Tuesday, December 9, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 42

ที่ผ่านมา แม้เพื่อนที่สนิทสนมกับโหนกบางคนจะรู้ว่าที่บ้านโหนกมีฐานะดี แต่เพื่อนส่วนใหญ่ในห้องจะไม่รู้กัน เพราะว่าโหนกไม่ได้ทำตัวเด่นอะไร แต่การที่โหนกเอาดิสก์แมนราคาแพงมาอวด ทำให้โหนกกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆในทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมมาถึงโรงเรียนเช้าตามปกติ เมื่อมาแล้วก็นั่งเล่นอยู่ในห้องเรียน เพื่อนๆก็ทยอยกันมา

เมื่อเพื่อนมากันเยอะขึ้น เรื่องที่คุยกันก็เริ่มหลากหลาย บางคนก็อดพูดถึงดิสก์แมนและฐานะความเป็นอยู่ของโหนกไม่ได้

“บ้านแม่งรวยฉิบหาย มันนั่งรถเบนซ์มาโรงเรียน ที่คนขับรถมารับส่งทุกวัน” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น

“มึงรู้ได้ไงว่าเป็นคนขับรถ ไม่ใช่พ่อมันขับ” อีกคนหนึ่งถาม

“ก็บางวันพ่อมันก็นั่งมาด้วยข้างหลังน่ะสิ” เพื่อนคนแรกเฉลย

“โห แม่งโคตรคุณหนูเลย” ไอ้อ้วนวิจารณ์

วันนั้นกลุ่มของไอ้อ้วนก็นั่งคุยเรื่องนี้ด้วย วงที่คุยกันนี้ก็นั่งอยู่ข้างหน้าผมไม่กี่โต๊ะเอง ส่วนผมนั่งทำการบ้านที่ยังค้างอยู่ ไม่ได้เข้าไปร่วมวง สาเหตุก็เพราะไม่ค่อยชอบคุยกับกลุ่มไอ้อ้วนเท่าไร มีแต่เรื่องปากเสียทั้งนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ได้ยินเรื่องที่พวกเพื่อนๆคุยกัน

พอใกล้เวลาแปดโมง โหนกก็เดินเข้ามาในห้อง ไอ้อ้วนก็เริ่มตั้งกองแซวทันที

“อ๊ะๆ คุณหนูมาแล้ว” อ้วนพูดเสียงดัง

โหนกไม่สนใจ คงนึกว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตนเอง

“เฮอะๆ คุณหนูทำเป็นไม่ได้ยินวุ้ย ต่อไปต้องเรียกคุณหนูโหนกแล้วล่ะ เรียกโหนกเฉยๆไม่ได้ ฮิฮิ” อ้วนแซวอย่างสนุกสนาน พวกเพื่อนๆในแก๊งก็ส่งเสียงเฮฮารับมุข

“มึงว่าใครคุณหนูวะ” โหนกหันมาพูดกับอ้วนด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ก็ใครล่ะ ที่ทำตัวเป็นคุณหนู มีคนรถขับรถเบนซ์มารับมาส่งทุกวัน” อ้วนพูดลอยหน้าลอยตา

“ใครบอกมึงวะ” โหนกถาม

“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ คุณหนู...” ไอ้อ้วนลากหางเสียงยาวแบบล้อเลียน “นี่คุณหนูเคยนั่งรถเมล์บ้างไหมครับเนี่ย”

“ไอ้ห่า กูจะนั่งอะไรมาไม่ต้องมาเสือก” โหนกสวนกลับด้วยความโกรธ

หลังจากนั้นก็เป็นการต่อปากต่อคำระหว่างกลุ่มไอ้อ้วนกับโหนก แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ พวกไอ้อ้วนปากเยอะกว่า ในที่สุด โหนกก็ต่อปากต่อคำสู้ไม่ได้ และเงียบไปเอง กลุ่มไอ้อ้วนเมื่อแซวจนสนุกหนำใจแล้วก็หยุดแซว

พักเที่ยงวันนั้น เมื่อผมเลิกเรียน ไอ้นัยยังไม่ลงมา ผมจึงเดินขึ้นตึกเพื่อไปรอมันที่หน้าห้อง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆเดินไปทางโรงอาหาร

