Tuesday, August 9, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 39




นักศึกษาชั้นปีที่สองแม้ว่าจะเป็นรุ่นพี่ในคณะ แต่ในอีกสถานะหนึ่งก็คือเป็นน้องใหม่ในแผนกของตนเอง ดังนั้นเมื่ออยู่ในแผนก ผมและเพื่อนๆจึงต้องผ่านพิธีกรรมต่างๆในฐานะน้องใหม่ของแผนก อาทิ พิธีรับขวัญน้องแผนก การจับคู่พี่รหัสในแผนกหรือที่เรียกสั้นๆว่าพี่แผนก ต่อจากนั้นก็จะเป็นการรับน้องแผนกซึ่งเป็นงานที่จัดนอกสถานที่

ความเท่อย่างหนึ่งของการที่ได้เข้าแผนกก็คือการมีห้องพักและล็อกเกอร์ส่วนตัว นักศึกษาที่เข้าแผนกแล้วทุกแผนกจะมีห้องพักนักศึกษาอยู่ภายในแผนกของตนเอง เอาไว้ใช้ทำงานและพักผ่อนยามว่างจากชั่วโมงเรียน ห้องพักแผนกนี้ชั้นปีที่สอง สาม และสี่ ใช้ด้วยกัน ภายในห้องจะมีโต๊ะและเก้าอี้ พัดลม ตู้หนังสือ และล็อกเกอร์ส่วนตัวของแต่ละคน ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะหามา

พี่รหัสในแผนกหรือว่าพี่แผนกนั้นมีความสำคัญ เพราะว่าเป็นแหล่งของตำรา ชีต และข้อสอบเก่า ชีตและข้อสอบเก่านี่พวกเราส่วนใหญ่จะได้จากรุ่นพี่คล้ายๆกัน หรือหากมีไม่เท่ากันบ้างก็สามารถยืมไปถ่ายเอกสารกันได้ แต่ความแตกต่างที่สำคัญของพี่แผนกแต่ละคนนั่นก็คือตำรา

ตำราที่ใช้เรียนกันในแผนกส่วนใหญ่เป็นตำราภาษาอังกฤษ ในยุคของผมเป็นอย่างนั้นเนื่องจากตำราภาษาไทยไม่ค่อยมีใครเขียนกัน เมื่อไม่มีให้เรียนก็ต้องพึ่งตำราภาษาอังกฤษ ตำราฝรั่งในยุคนั้นราคาแพงเอาการ เล่มหนึ่งมักจะราคาเกิน ๔๐๐ บาท ซึ่งเงิน ๔๐๐ บาทในยุคนั้นถือว่าไม่น้อย พี่บางคนที่ประหยัดหรือขี้เกียจอ่านหนังสือก็จะซื้อตำราฝรั่งเพียงแค่ในบางวิชาที่จำเป็น บางวิชาก็ไม่ซื้อ และใช้จดหรือใช้ถ่ายเอกสารจากแผ่นใสของอาจารย์เอา ส่วนพี่บางคนที่มีกำลังทรัพย์รวมทั้งขยันอ่านหนังสือก็มักซื้อตำราภาษาอังกฤษไว้หลายวิชา ดังนั้น หากใครได้รุ่นพี่ที่สะสมตำราภาษาอังกฤษเอาไว้มากก็ถือว่าโชคดีไป

นอกจากสภาพการเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลังจากที่เข้าแผนกในชั้นปีที่สอง สภาพสังคมของผมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน... โดยเฉพาะการรับรู้ด้านการใช้ชีวิตและรสนิยมของเพื่อนๆ

