Tuesday, December 2, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 39

หลังจากการดูหนังในวันเสาร์ที่ผ่านมา วันจันทร์เราก็ยังเอามาเป็นหัวข้อสนทนาตอนกินอาหารเที่ยงกันอีก เราสองคนต่างก็บ่นเสียดายเงิน และเสียดายที่หนังสนุกแต่ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง

“ไปเที่ยวไหนกันมาล่ะ” โหนกถาม เพราะฟังแล้วยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก ผมเลยเล่ารายละเอียดให้โหนกฟังอย่างสนุกสนาน

ดูเหมือนว่าโหนกจะไม่สนุกด้วย เพราะเห็นทำสีหน้าไม่พอใจ

“ไปไหนกันไม่ชวนมั่งเลยนะ” โหนกต่อว่าด้วยความน้อยใจ

“จะไปชวนได้ไง ก็มึงไม่ได้ไปเรียนดนตรีด้วยกันนี่หว่า” ผมพูดเพื่อปลอบใจโหนก

“ถ้าชวนล่วงหน้ากูก็ไปได้ วันเสาร์กูก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว” โหนกยังไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของผมนัก

“คือ... ตอนนั้นไอ้นัยมันอยากดู นึกได้ก็ซื้อตั๋วตอนนั้นเลย ไม่รู้จะชวนล่วงหน้าได้ยังไง” ผมพยายามอธิบาย

แต่ดูเหมือนว่าคำอธิบายของผมนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังเพิ่มความไม่พอใจให้แก่โหนกมากยิ่งขึ้น เพราะโหนกขึ้นเสียงดังทันที

“อะไรกันวะ กูชวนมึงไปไหนก็ไม่ไป พออีกคนพูดคำเดียว มึงก็ตกลงเลย แบบนี้หมายความว่าไง”

ระยะหลังนี้ผมสะสมความไม่พอใจในตัวโหนกเอาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน สาเหตุก็เพราะมันทำเย็นชา ปั้นปึ่งกับไอ้นัย ไอ้นัยก็พอดูออก แต่ไม่รู้จะทำยังไง เวลากินข้าวก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ผมเองก็อึดอัดใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเช่นกัน

แต่วันนี้ เมื่อโหนกขึ้นเสียงใส่ผม ผมก็ชักจะเหลืออด

“ก็ไม่ได้หมายความว่าไง แต่มันขึ้นอยู่กับความพอใจ” ผมสวนคำเสียงดังบ้าง จนนักเรียนที่กินอาหารอยู่ใกล้ๆหันมามอง

“ใจเย็นๆ อู” ไอ้นัยพูด พร้อมเอามือวางที่ขาผมเป็นทีห้ามปราม แล้วก็หันไปพูดกับโหนก “เสาร์หน้าไปดูหนังกันมั้ยล่ะ ไปดูคนเหล็กกันอีกก็ได้ ดีมั้ย”

“ไม่ดูมันแล้วโว้ย” โหนกกระชากเสียง ว่าแล้วก็ลุกจากที่ไปทั้งๆที่ยังกินไม่เสร็จ

“อู ไปง้อมันหน่อยดิ” ไอ้นัยพูด

“ง้อมันทำไม กูไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ผมยังไม่หายโมโหโหนก

“มึงจำเรื่องไอ้ชัชไม่ได้เหรอ ไปง้อมันหน่อยนะ สงสารมัน กูขอละกัน” ไอ้นัยพูด

ผมอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดของไอ้นัย นี่มันก็ดูออกเหมือนกันหรือนี่ ผมเองเคยคิดว่ากิริยาของโหนกที่แสดงออก มันช่างเหมือนกับกรณีของไอ้ชัช แต่ผมก็ไม่เคยเล่าข้อสังเกตนี้ให้ไอ้นัยฟัง

เมื่อไอ้นัยถึงกับขอร้องผม ถึงผมไม่เห็นแก่โหนก ก็ต้องเห็นแก่ไอ้นัย ผมถอนใจ ลุกขึ้นเดินตามโหนกไป พร้อมกับนึกในใจว่าปีที่แล้วพอเข้าเทอมปลาย เรื่องร้ายต่างๆก็ประดังกันเข้ามา ดูซิว่าปีนี้จะเจออะไรบ้าง

