Friday, December 12, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 43

เที่ยงวันนั้น ผมนั่งกินข้าวกับไอ้นัยสองคนด้วยความไม่สบายใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมไม่อยากบอกเรื่องนี้กับมัน เพราะไม่ต้องการให้มันเสียใจ

“วันนี้มึงเป็นไรไปวะอู ทำหน้ายังกับตูด” ไอ้นัยพูดอย่างยิ้มแย้ม

เมื่อเห็นไอ้นัยอารมณ์ดีขนาดนี้ก็ยิ่งเล่าไม่ลง

“ไม่มีอะไรหรอก เอ้อ หนักใจเรื่องรายงานน่ะ” ผมตอบ

“โกหกไม่แนบเนียนเลยนะมึง” ไอ้นัยว่า พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มันคงเดาได้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ

ผมลังเล ว่าจะเล่าดีหรือไม่ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจเล่าความจริงออกไป

ไอ้นัยนิ่งอึ้งไป สีหน้าดูไม่ดีเท่าไรนัก ผมเริ่มนึกเสียใจที่เล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง

“มึงอย่าไปใส่ใจมันเลย มันปากเสียกับทุกคนนั่นแหละ” ผมพยายามปลอบใจ

ไอ้นัยนั่งกินอาหารต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกับมันกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“มึงคิดอะไรอยู่” ผมถาม

ไอ้นัยสั่นหัว “ไม่รู้สิ”

“หัวมึงเอง คิดอะไรยังไม่รู้ ยังงั้นก็บ้าแล้ว” ผมพยายามตลก

“ความคิดมันมั่วไปหมด บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ไอ้นัยตอบ

อย่าว่าแต่มันเลย ผมเองก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน มันทำให้ผมครุ่นคิดถึงรสนิยมทางเพศของตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นัย ความถูกผิด อนาคตของเรา ฯลฯ ความคิดมันมั่วไปหมดจริงๆ

ในช่วงบ่ายวันนั้น หลังจากที่ผมเข้าห้องเรียน ไอ้อ้วนก็เริ่มปากเสียอีก

“มึงรู้มั้ย ที่โรงอาหาร ขนมหวานอะไรขายดีที่สุดในวันนี้” ไอ้อ้วนถามเพื่อนในแก๊ง

“กูจะไปรู้ได้ไง” อีกคนรับลูก “อะไรล่ะ”

“ถั่วดำว่ะ” ไอ้อ้วนตอบ “แม่ง... มีคนมาเหมาไปหมดเลย แดกถั่วดำกันจนตูดโบ๋”

เพื่อนหลายคนหัวเราะกันขำ ผมรู้สึกหน้าชา มือเท้าเย็นไปหมด ทั้งอับอาย ทั้งโกรธแค้น ระคนกัน อยากจะเข้าไปชกหน้าไอ้อ้วนเต็มที แต่อีกใจหนึ่งก็รั้งเอาไว้ เพราะถ้าผมไปชกมันเข้า เรื่องคงบานปลาย อีกอย่าง มันพูดลอยๆ ไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ มันก็อ้างได้ว่าไม่ได้พูดว่าผม

ผมพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ และเดินไปนั่งที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่าทีของผมจะเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่อาจทราบได้

บ่ายวันนั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องสักวิชา ความคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องที่ไอ้อ้วนมันเอามาล้อเลียน คิดไปร้อยแปด เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสงสัยว่าตนเองไม่ปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ รวมทั้งคิดไปถึงไอ้นัยด้วย ครั้นพอเลิกเรียน ขณะนั่งรถกลับบ้านกับไอ้นัย ไอ้นัยก็นั่งเงียบขรึมเสียอีก สุดท้ายเราสองคนก็ไม่ได้คุยกันเลยจนตลอดทาง

