Monday, December 22, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 46

“โหนกเอาไปพูดในห้องครับ ทั้งห้องรู้กันหมด” ผมตอบ

“โธ่เอ๊ย” อาจารย์ประพิมพ์อุทาน “นายโหนกนี่ก็จริงๆเลย”

ว่าแล้วอาจารย์ก็อธิบายให้ฟังว่า พ่อของโหนกมาหาอาจารย์จริง แต่มาเพราะอยากรู้ข้อเท็จจริง เพราะพ่อโหนกคิดว่าโหนกถูกรังแก อาจารย์ประพิมพ์จึงหาข้อเท็จจริงให้ และได้คุยให้พ่อของโหนกฟังไปแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่เด็กผิดใจกัน ก็เลยแกล้งกัน โดยโหนกแกล้งผมก่อนด้วยการใช้คำพูด ผมโมโหจึงชกเข้าให้ และจะจัดการลงโทษให้อย่างยุติธรรม

“พ่อของโหนกไม่ได้ต้องการให้ไล่ผมออกเหรอครับ” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ไม่มีอะไร เชื่อครูสิอู แค่ชกกันเล็กน้อย โทษไม่ถึงกับไล่ออกอยู่แล้ว และเธอสองคนก็ไม่มีประวัติเกเรมาก่อน จะมาไล่ออกกันง่ายๆได้ยังไง” อาจารย์ประพิมพ์หัวเราะ “อีกอย่าง พ่อของโหนกเค้าก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ครูเคยสอนเค้ามา จนเดี๋ยวนี้เค้าก็ยังให้ความเคารพครูอยู่”

ครูในสมัยที่ผมเรียนมัธยมยังมีความเป็นครูรุ่นเก่าอยู่มาก นั่นคือ สอนนักเรียนด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู จึงทำให้นักเรียนเคารพ ถึงนักเรียนจะเกเรเพียงใด ก็ยังให้ความเคารพครู แตกต่างจากสมัยนี้ บางทีนักเรียนโดนครูดุก็จะชกหน้าครูเสียแล้ว

ผมรู้สึกโล่งไปหมด ที่มีคำเปรียบเปรยว่า เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก คงมีความรู้สึกอย่างนี้นี่เอง ไอ้โหนกนี่มันตัวแสบจริงๆ ปล่อยข่าวแล้ว ปล่อยข่าวอีก มิหนำซ้ำยังได้ผลทุกครั้ง ทำเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน

“ที่ครูทิ้งช่วงเอาไว้หลายวัน เพราะต้องการให้พวกเธอสองคนอารมณ์เย็นกันก่อน ให้ค่อยๆได้คิดถึงสิ่งที่ทำลงไป หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเธอคงคิดได้เอง ว่าสิ่งที่ทำมันผิดหรือถูก และส่งผลอย่างไร” อาจารย์ประพิมพ์พูดต่อ “พวกเธอมีส่วนผิดกันทั้งคู่ ครูอยากให้พวกเธอขอโทษกันและกัน และให้อภัยกันเสีย จะได้ไหม”

“ครับ” ผมรีบตอบโดยไม่ลังเล อาจารย์พูดถูก พอเวลาผ่านไปหลายวัน ความโกรธแค้นที่มีต่อไอ้โหนกก็ค่อยๆสลายคลายไป อีกอย่าง ไม่ถูกไล่ออกก็บุญแล้ว

อาจารย์ให้ผมลงไปตามโหนกที่ห้อง เมื่อโหนกขึ้นมา อาจารย์ก็อบรมสั่งสอนโหนกเล็กน้อย จากนั้นก็ให้ขอโทษกันและกัน โดยให้ผมขอโทษโหนกก่อน แต่โหนกไม่ยอม

“ผมไม่ผิดอะไรนี่ครับ จะต้องไปขอโทษอูทำไม” โหนกเถียงอาจารย์

“อูผิดที่ใช้กำลัง แต่เธอผิดที่ใช้คำพูด ทั้งกำลังและคำพูดมันก็สามารถทำร้ายคนอื่นได้พอๆกัน เข้าใจหรือยัง” อาจารย์อธิบายเหตุผล

