Friday, December 19, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 45

มันเป็นเรื่องที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน โดนอาจารย์ประจำชั้นเรียกตัวไป ไม่รู้ว่าถูกทำโทษอย่างไรบ้าง แค่นี้ก็แย่แล้ว นี่ผู้ปกครองยังจะมาเอาเรื่องอีก อะไรมันจะซวยขนาดนี้

หลังจากหมดคาบ เมื่ออาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว เพื่อนๆที่สนิทกันก็มารุมล้อม

“แย่โว้ย ไอ้อู” ใหญ่เข้ามาทัก “เจอเส้นใหญ่เข้าแล้ว มึงจะทำยังไงวะเนี่ย สงสัยอาจารย์ต้องเรียกผู้ปกครองมึงมาพบแน่เลย”

“นี่มันจะมาปลอบใจหรือจะมาซ้ำเติมกันวะ” วีกิจดุ “ชกกันแค่นี้ไม่ถึงกับถูกไล่ออกหรอก ขนาดพวกนักเรียนเกๆชกกันหน้าแหก ยังไม่ไล่ออกเลย อย่างมากก็เฆี่ยนหน้าเสาธง อุ๊บ...” วีกิจอุทาน แล้วเอามือปิดปากตนเอง

พักเที่ยงวันวันผมกินอาหารอย่างเงียบขรึม จนไอ้นัยเป็นห่วง พยายามถามผมหลายครั้ง แต่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไร ผมคิดว่าจะไม่บอกไอ้นัยเกี่ยวกับเรื่องที่พ่อของไอ้โหนกจะเล่นงานผม เพราะมันรู้ไปก็จะกังวลไปเสียเปล่าๆ สู้ปล่อยให้ไม่รู้มันคงจะสบายใจกว่า

แต่หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจของผมนั้นเป็นอีกหนึ่งในหลายๆครั้งจนนับไม่ถ้วนที่ผมตัดสินใจผิดพลาดไป…

“อู ถ้ามึงไม่สบายใจ ต่อไปตอนพักเที่ยงมึงจะอยู่กับเพื่อนๆมึงก็ได้นะ” ไอ้นัยพูดขึ้นมาระหว่างที่เรานั่งรถกลับบ้านในวันนั้น

ตอนนั้นผมกำลังสับสนอยู่ สับสนทั้งอารมณ์และความคิด ผมเข้าใจเอาว่าไอ้นัยพูดเพราะอึดอัดใจ การที่เราติดกันแจเกินไปทำให้มันถูกล้อเลียนและเกิดความอับอาย คำพูดของมันทำให้ผมชาไปหมด... ชาไปจนถึงหัวใจ

“ถ้ามึงไม่สบายใจก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน” ผมตอบแบบเรียบๆ รู้สึกท้อแท้จนไม่อยากพูดอะไรมาก ใครอยากทำอะไรก็ทำไป

“ไม่ใช่กูไม่สบายใจ กูกลัวว่ามึงจะไม่สบายใจน่ะ” ไอ้นัยพยายามอธิบาย แต่ตอนนั้นผมท้อใจจนไม่อยากฟังและคิดอะไรแล้ว

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ...” ผมตอบ

- - -

วันรุ่งขึ้น ความเงียบยังคงปกคลุมเราสองคนตลอดการนั่งรถมาโรงเรียน ผมรู้สึกว่าไอ้นัยแปลกออกไปจากเดิม ทั้งเงียบ ทั้งเหินห่าง แม้เราจะนั่งอยู่ติดกันบนรถ แต่ผมรู้สึกว่าระยะทางระหว่างผมกับไอ้นัยที่เคยใกล้ชิดกันกลับกลายเป็นทอดห่างออกไป

“วันนี้จะกินข้าวด้วยกันหรือเปล่า” ไอ้นัยถามก่อนที่เราจะแยกกันขึ้นตึกเรียน

“ไม่ต้องก็ได้” ผมตอบเนือยๆ ในเมื่อไอ้นัยไม่สบายใจที่จะกินกับผม ก็ปล่อยมันไปก็แล้วกัน

