Tuesday, April 30, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 72


ป้อมหายตัวไปสักครู่ จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับทำสีหน้าแบบสำนึกผิด

“มาแล้วพี่อู เรียนต่อได้เลย” ป้อมพูดเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

“แล้วจะมีอย่างนี้อีกไหมเนี่ย” ผมถาม

“คงไม่มีแล้วมั้ง พี่อู” ป้อมตอบไม่เต็มเสียงอีก

“คงไม่มี..” ผมทวนคำ “แปลว่าอาจจะมีอีกละสิ”

“ก็... ก็... ก็...” ป้อมพยายามนึกหาคำพูด แต่ก็นึกไม่ออก จึงได้แต่ติดอ่าง

“เมื่อกี้ป้อมบอกว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มด้วยเหรอ” ผมถาม เมื่อสักครู่ตอนที่ป้อมพูดผมก็ฟังโดยไม่คิดอะไร มานึกเฉลียวใจเอาตอนนี้

“ใช่แล้วพี่อู” ป้อมตอบ

“เมื่อก่อนป้อมขี้อายจะตาย แล้วทำไมตอนนี้กลายมาเป็นหัวหน้ากลุ่มได้” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ป้อมยังเล่าให้ผมฟังว่าตอนอยู่ในห้องเรียนเป็นคนที่พูดน้อย และมีเพื่อนที่สนิทกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“ก็ ไม่รู้สิ เพื่อนๆมันให้ป้อมเป็น ป้อมก็เป็นน่ะ” ป้อมตอบ

บางทีป้อมอาจจะโดนเพื่อนๆแกล้งก็ได้ เลยเอาตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มมาโยนให้เสียเลย ผมคิดในใจ จากนั้นผมก็ดุป้อมไปอีกนิดหน่อย จากนั้นจึงเริ่มสอนต่อไป โชคดีทีหลังจากนั้นจนเกือบเที่ยงก็ไม่มีโทรศัพท์มาถึงป้อมอีกเลย

“เฮ้อ จบเสียที” ผมแกล้งถอนหายใจเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นมา เมื่อเราเรียนเนื้อหาของวันนั้นจบลง ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้ว

“โอ๊ย ป้อมเมื่อยไปหมด” ป้อมสลัดมือพลางบ่น เมื่อเห็นท่านี้ก็เป็นอันรู้กัน ผมรีบนวดมือให้ป้อมเช่นเคย

“พี่เมื่อยยิ่งกว่าเสียอีก สอนจนเหนื่อยแล้วยังต้องมาบริการนวดให้คุณชายอีก” ผมพูด หยุดไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ “แล้วบ่ายนี้เราไปไหนกันดี”

ป้อมนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วพูดอึกอักอีก

“บ่ายนี้ป้อมมีนัดกับเพื่อนๆแล้ว”

“อ้อ” ผมพูดได้เพียงแค่นั้น รู้สึกจ๋อยสนิท “งั้นก็ไม่เป็นไร แล้วพรุ่งนี้ล่ะ”

“ป้อมมีนัดทำรายงานกับเพื่อนๆทั้งสองวันเลยพี่อู อยากจะรีบทำให้มันเสร็จไป เพราะยังมีงานวิชาอื่นรออยู่อีก”

“เพิ่งเปิดเทอมงานก็เยอะเลยนะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ที่จริงคงเรียกว่าเป็นน้ำเสียงเซ็งๆมากกว่า ตอนนี้คิดไม่ออกว่าอารมณ์ควรอยู่ในโหมดไหนดี โกรธ น้อยใจ เซ็ง หรือว่าผิดหวัง ฯลฯ แต่ถึงจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ผมไม่ควรโวยวายใส่ป้อมเพราะเรื่องนี้ มันผิดที่ผมโง่เอง...