ตอนที่อยู่ชั้นปีหนึ่งนั้น เพื่อนสนิทในแก๊งก็มีอยู่เพียงสี่ห้าคน แต่ละคนดูธรรมดา แต่งตัวก็ธรรมดา ข้าวของเครื่องใช้ก็ธรรมดา ของใช้ประจำตัวอย่างแพงก็ได้แก่พวกสมุดและกระเป๋ากบเคโระ คิตตี้หรือตัวการ์ตูนดังอื่นๆของญี่ปุ่น สมุดกระเป๋าพวกนี้แพงกว่าสมุดกระเป๋าธรรมดา ส่วนกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในชมรมนั้นก็มักเป็นหนอนหนังสือ ข้าวของเครื่องใช้ การกินอยู่ก็ง่ายๆ อาหารการกินก็ตามโรงอาหารหรือตามรถเข็นข้างถนน หรืออย่างดีก็ร้านหมงไข่ระเบิดในสามย่าน เมื่อกลุ่มเพื่อนๆเป็นแบบนี้ ดังนั้นการใช้ชีวิตของผมในตอนปีหนึ่งจึงเรียบ ง่าย และธรรมดาไปด้วย คล้ายๆกับสมัยที่เรียนชั้นมัธยม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมมีเพื่อนไม่มากนักด้วยก็ได้ จึงอาจได้เห็นอะไรน้อยเกินไป

แต่เมื่อเข้าแผนกแล้วสภาพการณ์ก็เปลี่ยนไป กับเพื่อนๆในแผนกนั้นการที่เราต้องเรียนด้วยกัน ทำแล็บด้วยกัน ทำรายงานด้วยกัน รวมทั้งใช้เวลาว่างคลุกคลีอยู่ด้วยกันในห้องพักแผนกด้วยกัน ทำให้พวกเราเริ่มสนิทกัน รวมทั้งเริ่มสนิทสนมกับรุ่นพี่ในแผนกด้วย เมื่อสนิทกันก็รับรู้เรื่องราวของเพื่อนๆมากขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดกิจกรรมอย่างอื่นตามมา เช่น การไปเดินห้าง ซื้อของ หรือไปกินอาหารข้างนอกกัน เพื่อนร่วมแผนกของผมนี้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอื่น ที่มาจากกลุ่มสามมีเพียงไม่กี่คน ดังนั้นส่วนใหญ่ตอนอยู่ชั้นปีหนึ่งจึงไม่ได้สนิทกันนัก เพิ่งกลายมาเป็นสนิทกันตอนที่ได้เรียนร่วมแผนกกันนี่เอง แต่ว่านักศึกษาชั้นปีเดียวกันในแผนกมีจำนวนไม่น้อย จะให้สนิทเท่ากันทั้งหมดก็คงยาก ดังนั้นผมจึงมีกลุ่มย่อยที่สนิทกันมากหน่อยอยู่ราวสี่ห้าคน ส่วนใหญ่เกิดจากการจับกลุ่มทำรายงานและทำแล็บร่วมกัน

เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งลอกรายงานกลุ่มของเพื่อนอยู่ภายในห้องพักแผนก ห้องพักแผนกของเรานี้ค่อนข้างดีทีเดียว มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าอีกหลายๆแผนก เช่น มีเตาอบไมโครเวฟไว้อุ่นอาหาร ซึ่งถือว่าทันสมัยมาก ยุคนั้นเป็นยุคแรกๆของเตาอบไมโครเวฟ เพิ่งใช้กันเพียงไม่กี่ปี นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องทำน้ำเย็น มีวิทยุเทปสเตริโอ อันเป็นผลงานที่รุ่นพี่หามาให้ใช้ร่วมกัน

“เฮ้ย น้องๆ เย็นนี้ใครว่างบ้าง พี่อยากกินพิซซ่าว่ะ ไปกินด้วยกันที่เวิลด์เทรด” พี่อี๊ดเดินเข้ามาในห้องพักแผนกพร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้งและส่งเสียงทักทายน้องๆ