- - -

วันรุ่งขึ้น ขณะมาโรงเรียน ไอ้นัยยังคงเงียบขรึมเช่นเดิม จนผมรู้สึกกังวล ตอนนั้นผมกังวลกับความรู้สึกของไอ้นัยมากกว่าความรู้สึกของตนเองเสียอีก เพราะไอ้นัยมันเจอเรื่องร้ายๆมาเยอะตั้งแต่ปีที่แล้ว ... จริงสินะ ปีที่แล้วที่ไอ้นัยมีเรื่อง ก็ช่วงนี้พอดีเหมือนกัน

เราสองคนจมอยู่กับความเงียบมาตลอดทาง จนเมื่อเข้าประตูโรงเรียน และไอ้นัยจะแยกขึ้นตึก

“ถ้ามึงไม่สบายใจ วันนี้ตอนเที่ยงกูแวะไปหามึงเอง มึงรอในห้องนั่นแหละ” ผมเสนอ

ไอ้นัยพยักหน้ารับ แล้วก็เดินแยกไป

หลังจากที่ไอ้นัยแยกขึ้นตึกไป และผมกำลังจะเดินไปทางตึกเรียนของผม เท้าของผมก็สะดุดอะไรบางอย่างจนเสียหลักหัวทิ่ม

“อุ๊บ... ฮ่ะ ฮ่ะ” เสียงใครคนหนึ่งร้องผสมหัวเราะดังขึ้นที่ด้านหลังของผม ผมหันหลังกลับไปดู...

ตี๋นั่นเอง และสิ่งที่ผมสะดุดก็คือเท้าของมัน

“ไอ้หอก เสือกมาขัดขา” ผมด่ามัน “มึงตามกูมาตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย”

“สักพักแล้ว” ตี๋บอก ว่าแล้วก็เอียงหน้ามากระซิบถามผมเบาๆ น้ำเสียงจริงจัง “มันเป็นแฟนมึงจริงเหรอ”

ผมอึ้งไป สำหรับกับตี๋ เราไม่เคยล้อเลียนปมด้อยหรือกลั่นแกล้งกัน สีหน้าของมันก็บ่งบอกว่าไม่ได้ถามเพื่อกวนประสาท

“เอ้อ... เอ้อ... เปล่านี่” ผมตะกุกตะกัก

“โกหกไม่เก่งเลยนะมึง” ตี๋ถอนใจ “มึงรู้ไหมว่าในห้องมันลือกันเรื่องของมึงสองคนมาสองสามวันแล้ว”

นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้อย่างที่สุด แต่ไม่กล้าถามใคร เพราะเกรงว่าการถามของผมจะสร้างพิรุธ เลยแกล้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนมาโดยตลอด

“ลือกันว่าไงอะ” ผมถาม

“ก็มันลือกันว่ามึงกับเพื่อนมึงคนนั้นเป็นแฟนกันน่ะสิ” ตี๋พูด

“ใครเอามาลือวะ” ผมถามอีก

“ไม่รู้สิ ก็เห็นพูดต่อๆกันไป บอกว่ามึงกับเพื่อนมึงหวานกันถึงขนาดไปดูหนังกันสองคนที่สยามสแควร์ด้วย” ตี๋พูด

แม้ตี๋จะไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต้นตอของข่าวลือมาจากใคร
ตี๋มองหน้าผม แล้วพูดอย่างจริงจัง

“อู มึงเฉยๆไว้น่ะดีแล้ว พวกห่านั่นมันล้อมึง ถ้ามึงทำเฉย อีกสักพักมันก็หยุดไปเอง แต่ถ้ามึงตอบโต้ พวกมันจะยิ่งเอาใหญ่ มึงดูอย่างไอ้หัวหน้าดิษฐ์สิ ล้อกันได้ไม่กี่วันก็เบื่อ” ตี๋หมายถึงกรณีดิษฐ์กับพงษ์ปากกว้าง

ตี๋หยุดเล็กน้อย เหลือบมองมือดูข้างที่พิการของมันแว่บหนึ่ง แล้วพูดต่อ “มึงเชื่อกูสิ กูโดนล้อมาตั้งแต่เด็ก กูรู้ดี”