หลังเที่ยงวันนั้น ผมกับป้อมเดินออกจากบ้านมาด้วยกัน ตลอดทางเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยแม้ว่าป้อมจะพยายามชวนผมคุยก็ตาม และเมื่อถึงปากซอย ผมกับป้อมก็แยกทางกัน ป้อมเดินทางไปพบเพื่อนตามนัด ส่วนผมนั้นเดินทางกลับบ้าน

ระหว่างทางที่กลับบ้าน สมองของผมครุ่นคิดวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ตามเหตุผลแล้วเหตุการณ์ในวันนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทำไมผมจึงรู้สึกจริงจังกับมันมากก็ไม่รู้

-    -

กลางเดือนมิถุนายน

ผมเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่ได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว ตอนที่มาอยู่ใหม่ๆก็ลำบากอยู่บ้างตรงที่ต้องจัดของซึ่งเป็นการรื้อของออกจากกล่องมาจัดวาง ซึ่งผมต้องทำคนเดียวเพราะว่าอยู่คนเดียว มีกล่องอยู่สิบกว่าใบ ตอนที่เริ่มจัดของนั้นมันเหมือนกับว่าทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ แต่เมื่อทำไปได้สักพัก อะไรๆก็ค่อยดูเข้าที่เข้าทางขึ้น ที่เคยคิดว่าทำเท่าไรก็ไม่เสร็จก็พอมีเค้าความสำเร็จให้เห็น

ตอนที่เข้ามาอยู่ใหม่นั้นผมเข้าไปทักทาย ทำความรู้จัก และฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันและในบริเวณใกล้เคียงจนหมด เพราะว่าแม่สั่งเอาไว้ว่าผมเป็นคนที่เข้าไปอยู่ใหม่ แถมยังเป็นเด็กกว่า ดังนั้นต้องมีสัมมาคารวะ เข้าไปฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนบ้าน แม่ให้ความสำคัญกับเพื่อนบ้านมาก เพราะหากมีปัญหากับเพื่อนบ้านจะทำให้ไม่มีความสุขไปตลอด เท่าที่ได้คุยกัน ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านติดกันและบ้านตรงข้าม อัธยาศัยใช้ได้ทีเดียว ส่วนเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดออกไปนั้นบางรายก็คุยดี บางรายก็ไม่ค่อยเจรจาพาทีเท่าไร เพื่อนบ้านทั้งหมดนี้อยู่เป็นครอบครัวกันทั้งนั้น มีแต่ผมเท่านั้นที่พักอาศัยเพียงคนเดียว และดูเหมือนว่าจะมีอายุน้อยที่สุดในละแวกนั้นด้วย

ส่วนที่มหาวิทยาลัย ตอนนี้ผมเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม ถือว่าเป็นพี่กลางของแผนก มีหน้าที่ต้องคอยดูแลน้องแผนกซึ่งก็คือนักศึกษาชั้นปีที่สองที่เพิ่งเข้าแผนก น้องแผนกของผมในปีนี้มีนักศึกษาชายน้อยกว่านักศึกษาหญิง แต่ก็เป็นรุ่นที่มีสีสันไม่ใช่น้อย เพราะว่ามีอยู่คู่หนึ่งที่เป็นแฟนกัน แล้วเลือกแผนกเดียวกันเพื่อจะได้เรียนด้วยกัน ไปไหนมาไหนก็เดินจูงมือกันหวานแหวว ดูน่ารักดี ส่วนรุ่นของผมนั้นก็มีคู่หวานอยู่สองคู่ คือคบเป็นตัวเป็นตนคูหนึ่ง ที่ว่าเป็นตัวเป็นตนหมายถึงว่าคบกันโดยเปิดเผย เพื่อนๆรู้กันหมด ส่วนที่เป็นคู่หวานแต่ยังไม่เป็นทางการก็คือคู่ของพิมพ์กับพี่อี๊ดหนุ่มเมโทร พิมพ์ชอบพี่อี๊ดอย่างออกนอกหน้า ไม่ว่าพี่อี๊ดไปไหนพิมพ์ก็ไปด้วย แต่สำหรับพี่อี๊ดนั้นแม้ว่าจะเออออกับพิมพ์ด้วยดี แต่พวกเพื่อนๆก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าพี่อี๊ดชอบพิมพ์หรือว่ายังสลัดพิมพ์ไม่หลุดกันแน่