พี่อี๊ดเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ฟังชื่ออี๊ดอาจนึกว่าเป็นนักศึกษาหญิง แต่ที่จริงพี่อี๊ดนี้เป็นผู้ชาย พี่อี๊ดมีรูปร่างสูงเพรียว แต่งตัวเนี้ยบ เสื้อเชิ้ตที่ใส่นี่จะต้องมีสัญลักษณ์ลูกศรอยู่ด้วยอันหมายถึงเป็นเชิ้ตแอร์โรว์ กางเกงก็ยี่ห้อเดียวกัน ในยุคนั้นถือว่าเป็นแบรนด์เครื่องแต่งกายราคาแพง

พี่อี๊ดใส่น้ำหอมเป็นประจำ หอมจนบางคนบ่นว่าเวียนหัว เมื่อถามแล้วพบว่าไม่ใช่น้ำหอมกระจอก แต่เป็นน้ำหอมซีเคหรือเคลวินไคลน์ทีเดียว ราคาในสมัยนั้นขวดเล็กๆก็เกือบพันบาทเข้าไปแล้ว ถ้าขวดใหญ่ก็หลายพันบาท นอกจากนี้พี่อี๊ดยังพกกระเป๋าเล็กๆติดตัว ข้างในมีของใช้ส่วนตัวกระจุกกระจิก เช่น โฟมล้างหน้า หวี กับอะไรอย่างอื่นอีกหลายอย่างซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนักว่ามีอะไรบ้างเพราะไม่เคยไปเปิดดู แต่ที่เคยเห็นพี่อี๊ดหยิบออกมาจากกระเป๋าก็คือโฟมล้างหน้ากับหวี พี่อี๊ดไม่มีกิริยาตุ้งติ้งแต่ก็ดูนิ่มๆ อาจกล่าวได้ว่าพี่อี๊ดเป็นหนุ่มสไตล์เมโทรเซ็กชวลในรุ่นบุกเบิกก็คงได้เพราะในยุคนั้นเป็นยุคที่เริ่มมีกระแสเมโทรเซ็กชวลในกรุงเทพฯแล้ว

“เลี้ยงไหมพี่ ถ้าเลี้ยงก็ไป” น้องปีสองที่เป็นผู้หญิงถามกลับ ผู้หญิงกับห้างสรรพสินค้านี่ดูจะเป็นของคู่กัน ห้องพักแผนกตอนนั้นมีนักศึกษาอยู่เพียงสี่ห้าคนเนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว ส่วนใหญ่จะกลับกันไปแล้ว เหลืออยู่แต่เพียงกลุ่มของผมที่นั่งลอกรายงานกันอยู่เท่านั้น

“ออกเองสิ กินเองแล้วจะให้ใครออกเงินให้ล่ะ แต่นั่งรถพี่ไป ไม่ต้องนั่งรถเมล์ไปเอง” พี่อี๊ดตอบ “ไปเป็นเพื่อนพี่กันหน่อย เร็วๆเข้า วันนี้อยากกิน ไปกันหมดนี่แหละ”

พี่อี๊ดขับรถมาเรียนด้วย เป็นรถญี่ปุ่นรุ่นทันสมัย ที่จริงในแผนกทั้งสามชั้นปีตอนนั้นมีคนที่ขับรถมาเรียนอยู่สามสี่คน ชั้นปีที่สองรุ่นผมก็มีคนหนึ่งที่ขับรถมาเรียน

“ไปๆๆ” เพื่อนๆตัดสินใจไปสังสรรค์กับพี่อี๊ด “พี่ขี้เหนียว ออกเองก็ได้ เชอะ” เพื่อนๆพูดพลางปิดสมุดรายงานลง เตรียมตัวกลับ

“เราคงไม่ไปล่ะนะ” ผมพูด

“ทำไมล่ะอู” เพื่อนๆถามพลางคะยั้นคะยอ “ไปกินด้วยกันเถอะน่า”

