Monday, March 18, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 70


ดึกแล้ว

สายลมยามดึกบนชั้นดาดฟ้าพัดเย็นสบาย ผมไม่ได้ขึ้นมายืนรับลมบนชั้นดาดฟ้านี้มานานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่านานมาก ชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของผมถือได้ว่าค่อนข้างมีความสุขทีเดียว ดังนั้นจึงไม่มีสาเหตุใดที่จะต้องมายืนปล่อยอารมณ์ครุ่นคิดในยามดึก... แต่ทว่าคืนนี้เป็นข้อยกเว้น

การสนทนากับป้อมเมื่อตอนหัวค่ำทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ทีแรกผมรู้สึกไม่พอใจที่ป้อมขอเลื่อนวันเรียนพิเศษ แต่ก็ต้องยอมตามเพราะมันเหมือนกับเป็นการมัดมือชก จะปฏิเสธคำขอของป้อมก็จะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ไป แต่เมื่อกลับมาที่ห้องแล้วผมกลับรู้สึกหงุดหงิดกลัดกลุ้มไม่คลาย ในที่สุดก็ต้องมายืนชมวิวในความมืดที่ชั้นดาดฟ้าอีก

ชั้นดาดฟ้าในยามดึกมืดมิดเพราะห้องพักที่มีอยู่สองห้องปิดไฟนอนกันหมดแล้ว จำได้ว่าเมื่อก่อนผมชอบมายืนชมวิวยามดึกบนชั้นดาดฟ้าบ่อยๆ พร้อมกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล... ผมชอบบรรยากาศที่มืดมิดและเงียบสงบ ในยามที่ผมว้าวุ่นใจ ที่นี่สามารถช่วยให้ใจของผมสงบลงได้

ในคืนเดือนมืด ที่ดาดฟ้านี้ผมสามารถมองเห็นดาวพราวกระจ่างฟ้า มันเหมือนกับมีสายตาของใครบางคน... คนที่ผมเคยผูกพันด้วยมากที่สุด... กำลังจับจ้องมองมาที่ผม ที่นี่... ที่ที่ผมสามารถปล่อยความคิดและจินตนาการของผมไปได้ไกลแสนไกล... มันเหมือนกับว่าผมสามารถฝากคำคิดถึงไปกับสายลมเพื่อส่งไปถึงคนที่ผมเคยผูกพันด้วยมากที่สุด... ในดินแดนอันไกลโพ้นที่ผมไม่เคยรู้จัก...

แต่ในวันนี้ ในวันที่ชีวิตของผมก็ด้าวเดินไปข้างหน้า ผมก็ได้ทิ้งเรื่องราวและความทรงจำต่างๆเอาไว้เบื้องหลัง... นับวันผมก็ยิ่งก้าวเดินห่างจากอดีตมาเรื่อยๆ ผมจึงไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้ความคิดเงียบๆในยามดึกบนชั้นดาดฟ้านี้อีก และต่อไป ผมก็คงไม่มีโอกาสขึ้นมาบนนี้อีกแล้ว... ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

ผมทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังขอบฟ้าอันแสนไกล อดีตที่ผมพยายามลืมเลือนย้อนกลับมาสู่ห้วงคิดคำนึงของผมอีก...

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าทำไมวันนี้ผมจึงหงุดหงิดกับเรื่องของป้อมได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ตามเหตุผลแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นักเรียนที่เรียนพิเศษด้วยขอเลื่อนวันเรียนสักครั้ง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ทำไมผมจึงรู้สึกไม่พอใจเอามาก ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายใจ...

เสียงลูกบิดประตูและเสียงเปิดประตูดังขึ้นในความมืด จากนั้นประตูห้องของพี่ธิตก็เปิดออกพร้อมกับแสงไฟในห้องที่สาดลอดออกมา จากนั้นก็เดินลงบันไดไป และไม่นานก็กลับขึ้นมาอีก

พี่ธิตคงเดินออกมาเพื่อลงไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อพี่ธิตกลับขึ้นมาและเหลือบเห็นผมเข้า ก็เดินเข้ามาหา

“ไง อู หมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย อยู่หอเดียวกันแท้ๆ” พี่ธิตทักทาย