นอกจากการเรียนแล้วกิจกรรมในแผนกที่ผมเรียนอยู่ก็เริ่มมีมากขึ้น เพราะว่าปกติชั้นปีที่สามถือว่าเป็นชั้นปีที่ต้องรับภาระดูแลเรื่องกิจกรรมต่างๆของแผนก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิจกรรมรับน้องของแผนก กิจกรรมตามเทศกาลต่างๆ เช่น การไหว้ครู การทำหนังสือรุ่นของแผนก การจัดนิทรรศการทางวิชาการ ฯลฯ แม้ว่าจะมีชั้นปีที่สูงกว่า คือพี่ปีสี่กับพี่ปริญญาโทก็ตาม แต่ชั้นปีที่รับผิดชอบเป็นหลักคือชั้นปีที่สาม ดังนั้นชีวิตของผมส่วนใหญ่จึงวนเวียนอยู่ที่ห้องเรียน ห้องพักแผนก และห้องชมรม ส่วนโต๊ะกลุ่มนั้นแทบไม่ได้เข้าไปเลย

เรื่องการย้ายบ้านนั้น เพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครรู้เนื่องจากผมไม่ได้เล่า ที่จริงตอนที่ผมพักอยู่หอพักก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน สรุปก็คือเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีใครรู้ชีวิตส่วนตัวของผมนัก ฟังดูเหมือนกับว่าผมไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัย ที่จริงไม่ใช่ เพื่อนที่ชมมรมกับเพื่อนที่แผนกส่วนใหญ่ก็สนิทกันดี เพียงแต่ปกติไม่ค่อยมีใครคุยเรื่องที่บ้านของตนเองกัน จะว่าไปแล้วคนที่รู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของผมมากที่สุดกลับเป็นป้อม ไม่ใช่เพื่อนๆ เพราะป้อมรู้จักผมทั้งชีวิตในมหาวิทยาลัยและชีวิตที่บ้าน

ตั้งแต่ป้อมเปิดเรียน ผมรู้สึกว่าป้อมห่างเหินจากผมไป ในช่วงปิดเทอมผมกับป้อมแทบตัวติดกัน เหมือนกับว่าทั้งโลกใบนี้มีเพียงเราสองคนเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้... ป้อมมีเวลาให้แก่ผมน้อยมาก วันหยุดเสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับป้อมเพียงในช่วงที่ผมสอนป้อมเท่านั้น เวลาที่นอกเหนือจากนั้นป้อมมักมีนัดกับเพื่อนๆ ปีนี้เท่าที่ฟังจากที่ป้อมเล่า ดูเหมือนว่าป้อมจะป๊อบในหมู่เพื่อนฝูงมากขึ้น และดูป้อมเองก็มีความสุขที่เข้ากับเพื่อนๆได้

ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าป้อมห่างเหินจากผมจริงๆหรือเปล่าหรือว่าผมคิดไปเอง แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกเช่นนั้น และความรู้สึกนี้ทำให้ผมถึงกับเคว้ง ตอนค่ำของทุกวันผมแทบไม่เป็นอันทำอะไร นั่งคอยแต่โทรศัพท์ของป้อม และสุดท้ายก็มีแต่ความว่างเปล่า จนในที่สุดหลายๆวันผมก็โทรไปหาป้อมเสียทีหนึ่ง พยายามชวนป้อมไปโน่นไปนี่ในวันหยุด บางทีป้อมก็ว่างและไปกับผมบ้าง แต่ส่วนใหญ่ป้อมไม่ค่อยว่าง...

คนที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัวอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องเพียงแค่นี้ทำให้ผมถึงกับเคว้งได้เพียงนี้ แต่เรื่องของอารมณ์และความรู้สึกเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากจริงๆ แม้แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง และไม่รู้ว่าเมื่อไรตนเองจะหลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้ไปได้

-    - -

ปลายเดือนมิถุนายน

วันเสาร์นั้นฝนตกตั้งแต่เช้า แถวบ้านผมตกแรงเอาการ รออยู่นานฝนก็ไม่หยุดสักที ผมเริ่มลังเลว่าจะไปสอนป้อมดีหรือว่าจะโทรไปบอกเลื่อนสอนดี ในที่สุดผมก็กดโทรศัพท์ต่อไปยังบ้านของป้อม

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งรับสาย

“ฮัลโหล คุณชาย นี่พี่เอง” ผมพูด

“โทรมาแต่เช้าเชียว” ป้อมพูดอย่างร่าเริง “โทรมาก็ดีแล้ว เช้านี้ซื้อหนมมาฝากป้อมด้วย”