“ขี้เกียจไป” ผมตอบ ที่จริงไม่ใช่ว่าขี้เกียจ แต่ผมรู้ว่าอาหารพวกนี้ราคาแพงกว่าข้าวแกงจานละ ๑๒ บาทในโรงอาหารหลายเท่า อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่เคยเข้าร้านพิซซ่ามาก่อนด้วย กินไม่เป็น กลัวไปปล่อยไก่ต่อหน้าสาวๆ

“ไม่ต้องเลยไอ้อู” เพื่อนๆตัดบท พลางดึงสมุดไปจากของผมและใส่ลงเป้ให้ “ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย”

“เฮ้ย ไม่เอา ไม่อยากกลับบ้านค่ำ” ผมพูดอีก

“กลับค่ำแล้วหาทางกลับบ้านไม่ถูกหรือไง” เพื่อนๆประชด “บ้านไม่หนีไปไหนหรอกน่า”

“ตังค์ไม่มี” ผมพูดอีก

“เออ ไม่มีเดี๋ยวช่วยออกให้” เพื่อนๆไม่ยอมปล่อยให้ผมกลับ พยายามคะยั้นคะยอ จนในที่สุดผมก็เปลี่ยนใจ คิดว่าลองดูหน่อยก็ดี

“เอา ไปก็ไป” ผมตอบตกลง

พวกเรานั่งเบียดกันไปในรถเก๋งของพี่อี๊ด รถติดช่วงสยามอยู่นานเหมือนกัน แต่ในที่สุดเราก็มาถึงเวิล์เทรดเซ็นเตอร์จนได้

ร้านพิซซ่าในยุคนั้นก็คือร้านพิซซ่าฮัทนั่นเอง ช่วงนั้นเป็นปีที่เครือข่ายร้านอาหารจานด่วนแบบตะวันตกขยายตัวมากเป็นพิเศษโดยสังเกตได้จากจำนวนร้านสาขาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้านอาหารแบบตะวันตกในยุคนั้นเท่าที่จำได้ก็มีโดนัทสองราย คือ ดังกิ้น กับมิสเตอร์โดนัท แนวแฮมเบอร์เกอร์ก็มีแมคโดนัลด์ เบอร์เกอร์คิง นอกจากนั้นก็ยังมีไก่ทอดเคเอฟซี พิซซ่าฮัท ไอศกรีมสเวนเซ่น

ร้านพิซซ่าในยุคนั้นก็เหมือนร้านในยุคนี้ การตกแต่งแม้จะแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็ยังคงถือว่าเป็นแนวเดียวกัน เพื่อนๆหยิบสมุดรายการอาหารขนาดใหญ่มากางดูแล้วก็สั่ง ส่วนผมนั้นได้แต่คอยสังเกต

“อยากกินอะไรอู” เพื่อนสาวที่มาด้วยกันถาม “สั่งถาดใหญ่แล้วแบ่งกัน ช่วยกันเลือกหน้าหน่อย”

“อะไรก็ได้” ผมตอบ หน้าที่ว่าหมายถึงหน้าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน “สั่งมาเถอะ กินได้ทั้งนั้นแหละ”

หลังจากช่วยกันเลือก พวกเราก็สั่งพิซซ่าขนาดใหญ่มาสองถาด ระว่างรออาหารก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย รออยู่สักสิบห้าหรือยี่สิบนาทีอาหารที่สั่งก็มา เห็นพิซซ่าอยู่ในจานกระทะขนาดใหญ่ พิซซ่านี้มีรอยกรีดแบ่งเป็นชิ้นไว้ให้แล้ว เพื่อนๆก็ตักกันไปคนละชิ้น ผมก็ตักตามบ้าง พยายามสังเกตว่าแต่ละคนปรุงอย่างไรเพราะเครื่องปรุงมีหลายอย่าง เห็นหยิบนั่นหยิบนี่ ผมก็หยิบตามบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร บางอย่างพอเดาได้ว่าเป็นพวกซอสพริก ซอสมะเขือ แต่เกล็ดป่นสีเขียวๆกับผงสีเหลืองฟูๆนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร ในที่สุดด้วยความอยากรู้ผมจึงถามขึ้นในโต๊ะอาหาร