ถึงอย่างไรโหนกก็ไม่ยอม มันคงคิดว่าพ่อของมันคงจะมีอิทธิพลพอที่จะบันดาลอะไรต่ออะไรให้มันได้ อาจารย์ประพิมพ์ถึงกับส่ายหัว

“เอาละ ถ้าเธอไม่ยอมรับวิธีของครู ครูก็ต้องส่งเรื่องไปที่ผู้อำนวยการ ให้ฝ่ายปกครองพิจารณาลงโทษ ถึงตอนนั้น ถ้าฝ่ายปกครองพิจารณาว่าเธอมีความผิดด้วย ก็จะต้องถูกลงโทษ และบันทึกลงในประวัติ ทางโรงเรียนต้องให้ความเป็นธรรมแก่นักเรียนทุกคน ถ้าไปถึงขั้นนั้น พ่อเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันนะ อยากลองเสี่ยงให้บันทึกประวัติดูก็เอา” อาจารย์เตือน

เมื่อโหนกได้ฟังก็นิ่งไป และในที่สุดก็ยอมตกลง อาจารย์ประพิมพ์นับเป็นครูที่เข้าใจนักเรียน และมีจิตวิทยาสูง สามารถเกลี้ยกล่อมโหนกจนได้ในที่สุด

อาจารย์ประพิมพ์ให้ผมขอโทษโหนกก่อน จากนั้นก็ให้โหนกขอโทษผม จากนั้นให้จับมือคืนดีกัน เป็นอันเสร็จพิธี แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าทั้งสองฝ่ายต่างยังคงขุ่นข้องหมองใจกันอยู่ เพียงแต่ไม่รุนแรงเหมือนตอนก่อนหน้านี้

“เอ้า เมื่อคืนดีกันแล้ว ต่อไปครูจะพิจารณาลงโทษละนะ” อาจารย์พูดต่อ

“ลงโทษ” ไอ้โหนกอุทาน

เนื่องจากการคืนดีกันเป็นเรื่องของการสมานน้ำใจ แต่การวิวาทชกต่อยกันเป็นความผิด ดังนั้นอาจารย์จึงต้องสั่งลงโทษเพื่อให้เกิดความสำนึกตน ผู้ที่ถูกลงโทษทั้งหมดมีสามคน นั่นคือ ผม โหนก และอีกคนก็คือไอ้อ้วน ทั้งสามคนถือว่ามีส่วนให้เกิดการวิวาท อาจารย์ลงโทษให้เราทำเวรกันด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พร้อมทั้งเรียกไอ้อ้วนมาอบรมสั่งสอนเสียพักใหญ่ในเรื่องความปากเสียของมัน โหนกนั้นแม้ไม่เต็มใจ แต่ก็จำใจต้องรับโทษ

หลังจากเสร็จเรื่อง อาจารย์ประพิมพ์ได้ให้โหนกและอ้วนออกไปก่อน แล้วพูดกับผมเพียงลำพัง

“อู ครูอยากให้เธอคิดให้ดีเรื่องชีวิต และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังนะ” อาจารย์ประพิมพ์พูด

ผมงง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะจู่ๆอาจารย์ก็พูดขึ้นมา

“เธอเป็นเด็กผู้ชาย ยังไงต่อไปก็ควรต้องแต่งงานมีครอบครัว เธออย่าเลือกเดินทางผิดนะ หากถลำไปแล้วมันจะถอยได้ยาก อีกหน่อยเธออาจเป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมก็ได้ เธอต้องประพฤติตัวให้สังคมยอมรับได้ คิดเสียตั้งแต่ยังไม่สายเกินแก้” อาจารย์พูดต่อ “เธอเข้าใจที่ครูพูดไหม” อาจารย์สำทับ

