Monday, November 21, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 53

บ่ายวันเสาร์ ที่วัดสระเกษ

หลังจากที่ผมสอนพิเศษป้อมเสร็จก็รีบเดินทางมาที่ห้างมาบุญครองตามที่ได้นัดกับจุ๋มเอาไว้ เมื่อพบจุ๋มแล้วเราก็นั่งรถเมล์สาย ๔๗ โดยขึ้นที่ฝั่งมาบุญครอง เพื่อไปยังงานภูเขาทองที่วัดสระเกษ

เมื่อเราไปถึงที่บริเวณงานเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ บรรยากาศร้อนอบอ้าว ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แม้จะยังไม่ถึงช่วงกลางคืนแต่คนที่มาเที่ยวงานก็คึกคักพอสมควร คงเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อีกทั้งเป็นวันลอยกระทงด้วย

“โห คนเยอะแยะ ยังกับงานวัดเลย” จุ๋มอุทานเมื่อต้องเบียดฝ่าผู้คนตั้งแต่ที่ป้ายรถเมล์ไปจนถึงหน้าทางเข้างาน

“ก็งานวัดน่ะสิ” ผมหัวเราะ จุ๋มก็พลอยหัวเราะขำไปด้วย

เราสองคนเดินเข้าไปในงานภูเขาทอง บรรยากาศภายในงานภูเขาทองในวันลอยกระทงแปลกตาออกไปจากที่เคยมาครั้งก่อน เมื่อสามปีก่อนผมมาตอนค่ำ ผู้คนคึกคัก อากาศไม่ถึงกับร้อนอบอ้าว แต่ครั้งนี้มาตอนกลางวัน ผู้คนแม้คึกคักแต่ก็ยังไม่มากเท่ากับตอนกลางคืน อีกทั้งบรรยากาศค่อนข้างอบอ้าว

“ของขายเยอะแยะไปหมดเลย” จุ๋มอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อได้เห็นร้านรวงที่มีของขายมากมายหลายร้อยร้านเรียงรายตลอดทางเดิน

จุ๋มเดินเบียดผู้คน ดูร้านนั้นร้านนี้ด้วยความสนใจ ผมเหม่อมองดูจุ๋มที่กำลังสาละวนกับการดูของ เมื่อครั้งก่อนที่ผมมาเที่ยวงานภูเขาทอง บอยตื่นเต้นกับบรรยากาศแบบงานวัดเช่นกัน ส่วนใหญ่บอยดูร้านขายของกินในขณะที่จุ๋มมักเลือกดูร้านที่ขายของจุกจิกน่ารัก ตัวงานออกร้านแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแต่ความรู้สึกของผมกลับแตกต่างออกไปจากการมาในครั้งก่อน

ป่านนี้ไอ้บอยกำลังทำอะไรอยู่นะ ผมรำพึงอยู่ในใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกหม่นหมองไปวูบหนึ่ง ที่จริงไม่ควรชวนจุ๋มมาที่งานภูเขาทองนี่เลย มาแล้วรู้สึกแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ที่ตัดสินใจชวนมาเพราะรู้สึกเห็นใจจุ๋ม ภาระในครอบครัวคงทำให้จุ๋มมีช่วงเวลาที่สนุกสนานรื่นเริงอยู่น้อย เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือผมรู้จักที่เที่ยวไม่มากนัก ไม่มาที่นี่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะไปที่ไหนดี

“จุ๋มไม่ซื้ออะไรเลยเหรอ เห็นแวะดูโน่นดูนี่ตั้งนาน สุดท้ายก็เดินออกมา” ผมถามจุ๋มหลังจากที่เราเดินในงานไปได้สักพักหนึ่ง อดแปลกใจไม่ได้ที่จุ๋มไม่ได้ซื้ออะไรเลย

“ไม่ซื้อหรอกพี่อู รกบ้าน แค่นี้ก็เก็บกวาดไม่ไหวอยู่แล้ว” จุ๋มส่ายหน้า “แค่ดูก็พอแล้ว”