น้ำสียงของตี๋ทำให้ผมสะท้อนใจ น้ำเสียงนั้นทั้งเห็นใจ ทั้งเยาะหยัน ... เห็นใจผม และเยาะหยันให้แก่ชีวิตของตนเอง

ผมตบไหล่ตี๋เบาๆแทนการขอบคุณ จากนั้นรีบสาวเท้าเดินมุ่งไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ตี๋เดินตามหลัง

เมื่อไปถึงห้องเรียน ผมเห็นโหนกกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ อารมณ์ของผมในตอนนั้นพลุ่งพล่านสุดจะบรรยายออกมาได้ ผมเดินตรงไปหาโหนก แม้ไอ้อ้วนจะล้อผมอยู่หลายวัน ผมก็ยังพยายามระงับอารมณ์อยู่ได้ แต่เมื่อผมเห็นโหนก ผมกลับระงับอารมณ์ไม่อยู่

“มึงมันโคตรเหี้ยเลยนะไอ้โหนก” ผมด่ามัน ว่าแล้วก็หยิบหนังสือแบบเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะของโหนก ยกขึ้นฟาดหัวมันเต็มแรง

“พัวะ” แม้มันจะเป็นหนังสือแบบเรียนเล่มไม่หนานัก แต่เมื่อฟาดอย่างสุดแรง ก็คงทำให้เจ็บได้ไม่เบา

โหนกร้องลั่น แล้วยกมือขึ้นขย้ำคอผม ทั้งยังเอาเล็บจิกเข้าไปในผิวเนื้อ เมื่อผมเจ็บ ความโกรธของผมก็ยิ่งทวีขึ้น คราวนี้เราก็ซัดกันอุตลุด

“เฮ้ย ไอ้อูมันบ้าแล้ว ช่วยกันแยกเร็ว” เสียงใครก็ไม่รู้ร้องขึ้น

หลังจากนั้น ผมกับไอ้โหนกก็ถูกแยกออกจากกัน เพื่อนๆช่วยกันยึดเอาไว้ไม่ให้ฟัดกันอีก

ผมดิ้นรนชั่วครู่ ในทีสุดก็ได้สติ และเลิกดิ้น แต่ไอ้โหนกยังไม่หยุด มันดิ้นและร้องไห้จ้าราวกับมันกำลังถูกจับเชือด

ผมถูกเพื่อนๆลากกลับไปสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะของตนเอง ตอนนั้นเอง ผมเริ่มรู้สึกแสบตามแขนและคอ จึงก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง พบว่ากระดุมเสื้อหลุดหายไปบางบางเม็ด นอกจากนี้ ทั้งลำคอและแขนยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นรูๆ และรอยแผลเป็นริ้วยาวหลายต่อหลายเส้น เลือดออกซิบๆ รอยแผลนี้เกิดจากกรงเล็บของไอ้โหนกนั่นเอง ผมชกมัน แต่มันกลับสู้กับผมด้วยการใช้กรงเล็บจิกและข่วน

“อยู่ดีๆเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะไอ้อู” เพื่อนๆพากันรุมถาม

“...” ผมไม่ตอบ เอาแต่นั่งนิ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี


<ผมถูกเพื่อนๆลากกลับไปสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะของตนเอง ตอนนั้นเอง ผมเริ่มรู้สึกแสบตามแขนและคอ จึงก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง พบว่ากระดุมเสื้อหลุดหายไปบางบางเม็ด นอกจากนี้ ทั้งลำคอและแขนยังเต็มไปด้วยรอยแผล>

13 comments:

Anonymous said...

ลุงอู โหตอนนี้อินสุดสุดเลยละ สงสารทั้ง3คนเลยนะ ช่ายเลยตอนชกกันกระดุมหลุด กระเป่าเสื้ออขาดเหมียนกัลเลย ลุงอูเล่าเนี่ยนึกภาพออกเลย สุดยอดด

Anonymous said...