“ครับพี่ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อยู่ที่หอเลย ออกเช้า กลับค่ำ กลับมาก็หมดแรง เลยไม่ค่อยได้ขึ้นมา” ผมตอบ

“เมื่อก่อนเห็นอูชอบขึ้นมามองดูดาวตอนดึกๆ แล้วก็ไม่ได้ขึ้นมาเสียนานเลย นี่ขึ้นมาดูดาวอีกแล้ว” พี่ธิตตั้งข้อสังเกต แม้ว่าคำพูดของพี่ธิตจะเป็นประโยคบอกเล่า แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือคำถามนั่นเอง

“พี่นี่ช่างสังเกตจัง” ผมชม “ผมชอบขึ้นมาตอนดึกๆ ดูดาวบนนี้แล้วใจสงบดีครับ”

ผมเงียบไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ

“ต่อไปคงไม่ได้ขึ้นมาบนนี้อีกแล้ว... เลยขึ้นมาเสียหน่อย”

ถึงผมจะตอบเลี่ยง ไม่ได้บอกว่าผมมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ แต่ที่ตอบไปก็เป็นความจริง แม้ว่าผมจะไม่มีเรื่องวุ่นวายใจอะไร ถึงอย่างไรก่อนย้ายออกไปจากหอพักนี้ผมก็ต้องขึ้นมาดูดาวบนดาดฟ้านี้สักครั้งอยู่ดี

“ใจหายเหมือนกันนะอู กินเหล้าด้วยกันมาหลายปี สุดท้ายก็ต้องจากกันเสียแล้ว” พี่ธิตพูด

คำพูดของพี่ธิตทำให้ผมอดใจหายวูบไม่ได้เช่นกัน จริงสินะ หลายปีมานี้ ผมมีความทรงจำอยู่ที่นี่มากมายจริงๆ ผมคุ้นชินกับที่นี่จนเหมือนกับเป็นบ้านของผม แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะเป็นเพียงหอพักที่เช่าอาศัยก็ตาม ห้องนอนรกๆ ห้องน้ำรวมต้องต่อคิว วงเหล้าเคล้าเสียงกีตาร์กับเพื่อนๆร่วมหอพัก ฯลฯ แม้ว่าผมจะอาลัยอาวรณ์ที่นี่มากเพียงใด แต่สุดท้าย ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเดินทางต่อไป...

“นั่นสิพี่ ผมเองก็ใจหาย” ผมบอกความในใจออกมา

พวกที่หอพักเพิ่งจะรู้เรื่องที่ผมกำลังจะย้ายออกเพียงไม่นานนัก หลังจากที่ผมบอกคืนห้องแก่พี่พรจึงค่อยบอกกับพี่ธิต น้องปั้น และคนอื่นๆ คนที่อยู่ในกลุ่มของพี่ธิตล้วนแต่พักอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว มาอยู่กันก่อนที่ผมจะย้ายเข้ามาเสียอีก ถือได้ว่าเป็นปิยมิตรที่สนิทสนมและคุ้นเคยกันมานาน

“แต่ก็ดีแล้วล่ะ” พี่ธิตถอนหายใจพลางพูดต่อ “ไม่มีใครอยากอยู่ห้องเช่าไปจนตลอดชีวิตหรอก มีที่ไปก็ต้องไป พี่เองก็เก็บเงินซื้อบ้านอยู่เหมือนกัน แต่คงอีกหลายปีกว่าจะสำเร็จ”

“ผมแค่โชคดีกว่าพี่บ้าง แต่อีกหน่อยพี่ก็ต้องทำสำเร็จจนได้” ผมปลอบใจพี่ธิต ผมรู้ดีว่าคำว่าบ้านมีความหมายมากเพียงใด พี่ธิตเคยเล่าว่าที่ต้องมาอยู่หอพักเช่นนี้ก็เพราะว่ามีภาระต้องส่งเสียทางบ้านอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่พร้อมที่จะผ่อนบ้าน ได้แก่เก็บออมฝากธนาคารเอาไว้ก่อน

“ไม่สู้ก็ต้องสู้ล่ะ” พี่ธิตพูด “ไม่งั้นก็ต้องเช่าหอพักอยู่ไปจนแก่”