“ไอ้เครื่องปรุงพวกนี้มันคืออะไรน่ะ” ผมชี้ไปที่ชั้นวางเครื่องปรุง

“อ้าว เห็นหยิบมาปรุงใหญ่ นึกว่ารู้เสียอีก” เพื่อนสงสัย

“ก็หยิบมั่วๆน่ะ ไม่รู้จักหรอก เพิ่งเคยกินครั้งแรกนี่แหละ” ผมตอบตามตรง

“โถ น้องอู แล้วก็ไม่บอก” เพื่อนๆหัวเราะ “นี่เธอไม่เคยเข้าร้านพิซซ่ามาก่อนเลยเหรอ”

“อย่าว่าแต่ร้านพิซซ่าเลย ร้านแม็คก็เพิ่งเคยเข้าเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง” ผมพูด ทีแรกก็กลัวเสียหน้า ไม่อยากพูด แต่พอมาคิดอีกที อยู่กับเพื่อนพวกนี้อีกหน่อยก็คงมีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือไม่เคยทำอีกเยอะ ให้เพื่อนๆรู้จักผมอย่างที่ผมเป็นดีกว่า

หลังจากนั้นเพื่อนๆและพี่อี๊ดก็ช่วยกันสอนวิธีสั่งพิซซ่าและเครื่องปรุงต่างๆให้ ทำให้ผมได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย บรรยากาศการกินเป็นไปอย่างสนุกสนาน สุดท้ายเมื่อเฉลี่ยค่าอาหารกันแล้วดูเหมือนจะจ่ายคนละประมาณ ๖๐ บาท ผมออกเงินเองโดยไม่ได้ให้เพื่อนๆออกให้

- - -

“อ้าว ไอ้เหี้ยอูมาพอดี เมื่อวานเย็นมึงหายไปไหนวะ กูรอมึงอยู่ตั้งนาน” ไอ้กี้ส่งเสียงเอะอะเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในชมรมในตอนเช้าก่อนเข้าเรียน

“มึงรอกูมีปัญหาอะไรเหรอ ไอ้ห่า” ผมไม่ยอมลดราวาศอกให้มัน

“เดี๋ยวนี้พูดไม่สุภาพกะเพื่อนนะมึง” ไอ้กี้หัวเราะ “ไม่มีอะไรมากหรอก มีงานจะให้มึงพิมพ์น่ะ แล้วมึงหายไปไหนมาวะ”

“ไปกินพิซซ่ากับเพื่อนที่แผนกโว้ย” ผมพูด

“ถุย กินพิซซ่าแค่นี้ทำเป็นคุย” ไอ้กี้ทำท่าถุยน้ำลาย

“กูจะบ้า” ผมพูดเสียงดัง “มึงถามกูเองนะไอ้ห่า ไม่รู้จะด่ามึงยังไงแล้ว”

“เฮ้ย อย่าเพิ่งบ้า เดี๋ยวไม่มีคนพิมพ์ต้นฉบับ” ได้ยินเสียงคนพูดแทรกขึ้นมา พี่ตั้วนั่นเอง

“อ้าว ท่านประธานมา ทั้งหมด ตรง” ไอ้กี้ร้องเสียงดังพลางลุกขึ้นยืน

“เชิญมึงบ้ายืนตรงไปคนเดียวเถอะ” ผมไม่รับมุขมัน ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ แล้วหันมาพูดกับพี่ตั้วแทน “ท่านประธาน เชิญนั่งคุยกันดีกว่าครับ ไม่ต้องยืนให้เมื่อยหรอก”