ผมตามไปขอโทษขอโพย พูดดีด้วยต่างๆนานา จนโหนกใจอ่อน แต่โหนกคงไม่รู้หรอกว่าที่ผมอ่อนข้อให้โหนกขนาดนี้เพราะเห็นแก่ไอ้นัย ผมพยายามอดทนทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยของผมในตอนนั้น ประสบการณ์ในอดีตให้บทเรียนแก่ผมว่า ถ้าผมไม่อดทน คนที่ต้องรับผลร้ายอาจเป็นไอ้นัย ไม่ใช่ผม

เด็กๆมักโกรธง่ายหายเร็ว หลังจากที่ผมง้อโหนกจนใจอ่อน พร้อมกับสัญญากับโหนกว่าบ่ายวันเสาร์หน้าเราจะไปดูหนังด้วยกัน หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนดูเหมือนจะลืมเรื่องราวที่ขัดเคืองใจกัน เพราะไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องนั้นขึ้นมาอีก แต่ผมคิดว่าคงไม่มีใครลืมได้เร็วขนาดนั้น

- - -

วันเสาร์ถัดมา เราสามคนก็ไปดูหนังกันตามที่ผมสัญญาไว้กับโหนก โดยตอนเช้า ผมกับไอ้นัยไปเรียนดนตรีกันก่อน หลังจากนั้น ประมาณเที่ยง เรานัดเจอกันในร้านโดนัท หนังที่จะดูกันก็คือหนังคนเหล็กเรื่องเดิมนั่นเอง

“ก็ดี คราวนี้เผื่อจะดูรู้เรื่องกับเขาบ้าง” ไอ้นัยพูดติดตลก

เมื่อถึงเวลาเที่ยง เราก็ไปที่ร้านโดนัทตามที่นัดเอาไว้ ที่นั่น ผมเห็นโหนกนั่งกินโดนัทกับน้ำอัดบมรออยู่ก่อนแล้ว

“มานานยัง” ไอ้นัยทักทายโหนกด้วยเสียงแจ่มใส “มารถสายอะไรอะ”

“สักพักแล้ว” โหนกตอบ “คนขับรถมาส่งน่ะ”

ผมเพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าที่บ้านโหนกมีคนขับรถด้วย ปกติโหนกไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ผมรู้ว่าโหนกมีคนมารับส่งตอนไปโรงเรียน แต่นึกว่าเป็นพ่อหรือแม่ที่ขับรถมารับส่ง แสดงว่าที่บ้านคงมีฐานะดีทีเดียว

“ไม่นึกว่ามึงจะมาด้วย” โหนกพูดกับไอ้นัย “เห็นอูว่าคนดูเยอะ กูมาก่อนเลยไปซื้อตั๋วเอาไว้ให้ ซื้อมาสองใบเอง”

สีหน้าของไอ้นัยจ๋อยไปสนิท ผมรู้สึกฉุนกึกเหมือนกินวาซาบิเข้าไปก้อนใหญ่

“มึงก็รู้ว่ากูกับไอ้นัยมาเรียนดนตรีด้วยกัน แล้วจะมาดูหนังคนเดียวได้ไง” ผมพูดด้วยความเคือง

“ก็ไม่รู้จริงๆนี่หว่า วันก่อนมึงก็ไม่ได้บอกให้ชัด กูเห็นไอ้นัยมันดูไปแล้ว เลยนึกว่าคงไม่ดูอีก” โหนกพูดแก้ตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกับโหนกมา ที่ผมรู้สึกว่ามันน่าเตะเหลือเกิน

“ไปซื้อเพิ่มให้ไอ้นัยอีกใบก็ได้ ไม่เห็นต้องโมโห” โหนกพูด “แต่ที่นั่งคงไม่ติดกัน”

แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าไอ้โหนกจงใจจะแกล้งไอ้นัย มันแกล้งผม ผมยังไม่เจ็บใจเท่ากับมันแกล้งไอ้นัย