“อีกหน่อยผมคงเหงาแย่เลย เพราะว่าพี่ชายยังไม่รู้ว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยเมื่อไร” ผมพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ถ้าเหงาก็แวะมาเยี่ยมพวกเราที่นี่บ้าง” พี่ธิตพูด “มานั่งกินเบียร์กัน”

“ได้เลยพี่” ผมตอบ “ค่ำๆมานั่งกินเบียร์ด้วยคงพอได้ แต่ตีสองตีสามจะมายืนดูดาวบนดาดฟ้าคงไม่ได้แล้ว พี่พรคงไม่ให้เข้ามาแน่”

“จะดูอะไรกันนักหนา ดูที่บ้านใหม่ของอูก็ได้” พี่ธิตหัวเราะ

“มันไม่เหมือนกันหรอกพี่” ผมตอบ “ผมชอบยืนดูดาวที่นี่ มัน... ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง...”

“พี่รู้ว่าอูคงมีเรื่องฝังใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับที่นี่ ถ้าอยากมาดูดาวบนดาดฟ้าอีกก็มาค้างที่ห้องพี่ก็ได้ มาได้ทุกเมื่อ” พี่ธิตพูดพลางเอามือตบไหล่ของผม “ยินดีต้อนรับเสมอ”

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณพี่สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาด้วย...”

“เฮ้ย อู คืนนี้เป็นอะไรไปน่ะ” พี่ธิตแปลกใจ “ดูแปลกๆไป”

“คงรู้สึกใจหายที่ต้องย้ายน่ะครับ” ผมกลบเกลื่อน

“หรือมีเรื่องอย่างอื่น” พี่ธิตพูดดักคอ

“...”

“วัยนี้จะมีอะไร ก็มีแต่เรื่องความรัก ใช่ไหมอู” พี่ธิตพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว “ทะเลาะกับสาวมาละสิ”

ความรัก ทะเลาะกับสาว มันก็ไม่ใช่ ไม่เชิง เพราะว่าผมไม่ได้ชอบสาวที่ไหน แต่ที่ผมชอบกลับเป็นเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง...

“พี่ธิตจะไปนอนก่อนก็ได้ครับ ขอผมอยู่บนนี้อีกเดี๋ยว แล้วก็จะลงไปนอนเหมือนกัน” ผมตอบ

“ถ้าเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ก็แปลว่าใช่” พี่ธิตหัวเราะ “นิสัยเราน่ะไม่เคยเปลี่ยน งั้นพี่ไปนอนก่อนล่ะ”

ว่าแล้วพี่ธิตก็เดินกลับเข้าห้องไป เมื่อไฟในห้องพี่ธิตปิดลง ดาดฟ้าก็กลับไปมืดและสงบเช่นเดิม...

- - -

หลายวันต่อมา เวลาสี่ทุ่ม

ผมนั่งหงุดหงิดวุ่นวายใจอยู่ในห้อง ทำอะไรก็ทำไม่ถูก จะอ่านหนังสือก็อ่านไม่รู้เรื่อง จะนอนก็นอนไม่หลับ ใจจดจ่อรอแต่โทรศัพท์

หลายวันมานี้ป้อมไม่ได้โทรมาหาผมเลย ทุกวันผมนั่งรอโทรศัพท์อยู่ภายในห้องพักตั้งแต่ทุ่มกว่าจนถึงสี่ห้าทุ่ม จะทำอะไรก็ไม่มีสมาธิ แต่สุดท้ายก็เสียเวลาคอยโดยเปล่าประโยชน์ เพราะว่าป้อมไม่ได้โทรมา คืนแล้วคืนเล่าที่ผมนั่งรอโทรศัพท์แบบลมๆแล้งๆอยู่อย่างนี้ วันเวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างโหดร้าย มีแต่คนที่เคยมีประสบการณ์เฝ้ารอแบบนี้จึงจะเข้าใจว่ามันทำให้วุ่นวายใจและฟุ้งซ่านได้มากเพียงใด...