โอ้ยเครียดแทนเลย วันน้เอาที่1 2 เลยละกัน ลุงอูส่งตอนพิเศษมาแก้ด่วนเลย เอาเป็นตอนแอบดู กกนใ ก็กางเกงพละมันสีขาวนิ เคยรึเปล่า หุหุ

Anonymous said...

จุดหักเหอยู่ที่นี่เอง

Anonymous said...

ตอนนั้น ถ้าเรารู้ได้ ก้อคงหาวิธี ที่จะทำให้เพื่อนเลิกล้อเรา กับเรื่องแบบนี้ อย่างถ้าเป็น อู ก็เจอกันเฉพาะ ไปกลับ ตอนขึ้นรถเมล์ก็พอ ไม่ต้องมานั่งกินข้าวด้วยกันทุกๆวัน
ตอนผมอยู่ม.ปลาย (ม.5) ก็เคยมีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ คือ ผมจะกลับบ้านกับเพื่อนที่มีรถมอเตอร์ไซด์คนนึงอยู่ทุกวัน ผมก็เลยพยายาม ตอบแทนมันด้วย การช่วยซื้อข้าวให้ (ตังค์เพื่อนและผมก็ชอบเพื่อนจริงๆ อยากทำให้) เพื่อนๆก็จะแซว เบาๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นแฟน แต่ผมตอนนั้น ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร พอมาตอนปีใหม่ของม.6 ใกล้ จบก็มีเพื่อนคนนึงแซว แรงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ เบื่อกันแล้ว ของผมหลวมแล้ว ไม่ค่อยกลับด้วยกันเลย
ผมถึงเข้าใจ...

Anonymous said...

นี่ละมั้ง ที่เป็นเหตุให้นัยถึงห่างกันออกไป

Anonymous said...

มาแล้วครับอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ดีมาก ต่อยมันไปเลยแรงๆ พวกปากหอยปากปู

Anonymous said...

ครับ จุดหักเหมันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องโหนกนี่เอง

โหนกยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ คอยอ่านตอนต่อไปครับ

Anonymous said...

ไม่อยากจะคิดต่อ
หวังว่ามันคงไม่เศร้าน่ะ
ตามอ่านตั้งนาน
^^sky^^

Anonymous said...

ดีมากครับอู สะใจดีครับที่ตอบโต้โหนกได้แบบนั้น เป็นผมก้อคงทำแบบเดียวกันกับอูครับ ผมเป็นคนที่มีความอดทนน้อยครับ แต่ก้อสงสารนัยครับ เห็นว่าเงียบไปไม่รู้ว่านัยจะคิดยังไง ยิ่งอ่านยิ่งเครียดครับเครียดกว่าการเมืองไทยซะอีกครับ
กร ครับ

Anonymous said...

ไปเที่ยว เที่ยว มา 8 วัน กลับมาได้อ่านทีเดียว 3 ตอนเลย อีตุ๊ดโหนกใช้เล็บจิกและข่วนแสดงว่ามันเป็นกะเทย น่าจับมันมาลงแขกอัดตูดให้กลวงโบ๋เลย

Anonymous said...

หุึหุ ผมนี่เพิ่งมาอ่าน ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาอ่านตั้งเเต่ภาคเเรกรวดเดียวถึงภาคนี้เลยครับ
บอกได้เลยว่าเรื่องราวของมิตรภาพนั้นซึ้งมากครับ
(นี่เป็นเม้นเเรกของผมด้วย)
ยังไงก็รีบต่อตอนต่อไปนะครับ กำลังติดตามอ่านอยู่
สงสารทั้งนัยและชัชด้วย หุหุ (เเต่ก็สงสารอูเหมือนกันนะ)
ยังไงก็รีบๆมาต่อนะครับ

Anonymous said...

ชอบตอนนี้ที่สุดเลยครับ

ดูเหมือนอูจะมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

แถมเล่นบทโหดได้ไม่เลวเหมือนกัน

ชอบครับ ๆๆ



ไอซ์