“ถ้างั้นไม่ดูโว้ย” ผมพูดสั้นๆ ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเดินออกจากร้านไป

“ไม่ดูไม่ได้นะ” โหนกส่งเสียงแหวขึ้นมา “สัญญากันแล้ว คิดจะผิดสัญญาเหรอ”

“ผิดก็ผิดสิวะ” ผมตอบ ว่าแล้วก็เดินออกไป

ไอ้นัยตามผมออกไป และฉุดแขนเสื้อผมเอาไว้ที่หน้าร้าน

“อู ดูหนังกับโหนกมันหน่อยเถอะ” ไอ้นัยพูด

“มึงเป็นอะไรไปวะไอ้นัย ทำไมต้องยอมคนอยู่ตลอด มันจะแกล้งมึงมึงก็รู้ แล้วจะไปดูกับมันทำห่าอะไร” ผมโวยกับไอ้นัยเอาบ้าง

“ดูกับมันหน่อยเถอะนะอู” ไอ้นัยพูด โดยไม่ตอบคำถามของผม

“ถ้ามึงไม่บอกเหตุผลมา กูไม่ดูหรอก” คราวนี้ผมไม่ยอมแล้ว

“ไม่รู้สิ กูก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก แต่ไม่อยากให้มึงสองคนต้องโกรธกันเพราะกู” ไอ้นัยพูด “มึงไปดูหนังนะอู เดี๋ยวกูกลับบ้านไปก่อน”

น้ำเสียงของไอ้นัยบ่งบอกถึงการวิงวอน ตั้งแต่เด็กมา มีแต่ไอ้นัยคนเดียวที่ห้ามแล้วผมฟัง ผมย้อนคิดถึงอดีตขึ้นมาอีก ใบหน้าของไอ้ทิว ไอ้ชัช ไอ้ชิด ลอยขึ้นมาในห้วงความนึกคิด ผมเคยทำเรื่องเดือดร้อนให้ไอ้นัยมามากแล้ว ถ้าผมไม่ดูหนังกับโหนก ความบาดหมางระหว่างโหนกกับไอ้นัยคงรุนแรงยิ่งขึ้น บางทีไอ้นัยอาจพูดถูกก็ได้

พอได้คิด ก็พยายามข่มใจ ระงับความโกรธลงอย่างยากเย็น

ในที่สุด ผมก็ต้องกลับไปง้อไอ้โหนกอีก แม้จะรู้สึกฝืนใจอย่างยิ่งก็ตาม

หนังในวันนั้นแม้จะเป็นที่นั่งราคา 60 บาท แต่ก็ไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย สู้ดูไปเวียนหัวไปกับไอ้นัยก็ไม่ได้ การทำอะไรที่ต้องฝืนใจอย่างมากนั้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ความรู้สึกดีๆที่เคยมีกับโหนกนั้นหายไปจนหมด ความเบื่อหน่ายรำคาญเริ่มเข้ามาแทนที่

เมื่อหนังฉายจบ พอออกจากโรงหนังได้ผมแยกจากโหนกทันที แม้โหนกจะบอกให้อยู่เป็นเพื่อนมันเพื่อรอให้คนขับรถมารับก่อนก็ตาม

เมื่อผมสลัดหลุดจากโหนกมาได้ ผมรีบหาตู้โทรศัพท์และโทรหาไอ้นัยทันที ผมเป็นห่วงความรู้สึกของมันมาก มันคงเสียใจที่โดนเพื่อนแกล้งให้เสียหน้าขนาดนั้น

“โหล” เสียงด็กวัยรุ่นรับสาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร

“นัย เป็นไงบ้าง” ผมเรียกมันโดยไม่มี ไอ้ นำหน้า “เนี่ย เพิ่งดูหนังเสร็จ ดูจบแล้วก็โทรมาหามึงก่อนเลย”

“ไม่เป็นไงนี่” ไอ้นัยตอบด้วยเสียงราบเรียบ สังเกตความรู้สึกจากน้ำเสียงไม่ออก

“มึงอย่าคิดมากนะ ไอ้โหนกจะแกล้งมึงก็ช่าง ยังไงกูก็ไม่เคยแกล้งมึง” ในเวลานั้น ผมนึกคำพูดปลอบใจที่ดีกว่านี้ไม่ออก