วันอาทิตย์

ในที่สุดก็ถึงวันอาทิตย์ ผมเดินทางไปสอนป้อมด้วยหัวใจที่หงุดหงิด สัปดาห์นั้นเป็นสัปดาห์ที่ผมหงุดหงิดวุ่นวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การรอคอยโทรศัพท์ทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร

“เย้ พี่อู เข้ามาเร้ว” ป้อมชะโงกหน้าออกมาทางประตูเล็กหน้าบ้านภายหลังจากที่ผมกดออด จากนั้นป้อมก็ฉุดมือผมและดึงผมเข้าไปในบ้านอย่างสนิทสนม เมื่อผมได้สัมผัสมืออันอบอุ่นของป้อม ความหงุดหงิดของผมสลายคลายไปจนเกือบหมดสิ้น

“เมื่อวานไปไหนมาล่ะ” ผมถามป้อม แม้จะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงของผมห้วนอยู่บ้าง

“ไปดูหนังแล้วก็กินข้าวกับเพื่อนๆมา” ป้อมตอบอย่างอารมณ์ดี “โอ๊ย หนังโคตรสนุกเลย”

“แล้วคิดจะชวนพี่ดูบ้างไหมเนี่ย” ผมถามแบบทีเล่นทีจริง

“ก็ป้อมดูไปแล้วนี่ ดูซ้ำก็ไม่หนุกแล้ว เอาไว้ไปดูหนังเรื่องอื่นละกันนะพี่อู” ป้อมตอบ

“...”

ผมไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ จึงได้แต่เงียบ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“แล้วบ่ายนี้คุณชายจะทำอะไร” ผมถาม ตั้งใจว่าจะชวนป้อมออกไปหาอะไรแล้วก็ดูหนัง แม้ว่าผมจะรู้สึกหงุดหงิดกับป้อม แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังอยากเจอ อยากคุย และอยากใช้เวลาร่วมกับป้อมอยู่ดี

“บ่ายนี้ป้อมต้องทำการบ้าน” ป้อมตอบ “การบ้านส่งวันจันทร์เป็นตั้งเลย ตอนบ่ายพี่อูอยู่ช่วยป้อมทำการบ้านหน่อยนะฮะ”

“ไม่ออกไปหาอะไรกินกันหน่อยเหรอ” ในที่สุดผมก็อดไม่ได้ต้องบอกความต้องการของผมออกไป

“เมื่อวานป้อมเพิ่งไปเที่ยวมาทั้งวัน วันนี้อยากอยู่บ้านทำการบ้านมากกว่า” ป้อมปฏิเสธ “พี่อูอยู่ช่วยป้อมหน่อย นะพี่อู”

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกอย่างไม่มีเหตุผล ที่จริงมันก็คงมีเหตุผลนั่นแหละ แต่ก็เหมือนกับว่ามันเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก และแม้ว่าผมจะหงุดหงิดเพียงใด ผมก็ยังอยากมีเวลาอยู่ร่วมกับป้อมอยู่ดี ดังนั้นในที่สุดผมจึงรับปากที่จะอยู่ช่วยป้อมทำการบ้านในตอนบ่าย

หลังจากที่เรียนในภาคเช้าเสร็จ เราก็พักกินอาหารกัน จากนั้นช่วงบ่ายผมก็ช่วยป้อมทำการบ้าน การช่วยของผมก็ไม่มีอะไรมาก คืออะไรที่ป้อมทำได้ก็ปล่อยให้ป้อมทำไป ส่วนไหนที่ป้อมทำไม่ได้ผมจึงอธิบายแนวคิดและวิธีการแก้โจทย์ให้ป้อมฟัง การบ้านของป้อมเยอะแต่ไม่ยากนักเพราะเป็นบทต้นๆเนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาต้นเทอมอยู่ ส่วนใหญ่ป้อมทำเองได้ ดังนั้นงานส่วนใหญ่ในตอนบ่ายของผมจึงเป็นเพียงการนั่งเป็นเพื่อนป้อมเท่านั้น

ผมนั่งเหม่อมองดูวงหน้าที่คมคายแจ่มใสของป้อม ป้อมก้มหน้าก้มตาทำการบ้านจึงไม่ได้สังเกตว่าผมกำลังจ้องมองอยู่ ใบหน้าอันคมคายของป้อมยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก น่าหลงใหล ผมมองดูป้อมจนเพลินพร้อมกับคิดฝันไปเรื่อยเปื่อย เมื่อก่อนนี้ ตอนที่ผมมาสอนป้อมใหม่ๆ ป้อมไม่ได้มีเสน่ห์อะไรที่ดึงดูดใจผมเลย แต่พอนานวันเข้า... จนถึงวันนี้ ผมกลับมีความฝันบ้าๆบอๆขึ้นมา... ผมฝันว่าสักวันหนึ่งป้อมจะร่วมเดินบนเส้นทางชีวิตของผม...