เราเดินดูของไปอีกสักพักก็ผ่านแผงที่ขายไหมสวรรค์ ของโปรดในวัยเด็กของผม ครั้งก่อนที่มางานนี้ผมแวะซื้อไหมสวรรค์มากินกับบอย บอยชอบกินขนม มันเดินซื้อขนมไปเรื่อยๆขณะที่ผมคอยเดินจ่ายเงินตามหลังมัน แต่ไหมสวรรค์นี้เป็นของหวานที่ผมเลือกซื้อเอง ซื้อแล้วก็มาแบ่งกันกินกับบอย

“พี่อูคอยเดี๋ยวนะ” ได้ยินจุ๋มเรียก จากนั้นจุ๋มก็เดินไปที่แผงที่ขายไหมสวรรค์

ผมเห็นจุ๋มซื้อไหมสวรรค์ อดคิดไม่ได้ว่าเห็นจุ๋มเดินดูแต่ของสวยๆงามๆแต่ไม่ซื้ออะไร สุดท้ายกลายเป็นซื้อขนมหวาน พร้อมกับรู้สึกแปลกใจที่จุ๋มก็ชอบของกินขนมเด็กๆเช่นเดียวกับผม

จุ๋มเดินกลับมาพร้อมกับส่งไหมสวรรค์ในมือให้แก่ผม

“อะ จุ๋มเลี้ยงพี่อู” จุ๋มพูด

“จุ๋มอยากกินก็กินสิ จะมาให้พี่ทำไม” ผมตอบ

“นี่จุ๋มซื้อให้พี่อู รู้ว่าพี่อูชอบกิน” จุ๋มพูด

“จุ๋มรู้ได้ยังไงว่าพี่ชอบกิน” ผมรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของจุ๋ม ที่แท้จุ๋มไม่ได้ชอบกินแต่รู้ว่าผมชอบ ผมจำได้ว่าไม่เคยเล่าให้จุ๋มฟังเลยว่าผมชอบกินไหมสวรรค์

“ก็พี่อูมองไหมสวรรค์ตั้งนาน ไม่รู้ก็แย่แล้ว” จุ๋มตอบพลางหัวเราะ “ไหมสวรรค์นี่จุ๋มเลี้ยงพี่อู ถือเป็นคำขอบคุณที่พาจุ๋มมาเที่ยวงานนี้”

ผมรับไหมสวรรค์มาจากจุ๋มด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก แม้แต่บอยก็ยังไม่รู้ใจผมเช่นนี้ คนที่รู้ใจผมเช่นนี้เคยมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น...

ผมพยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก ผมไม่อยากให้เรื่องในอดีตมาเหนี่ยวรั้งชีวิตของผมไว้

“ขอบคุณมาก แต่กินคนเดียวไม่อร่อย เอามาแบ่งกันกินดีกว่า” ผมพูด พลางกินไหมสวรรค์ไปก้อนหนึ่ง จากนั้นส่งก้านไม้ที่ยังมีไหมสวรรค์เสียบอยู่อีกสองก้อนส่งให้จุ๋ม จุ๋มรับไปและกินอีกก้อนหนึ่ง จากนั้นก็ส่งไม้คืนให้ผม

“ก้อนนี้ให้พี่อู พี่อูชอบก็ให้พี่อูกินเยอะกว่า” จุ๋มพูด “ชิ้นสุดท้ายได้แฟนสวยด้วย”

ผมหัวเราะ ผมรับไหมสวรรค์ก้อนสุดท้ายมากินโดยไม่เกรงใจ

“แล้วถ้าจุ๋มกินก้อนสุดท้ายล่ะ” ผมแกล้งถาม

“ก็ได้แฟนหล่อน่ะสิ” จุ๋มตอบ

“ในเมื่อจุ๋มไม่ได้กินชิ้นสุดท้าย แสดงว่า... ฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะขำ แกล้งทำเสียงล้อเลียน

จุ๋มทำหน้าแบบคิดได้

“อุ๊ย ไม่หล่อก็ไม่เป็นไรหรอกพี่อู จุ๋มทนได้” จุ๋มหัวเราะขำบ้าง

“เคยนั่งชิงช้าสวรรค์ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องสนทนา ผมถามจุ๋มในขณะที่เราเดินผ่านบริเวณที่เป็นเครื่องเล่น ชิงช้าสวรรค์ที่นี่มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็น่าจะเป็นเครื่องเล่นที่มีความสูงมากที่สุดในงาน