“เดี๋ยวก่อน ไอ้อู” มีเสียงเรียก พร้อมทั้งมีมือมาจับหัวไหล่ของผมเอาไว้

โหนกนั่นเอง

“มึงทำยังงี้หมายความว่าไง” โหนกถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“ทำยังไงวะ” ผมงง

“เรื่องที่ไอ้อ้วนมันล้อกูเมื่อเช้า มึงเป็นคนเอาไปพูดใช่ไหม” โหนกพูดเกือบเป็นเสียงตะคอก

“อะไรกันวะ ทำไมมาหาเรื่องกันแบบนี้” ผมงงกับข้อกล่าวหาแบบกะทันหันของโหนกจนตั้งตัวไม่ถูก “กูไม่เกี่ยว”

“มึงไม่เกี่ยวแล้วหมาตัวไหนเอาไปพูด มีแต่มึงที่รู้ว่ากูมีคนขับรถมารับส่ง” โหนกไม่ยอมเชื่อ พยายามคาดคั้นอีก

วันก่อนมันเพิ่งบอกผมว่าที่บ้านมันมีคนขับรถ นี่ถ้าผมไม่พูดแล้วใครจะพูด ถึงมีปากก็ยากจะแก้ตัวจริงๆ

“เอ้อ... กูจะไปรู้ได้ไง ที่บ้านมึงมารับส่งมึงที่โรงเรียน มันจะไม่มีคนอื่นเห็นเลยหรือยังไงวะ” ผมพยายามแก้ข้อกล่าวหาเท่าที่จะนึกหาเหตุผลได้

“มึงไม่ต้องมาแก้ตัว ไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า ทำแล้วไม่กล้ารับ”

“กูบอกว่ากูไม่ได้พูด ถ้ามึงไม่เชื่อก็ตามใจ” ผมพูดตัดบท ว่าแล้วก็รีบเดินหนีไป เพราะว่าตรงที่เรายืนคุยกันอยู่นั้นเป็นบันได มีนักเรียนเดินผ่านไปมามากมาย ทะเลาะกันตรงนั้นมันน่าอาย ผมทั้งโมโห ทั้งอายคนอื่น ไม่รู้จะทำยังไงดีจึงต้องรีบเดินหนี

โหนกเมื่อเห็นผมเดินหนี มันก็ไม่ตามมา ผมนึกโล่งใจ อย่างน้อยก็หนีปัญหามาได้ชั่วขณะ ซวยจริงๆเลย

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้นัยฟังตอนที่เรากินอาหารเที่ยงกัน ไอ้นัยฟังแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ

“เอาไงดีวะ” ผมพูดเปรยๆ พร้อมถอนหายใจ

“นั่นน่ะดิ” ไอ้นัยถอนหายใจออกมาเช่นกัน

“ซวยฉิบหายเลยกู” ผมบ่น

“นั่นน่ะดิ” ไอ้นัยเห็นด้วย

“นี่มึงพูดเป็นแค่นี้เองเหรอ” ผมดุมัน

“นั่นน่ะดิ เอ๊ย ก็กูคิดไม่ออกนี่หว่า” ไอ้นัยตีหน้าตาย

ผมอดหัวเราะไม่ได้ ในเวลาที่ไม่สบายใจ การได้อยู่กับไอ้นัยช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้นได้

หลังจากวันนั้นมา โหนกก็ไม่ได้นั่งกินอาหารเที่ยงร่วมกับผมและไอ้นัยอีก รวมทั้งมันยังไม่พูดกับผมอีกด้วย ผมถือว่าผมไม่ผิด ดังนั้นเมื่อมันไม่พูดด้วย ผมก็จึงไม่พูดกับมัน รวมทั้งไม่ไปง้อด้วย ใจหนึ่งก็รู้สึกหนักใจ ที่ต้องเป็นแพะรับบาปกับความผิดที่ผมไม่ได้ก่อขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดี เพราะคิดว่าสามารถตัดไอ้โหนกออกไปจากชีวิตได้

- - -

หลังจากที่ผมทะเลาะกับโหนกครั้งล่าสุด ตอนนั้นเป็นตอนปลายสัปดาห์ หลังจากหยุดเสาร์อาทิตย์ไปสองวัน ผมก็ลืมความขุ่นข้องต่างๆไปจนหมด