“ครับ” ผมตอบเบาๆ เริ่มเข้าใจลางๆว่าอาจารย์หมายถึงอะไร

ผมออกมาจากห้องพักครูด้วยจิตใจที่อธิบายได้ยาก ส่วนหนึ่งรู้สึกปลอดโปร่ง ปัญหาเรื่องไอ้โหนกตัวแสบคงจบลงได้เสียที แต่ คำพูดที่อาจารย์ทิ้งท้ายก็ได้ก่อตัวเป็นเมฆทะมึนในใจของผม

ผมยังเด็ก จึงยังไม่เคยคิดถึงเรื่องไกลตัวขนาดมีครอบครัวมาก่อน คำพูดของอาจารย์ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย ความรักของชายหญิงนั้นเป็นอย่างไรผมไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมรู้แต่ว่าอยากใช้ชีวิตร่วมกับไอ้นัยมากกว่า แล้วต่อไปเมื่อผมมีเมียแล้วผมจะอยู่กับไอ้นัยอย่างไร แล้วถ้าผมไม่มีเมียจะได้ไหม ถ้าผมเป็นแบบนี้แล้วจะมีหน้ามีตา เป็นที่นับถือในสังคมไม่ได้เพราะสังคมไม่ยอมรับใช่ไหม ฯลฯ

ช่างมันโว้ย คิดไม่ออกก็อย่าไปคิดมันดีกว่า เอาไว้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยคิดก็น่าจะได้ ... ผมโยนปัญหาไปซุกไว้ใต้พรมเอาดื้อๆ

- - -

หลังจากเลิกเรียน ไอ้นัยกับผมก็กลับบ้านด้วยกันตามปกติ หมู่นี้เราสองคนแทบไม่ได้คุยกันเลยแม้จะอยู่ด้วยกันก็ตาม ช่วงก่อนหน้านี้ ผมเองก็อยู่ในสภาพที่ท้อแท้ หมดกำลังใจ ดังนั้นจึงทำไม่อยากทำอะไร ได้แต่คิดว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป แต่ตอนนี้ เมื่อผมกลับมามีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ... กำลังใจนี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เมื่อไม่มีกำลังใจ ชีวิตก็แทบจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้เอาเลย

เส้นทางจากโรงเรียนไปสู่ท่ารถเมล์ใต้สะพานพุทธฯแม้จะคลำคล่ำไปด้วยนักเรียน แต่ก็ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างเดิน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะที่ผมจะคุยกับไอ้นัย

“นัย หมู่นี้มึงเป็นไรไป ทำไมเอาแต่เงียบ” ผมถาม

“...” ไอ้นัยยังคงก้มหน้าก้มตาเดิน

“นัย มึงเป็นไรไปน่ะ มึงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะหมู่นี้” ผมพูดอีก

ไอ้นัยก้มหน้าเดินเงียบๆอีกชั่วครู่ แล้วก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา พูดว่า “มึงต่างหากล่ะที่เปลี่ยนไป”

“กูเปลี่ยนตรงไหนเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ผมไม่คิดว่าผมเปลี่ยนไป แม้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และเป็นห่วงเป็นไยมันเสมอ มันต่างหากล่ะที่เปลี่ยนไป

“...”

“ไหน มึงว่ามาสิ กูเปลี่ยนไปตรงไหน ต้องมีหลักฐานดิ” ผมคาดคั้นมัน วันนี้ผมจะไม่ยอมให้มันเงียบ ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

“เดี๋ยวนี้มึงเอาแต่เงียบ ไม่พูด มีอะไรก็ไม่เล่า แล้วยัง...” ไอ้นัยพูด แต่คำพูดท้ายๆยิ่งพูดยิ่งเบา

“แล้วยังอะไร” ผมรุกเร้า

“เอ้อ...” ไอ้นัยอึกอัก “... มึงคงอึดอัดที่กินข้าวหรือไปไหนกับกู…”

“เฮ้ย มึงเอาอะไรมาพูดวะ” ผมตกใจ ผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อนเลย มันไปเอามาจากไหน “ไอ้ห่าโหนกอีกละสิ โคตรแม่งอีกแล้ว” ผมเดาว่าต้องเป็นไอ้โหนกไปปล่อยข่าวอะไรอีกแน่ๆ คิดแล้วน่าโมโห

