้อง อยากจะถามมันให้รู้ความจริง แต่เห็นไอ้นัยกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ จึงไม่อยากเดินเข้าไปถาม

เมื่อไม่มีโอกาสถาม ผมจึงไปเลียบๆเคียงๆถามหัวหน้าห้องของผมเอง เพราะหัวหน้าห้องของทุกห้องต้องรู้จักกันอยู่แล้ว แล้วก็ได้รู้ว่าที่ไอ้ตี๋พูดนั้นเป็นความจริง เป็นครั้งแรกที่ในชีวิตผมรู้สึกเคืองไอ้นัย ที่จริงอาจจะไม่ใช่ความเคือง อาจจะเป็นความน้อยใจก็ได้ เคืองกับน้อยใจนี่บางครั้งก็แยกความรู้สึกออกจากกันได้ยาก แต่ถึงแม้จะเป็นความน้อยใจ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมน้อยใจไอ้นัย

บ่ายวันนั้น เมื่อถึงเวลากลับบ้าน ผมรีบถามไอ้นัยทันทีที่เห็นหน้ามัน

“นี่มึงเป็นหัวหน้าห้องเหรอ” ผมถาม

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบ “รู้แหล้วเหรอ”

“เป็นหลายวันแล้วด้วย” ผมพูดต่อ

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบอีก

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูสักคำ” ผมพูดอย่างน้อยใจ

ไอ้นัยอึ้งไปชั่วขณะ

“ไม่ใช่ว่าก็จะปิดบังมึงนะ” ไอ้นัยพูด “แต่กูไม่รู้จะบอกยังไงน่ะ”

“บอกมาคำเดียวมันยากตรงไหนวะ” ผมไม่เข้าใจ

“เอ้อ...” ไอ้นัยอึกอัก

“ว่ามาดิ” ผมเร่งเร้า

“กูกลัวมึงคิดมากน่ะ” ไอ้นัยพยายามอธิบาย

“มึงบอกแล้วกูจะคิดมากตรงไหน มึงไม่บอกแล้วกูมารู้เอง นี่แหละทำให้กูคิดมาก” ผมยังไม่พอใจกับคำตอบ

“ใจเย็นๆดิอู” ไอ้นัยถอนหายใจ “กูกลัวว่ามึงจะน้อยใจว่ากูได้เป็นหัวหน้าห้อง แต่มึงไม่ได้ตำแหน่งอะไร... กูคิดจะบอกมึง แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ก็เลยยังไม่ได้บอก กูไม่อยากเป็นหรอก แต่เพื่อนๆมันยัดเยียด และไม่ยอมให้ปฏิเสธ ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง” ไอ้นัยอธิบาย

“ที่ยังไม่ได้บอกเพราะกูห่วงความรู้สึกของมึงนะอู” ไอ้นัยพูดประโยคท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา

ตอนนี้ผมจึงเพิ่งถึงบางอ้อ ไอ้นัยมันเกรงว่าเมื่อบอกออกมาแล้วผมจะรู้สึกน้อยหน้าหรือว่าเสียหน้านั่นเอง ไอ้นัยนี่มันก็ช่างคิดเสียจริงๆ ที่จริงไอ้นัยมันก็น่าจะได้เป็นหัวหน้าอยู่หรอก เพราะเรียนก็เก่ง นิสัยก็ดี แถมยังมีความสามารถพิเศษเล่นดนตรีได้อีก ไอ้นัยเริ่มป๊อบในหมู่เพื่อนฝูงตั้งแต่เมื่อครั้งงานปีใหม่เป็นต้นมา

ความขุ่นเคืองของผมสลายคลายไปหมด เหลือแต่ความรู้สึกผิดที่หลงไปตำหนิไอ้นัย

“เอ้อ กูผิดเองแหละ ที่ใจร้อนไปหน่อย ขอโทษนะ” ผมสารภาพผิด “โกรธกูหรือเปล่า”

ไอ้นัย สั่นหัว “ฮึ แม่สั่งเอาไว้ว่ามึงชอบใจร้อน กูมีหน้าที่ต้องดูแลมึงอยู่แล้ว”