“พี่จะโทรมาบอกว่าขอเลื่อนไปสอนวันพรุ่งนี้ต่างหาก” ผมพูด “ตอนนี้ที่บ้านพี่ฝนตกหนัก รอตั้งนานก็ยังไม่ซา”

“อ้าว เหรอ พรุ่งนี้ป้อมไม่อยู่บ้านน่ะสิ” ป้อมพูด

“มีนัดกับเพื่อน...” ผมพูดต่อให้

“ช่าย...” ป้อมรับ

“แล้วป้อมก็ไม่อยากเลื่อนนัดกับเพื่อนเพราะว่านัดกันหลายคน ป้อมไม่อยากเป็นตัวปัญหาของเพื่อนๆ” ผมพูดต่อให้อีก

“ช่าย... เอ๊ะ พี่อูนี่รู้ใจป้อมจัง” ป้อมหัวเราะขำ “ถ้าพี่อูมาลำบาก เสาร์นี้งดไปก่อนดีไหมฮะ เสาร์หน้าพี่อูค่อยสอน”

ผมอึ้ง รู้สึกหงุดหงิดใจที่ป้อมเห็นการนัดกับเพื่อนสำคัญกว่าการเรียน แต่ก็พูดไม่ออก ครั้นจะงดสอน หัวใจของผมก็เรียกร้องที่จะพบหน้าป้อม...

“งั้นไม่เป็นไร อีกสักเดี๋ยวฝนคงซา... แล้วพี่จะรีบไป” ผมตอบ

-    - -

ผมต้องฝ่าฝนเพื่อเดินทางไปบ้านของป้อม วันนั้นฝนแรงจนร่มที่ติดไปด้วยแทบไม่ช่วยอะไรเลย แค่เดินจากบ้านออกมาปากซอยก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว หลังจากนั้นผมก็นั่งแท็กซี่ไปบ้านป้อมเพื่อความรวดเร็ว ผมไปถึงบ้านของป้อมในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน พร้อมกับจ่ายค่าแท็กซี่ประมาณหนึ่งร้อยบาท ในยุคนั้นเป็นยุคที่เริ่มใช้แท็กซี่มิเตอร์แล้ว ค่าโดยสารจ่ายตามมิเตอร์ ไม่ต้องมัวต่อรองราคากันอีก

“โฮะ พี่อูไปตกน้ำที่ไหนมา” ป้อมพูดหลังจากที่เปิดประตูบ้านและเห็นผมในสภาพเปียกมอมแมม

“ไม่ได้ตกน้ำที่ไหน ตากฝนมานี่แหละ” ผมตอบ

“แล้วทำไมไม่มาสอนเสาร์หน้าละฮะ” ป้อมถาม สีหน้าดูเป็นห่วง ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาวูบหนึ่ง อย่างน้อยป้อมก็ยังห่วงใยผมอยู่

“ก็ไม่อยากงดสอนน่ะสิ” ผมตอบ “กลัวป้อมหยุดแล้วขี้เกียจ”

“พี่อูเปียกยังงี้เดี๋ยวก็เป็นหวัด เอาชุดของป้อมไปใส่ก่อนละกัน แล้วชุดของพี่อูเอาไปผึ่งให้แห้งก่อน” ป้อมเสนอ

ในที่สุดผมก็เอาชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของป้อมมาใส่ เนื่องจากป้อมตัวเล็กกว่าผม จึงเหมือนกับว่าผมใส่เสื้อผ้าเด็กอยู่ ทั้งคับ ทั้งสั้น แต่ก็แห้งและอบอุ่นดี เมื่อป้อมเห็นผมในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นของป้อม ป้อมถึงกับหัวเราะ

“พี่อูใส่ชุดนี้ไปแสดงตลกคาเฟ่ได้เลย” ป้อมขำ

“หยุดพูดเลย” ผมพูด

“แน้ ป้อมจะพูด มีอะไรมั้ย” ป้อมท้า

ผมหยิกแก้มของป้อมทีหนึ่ง

“นี่แน่ะ พูดมากนัก”

ป้อมป่องแก้มอีกข้างหนึ่ง

“หยิกข้างนี้ด้วย จะได้สมดุล”