“ทำไมจะไม่เคย ตอนเด็กๆเคยไปเล่นชิงช้าสวรรค์ที่เขาดินกับพ่อ” จุ๋มพูด หางเสียงของจุ๋มหม่นไปนิดหนึ่งเมื่อพูดถึงพ่อ

“งั้นไปนั่งเล่นอีกสักครั้งเป็นไง” ผมชวน พลางเดินนำหน้าจุ๋มไปทางชิงช้าสวรรค์ “จะได้ชมวิวจากที่สูงด้วย”

งานภูเขาทองครั้งที่แล้วผมไม่มีโอกาสเล่นชิงช้าสวรรค์เพราะไม่อยากเสียเวลารอคิวเล่น แต่ในครั้งนี้มีคนเล่นไม่มาก สามารถขึ้นไปได้เลย ผมกับจุ๋มจึงจ่ายค่าเล่นและขึ้นไปนั่งในกระเช้า

เพียงครู่เดียวชิงช้าสวรรค์ก็เริ่มเดินเครื่อง กงล้อยักษ์เริ่มหมุน เราเริ่มลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเราลอยขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของกงล้อ จากจุดนั้นเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามเย็นในที่ไกลตาออกไป

“เป็นไงบ้าง คล้ายที่เขาดินบ้างไหม” ผมถาม

จุ๋มพยักหน้า

“ชิงช้าสวรรค์ที่เขาดินสูงกว่านี้ แต่นี่ก็เห็นได้ไกลเหมือนกัน” จุ๋มพูด

“เดี๋ยวขึ้นไปบนภูเขาทองจะเห็นได้ไกลกว่านี้อีก เห็นได้ถึงฝั่งธนฯเลยแหละ” ผมบอก

ที่นั่งของชิงช้าสวรรค์แม้ว่านั่งได้สองคนแต่ก็แคบเล็ก เราจึงต้องนั่งชิดกัน ผมเรียนในโรงเรียนชายล้วนมาโดยตลอด ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยแม้จะมีเพื่อนหญิงและเคยนั่งเรียนเบียดกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งใกล้ชิดกับหญิงสาวแบบสองต่อสองเช่นนี้ กลิ่นแป้งอ่อนๆทำให้ผมรู้สึกใจเต้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมตื่นเต้นอะไร

กงล้อหมุนรอบแล้วรอบเล่า ผมเห็นจุ๋มนั่งเงียบไป สายตาเหม่อเหมือนกับใจลอย ตัวผมเองก็คิดอะไรต่ออะไรเตลิดเปิดเปิง

“ดูวิวเพลินหรือว่าคิดอะไรอยู่” ผมถาม ทำลายความเงียบที่ปกคลุมเราสองคนมาชั่วขณะหนึ่ง

“ชิงช้าสวรรค์นี่ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานะ” จุ๋มพูดช้าๆ “มีขึ้น มีลง มีจุดสูงสุด มีจุดต่ำสุด และก็มีวนเวียนมาซ้ำที่เดิม ไม่ไปถึงไหน”

ผมนั่งนิ่ง ชิงช้าสวรรค์ที่หมุนวนทำให้ผมกำลังคิดเช่นนี้อยู่พอดีเหมือนกัน จุ๋มพูดราวกับมีเวทมนตร์ที่สามารถถ่ายทอดความในใจของผมออกมา

“แต่มันก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวนะ” ผมแย้ง “เพราะว่าเรากำหนดชีวิตของเราเองได้... อย่างน้อยก็ได้ส่วนหนึ่งละ... เราต้องพยายามให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้วนอยู่ที่เดิมอย่างนี้”

ผมจินตนาการถึงภาพห้องนอนทึมๆ คนป่วยแรมปี และหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่ นอกห้องมีหญิงวัยกลางคนจู้จี้ขี้บ่นกับวัยรุ่นชายเกเรกำลังทะเลาะกันอยู่ ชีวิตเช่นนี้คงซ้ำซากอยู่ในสีอันหม่นทึม ที่ผมสามารถทำได้ก็คงเพียงแต่ให้กำลังใจและแต้มสีสันเล็กๆน้อยๆลงในชีวิตของเธอ...

“ฮื่อ มันก็ใช่แหละพี่อู” สาวน้อยพยักหน้าเห็นด้วย แต่น้ำเสียงที่พูดเหมือนกับยังไม่ค่อยแน่ใจนัก “ต้องพยายาม...”