“เย้... เสร็จแล้วพี่อู” ป้อมร้องเสียงดังพร้อมกับวางปากกาในมือลง “เขียนจนมือแทบหงิก”

“แค่นี้ทำเป็นบ่น” ผมตื่นจากห้วงคิดคำนึง กลับสู่โลกของความเป็นจริง

“พี่อูนั่งดูเฉยๆจะไปรู้อะไร” ป้อมพูด พลางยื่นมือขวามาที่เบื้องหน้าของผม สลัดมือเบาๆ “เสียวเอ้อ ช่วยหน่อยเร็ว”

ผมคว้ามือป้อมมาบีบนวดเหมือนเช่นเคย มันเป็นมุขขำที่เราชอบเล่นกัน ความน่ารักของป้อมทำให้ความขุ่นข้องหมองใจที่ผมสะสมมาตลอดสัปดาห์สลายไปจนหมดสิ้น มือที่นุ่มเนียนและอบอุ่นของป้อมทำให้จิตใจของผมเตลิดเปิดเปิงไปไกล

“ป้อมทำการบ้านเสร็จแล้ว พี่จะได้กลับเสียที” ผมพูดหลังจากนวดมือให้ป้อมเสร็จ แม้ว่าผมยังไม่อยากกลับแต่ผมก็จำเป็นต้องไป พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต่างๆรออยู่อีกมากมาย  “เสาร์อาทิตย์หน้าพี่คงไม่ได้มาสอนป้อมนะ คงต้องเว้นไปสัปดาห์หนึ่ง”

“อ้าว ทำไมล่ะพี่อู” ป้อมถาม

“พี่จะย้ายแล้ว จะย้ายเข้าบ้านใหม่เสาร์อาทิตย์หน้านี้แหละ” ผมตอบ

“โห ไวจัง” ป้อมอุทาน “บ้านใหม่ตกแต่งเรียบร้อยแล้วเหรอ”

“สัปดาห์นี้คงเก็บงานทุกอย่างได้หมด แล้วเสาร์กับอาทิตย์ก็ย้ายของจากหอพักไปเข้าบ้านใหม่ นี่ก็ใกล้ก็สิ้นเดือนแล้ว ถ้ายังไม่ย้ายก็ต้องจ่ายค่าเช่าอีกเดือน ก็ย้ายเสียเลยดีกว่า” ผมอธิบาย “ป้อมมาช่วยพี่หน่อยสิ”

“ได้เลยพี่อู เดี๋ยวป้อมจะไปช่วยย้ายของ” ป้อมรับปากทันที

“ขอบใจนะป้อม” ผมพูด

- - -

ปลายเดือนพฤษภาคม

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน บ้านใหม่ของผมก็ตกแต่งเรียบร้อย พร้อมที่จะย้ายเข้าอยู่ได้ ที่จริงก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ที่คิดโครงการเอาไว้ใหญ่โตว่าจะทาสีใหม่ จะทำนั่น จะทำนี่ ในที่สุดก็ลดขนาดโครงการลงมาเพราะว่าต้องการประหยัดเงิน กลายเป็นว่าไม่ทาสีใหม่ ใช้ไปตามสภาพที่เป็นอยู่ เพราะว่าค่าทาสีใหม่ทั้งหลังก็หลายหมื่นบาททีเดียว 