การเรียนในช่วงเช้าผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องพ่อของไอ้โหนก ผมกังวลไปสารพัด ในหัวมีแต่คำถาม นี่ถ้าต้องเชิญผู้ปกครองมา ทั้งพ่อ แม่ เอ๊ด คุณลุง คุณป้า ทุกคนต้องรับรู้เกี่ยวกับข่าวปล่อยของไอ้โหนก แล้วทุกคนจะมองผมยังไง เรื่องชกกันยังไม่เท่าไร แต่เนื้อเรื่องของข่าวปล่อยนี่สิที่น่ากลัว ผมจะถูกขุดคุ้ยไหม แล้วทุกคนจะรู้ความจริงไหม ถ้ารู้ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

นี่ถ้าผมถูกไล่ออกจริงๆ คุณลุงกับคุณป้าก็คงเห็นว่าผมเป็นตัวเจ้าปัญหา รวมทั้งอาจรังเกียจและไม่ให้ผมพักอยู่ต่อไป จะกลับไปเรียนที่โรงเรียนเก่าก็คงพอได้อยู่ ดีเหมือนกัน จะได้เจอไอ้ชัชอีก แต่มาคิดอีกที ผมจะทนอับอายเพื่อนๆได้อย่างไร ที่ถูกไล่ออกและหมดทางไปจนต้องกลับมาเรียนที่เดิม ไหนจะเรื่องไอ้นัยอีก ...

เที่ยงวันนั้นผมนั่งกินข้าวคนเดียวอย่างเงียบเหงา กินไปก็สอดส่ายสายตามองไป อยากรู้ว่าไอ้นัยลงมากินหรือยังและมันกินกับใคร แต่มองเท่าไรก็หาไม่พบ

เมื่อเข้าเรียนในภาคบ่าย หัวหน้าดิษฐ์เดินเข้าห้องเรียนมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

ดิษฐ์ถูกอาจารย์เรียกไปสอบถามเรื่องของผม เนื่องจากผมไม่ยอมตอบอะไร จึงต้องถามเอาจากหัวหน้าชั้น ผมไม่รู้ว่าดิษฐ์ว่าตอบอะไรไปบ้าง เพราะตัวผมเองไม่ได้เข้าไปคุยกับดิษฐ์ เพียงแต่นั่งฟังเพื่อนๆคุยกันเท่านั้น เพราะตอนนั้นผมไม่อยากยุ่งหรืออยากคุยกับใคร อยากอยู่เฉยๆคนเดียวมากกว่า แต่ก็คิดว่าเพื่อนทั้งชั้นคงรู้กันหมดแล้วว่าผมชกไอ้โหนกเพราะสาเหตุอะไร และดิษฐ์คงรายงานอาจารย์ไปแล้ว

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมรู้สึกว่าไอ้นัยทำตัวเหินห่างออกไป แม้เราจะเดินทางไปและกลับจากโรงเรียนด้วยกันเหมือนเดิม แตกต่างกันเพียงแค่ไม่ได้กินอาหารเที่ยงด้วยกันเท่านั้น ซึ่งที่จริงการไม่ได้กินอาหารด้วยกันแทบไม่มีความหมายอะไร เพราะว่าโรงอาหารก็แน่นขนัด ในแต่ละวันใช้เวลาอยู่ในโรงอาหารเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ผมรู้สึกว่าเราสองคนเหมือนกับมึนตึงต่อกันอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ทะเลาะกันหรือขัดใจกันเลย ... หรือมันจะเริ่มรังเกียจผมแล้ว?

หลายวันผ่านไป มันเป็นเวลาแห่งความทุกข์จริงๆ ผมทั้งวิตกกังวล ท้อแท้ และฟุ้งซ่าน ทางด้านอาจารย์ประพิมพ์เองก็เงียบเชียบ หลังจากวันนั้นอาจารย์ไม่เคยเรียกผมไปพบอีกเลย ทุกอย่างอยู่ในความอึมครึม จะมีก็แต่โหนกที่ไม่อึมครึม มันยิ้มแย้มแจ่มใส คุยสนุกสนาน และมองผมด้วยสายตาของผู้ชนะอยู่บ่อยๆ มันคงรอดูวันที่ผมจะถูกลงโทษ เพราะมันมักบอกกับเพื่อนๆว่าพ่อมันเป็นศิษย์เก่า อีกทั้งเคยบริจาคเงินให้โรงเรียนก็มาก แม้แต่ผู้อำนวยการก็ต้องเกรงใจพ่อมัน นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ผมเคยถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งจะทำกันได้ถึงขนาดนี้