- - -

หลังจากที่ลงจากชิงช้าสวรรค์ เราก็รีบเดินขึ้นบนภูเขาทอง ทิวทัศน์ข้างบนภูเขาทองเห็นได้กว้างไกลกว่าบนชิงช้าสวรรค์มาก แต่เราไม่มีโอกาสชื่นชมได้นานนักเนื่องจากต้องรีบกลับ ผมกับจุ๋มเดินอยู่ในงานภูเขาทองจนถึงประมาณห้าโมงเย็น ตอนขากลับเราก็ยืนรอรถเมล์สาย ๘ อยู่ที่หน้าวัดสระเกษนั่นเอง การจราจรหน้าวัดติดขัด เมื่อรถสาย ๘ มาถึงคนก็ลงจากรถกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รถมีที่นั่งว่างมากมาย

“เป็นไง สนุกไหม” ผมถามจุ๋มขณะที่เราขึ้นรถและนั่งเรียบร้อยแล้ว

“สนุกมากพี่อู” จุ๋มตอบ หากไม่นับช่วงเวลาสองสามช่วงที่จุ๋มเหม่อลอย เวลาส่วนใหญ่จุ๋มก็ดูสนุกสนานจริงๆ “แล้วพี่อูล่ะ”

“สนุกสิ นานๆได้มาเที่ยวงานวัดสักที” ผมตอบ “แต่เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย จุ๋มเลยเดินไม่ทั่วงาน”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่อู แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว” จุ๋มปลอบใจผม “เดินนานๆก็เมื่อย ยังดีที่ขึ้นรถแล้วได้นั่ง ไม่งั้นหากต้องยืนอีกคงเมื่อยตายเลย” จุ๋มหัวเราะ

“เมื่อก่อนพี่นั่งรถเมล์สายนี้ไปกลับทุกวัน ขึ้นรถสายนี้อยู่หลายปีเลย ขากลับมักได้นั่งเพราะขึ้นต้นสาย” ผมอดเล่าเรื่องตอนที่เรียนชั้นมัธยมไม่ได้

“แล้วพี่แกล้งนั่งหลับบ้างหรือเปล่า” จุ๋มถามหน้าตาย

“อะไรนะ” ผมได้ยินไม่ถนัด

“ก็ผู้ชายบางคนชอบแกล้งนั่งหลับ จะได้ไม่ต้องลุกให้คนอื่นนั่งไง” จุ๋มหัวเราะ

“แหะๆ จุ๋มถามอะไรยังงั้น” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองเสียงอ่อยไปหน่อย

“อะอะ ไม่ถามก็ได้ รักษาหน้าพี่อูหน่อย” จุ๋มหัวเราะอีก

“ร้ายนักนะ รู้ยังงี้ไม่พามาเที่ยวหรอก” ผมบ่น

- - -

“โอ๊ย พี่อูสั่งการบ้านเยอะจัง ชั่วโมงเดียวทำไม่หมดหรอก” ป้อมร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้ง ฟังยังไงก็ไม่เหมือนกำลังโวยวาย เพราะเสียงน่ารักดี

วันนั้นผมสอนบทเรียนป้อมเสร็จในตอน ๑๑ โมง จากนั้นให้โจทย์ป้อมไปหลายข้อโดยกำหนดให้เสร็จในตอนเที่ยง ที่ต้องให้เสร็จทันเที่ยงเพราะว่าหากไม่เสร็จผมก็ต้องอยู่คุมป้อมต่อในช่วงบ่ายด้วย

“โอ๊ย” ผมแกล้งโวยกลับบ้าง “น้องป้อมจะอู้ไปถึงไหน ไม่กี่ข้อแค่นี้เอง”

“ฮึ ให้เยอะแยะยังบอกว่าให้ไม่กี่ข้อ สงสัยพี่อูอ่อนคำนวณ” ป้อมย้อนผม

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องทำให้เสร็จภายในเที่ยง” ผมเผด็จการเอาดื้อๆ

“ไม่เอาๆ” ป้อมส่ายหัวดิก “เก็บไว้ทำต่อตอนบ่าย พี่อูก็อยู่เป็นเพื่อนป้อมด้วย”

“ไม่เอา” ผมส่ายหัวบ้าง “ตอนบ่ายพี่จะไปเที่ยว”