“พวกนายก็บ้าพอกันทั้งสองคนนั่นแหละ” พี่ตั้วหัวเราะ

พี่ตั้วเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามแล้วและได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมในปีนั้น โดยปกติระเบียบของชมรมไม่ได้กำหนดตายตัวว่าประธานชมรมต้องอยู่ชั้นปีใด แต่ว่าโดยธรรมเนียมแล้วมักเป็นชั้นปีที่สี่ แต่เนื่องจากในปีนั้นนักศึกษาชั้นปีที่สี่ที่ทำงานอยู่ในชมรมมีน้อย อีกทั้งไม่มีใครยอมรับตำแหน่งประธานชมรม พี่ตั้วจึงได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมแบบส้มหล่นทั้งๆที่อยู่ชั้นปีที่สาม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีไม่บ่อยนัก พวกน้องๆจึงมักเรียกพี่ตั้วแบบล้อเลียนว่าท่านประธาน

“จะปรึกษาพวกนายเรื่องโครงงานสำหรับปีนี้น่ะ” พี่ตั้วพูดเข้าเรื่อง คราวนี้ทำสีหน้าจริงจัง “ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วมาคุยกันหน่อยสิ”

“ได้ครับท่านประธาน” ไอ้กี้พูด ท่านประธานทำมือเหมือนจะตบกะโหลกมัน แต่ไอ้กี้หลบ

“อ้อ ยังมีอีก” พี่ตั้วพูดต่อ “มีใครสนใจสอนพิเศษไหม วิชาคณิตศาสตร์ ม.๔”

“สอนที่ไหน สอนยังไง เงินดีมั้ย” ไอ้กี้รีบถาม

“สอนที่ไหนไม่รู้ สอนยังไงก็แล้วแต่นาย เงินดีมั้ยก็ไม่รู้อีก” พี่ตั้วตอบหน้าตาย

“สรุปแล้วก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วพี่จะบอกทำไม” ไอ้กี้บ่น

“นี่เป็นงานสอนที่อาจารย์หามาให้พี่ พี่ไม่ได้คิดจะสอนก็เลยไม่ได้ถามรายละเอียด ถ้าพวกนายสนใจจะถามมาให้อีกที” พี่ตั้วตอบ “สนหรือเปล่า”

“สนใจๆ เอารายละเอียดมาหน่อย” ไอ้กี้พูด “อยากหาเงินใช้เหมือนกัน”

“มึงเคยสอนหรือเปล่าวะ สอนมั่วๆเดี๋ยวทำลูกเค้าโง่เหมือนมึงหมด” ผมขัดคอมัน “อีกอย่าง ถ้าเกิดลูกเค้าติดนิสัยปากเสียจากมึงด้วยนั่นก็ยิ่งแย่”

“ไอ้เหี้ยนี่เดี๋ยวนี้หลอกด่าเก่งโว้ย” ไอ้กี้หัวเราะ “มันจะยากอะไรวะ แค่สอนคณิตศาสตร์ ม.๔ ก็ทำโจทย์เข้าไป กูสอนได้อยู่แล้ว ชัวร์”

- - -

การพูดคุยเกี่ยวกับโครงการกิจกรรมประจำปีในเย็นวันนั้นยังไม่มีความคืบหน้าอะไรนัก พี่ตั้วหารือกับน้องชั้นปีสองในชมรมเพื่อรวบรวมความคิดในเบื้องต้นก่อนว่าใครอยากให้มีกิจกรรมอะไรบ้างนอกจากทำชีต เพราะว่าการทำชีตกับการติวปีหนึ่งนั้นเมื่อนานวันเข้าก็กลายเป็นของจำเจและเป็นเรื่องธรรมดาไป นักศึกษาใหม่ที่เข้ามาเป็นสมาชิกชมรมเมื่ออยู่ไปได้สักพักและไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกใหม่หรือท้าทายต่างก็พากันลงจากชมรมไป ทำให้หลายปีมานี้ชมรมวิชาการค่อนข้างเงียบเหงา กลายเป็นห้องสันทนาการเคล้าด้วยเสียงกีตาร์กับการนอนพักผ่อนหลังเลิกเรียนแทน