ทางด้านไอ้นัยเองก็เงียบขรึม เรื่องนี้ทำให้ผมคิดมาก เพราะตั้งแต่เด็ก ตลอดเวลาที่เราเรียนหนังสือและโตมาด้วยกัน ผมกับไอ้นัยไม่เคยมึนตึงหรือทะเลาะกันเลย ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก ผมเริ่มกลัวอนาคตข้างหน้าเสียแล้ว...

เรืิ่องดีที่พอจะมีอยู่บ้างก็คือ หลังจากนั้นมาไอ้อ้วนไม่ได้แซวผมอีก ไม่รู้ว่าเพราะสงสารผม หรือว่าเห็นผมไม่ตอบโต้อะไร จึงหมดสนุกไปเอง

- - -

ผมถูกอาจารย์ประพิมพ์เรียกเข้าไปพบในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ผมเข้าไปนั่งที่หน้าโต๊ะของอาจารย์ด้วยใจระทึก ระคนกับความอับอาย อาจารย์จะนึกยังไงหนอหลังจากรู้ข่าวปล่อยของไอ้โหนก จะเชื่อมันหรือเปล่า …

“เป็นยังไงบ้าง นายอู” อาจารย์ทักทาย

“แย่ครับ” ผมตอบ ก้มหน้าหลบ ไม่กล้าสู้หน้าอาจารย์

“ทำไมถึงแย่ละ ยังไม่หายโกรธกับโหนกอยู่อีกเหรอ” อาจารย์ประพิมพ์ถาม

ผมจะบอกว่าตอนนี้เกลียดขี้หน้ามันจะแย่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าบอก

“เอ้อ ... ผมจะโดนไล่ออกหรือเปล่าครับ” ผมตัดสินใจถามไปตรงๆ

“นี่เธอไปรู้มาจากไหนกัน” อาจารย์ถามอย่างแปลกใจ


<ผมถูกอาจารย์ประพิมพ์เรียกเข้าไปพบในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ผมเข้าไปนั่งที่หน้าโต๊ะของอาจารย์ด้วยใจระทึก>

15 comments:

Anonymous said...

มาคนแรก ดีใจๆๆๆ

ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเป็นไงต่อ
หวังว่าคงไม่เศร้าน่ะ
เพราะชีวิตเจอเรื่องสั้นๆ มาเยอะแล้ว
สู้ๆน่ะคับ มาให้กำลังใจอู
^^sky^^

Anonymous said...

ที่2 ลุงอูครับ ชาไปถึงหัวใจ นี่โดนเลย แหมถ้าเปนอนนี้ผมจะให้ใจช่วย ให้กำลังใจแทนลุงนัยเสียเลย เข้าเสียบแย่งซะเลย หุหุ
ชอบกันก็ไม่บอกกันละครับ บอกรักกันซะทีซิว่าอูรักนัยนะ อิอิ

Anonymous said...

อ่านแล้วเศร้าครับ อยากให้ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ไปซักทีไม่อยากให้อูกะนัยต้องมึนตึงใส่กันครับ อยากให้ทั้งสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมครับ เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมันมีสาเหตุมาจากไอ้โหนกคนเดียวคิดเเล้วเจ็บใจจริงๆครับ ถ้ามันยังอยากจะเตะมันสักทีครับ ไงก้อจะเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับอู
กร

Anonymous said...

อูครับเราไม่อยากเสียน้ำตาอ่ะ.......
อย่าให้เศร้านะครับเพราะความทรงจำบางอย่าง
ไม่อยากจะหวนนึกถึงมันอีกเจ็บปวดครับ
อยากจะปล่อยให้เป็นความทรงจำสีจางๆ........

กู๋.

Anonymous said...