“บ๊อง” ผมหัวเราะ พลางหยิกแก้มป่องอีกข้างหนึ่ง

การแสดงออกของป้อมในวันนั้นเรียกความรู้สึกดีๆระหว่างเราสองคนให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ชุดของป้อมที่ผมสวมใส่อยู่ก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น... อบอุ่นที่หัวใจ

ตอนเที่ยง เมื่อผมสอนป้อมเสร็จ ผมก็ชวนป้อม

“บ่ายนี้ป้อมว่างไหม” ผมถาม เดี๋ยวนี้ไม่กล้าชวนตรงๆแล้ว ต้องถามเสียก่อนว่าว่างหรือเปล่า เพื่อกันความหน้าแตก

“เอ้อ...” ป้อมอึกอัก

“บ่ายนี้ป้อมมีนัดกับเพื่อน” ผมพูดต่อให้

วันนี้ดูเหมือนว่าผมจะพูดอะไรแทนป้อมก็พูดถูกไปหมด ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะว่าป้อมพยักหน้ารับ

“ไม่เป็นไร” ผมพูด ไม่อยากถามให้มากความ แต่ก็อดบ่นไม่ได้ “หมู่นี้ป้อมไม่ค่อยมีเวลาให้พี่เลยนะ”

พูดแล้วก็นึกเสียใจที่หลุดปากออกไป เพราะมาคิดดูแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไปเรียกร้องให้ป้อมจัดเวลาให้

“เอาไว้วันหลังเราค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะพี่อู” ป้อมพยายามพูดปลอบใจผม

เสื้อผ้าของผมแห้งดีแล้วเพราะว่าป้อมให้แม่บ้านช่วยรีดให้เพื่อให้แห้งเร็วขึ้น ผมจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้าน นึกถึงเมื่อเช้าที่พยายามฝ่าฝนมาสอน ถ้าเป็นคนอื่นก็คงของดสอนไปแล้ว ผมนี่บ้าสิ้นดีที่พยายามจะมา แต่สุดท้ายก็กลับบ้านด้วยความว่างเปล่า...

-    - -

กลางเดือนกรกฎาคม

หลังจากที่ผมกลับมาจากการสอนป้อมในวันนั้น ผมก็มานั่งรอโทรศัพท์ทุกคืนอย่างไม่อาจหักห้ามใจตนเองอีกเช่นเคย ที่ว่าประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเดิมนั้นกลายเป็นความจริงสำหรับผม เพราะเมื่อมานึกดูแล้ว เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนี้มาครั้งหนึ่ง อาการคล้ายๆกันเลย คือนั่งคอยโทรศัพท์ลมๆแล้งๆทุกวัน เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครกัน เมื่อก่อนเป็นบอย วันนี้เป็นป้อม...

การมาอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์คนเดียวช่วยเสริมบรรยากาศให้ผมฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น เวลากลางคืนหลังส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากนอนคิดฟุ้งซ่าน คิดแต่เรื่องของป้อม ความคิดถึงนั้นกัดกร่อนจิตใจได้รุนแรงจริงๆ ผมเริ่มเบื่อหน่ายการเรียน การบ้านจากวิชาเรียนต่างๆนั้นผมทำไม่ไหวเลย งานเริ่มค้างสะสมเป็นดินพอกหางหมู ผมเริ่มขอเพื่อนลอกการบ้านและรายงานเพื่อส่งอาจารย์ การเรียนของผมเริ่มสะดุด

“นี่ นายอู เธอเป็นอะไรของเธอ ขอลอกการบ้านอีกแล้ว” เพื่อนสาวถาม

“ช่วยหน่อยน่า พอดีช่วงนี้ที่บ้านยุ่งๆ ช่วยให้เราเอาตัวรอดไปสักพักหนึ่งนะ” ผมอ้อน

เพื่อนที่แผนกของผมใจดี มักให้ผมลอกการบ้านเสมอ แต่ผมก็รู้ดีว่าผมคงพึ่งเพื่อนได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น นานไปเพื่อนๆก็คงเอือมระอาผมเช่นกัน แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าตอนกลางคืนนั้นผมทำงานอะไรไม่ไหวจริงๆ มันเบื่อไปหมด ได้แต่นอนคิดฟุ้งซ่านอย่างเดียว