“พี่อูจะไปเที่ยวไหน” ป้อมถาม พร้อมกับทำตาโต

“ไม่บอก” ผมตอบ ที่จริงผมพูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดจะไปเที่ยวที่ไหนเลย หากเสร็จจากการสอนป้อมก็คงกลับหอพักไปซักผ้า

“น่า บอกหน่อยน่า” ป้อมอ้อน

“ไม่ได้ไปที่ไหนหรอก” ผมตอบใหม่

“ไม่เชื่อ” ป้อมทำเสียงฮึดฮัด “หลอกอีกแล้ว”

“ไม่ได้ไปไหนจริงๆ เมื่อกี้พี่แกล้งตอบไปยังงั้นเอง” ผมพูด

“จริงนะ” ป้อมคาดคั้น

“จริงดิ” ผมยืนยัน

“ถ้างั้น เพื่อพิสูจน์ความจริง พี่อูอยู่ทำการบ้านเป็นเพื่อนป้อมต่อในตอนบ่ายนะ ถ้าไม่ยอมอยู่แสดงว่าพี่อูโกหกป้อม” ป้อมพูด พลางหัวเราะแบบผู้มีชัย

ผมอึ้ง นึกไม่ถึงว่าจะเสียท่าเด็กมัธยมเช่นป้อม ป้อมพูดหลอกล่อผมจนตกหลุมโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ...” ผมนึกหาวิธีดิ้นขึ้นจากหลุม

“น่า นะ นะ” ป้อมใช้ไม้นวมตามมา “อยู่เป็นเพื่อนป้อมหน่อยนะ ทำคนเดียวแล้วเซ็ง”

“นี่ถ้าเราเข้าห้องสอบพี่มิต้องไปสอบด้วยหรือไง” ผมถาม

“ได้ก็ดีเหมือนกัน” ป้อมพูดพลางทำสีหน้ากวน จากนั้นก็อ้อนต่อ “นะ พี่อู นะ”

“ก็ได้ๆ” ผมยอมแพ้ ในที่สุดก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนป้อมในตอนบ่ายอีกจนได้

เรากินอาหารเที่ยงด้วยกัน ขณะที่กินอยู่ป้อมก็ถามผมว่า

“พี่อู ตกลงพี่อูป่วยเป็นอะไร”

ถามเรื่องนี้อีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรจริงๆ

“เอ่อ...” ผมพูดต่อไม่ออก “ป้อมอย่าเพิ่งซักพี่เลย เอาไว้ถึงเวลาพี่จะบอกป้อมเองนั่นแหละ”

“แล้วทำไมบอกป้อมตอนนี้ไม่ได้ล่ะ” ป้อมพยายามคาดคั้น

“เฮ้อ...” ผมถอนใจ “พี่ไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ เอาไว้เมื่อถึงเวลาพี่จะบอกป้อมน่า อย่าเพิ่งเร่งพี่นักสิ”

“แล้วเมื่อไรจะถึงเวลาล่ะ” ป้อมคาดคั้นต่ออีก

“พี่ก็ยังไม่รู้” ผมส่ายหน้า พลางพูดกับป้อมด้วยท่าทีจริงจัง “คนเราต่างก็มีความลับคับใจ มีความลำบากใจที่ไม่เหมือนกัน... ตอนนี้พี่ลำบากใจที่จะบอกป้อม ป้อมอย่าเพิ่งคาดคั้นได้ไหม”

ป้อมไม่พูดอะไรต่อ แสดงว่ายอมฟังผม แต่ยังมีท่าทีฮึดฮัดนิดหน่อย ป้อมน่ารักตรงที่เป็นเด็กว่าง่ายนี่เอง

หลังจากกินอาหารเสร็จผมก็นั่งเป็นเพื่อนป้อมทำโจทย์คณิตศาสตร์ต่อ ทำไปได้ไม่นาน ป้อมก็หมุนปากกาอีก

“เฮ้อ เบื่อคณิตศาสตร์แล้วพี่อู เรียนอย่างอื่นกันบ้างดีกว่า” ป้อมบ่นพลางวางปากกาในมือลง

“พูดตลกไปได้ พี่มาสอนคณิตศาสตร์ก็ต้องสอนคณิตศาสตร์สิ” ผมตอบ แต่แล้วก็อดถามไม่ได้ “ป้อมอยากเรียนอะไรล่ะ”