วันจันทร์ถัดมา เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ไอ้นัยก็มารอผมที่หน้าห้องเรียนตามปกติ ที่จริงมันก็ไม่ได้มารอที่หน้าห้องพอดีหรอก แต่มันจะหลบไปรอห่างจากห้องออกไปหน่อย พอมันเดินผ่านหน้าห้องผมก็จะรู้ว่ามันมารอแล้ว

“ตุ๊ดตู่ อยู่ในรูไม้ไผ่...” เสียงไอ้อ้วนพูดลอยลมเมื่อผมเดินผ่าน แต่ผมไม่ได้สนใจ

ใกล้บ่ายโมง หลังจากที่ผมกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้งเพื่อรอเรียนวิชาในตอนบ่าย เมื่อผมเดินผ่านไอ้อ้วน ก็ได้ยินเสียงมันร้องเป็นเพลงลอยๆอีก

“ตุ๊ดตู่เอย อยู่ในรูไม้ไผ่ เห็นคนเดินไป เรียกให้กินหมาก ตุ๊ดตู่เพื่อนยาก กินหมากด้วยกัน เป็นคนอยู่ดีๆ อยากกินขี้เป็นตุ๊ดตู่ ตุ๊ดๆๆๆๆๆตู่”

ถ้อยคำหลังๆของมันฟังเสียงแล้วกำกวม ไม่รู้ว่ามันพูดว่าตุ๊ดตู่หรือตุ๊ดอูกันแน่ เพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันหัวเราะกันกิ๊กกั๊ก

ผมชักเอะใจ ตอนนั้นรู้สึกใจระทึก มือเย็นไปหมด มีความรู้สึกเหมือนกับว่าทำผิดและกำลังจะถูกจับได้ ยังไงยังงั้นเลย ไอ้อ้วนมันพูดถึงใครกัน?

วันถัดมา เมื่อถึงตอนก่อนเที่ยง ผมเหลือบตาไปที่ประตูก็เห็นไอ้นัยเดินผ่านหน้าห้องมาพอดี

“พระเชษฐา คู่ตุนาหงันมารอแล้ว” วีกิจพูดพลางอมยิ้ม

ผมรู้สึกหน้าชา นี่มันเป็นอะไรของมันวะเนี่ย ความโกรธคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่เนื่องจากผมยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจึงนิ่งเอาไว้ก่อน


<ในอดีต อาคารที่อยู่ระหว่างสยามเซ็นเตอร์กับวัดปทุมวนารามก็คือโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล (Siam Intercontinental Hotel) โรงแรมหรูอันเก่าแก่แห่งนี้ถูกรื้อไปและกลายมาเป็นห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนในปัจจุบันแทน

ภาพบนสุด โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลในยุคที่ยังเปิดทำการ
ภาพที่สองจากบน โรงแรมแห่งนี้ถูกรื้อไปในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๕
ภาพที่สาม จากบน พื้นที่โรมแรมเดิมได้กลายมาเป็นห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนในปัจจุบัน
ภาพที่สี่ จากบน สยามพารากอนในปัจจุบัน สวนที่เห็นอยู่ด้านหน้าในภาพนี้ คือส่วนหนึ่งของวัดปทุมวนาราม>

10 comments:

Anonymous said...

ที่1 ก้าบ ขอบคุนลุงอูค้าบ ลุงอูปีใหม่ขอตอนพิเศษได้ป่าว หุหุ

Anonymous said...

หวัดดีครับอู
ไม่อยากคิดเลยว่าจุดเปลี่ยนของอูกับนัยก็คือการโดนล้อของพวกเพื่อนๆคิดแล้วเศร้าจัง!!

กู๋

Anonymous said...

เด็กเชียงใหม่คนเดิม รู้แล้วที่ว่าจุดเปลี่ยนของอูกับนัย ก็มาจากอีโหนกนั้นเอง ชั่วจริงๆ!
อย่าบอกนะว่าเรื่องครั้งนี้ทำให้อูกับนัยเลิกคบกันไปเลย ยังไงก็เอาใจช่วยให้เขียนจบเรื่อง แล้วจะคอยติดตามอ่านไปเรื่อยๆ ขอบคุณมากที่ช่วงนี้ลงพิมพ์ถิ่ๆอ่านแล้วติดต่อกันดี

Anonymous said...