นอกจากนี้ เครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านที่เดิมคิดเอาไว้ใหญ่โต จะมีชุดรักแขกสวยๆ จะมีโต๊ะกินอาหารสวยๆ มีโต๊ะทำงานสวยๆ ห้องนอนสวยๆ ฯลฯ สุดท้ายก็ไม่ได้สักอย่าง ตัดลดค่าใช้จ่ายลงมาจนได้เพียงห้องนอนที่มีตู้ โต๊ะ เตียง ราคาปานกลาง ชุดรับแขกก็เป็นโซฟาหนังเทียมหลักพันบาท โต๊ะกินอาหารก็เป็นโต๊ะหกที่นั่งทำด้วยไม้ยางพารา ราคาเป็นหลักพันบาทเช่นกัน ความฝันก็เก็บเอาไว้ฝันตอนกลางคืน ส่วนชีวิตจริงก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมรู้ว่าฐานะทางบ้านคงไม่เอื้ออำนวยให้ผมฟุ่มเฟือยได้ ได้มาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว แม้ว่าพ่อไม่เคยตั้งวงเงินกับผมว่าใช้ได้ไม่เกินเท่าไร รวมทั้งไม่เคยซักถามผมว่าที่ขอไปนั้นเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง แต่ผมก็รู้ดีว่าฐานะทางบ้านมีจำกัด ดังนั้นจึงใช้อย่างประหยัดที่สุด

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็มีแอบหรูบ้างในบางเรื่อง ก็ยอมรับว่าบางอย่างก็อดไม่ได้ที่จะทำตามใจตนเอง อย่างเช่นเรื่องตู้ครัว เห็นตู้บิลต์อินสวยๆก็อยากได้บ้าง รวมทั้งผมยังได้สั่งทำตู้หนังสือไปชุดหนึ่ง เป็นราคาหมื่นกว่าบาท ซึ่งถือว่าแพงในสมัยนั้น ตู้หนังสือสวยๆเป็นความใฝ่ฝันของผมมานานแล้ว บางคนอยากได้รถสวยๆ บางคนอยากได้เสื้อผ้าแบรนด์แพงๆ แต่สำหรับผม ผมอยากได้ตู้หนังสือหรูๆในห้องนอน เดิมทีคิดว่าจะทำเป็นตู้หนังสือบิลต์อินอยู่ในห้องให้เต็มผนังห้องด้านหนึ่งไปเลย แต่ช่างบอกว่ากำแพงห้องนอนของผมนั้นเลื้อยมาก หมายถึงว่าแนวกำแพงไม่ตรง ทำให้ทำตู้บิลต์อินได้ยาก สุดท้ายเลยทำมาเป็นตู้ขนาดกลางสามใบ เอามาเรียงต่อกัน ซึ่งเมื่อวางแล้วก็เข้าชุดกันเหมือนเป็นตู้ใบเดียว ดูสวยทีเดียว

นอกจากนี้ เงินอีกจำนวนหนึ่งก็หมดไปเป็นค่าเครื่องปรับอากาศในห้องนอน ทั้งบ้านติดตั้งเพียงตัวเดียวเพื่อความประหยัด แต่แม้ว่าจะประหยัดอย่างไร เพียงแค่แอร์ ตู้ครัว กับตู้หนังสือ รวมกันก็เกือบแสนบาทเข้าไปแล้ว จึงต้องไปตัดลดด้านอื่นๆจนหมด

“น้องอู รับโทรศัพท์ด้วยค่ะ” เสียงพี่พรดังลั่นออกมาจากอินเตอร์คอมในคืนวันหนึ่ง

ผมรีบวิ่งลงไปรับโทรศัพท์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคอยโทรศัพท์จากป้อมทุกวัน ถึงเวลาค่ำก็ไม่เป็นอันทำอะไร ชะเง้อคอยโทรศัพท์แบบลมๆแล้งๆไปจนดึก ซึ่งป้อมเองตั้งแต่เปิดเรียนก็ไม่ได้โทรมาทุกวันเหมือนเช่นที่เคยทำในช่วงปิดเทอม หลายๆวันจึงจะโทรมาหาผมสักครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล” ผมรับสาย ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนกับต้นไม้ที่ขาดน้ำมาหลายวันแล้วพลันก็มีฝนตกลงมา

“ฮัลโหล พี่อู ทำไรอยู่น่ะ” ป้อมทักทายพร้อมกับถามเสียงงุ้งงิ้ง “ห้ามตอบว่าคุยโทรศัพท์อยู่นะ”

“รู้ทันเชียว... ก็... ตอบว่านั่งทำงานอยู่ละกัน” ผมกวน “หายตัวไปหลายวันไม่โทรมาเลยนะคุณชาย”