“ภาษาอังกฤษก็ได้” ป้อมรีบตอบ “ป้อมได้เกรดไม่ค่อยดี ติวภาษาอังกฤษให้ป้อมบ้างดีกว่า ตอนเช้าเรียนคณิตศาสตร์ก็ได้ แล้วตอนบ่ายก็เรียนภาษาอังกฤษกัน”

ไอเดียบรรเจิดขึ้นมาเชียว ผมคิดในใจ ใครจะไปสอนไหว เหนื่อยตายพอดี

“ไม่ไหว แค่นี้พี่ก็เหนื่อยแล้ว” ผมปฏิเสธ “คุณพ่อป้อมไม่ได้สั่งให้พี่สอนด้วย พี่จะสอนได้ยังไง”

“ทำได้แต่คณิตศาสตร์แล้วภาษาอังกฤษทำไม่ได้ แล้วจะเอ็นทรานซ์เข้าวิศวะได้เหรอ” ป้อมพยายามยกเหตุผลมาโน้มน้าว

“มันก็ใช่” ผมตอบ “ถ้าป้อมอยากเรียนภาษาอังกฤษก็ให้คุณพ่อหาคนมาสอนสิ”

“ไม่เอา ป้อมอยากให้พี่อูสอน” ป้อมเริ่มงอแงอีก

“ม่ายหวาย” ผมลากเสียงยาว พร้อมกับส่ายหน้า

เกรดวิชาภาษาอังกฤษของผมใช้ได้มาตลอด ตอนสอบเอนทรานซ์ก็ทำได้ หากจะติวป้อมก็คิดว่าผมพอทำได้ แต่หากมองในแง่ธุรกิจแล้วเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มที่จะทำ ปกติในการสอนพิเศษ ผู้ที่สอนควรมีนักเรียนหลายๆคนจะได้คุ้มกับการเตรียมสอน เพราะว่าสอนกี่คนก็ใช้เวลาเตรียมการสอนเท่ากัน ผมสอนป้อมเพียงคนเดียว แค่เรื่องเตรียมการสอนคณิตศาสตร์ก็ถือว่าไม่ค่อยคุ้มแล้ว หากยังต้องสอนภาษาอังกฤษด้วยก็จะกลายเป็นสองวิชาแต่มีผู้เรียนคนเดียว ตลอดทั้งสัปดาห์ผมคงไม่เป็นอันทำอะไรเพราะมัวแต่เตรียมการสอน

“พี่อูใจร้าย” ป้อมต่อว่าผมด้วยเสียงแผ่วเบา

ป้อมทำหน้าจ๋อยสนิท ดูป้อมผิดหวังมาก จนผมอดสงสารไม่ได้ เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจู่ๆก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“เอายังงี้” ผมพยายามผ่อนหนักเป็นเบา “ป้อมไปถามคุณพ่อดูก่อนก็แล้วกัน พี่จะสอนอะไรต้องให้คุณพ่ออนุญาตก่อน”

“จริงนะ” ป้อมเปลี่ยนจากจ๋อยเป็นยิ้มออก “ได้ ป้อมจะขอพ่อดู”




<“ชิงช้าสวรรค์นี่ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานะ” จุ๋มพูดช้าๆ “มีขึ้น มีลง มีจุดสูงสุด มีจุดต่ำสุด และก็มีวนเวียนมาซ้ำที่เดิม ไม่ไปถึงไหน”>

19 comments:

yo408 said...

นอนไม่หลับเลยมานั่งเล่นคอม เลยได้อ่านด้วย ชิงที่1.ซะเลย

ชิงช้าสวรรค์ผมก็ชอบนะ แต่พอได้ข่าวเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ระแวง ยิ่งงานวัดแถวบ้าน ขั้วกระเช้าเป็นสนิม ร้องจะลงเลยหล่ะ

กับอีกที ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่ห้างฟิวเจอร์พาร์ค บางแค ความสูงตึก+ความสูงชิงช้า มันเลยสูงมากๆ ต่อมาใจหวิวๆ รู้ตัวเลยว่ากลัวความสูงซะแล้ว แต่ไม่ยอมเสียฟอร์มต่อหน้าหญิง ลงมารีบไปเข้าห้องน้ำ นั่งเหงื่อแตกซิกใจหวิวขาสั่นหมดเลย

นัย said...