พูดจบไอ้นัยก็หัวเราะ ผมเองก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงตอนที่แม่ฝากผมไว้กับไอ้นัย แล้วมันวางมาดเป็นพี่ชาย


<แฟชั่นชุดนักเรียนที่นิยมกัน
(ซ้าย) นอกจากกางเกงนักเรียนรัดรูปแบบสั้นๆแล้ว ยังมีกางเกงนักเรียนรัดรูปแบบขายาวด้วย
(ขวา) เสื้อนักเรียนแบบรับรูปที่นี่ยมกัน ใส่แล้วน่าดูสำหรับคนที่รูปร่างดี>

12 comments:

Anonymous said...

นัยน่ารักจังเลยครับ ห่วงความรู้สึกของอูดีจัง

Anonymous said...

ฟังดูแฟมิลี่กันดีจัง มีแม่ฝากฝัง

แบงค์

Anonymous said...

เมื่อวานเรียนทั้งวันเหนื่อยเลยตื่นสาย T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

(^_^)ที่1 ของปี(^_^)
ขอบคุนลุงอูนะค้บบ ลุงอูอาบนำตอนเช้าป่าวเนี่ย ผมล้างหน้า จั้กกะแร้ และปิ๊กาจูพอแล่ะ ปีนี้ได้ใส่เสี้อหนาว กัวถุกเพื่อนโห่เหมียนกัลเนอะ วัอังคารมีกายกรรมหุหนานมาเล่นด้วย แต่อยาดูลุงอูกะลุงนัยเล่นกันมากก่าอะ 555+

Anonymous said...

ตอนนี้สั้นจังครับ..

รอตอน sweetๆ อยู่นะครับ
ตอนนี้กำลังต้องการกำลังใจ

Anonymous said...

ปิ๊กาจู๋นี่คืออารายอะ
เพราะรู้จัก แต่ ปิ๊ ของผู้หญิง และกาจู ของผู้ฃาย
ส่วนที่ว่าแล้วล้าง ปิ๊กาจู แสดงว่ามี 2 อย่างใช่มะคับ
อิอิ

Anonymous said...

สั้นจังงับ
แต่เป็นตอนที่หน้ารักพอดูงับ

เป็นกำลังใจให้งับ

Anonymous said...

ตอนนี้สั้นน่ะคับ

เวลาที่ คำว่าเคืองและคำว่าน้อยใจ มันแยกกันไม่ออก
สมัยนี้มันมีคำเรียกแล้วคับ ก็คำว่า งี่เง่า ไง
ไม่ได้ว่าอูนะคับ ใครๆก็เคยงี่เง่ากันทั้งนั้นแระน่า

Anonymous said...

ใช้คำว่างี่เง่าเหมาะแล้วละครับ ในชีวิตของคนเราต่างก็มีเรื่องงี่ๆเง่าๆอยู่เยอะ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับความรัก

ตอนเช้าลุงอาบน้ำครับ อาบทุกวัน มีเครื่องทำน้ำอุ่นน่ะ แต่ต้องอาบเร็วๆเหมือนกัน ฟอกสบู่นานจะทำให้ผิวแห้งและแตกง่าย

น้อง ระวิ ภุมมะทั้งโสรา ปัจจะแก่ลัคนา พุธเก้า เขียนมาคุยกันทางอีเมลสะดวกกว่าครับ ผมไม่ได้ใช้ MSN ขอโทษด้วย

ยุ่น said...

อูใจร้อน

นัยใจเย็น

เพื่อนรัก...รักเพื่อน สองคนนี้จึงเข้ากันได้ดี

ห่วงใยความรู้สึกซึ่งกันและกันด้วย น่ารักดีครับ

ยุ่นครับ

yo408 said...

มาให้กำลังใจความน่ารักของนายอูครับ

Anonymous said...

อ่านทันแล้่วๆ
น่ารักมากๆ เลย แอบไปฟังเพลงมาด้วยคับ
เป็นกำลังใจให้นัยต่อไปคับ

อ้อ ให้คนเขียนด้วย
^^sky^^