อ่านถึงตรงนี้จนต้องขอออกมาคอมเม้นท์ซะหน่อย เหมือนตัวเองในตอน ม.1 เหมือนกัน

ความที่ตอนนั้นเรียบร้อย ไม่กล้า ขี้ขลาด เลยโดนล้อว่าเป็นตุ๊ด แบบเนี๊ยะ แล้วคนหัวเราะกันเยอะ คนล้อมันก็ยิ่งได้ใจ ยิ่งล้อหนักขึ้น เสียงหัวเราะดังขึ้น เราก็ไม่กล้าเถียงกล้าด่ากลับไป ตอนนั้นหน้าร้อนวูบๆมือเย็นขาสั่น ตอนเช้าก่อนมาเรียนเป็นไข้นิดหน่อย ร้อนหนาววูบๆสลับกัน จนเป็นลมล้มไปเลย จังหวะได้ยินเสียงอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องเข้าไปโฮมรูมชั่วโมงแรกของวันพอดี จากนั้นก็นอนยาวไปตื่นเที่ยงที่ห้องพยาบาล

กลับมาเรียนช่วงบ่าย เพื่อนก็ลากไปเล่าเรื่องเมื่อเช้าว่า ทั้งกลุ่มที่แซวโดนหวดก้นไปคนละ2-3ป้าบ แล้วทั้งห้องก็โดนอบรมอย่างรุนแรง ทำนองว่าพวกเดียวกันยังกัดกันเอง เห็นเพื่อนแย่แทนที่จะช่วยกันห้าม กลับนิ่งเฉยเห็นเพื่อนเป็นตัวตลก ใช้ได้ที่ไหน ต่อไปจะสู้ใครเขาได้ ทั้งห้องยังไม่มีความรักสามัคคีกันเลย หลังจากวันนั้นก็ได้ผลครับ ไม่มีใครล้อเรื่องตุ๊ดอีกเลย แต่มันก็เหมือนผมมึนตึงกับกลุ่มหัวโจกของห้องกันไป

Anonymous said...

โอ๊ะอาอูมาลงตอนใหม่แล้ว!!

หลาน Arus ของอาอู ที่ไข้ขึ้น

Joice said...

ตอนนี้น่าติดตามจัง

แบงค์

Anonymous said...

ช่วงนี้ที่พยายามโพสต์เร็วหน่อย เพราะว่าเวลาที่เกิดในเรื่องก็เป็นช่วงเดือนนี้นั่นเอง อากาศก็ประมาณนี้ เขียนไปแล้วก็ได้บรรยากาศเก่าๆ เพียงแค่ต่างปี พ.ศ. กันเท่านั้นเอง

ตอนเด็กๆไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไร แต่พอโตแล้วก็ต้องมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบต่อปากท้องของตัวเอง คิดแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กเหมือนกัน สบายกว่ากันเยอะเลย

ช่วงนี้หุ้นขึ้น แต่ดูแล้วคงขึ้นได้เพียงไม่กี่เดือน แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น อย่าย่ามใจไป โดยเฉพาะคนที่คิดซื้อกองทุน LTF, RMF ที่ลงทุนในกองหุ้น ต้องคิดหน้าคิดหลังดีๆนะครับ ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะวันก่อนเจอเพื่อน ลงทุนใน LTF กองหุ้น ตอนนี้เศร้าไปเลย

ติดตามอ่าน อย่าเพิ่งทิ้งกันนะครับ

Anonymous said...

ตอนพิเศษนี่หมายความว่าอะไรครับ พิเศษยังไง ช่วยขยายความหน่อย จะได้เอาใจได้ถูก

Anonymous said...

เห่อ ๆ
ถือซะว่า เป็นผลข้างเคียง
จากการทำอะไรและมีอะไรกับนัย
มายาวนานก็แล้วกันน่ะ

จงตั้งหน้าตั้งตารับผลกรรมนี้ไปน่ะ
แต่ก็ขอให้ผ่านพ้นมันไปด้วยดีแล้วน่ะ

เพราะถ้ามองย้อนกลับไป
มันก็เป็นความทรงจำหนึ่งที่ทำให้เรายิ้มได้

T100

Anonymous said...

เพิ่งรู้นะครับว่าโหนก เป็นตัวการที่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างอูกับนัย ต้องเปลี่ยนไป คิดแล้วรู้สึกเกลียดไอ้โหนกมากๆ ถ้าเป็นตอนนี้จะไปท้าต่อยมันถึงหน้าโรงเรียนเลยว่าดิ
กร