“ไม่เกี่ยวกับมันหรอก” ไอ้นัยพูด “กูสังเกตจากเดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยอยากพูดกับกู แล้วก็... แล้วก็... เดี๋ยวนี้มึงก็ไม่อยากกินข้าวกับกู”

ผมต้องรีบอธิบายให้มันฟังเรื่องถึงที่ไอ้โหนกปล่อยข่าวว่าพ่อของมันจะให้เอาผมออกจากโรงเรียน ผมเกรงว่ามันจะไม่สบายใจ จึงไม่อยากเล่า และตอนนั้นผมเองก็กำลังเซ็งชีวิต เลยทำให้เงียบขรึมไปบ้าง

“แล้วเรื่องกินข้าวเที่ยงน่ะ มึงเป็นคนพูดเองนี่หว่า จะมาว่ากูไม่อยากกินกับมึงได้ยังไง” เรื่องกินข้าวนี่ยังไงผมก็ไม่ยอมรับ เพราะเป็นความคิดของไอ้นัยเองแท้ๆ

“...”

“เฮ้ย” ผมเรียกมัน “ทำไมไม่พูดล่ะ”

“...”

และแล้ว ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ผมคิดว่าผมรู้สาเหตุแล้ว

“นี่มึงงอนกูเหรอ” ผมสรุปพร้อมตั้งคำถามไปในตัว

ไอ้นัยเดินก้มหน้างุดราวกับพระเดินจงกรม ไม่ยอมตอบ ผมอ้อมไปข้างหน้ามัน ขวางมันเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ แล้วดันไหล่มันขึ้นเพื่อให้มันเงยหน้าขึ้นมา เห็นใบหน้าสีน้ำผึ้งของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม

“ไม่ได้งอนโว้ย แค่น้อยใจ” ไอ้นัยตอบ พลางหลบสายตาของผม

“ฮุ้ย หน้าแดงด้วย ฮ่ะๆ” ผมมองหน้ามันแล้วหัวเราะ คนที่รู้จักแต่ตามใจคนอื่นอย่างไอ้นัยก็งอนเป็นด้วย นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นมันงอน ยังงี้ต้องได้ลงข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐแน่

การที่ไอ้นัยงอนผมนั้นมีความหมายต่อผมมากเสียยิ่งกว่าการที่มันเอาใจผมเสียอีก ผมรู้สึกว่ามีความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ อากาศของปลายเดือนธันวาคมแม้จะเย็นเยือก แต่ในใจของผมกลับอบอุ่น ... อบอุ่นจากไฟกองหนึ่งซึ่งคุโชนอยู่ในใจของผม ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ยังไม่เข้าใจดีนักว่ามันคืออะไร...

“นั่นแหละ งอนล่ะ” ผมพูด

“บอกว่าไม่ได้งอน” ไอ้นัยยังปากแข็ง แต่หน้าแดงเข้มยิ่งขึ้น “แค่น้อยใจ”

“อะ อะ อะ น้อยใจก็น้อยใจ” ผมยอมตามมัน


<ไอ้นัยเดินก้มหน้างุดราวกับพระเดินจงกรม ไม่ยอมตอบ ผมอ้อมไปข้างหน้ามัน ขวางมันเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ>

10 comments:

Anonymous said...

ได้โพสเป็นคนแรกอีกแล้ว

ตอนนี้ถือว่าจบได้หวานบาดใจมาก

ชอบๆ

แบงค์

Anonymous said...

ที่2อีกและ งอล งอล ลุงอูครับเมอรีรีคริสตมาสนะครับ พี่พี่น้าน้า ลุงลุง ป้าป้าด้วยนะ 555+ เลือกของขวัณจับฉลากอะไรดีค้าบลุง

Anonymous said...

หวานจังเลยครับ ดีใจจังที่นัยรู้สึกงอนอูด้วย เพราะแปลว่า...อิอิ

Anonymous said...