“นี่ก็โทรมาแล้วไง” ป้อมหัวเราะทะเล้น

“ที่โทรมานี่มีอะไรพิเศษหรือเปล่า” ผมถาม คำถามนี้ผมถามไปยั้งงั้นเอง ที่จริงทุกครั้งที่ป้อมโทรมาก็เป็นการคุยกันสัพเพเหระ ไม่ได้มีอะไรพิเศษอยู่แล้ว

“ก็...” ป้อมอึกอัก “มีนิดหน่อย”

“มีเรื่องอะไรเหรอ” คำพูดของป้อมทำให้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล

“ก็... วันเสาร์นี้ป้อมคงไปช่วยพี่อูย้ายบ้านไม่ได้...” ป้อมอึกอักอีก

“อ้าว...” ผมอุทาน รู้สึกว่าเสียงอุทานของตนเองกลายเป็นเสียงแหบพร่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“วันเสาร์ป้อมมีนัดทำงานกลุ่มฮะ” ป้อมพูด

“ก็ป้อมรับปากกับพี่แล้ว...” ผมพูด แล้วก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น อยากพูดอะไรให้มากกว่านั้นแต่ก็ยั้งใจเอาไว้

“ขอโทษนะพี่อู” น้ำเสียงของป้อมจ๋อยลง “แต่มันนัดทำงานกลุ่มกัน ทุกคนไปกันหมด ถ้าป้อมไม่ไปก็จะกลายเป็นว่าป้อมไม่ร่วมมือ... แต่วันอาทิตย์ป้อมไปได้นะ ป้อมจะไปช่วยพี่อูเต็มที่เลย... ”



<ร้านขายเครื่องเรือนบนถนนลาดพร้าว ย่านลาดพร้าวตั้งแต่ซอย ๒๕ ไปจนถึงซอย ๓๕ เมื่อก่อนเป็นร้านขายเครื่องเรือนตลอดทั้งช่วง รวมไปจนถึงซอยลาดพร้าวฝั่งตรงข้าม คือฝั่งซอยคู่ ตั้งแต่ซอย ๓๔ ไปจนถึงซอย ๔๒ เฟอร์นิเจอร์ที่ขายในย่านนี้มีทุกระดับ ตั้งแต่เครื่องเรือนสำเร็จรูป โต๊ะเก้าอี้พลาสติกราคาถูก ไปจนถึงงานเครื่องเรือนไม้ระดับหรูหรา ล้วนแล้วแต่หาได้ในย่านนี้ทั้งหมด

กาลเวลาผ่านไป งานช่างฝีมือทำเครื่องเรือนกลายเป็นวิชาชีพที่ไม่มีใครสานต่อแม้ว่าจะเป็นงานที่ทำรายได้สูงก็ตาม การทำเครื่องเรือนในระบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่ ร้านเฟอร์นิเจอร์หลายร้านที่เป็นงานช่างฝีมือก็ต้องปิดตัวไปเพราะหาช่างฝีมือไม่ได้

จนถึงในยุคปัจจุบัน มีคอนโดมีเนียมเกิดขึ้นในย่านนี้หลายสิบโครงการ ร้านเฟอร์นิเจอร์ในย่านนี้จึงยังคงความคึกคักมาได้ตลอดเวลาหลายสิบปี แต่รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน รวมทั้งจำนวนร้านก็มีน้อยลง ร้านเหล่านี้ในปัจจุบันเน้นที่การขายเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่รับมาจากโรงงานเป็นหลัก

ที่เห็นในภาพนี้เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ระหว่างซอยลาดพร้าว ๓๘ กับ ๔๐ ในปัจจุบัน>

20 comments:

Anonymous said...

ตื่นเช้ามาเจอ ตอนที่ 70


แล้วมีความสุขจัง มีความสุขที่ได้อ่าน

kunggoodboy said...

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพด้วยนะคับพี่อู

นายครับ said...

ขอบคุณคับพี่อู....ไปอ่านเรื่อนคับเดี๋ยวมาคุยด้วยน่ะ

คิดถึงคับทุกๆคน พี่นัยเงียบไปอีกล่ะ

Pakest said...