วันนี้มารักไม่ทันพี่ๆ กู่ๆ อาๆ คนอื่นๆ T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ตัวใกล้ ใจห่าง
ต่อไปถ้าตัวห่าง ใจล่ะ...?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

จากมุมมองของเด็กๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มากจริงๆ
สงสารจัง สู้ๆนะ
ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนใจร้ายไล่ออกเพราะเรื่องแบบนี้หรอก

แบงค์

Anonymous said...

วันนี้ sky ได้คอมเมนต์ที่หนึ่ง ส่วน arus ตกไปโข

อิอิ ที่สองนี่ใครกันละครับ ไม่ลงชื่อเลยไม่รู้ว่าใคร

ที่จริงใครๆก็พูดว่าเรื่องแค่นี้ไม่น่าถูกไล่ออก พ่อโหนกเค้าเส้นใหญ่ เลยทำให้กลัว

อีกหนึ่งถึงสองตอนก็จบแล้วครับ

อู

Anonymous said...

กร กู๋ และแบงค์เป็นไงบ้าง คงสบายดีนะครับ KTB ด้วย หลังๆชอบแอบคอมเมนต์แล้วไม่ลงชื่อ

ไปเที่ยวปีใหม่กันที่ไหนหรือเปล่า ตอนนี้มีจัดงานท่องเที่ยวที่ศูนย์สิริกิตติ์อีกแล้ว ได้ยินว่าลดราคาที่พักแบบมโหฬาร ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า

อู

Anonymous said...

อ้าวอูทำมัยจบเร็วล่ะ
เสียดายนะครับแล้วเราจะได้เจอกันอย่างนี้อีกหรอป่าวครับ หรือว่าจะต้องจากกันแล้ว
อูมีเรื่องที่จะเล่าต่ออีกหรือป่าวครับ
อย่าเพิ่งหายไปนะ
มาเล่าตอนต่อจากมัธยมก้อได้นะ
นี่แค่ ม.1เองครับ
คราวนี้ลงชื่อหน่อยคับ
KTB

Anonymous said...

ว่าอาอูหมายถึงจบเหตุการณ์ครังนี้น่ะครับ
เพราะอาอูบอกว่าจะเขียนจนจบม.3นี่นา >.<

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ถึงว่าสิ เพิ่งจะม.1เทอม2เองนิ เท่าที่จำได้บอกว่าเป็นช่วงอากาศเย็นๆเหมือนตอนนี้พอดี น่าจะเข้าเทอม2

Anonymous said...

หมายถึงว่าจบ ม.๑ เข้าใจกันถูกแล้วครับ ผมพูดสั้นไปหน่อย

Anonymous said...

โอยยใจหาย นึกว่าอาอูจะเลิกเขียน

แย่จังๆ ไม่อยากให้อูกะนัยเป็นงี้เลย เป็นเพราะไอ้โหนกคนเดียว นิสัยเลวมากเลย คนเค้าไม่สนใจก็เก็บมาเจ้าคิดเจ้าแค้น

เป็นกำลังใจให้นะคับ

Anonymous said...

yo..yo..

มาใหม่นะครัน โอ้โฮ ไม่นึกเลยว่าเรื่องเกย์จะสนุกขนาดนี้ เพิ่งได้อ่านเมื่อ 4-5 วันนี่เอง
เผอิญเปิดมาอ่านเจอตอนประถมที่อูพานัยไปเที่ยวบ้านต่างจังหวัดน่ะครับ
เลยไปตามอ่านตั้งแต่ต้น มาถึงตอนนี้คันมือเหลือเอ่ยเลยต้องขอแจมติดตามด้วยคน
โอ้ว...ถ่ายทอดความคิดความรักวัยใสได้แจ่มมากครับ
อืมม..ม.1สมัยมาบุญครองกำลังสร้างเหรอครับ
ตอนนั้นผมก็ม.1เหมือนกันเลย..แต่คนละร.ร.กันมั้ง
บางทีเราอาจรู้จักกันตอนม.ปลายนะ ชื่อคุ้นๆ อูกะชัชเนี่ย แต่ช่างเหอะ ขอติดตามเรื่องดีกว่า มิบังอาจแทรก ฮ่า ฮ่า

ขอให้กำลังจายด้วยคน ฮุ..ฮุ.. โย่.. โย่ะ