อ่านตอนนี้จบ ก็ต้องย้อนกลับไปตอนเก่าๆ ทำให้คิดเรื่องของ เงา
นักร้องจะมีเงาเสียง พวกเสียงเหมือนพุ่มพวง เสียงเหมือนพี่เบิร์ด
แต่ตอนนี้เป็นเงาบอย เงาของเราเองละ

นัย

Anonymous said...

อ่านตอนนี้ได้ทั้งข้อคิดของจุ๋มและความน่ารักของป้อมด้วยครับ (อ่านแล้วอยากมีน้องแบบป้อมสักคน)
Federick

อนุรุทธิ์ บูญทัน said...

นี้เป็นการโพสครั้งแรกของผมครับ ผมติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ ภาค 1 จนตอนนี้ภาค 4 แล้วครับ ผมชอบมากกกกกชอบจนบอกไม่ถูก บางตอนมันก็ทำให้ผมนึกถึงอดีด บางตอนมันก็ทำให้ผมร้องให้ บางตอนมันก็ทำให้ผมดีใจไปกับเค้าด้วย จนตอนนี้ทุกครั้งที่ผมเล่นเน็ตผมก็ต้องเปิดดูทุกครั้งเลยคับ

Unknown said...

เที่ยวงานวัดภูเขาทอง ผมยังไม่เคยไปเลย
ไว้ต้องหาเพื่อนไปมังแล้ว

กัน

มะขามดอง said...

สวัสดีครับคุณอาอู ตอนนี้อ่านแล้วทำให้นึกย้อนไปตอนสมัยยังเรียนอยู่ ผมไปเดินงานกับเพื่อน เราก็เดินดูตามซุ้มต่าง ๆ ที่สนใจมากก็พวกเกมต่าง ๆ ผมกับเพื่อนพากันไปยิงลิง ที่เวลายิงโดนจะมีเสียงออกมา เลยได้ท่าตลก ๆ มาเล่นกันทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่เวลาเจอหน้ากัน
ในมุมมองผมๆ ว่าจุ๋มน่าเป็นเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไปที่ช่างสังเกตและจดจำรายละเอียดและใส่ใจซึ่งส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมีคุณสมบัตินี้แต่คุณอาไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้หญิงเลยไม่ค่อยชินแต่กับป้อมผมว่าอาอูต้องรู้สึกอะไรพิเศษ ๆ กับป้อมขึ้นมาบ้างแล้วล่ะครับเนี่ยะ
ส่วนเรื่องน้ำท่วม ขามหวังว่าคงไม่เจอน้ำฝนมากระหน่ำซ้ำนะครับคุณอาเมื่อวานก็มีตกลงมาแล้วด้วย คงจะผ่านวิกฤตนี้ไปโดยเร็ววันนะครับ

Riverunt said...

บรรยากาศงานวัดจะสนุกเ้ร้าใจ ต้องมีสาวน้อยตกน้ำด้วย แต่ปีนี้ไม่ได้ไปดู เนื่องจากติดน้ำท่วม เสียดายเหมือนกัน อดทำบุญเลย ...

U Nakrub said...

ปีนี้ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวงานภูเขาทองครับ ติดเกาะอยู่ เสียดายเหมือนกัน ว่าจะไปซื้อไหมสวรรค์กับน้ำตาลปั้นมากินเสียหน่อยเลยอดกิน ปีนี้หลาน arus บอกว่าคนน้อย ลาดพร้าวแถวๆที่ผมอยู่น้ำลดหมดแล้วครับ กำลังคิดว่าจะเอากระสอบทรายไปเก็บไว้ที่ไหนดีเพราะว่าไม่มีที่เก็บ

ป้อมพอสนิทกันแล้วกลายเป็นคุณชายขี้อ้อน เรื่องของป้อมยังไม่จบครับ ส่วนจุ๋มถ้าพูดถึงลักษณะแต่ละอย่าง เช่นความช่างสังเกตก็อย่างขามว่า คงคล้ายผู้หญิงทั่วไป หน้าตาก็ธรรมดา แต่หากดูรวมทุกอย่างของความเป็นจุ๋มแล้วจุ๋มก็แตกต่างจากสาวคนอื่นครับ

Anonymous said...