จำได้ว่าตอนที่บอยเริ่มห่างเหินจากผม ผมเคว้งคว้างอยู่นานทีเดียว ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะไม่ยอมเคว้งแบบนั้นอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้... ผมกลับมาติดกับดักอารมณ์ของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ผมจมอยู่กับความทุกข์ของความคิดถึงและความผิดหวัง

ยามกลางคืน ผมได้แต่คิด... คิด... และคิด... ผมอยากหลุดพ้นจากความทุกข์จากการคะนึงหาที่เป็นอยู่นี้ ผมไม่อยากให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม... ผมไม่อยากเสียการเรียนและเกาะเพื่อนเรียนเหมือนเมื่อก่อนอีก...

และแล้ว ในที่สุด...

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งน่ารักรับสาย ผมได้ยินแล้วหัวใจที่พยายามทำให้เข้มแข็งก็อ่อนลงมา

“ฮัลโหล คุณชาย” ผมทักทาย “เป็นไงบ้าง”

“กำลังทำการบ้านอยู่ฮะ ดีจังที่พี่อูโทรมา คิดถึงพี่อูอยู่พอดี” ป้อมออดอ้อน

“พอติดการบ้านก็คิดถึงพี่ละสิ” ผมรู้ทัน

“ช่าย... เอ๊ย ม่ายช่าย...” ป้อมทำเสียงน่ารัก

เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของป้อมทำให้ผมใจอ่อน ความตั้งใจที่มีอยู่สลายไปแทบหมดสิ้น

“วันนี้พี่มีเรื่องจะบอกป้อมน่ะ” ผมพูด พยายามควบคุมสติ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำลายกาตัดสินใจ

“พี่อูมีอะไรจะบอกเหรอ” ป้อมสงสัย

“คือ... พี่จะบอกป้อมว่า... ต่อไปพี่คงไม่ได้มาสอนป้อมแล้วนะ” ผมพูด ประโยคสั้นๆเพียงเท่านี้ แต่ผมต้องใช้เวลาเตรียมตัว และต้องใช้กำลังใจอย่างมาก เมื่อพูดจบ ผมก็ใจหายวูบ นี่ผมพูดอะไรออกไป...

23 comments:

BEAUNRKONT said...

มารออ่านครับผม ^^

Anonymous said...

รอเช่นกันครับ เข้ามาเห็นชื่อตอน แต่ไม่เห็นเนื้อหา ไว้จะเข้ามาอีกทีตอนเช้าครับ :)

ทอป

supermansk said...

รออ่าน ครับ

Anonymous said...

ปูเสื่อนอนรอนะคับ ^^

U Nakrub said...

มาแล้วครับ

ในที่สุดเดือนเมษาก็มีโพสต์หนึ่งตอน กว่าจะได้ก็แทบแย่ เขียนค้างไว้ครึ่งตอน แล้วก็ติดงานยาว โชคดีที่วันที่ ๑ หยุด เลยนั่งพิมพ์จนสว่างคาตาเลย

ขอไปนอนก่อนละครับ ง่วงแล้ว

พี said...

ความรู้สึกแบบนี้ผมเป็นบ่อยๆ ครับ

สำหรับคนที่ยังไม่มีคู่เป็นตัวเป็นตนก็แบบนี้ล่ะ

ให้กำลังใจอูในเรื่องต่อไป

และให้กำลัง คุณอู คนเขียนเรื่องให้มีกำลังใจที่ดีต่อๆไป

สุขสันต์วันแรงงาน

*** PEE ***

Unknown said...

อาการแบบนี้ ก็เคยเป็นเหมือนกัน
แต่ไม่บ่อยนะ มันเป็นตอนที่เจอใครที่ชอบ
แต่ไม่เคยบอกความจริงที่มีอยู่ในใจ
เฝ้าที่รอๆ แล้วก็รอ จนมันจบไปเอง
โดยไม่ได้บอกความในใจ เศร้านะ

อูเจอรอบสอง หรือว่า รอบที่เท่าไรนี้
มาดูว่า ป้อมกับบอย คนไหนจะร้ายกว่ากัน
เฝ้ารอตอนต่อไป

ขอบคุณครับ
กัน

Anonymous said...