หลังจากที่ผมลงจากชมรมก็มารอรถเมล์ที่ป้ายรถสามย่านที่เดิม ขณะที่ยืนรออยู่นั้นก็รู้สึกว่ามีใครกำลังกระตุกชายเสื้อแขนสั้นของผมอยู่

“อ้าว จุ๋ม” ผมอุทานเมื่อหันไปดูผู้ที่กระตุกแขนเสื้อของผม เห็นจุ๋มกำลังยืนอมยิ้มอยู่ข้างหลัง “มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพี่ไม่เห็นล่ะ”

“เมื่อกี้จุ๋มยืนตรงโน้น แต่เห็นพี่อูก็เลยเดินมายืนตรงนี้” จุ๋มตอบพร้อมกับทำหน้าแบบแอบหัวเราะ

“หัวเราะอะไรน่ะ” ผมถาม

“ขำน่ะ” จุ๋มตอบ

“ขำอะไรเหรอ” ผมถามอีก

“อยากรู้อะไรหน่อยน่ะ” จุ๋มตอบพลางยิ้มอีก “ถามได้ไหม”

“อยากรู้อะไรก็ถามมาสิ ถ้าตอบได้ก็ตอบให้แหละ” ผมตอบ ชักเริ่มระแวงในรอยยิ้มอันมีเลศนัยนั้น

“อยากรู้ว่า...” จุ๋มแกล้งลากเสียง “พี่อูลงรถเมล์เลยป้ายบ่อยไหม”

ว่าแล้วจุ๋มก็ปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาหลังจากที่พูดจบ

“เอ้อ...” ผมอึกอัก รู้สึกเสียหน้านิดหน่อย ไม่นึกว่าน้องจะเห็น ตอนที่อยู่ในร้านแมคโดนัลด์เห็นทำตัวเงียบๆ ที่แท้ก็แซวเก่งไม่เบา “เห็นด้วยเหรอ”

“ทำไมจะไม่เห็น จุ๋มเห็นพี่อูลงมายืนหน้าเซ็งอยู่ที่ป้ายซอยลือชา” จุ๋มหัวเราะอีก แล้วก็หยุดหัวเราะ “อุ้ย รถมาแล้ว จุ๋มไปก่อนล่ะ บ๊ายบาย”

ว่าแล้วจุ๋มก็โบกมือให้ผมหยอยๆก่อนก้าวขึ้นรถเมล์สาย ๓๔ ไป




< (คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพเต็ม) ดังที่เคยเล่าให้ทราบไปแล้วว่าราชประสงค์ในยุครุ่งเรืองนั้นยังแบ่งออกเป็นยุคย่อยๆได้หลายยุค ยุครุ่งเรืองในยุคแรกนั้นอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๐ โดยประมาณ ต่อจากนั้นก็ซบเซาลงไปบ้างเนื่องจากมีสยามสแควร์และโรงหนังสยาม ลิโด้ สกาล่า เกิดขึ้น ความเป็นศูนย์กลางหรือดาวน์ทาวน์จึงเคลื่อนย้ายไปยังสยามสแควร์ ต่อมาพื้นที่ย่านราชประสงค์มีการพัฒนาต่อไปอีก โดยในราวปี ๒๕๑๔ มีการก่อสร้างศูนย์การค้าราชดำริอาเขตขึ้นนื้นที่ราชประสงค์ฝั่งตรงข้ามกับห้างไดมารูและโรงเรียนอินทราชัย รวมทั้งห้างไดมารูเจ้าของตำนานบันไดเลื่อนตัวแรกในประเทศไทยก็ย้ายมาเปิดในศูนย์การค้าราชดำริอาเขตนี้ด้วยในปี พ.ศ. ๒๕๑๕