“มึงนั่นแหละ ตัวชอบแกล้งกู” ไอ้นัยอดหัวเราะไม่ได้

“อ้าว งั้นหรอกเหรอ” ผมทำตลกไปด้วย ไอ้นัยหัวเราะได้ แสดงว่าคงไม่เป็นอะไรมาก



<ภาพบน โปสเตอร์หน้าโรงของภาพยนตร์คนเหล็ก
ภาพล่าง ตั๋วชมภาพยนตร์ในยุคนั้น ราคาต่ำสุด 20 บาท หางตั๋วสามารถตรวจรางวัลได้ด้วย หางตั๋วใบใดที่มีเลขท้ายตรงกับเลขท้ายสี่ตัวของสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่งในงวดนั้น สามารถนำไปขึ้นเงินรางวัลได้>

6 comments:

Anonymous said...

1. ลุงอู ไม่เห็นเล่าตอนดูหนังว่าโหนกทำอะไรอะป่าว ลวนลามอะมีไหมค้าบบ ชอบอ่านเรื่องนี้จ้ง ขอบคุนค้าบ

Anonymous said...

อูคับ
ผมรำคาญให้โนกแล้วนะ
มันเองก้อไม่ได้เป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่กันมาก่อน
จะไปแคร์มันทำมัย แต่อย่างว่านะ
จะไปรำคาญมันทำมัย เพราะอูเองก้อบอกไว้ก่อนแล้วว่า ไอ้โหนกมันเป็นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของอูเอง อะไรจะเกิดมันก้อต้องเกิด
ส่วนนัยเองผมก้อดูไม่ออกว่ามันคิดอย่างรัย
มันไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีแต่อูคนเดียวที่เป็นคนเริ่มต้นตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องชักว่าวหรือเอาตูดกัน ไม่เคยเห็นแม้แต่ครั้งเดียวที่นัยมันจะเริ่มต้นก่อน นัยนี่ผมดูไม่ออกเลยว่ามันคิดอย่งรัย
เป็นคนที่คอยแต่จะตามใจเพื่อนมาตลอด
ชักอยากรู้แล้วว่าในอนาคต ชีวิตนัยจะเป็นยังงัย
ผมชักเป็นห่วงไอ้นัยมันแล้วนะ
คิดอะไรไม่เคยแสดงออกเลยดูใจมันยากจริงๆ
แต่จะยังงัยก้อจะรอ่ายต่อๆไปจนกว่าจะจบล่ะ
ผมคิดถึง ที1000 จิงๆ ไม่รู้ตอนนี้หายเงียบไปเลย
นาน ๆ จะโผล่มาที
55555
ขอบคุณนะคับอู ขึ้นเดอืนธันวาแล้ว อีกไม่กี่วันก้อจะปีใหม่ละคับ
ดีใจจังที่ พธม เลิกประท้วงแล้ว สนามบินจะได้เปิดซะที

Anonymous said...

มาแล้วครับ

หลาน Arus

Anonymous said...

สนุกดี

แบงค์

Anonymous said...

หนังรอบบ่าย คนในโรงแน่นยังกับปลากระป๋อง ทำอะไรกันไม่ได้หรอกครับ คนข้างๆเห็นหมด ลุงเลยปลอดภัย ที่จริงโหนกคงอยากดูหนังเพื่อแกล้งไอ้นัยเท่านั้นเอง คงไม่ได้คิดเรื่องเซ็กซ์อะไรหรอกครับ

Anonymous said...

ยิ่งอ่านก้อยิ่งน่าติดตาม อยากรู้ครับว่าเหตุการณ์จะลงเอยอย่างไร สงสารนัยมากครับที่โดนโหนกแกล้ง แต่ทำไมนัยต้องยอมโหนก หรือว่านัยจะมีความรู้สึกดีๆกับโหนก ยิ่งคิดก้อยิ่งสับสนครับ ไม่อยากคิดครับ ต้องคอยติดตามตอนต่อไปครับ
เป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ
กร ครับ