ทิ้งท้ายได้บีบหัวใจยิ่งนัก
Federick

Unknown said...

มาคอยอ่านเหมือนกันครับ ^^

kunggoodboy said...

โอ้ยยย อ่านแล้วบีบหัวใจอ่ะ เล่นทิ้งท้ายไว้ยังงี้เครียดนะเนี้ยพี่อู รีบเขียนตอนต่อไปด่วนๆเลยนะพี่อู 55555
พักผ่อนเยอะๆ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
กุ้ง

Anonymous said...

ใจเด็ดแท้..นายอูเอ๋ย!!
เอาใจช่วยและคอยลุ้นอยู่นะคะ..ว่าจะรอดรึป่าว งิงิ

คนลาดพร้าว

มะขามดอง said...

บทส่งท้ายตอนนี่กระชากอารมณ์สุด ๆ เลยครับ
คิดจะหักดิบความรู้สึกตัวเอง แต่พอพูดออกไปก็มานึกเสียใจในคำพูดของตัวเอง เอาไงละทีนี้นายอู.....
สวัสดีครับคุณอา สู้ตายเลยนะครับเนี่ยะ สว่างคาตาเชียว ช่วงนี้ขามก็นอนพร้อมตะวันทุกวันเหมือนกัน รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ รออ่านตอนต่อไปครับ...

Anonymous said...

บีบคั้นอารมณ์เหลือเกิน
การตัดสินใจในตอนท้าย ครั้งแรกจะคิดว่า
ทำเพื่อให้ตัวเองหยุด และคิดว่าทำเรื่องที่ถูกต้อง
แต่จริง ๆ แล้วอาจจะแค่อารมณ์โกรธ
และพอพูดไปแล้วก็รุ้สึกว่าได้ทำอะไรที่ผิดพลาดไปแล้ว

ไม่มีใครแทนใครได้อยู่แล้ว

นายคนหนึ่ง ไม่มีสอง said...

เย้เย้เย้ อพี่อูมาแล้ว ผมรอตั้งนาน คิดถึงๆ

choo said...

มาเป็นกำลังใจให้อูครับ ชีวิตคือชีวิต ยังคงต้องเดินต่อไปครับ สู้สู้

ชู

นายครับ said...

หวัดดีคับพี่อู เข้ามาอ่านหลายวันแล้วแต่ยังไม่เมนต์ สักที่ รอพี่ชูอยู่ พอเห็นพี่ชูโพส์ก็เลยรีบโพสบ้างเดี๋ยวน้อยหน้าคับ

พี่อูเป็นไงบ้างคับนี่ งานยุ่งๆอยู่ป่าวคับ เนื้อเรื่องตอนนี้ทำเอาใจตุ๊มๆต่อมๆอีกแล้วพี่อู และกะจะหักดิบความรักที่มีกับน้องป้อมจะไหวป่าวคับนี่ ????



























Bomber_Boy said...

คิดถึงพี่อูครับ

Bomber_Boy

Anonymous said...

ไปอ่านมาละสนุกมากอะครับ เเต่ไม่เห็นอาอูกล่าวถึง นัยบ้างเลยไม่รูเป็นไงบ้างละ อิอิ



ตังค์

♥ said...

ทักทายครับ...ทักทาย

kunggoodboy said...

พี่อูเงียบไปอีกแล้ว สงสัยงานจะยุ่ง รอ รอ รอ ต่อไป

Anonymous said...

นายอูหายไปหลายวันเลยคราวนี้
หวังว่าคงไม่ได้เจ็บไข่นะครับ
หวังว่าแค่งานยุ่ง


พรุ่งนี่ไปทำบุญมั่งนะ
อย่าหมกมุ่นกับงานมากไป

Unknown said...

คุณอู
วันนี้ไปทำบุญมาหรือยังครับ

คิดถึงครับ
กัน

อู said...

ไม่ได้เจ็บไข้ และไม่ได้เจ็บไข่ครับ สบายดี แต่ว่ากำลังสะสางงานที่ค้างคาอยู่

งานผมเริ่มลดลงแล้วละครับ แต่ว่าเหลือติดพัน ต้องใช้เวลาหน่อย ต่อไปจะดีขึ้นแล้วครับ (มั้ง)