มารายงานตัวค่ะ..
ทรายที่บ้านอู โอนให้คนที่เค้าต้องปรับปรุงสนาม น่าจะโออยู่นะคะ
พี่ชอบนิสัยของจุ๋มจัง น่ารักดีค่ะ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

สวัสดีครับพี่อู งานภูเขาทองเคยไปตอนเด็กมาก ๆ จำเหตุการณ์ต่าง ๆ แทบไม่ได้ พอโตมาก็แทบไม่ได้ไปงานลอยกระทงเลยเพราะไม่ค่อยชอบไปที่ที่มีคนมาก รักษาสุขภาพทุกคนครับ

ทอป

รุ่ง said...

ขอบคุณครับ ต่ออีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เมื่อไหร่จะลงเอยกับป้อมซะที........

มะขามดอง said...

อ่อครับคุณอา ถ้ายังงั้นจุ๋มกับคุณอาก็มีสิทธิ์แอบลุ้นนะสิครับ ^^ ส่วนป้อม ขามลองจินตนาการดู ก็คงเป็นหนุ่มน้อยน่ารักดีนะครับ ขามก็ชอบนะเด็กขี้อ้อนอ่ะ 555555 ชอบกินเด็กอ่าครับ

Anonymous said...

แอบเข้ามาลุ้น น้องป้อมอีกคน
บางเวลา เราคบ ทั้งผู้หญิง กะ น้องชาย 2คนเลย
ก้อ ดีเหมือนกันคับ ไม่เหงาดี สองสไตล์ อิอิ..

เคนตะ

Itti said...

อยากรู้เร็วๆจัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป
ชีวิตนี้ผมไม่เคยติดนิยายหรืออะไรพวกนี้แต่เจอเรื่องนี้แล้วต้องอ่านไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน

Itti said...

ถ้าเป็นไปได้อยากมีแฟน แบบจุ๋มจัง
รู้สึกอยากปกป้องและดูแล

Anonymous said...

ธันวาแล้วน่ะครับ คุณอู ไม่กี่เดือนก็จะเข้าปีที่ 6 แล้ว
ตอน 54 ชักจะรอนานแล้ว
คุณอูเคยบอกว่า ใกล้ปีใหม่เมื่อไหร่
มักจะคิดถึงช่วงเวลา ที่อยู่ โรงเรียนประถม ตอนที่มี อู ชัช นัย (หรือผมจำผิดไม่รู้) นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว
ผมก็เลยคิดถึงนัยจังเลย คนอย่างนัยไม่น่าเป็นคนโชคร้าย ผมก็ไมควรพูดอะไรให้คุณอูคิดมาก
แต่บางทีก็อดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า ถ้าอูไม่รู้จักนัย
ชีวิตนัยจะเดินไปแบบไหนหน้อ

tl000

อู said...

วันหยุดนี้ได้อ่านตอน ๕๔ แน่ครับ ขอโทษด้วยสัปดาห์ที่แล้ววุ่นตลอดเลย

ตอบ t1000 หากนัยไม่รู้จักอู อย่างน้อยในช่วงวัยรุ่นก็คงมีชีวิตที่ดี... เรียนดี มีความสุข มีเพื่อนฝูงมากมาย เป็นที่รักของเพื่อนๆ ตอนเย็นก็ไปเที่ยวจีบสาวโรงเรียนข้างๆ ฯลฯ ครับ คิดว่าคงยังงั้นนะ

มะขามดอง said...

สวัสดีครับคุณอา หายไปนานเลยนะครับตอนที่ 54 ว่าแต่ว่าวันหยุดไหนครับคุณอา ขามชักจะรอไม่ไหวแล้วอ่าครับ t(T_Tt)""
ที่มีคนถามว่า ถ้านัยไม่เจอกับคุณอาจะเป็นยังไง ขามว่าคงไม่ต่างจากเดิมหรอกครับเพราะชะตาชีวิตได้ขีดไว้แล้วอาจจะเร็วหรือช้ากว่าก็เท่านั้นเอง.....

Anonymous said...

เนอะปีนี้คนน้อย
เริ่มคิดว่าเราสองคนก็ตลกดีเนอะ
ที่ตอนนั้นผมชวนอาอูไปงานภูเขาทองน่ะ

หลาน Arus ของอาอู