น่าตีป้อมให้ก้นแดงจิงๆ

Unknown said...

ได้อ่านตอนใหม่เร็วขึ้น ตามที่คุณอูสัญญาไว้ ต้องขอบคุณมากครับ

คุณอูรักเด็ก ก็ต้องทำใจมังครับ สองคนแล้วนะครับ

กัน

Anonymous said...

ดีใจที่อาอูชอบน้องป้อม วิ้ววววว
Federick

Anonymous said...

เย่ๆๆ70มาเเล้ว
ขอบคุณอาอูมากนะคราบ



ตังค์

Anonymous said...

ขอบคุณครับที่ได้เขียนเรื่องราวดีๆให้ได้อ่านมาอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงเวลาที่มีความสุขดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วนะครับ แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งชีวิตก็คงค้องดำเนินต่อไปทุกฝ่ายต่างก็มีเหตผลของแต่ละคนครับ

ทอป

Anonymous said...

จากเดิมน้องป้อมค่อนข้างเก็บตัว ค่อนข้างประหม่า ไม่สุงสิงกับใคร
แต่กลายเป็นน้องป้อมมีโลกใหม่ที่สดใสโดยมีพี่อูเป็นคนเปิดประตูจูงมือน้องเดินออกไป..
..ยังไงน้องป้อมเค้าต้องเหลียวกลับมามอง+แคร์พี่อูอยู่บ้างล่ะค่ะ

คนลาดพร้าว

มะขามดอง said...

หลงรักน้องป้อมเต็ม ๆ แล้วล่ะนายอูเอ้ย!!! เฮ้อ...จะซ้ำรอยเดิมหรือเปล่าน้อ เอาใจช่วยนะอู...แม้ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขจะมาไวไปเร็ว แต่มันก็เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่มีคุณค่ากับความรู้สึกของเราเสมอ ^^
สวัสดีคร้าบบบคุณอาแล้วก็สาวกที่น่ารักของคุณอาด้วยนะคับ ขามดีใจจังได้อ่านตอนนี้ คุณอาคงสบายดีนะคับ?? >__< ขามเองก็เรื่อยๆ ตามสภาพอากาศ (@___@)
ระยะนี้อากาศพิลึก ๆ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคับ คนรอบตัวขามทะยอยไม่สบายกันทีละคน 2 คน ถนอมสุขภาพกันนะคับผม เป็นกำลังให้คุณอาต่อไปนะคับ
ปล.. เมื่อไรจะแวะมาที่ร้านขามสักทีค้าบบ

Anonymous said...

อ่านแล้วหน่วง ขออย่าให้เป็นแบบเดิมเลยนะ สมหวังบ้างไรบ้างก็ได้ครับพี่อู เริ่มดราม่าอีกแล้ว TT^TT

Choo said...

อู อยู่ในวังวนซะแล้ว รีบออกมาด่วน

ชู

Anonymous said...

ตอนนี้มันหน่วง ๆ น่ะครับ

Anonymous said...

ู^
^
tl000

supermansk said...

ขอบคุณครับที่แ่ต่งต่อ อย่าลืมร่ำลาป๋องด้วยนะครับ

Anonymous said...

รู้สึกอึดอัดยังไงก้อไม่รู้

ขอให้อย่าต้องผิดหวังเลยนะครับ

...OaH...

♥ said...

เข้าใจความรู้สึกของอูในเรื่องเลย...*3*

Bomber_Boy said...

เป็นกำลังใจให้พี่อูนะครับ เศร้าจัง ไ้ม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย

Bomber_Boy

Bomber_Boy said...

เป็นกำลังใจให้พี่อูนะครับ เศร้าจัง ไ้ม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย

Bomber_Boy

พี said...

ขอบคุณคร้าบ....สำหรับตอนที่ 70

ความสุข มันมักจะมาพร้อมกับความเคร้าเสมอ


เพียงแต่ เราจะได้เจอกับมัน ตอนไหนบ้างและนานแค่ไหน

ขอเพียงเรา...หักห้ามใจตัวเองไว้บ้าง คิดไว้ล่วงหน้าบ้าง เมื่อถึงเวลา จะได้ยอมรับมันได้ง่าย และจมอยู่กับมันให้น้อยลง

*** PEE ***