T-Tยังไม่ทันอีก
คุยกับเพื่อนกันว่า โหนกข่มขืนอาอู
อาอูก็เลยโกยทำร้าย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย
แล้วก็โดยข่วนมากมาย
จากนั้นอาอูก็เลยแก้แค้นด้วยการกัดปาก
อาโหนกจนปากเจ่อ >.<
อาโหนกก็เลยโมโห พาพ่อมาบังคับขืน
ให้อาอูกลายเป็นทาสราคะ>w<)//
โอ้เย่!! ใครเป็นคนคุยกับผมเรื่องนี้
แสดงตัวเสีย

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

คืนดีกันแล้ว โอ้เย่!!~
ดีใจๆ ขอบคุณที่มาต่อให้อ่านครับ
ว่าแต่อาอูบอกว่ากำลังจะจบม.1 แล้วอาอู
ไม่คิดจะเขียนให้ถึงปัจจุบันเหรอครับ?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

กี๊ซ..

Anonymous said...

ม.๑ นี่เริ่มโตกันแล้ว ดังนั้นเรื่องหวานๆจึงเริ่มมีบ้าง ต่างจากตอนเด็กที่เอาแต่เล่น ไม่ค่อยคิดอะไรมากครับ


arus ไปคุยกับใครมาน่ะ กลายเป็นทาสราคะด้วย โหดร้ายจัง

คงเขียนถึงแค่ ม.๓ ครับ มันก็เหมือนกับการเขียนภาพหรือว่าถ่ายรูป บางทีการมองเฉพาะบางส่วนให้ความงดงามและประทับใจได้มากกว่าเห็นทั้งหมดครับ

อีกอย่าง เรื่องคงยาวมากด้วย แก่กันทั้งคนเขียนและคนอ่าน

Anonymous said...

ดีใจครับที่ยังมีภาคต่ออีก

กู๋

Anonymous said...

กลับมาอ่านตอนนี้รู้สึกโล่งใจไปกับอู และรู้สึกสดชื่นตอนท้ายครับ เหมือนได้กินฮอลล์ผสมมะนาวเลย หุหุหุ
ปีใหม่นี้ถ้าใครว่างๆ ก้อขึ้นมาเที่ยวเมืองเหนือบ้างนะครับ ตอนนี้อากาศหนาวกำลังดีครับ ยินดีต้อนรับทุกคนครับ โดยเฉพาะแฟนๆ ของเรื่องของไอ้อูด้วยครับ
อยากให้อูเขียนไปเรื่อยๆ ครับ อย่าให้จบแค่ม.3 เลยครับ ถึงมันจะยาวแค่ไหนก้อจะอ่านครับ ติดตามมาแต่ตอนอยู่โรงเรียนประจำแล้วครับ ถึงจะอ่านมันจนแก่ก้อช่างมันเถอะครับ ไหนๆคนอ่านก้อแก่อยู่แล้วครับ ฮุฮุฮุ
เป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ
กร

Anonymous said...

แฮ่กๆๆ กว่าจะอ่านตามมาถึงตอนนี้ อูช่วยย้อนมาดูcommentผมด้วยครับ เริ่มแต่ตอน 45

หึๆ ในที่สุดความลับก็แตกจริงๆจนได้นะครับ เด็กหนอเด็ก ซื่อจริงเลยนะอู
ความจริงถ้าเงียบๆไปเสีย ไม่รู้ไม่ชี้ เรื่องก็จะเงียบไปเอง เรื่องที่โหนกตัวแสบพูดก็แค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ไอ้อ้วนก็ปากหมาไปตามนิสัย
(ดูความอินตามเรื่องของผมสิ โอย..พอแล้ว เรื่องมันตั้ง 20 กว่าปีแล้ว จะบร้าไปใหญ่แล้วเรา)

ไหน? ใครแก่? ไม่นะ? ผมยังไม่แก่เลยนะเนี่ย
อูจารีบแก่ปายหนายยย กลับมาเล่าเรื่องต่อก๊อนนน..