ราชดำริอาเขตนี้แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ช่วงหน้าเป็นตัวอาเขตสามชั้นและชั้นใต้ดิน ร้านค้าย่อยจะอยู่ในส่วนนี้ ต่อมาอาคารช่วงกลางเป็นอาคารสูง ๔ หรือ ๕ ชั้น จำไม่ได้แน่ เป็นที่ตั้งห้างไดมารู และส่วนหลังเป็นอาคารจอดรถกับสถานีวิทยุของ ททท. มีหลายคลื่นจัดรายการกันอยู่ที่นี่ ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ที่ อสมท.

ศูนย์การค้าราชดำริอาเขตนี้มีแม่เหล็กหลายอย่าง มีสวนสนุกอยู่บนชั้นดาดฟ้า มีซูเปอร์มาร์เกตที่ชั้นใต้ดิน นอกจากมีห้างไดมารูแล้วยังมีร้านค้าสำหรับช้อปปิ้งมากมาย เป็นแหล่งรองเท้าแบรนด์ชั้นนำพวกไนกี้ อะดิดาส มีร้านอาหารอร่อยๆหลายร้าน โดยเฉพาะร้านเกี๊ยวซ่าที่ขึ้นชื่อ ข้างๆศูนย์การค้าราชดำริยังมีร้านสหกรณ์พระนครขายสินค้าต่างๆอีกด้วย

ตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์การค้าราชดำริก็คือห้างบิ๊กซีราชดำริในปัจจุบันนั่นเอง ภาพข้างบนนี้เป็นย่านราชประสงค์และศูนย์การค้าราชดำริในยุคนั้น ถ่ายเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ทางเข้าศูนย์การค้าราชดำริอยู่ที่ลูกศรชี้ซึ่งในภาพเห็นปากทางเข้าเพียงนิดเดียว โปรดสังเกตตึกที่กำกับหมายเลข 1 ไว้ด้วย>

13 comments:

โพักำพัา ฉ. said...

คนแรก เย้ๆ

Choo said...

มาแอดตอนเผลอนะอู

ชู

Unknown said...

จองที่ก่อนครับ

กัน

Anonymous said...

จำได้ๆ..ลงจากดอยทีไรต้องมาไดมารูทุกที อิอิ
(ชอบกินอาหารร้านเสวยอ่ะ)

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

สงสัยจุ๋มจะมาหลงรักพี่อูอีกคนแน่เลย

Anonymous said...

ตอนนี้สนุกมากครับ ถึงจะไม่มีเรื่องรักๆ มากนัก

แบงค์ครับ

Riverunt said...

ช่วงเวลานี้ ทะเลจะสงบก่อนพายุจะมาหรือเปล่าครับ
รอติดตามตอนต่อไป

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับคุณอูที่มาลงให้อีก
pk

Anonymous said...

บอยกลับมาแล้วนะครับลุงอูไม่รู้ว่าลุงและพี่น้องชาวบล๊อกนี้จะจำได้ไหม แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาช่างมีเรื่องราวที่ทำให้ไม่ได้เข้ามา ตอนนี้กลับมาแล้ว มาบอกว่าคิดถึงลุงอูครับ คิดถึงทุกๆคนด้วย ว่าแต่ป้าราดพร้าวนิแกเป็นแฟนตัวจริงเลยนะครับ ทุกตอนแกไม่เคยพลาด อิอิ

boy_aof_za

Bomber_Boy said...

หวัดดีครับพี่อู

Bomber_Boy

Anonymous said...

สวัสดีครับ ผมชื่อทอปน่าจะอายุน้อยกว่าพี่อูสัก 9 ปี ตามอานมาเกือบสองอาทิตย์กว่าจะทัน พี่อูเขียนได้สนุกมากครับอ่านแล้วรู้สึก้เหงาจับใจ รูปแบบการเรียนสมัยมัธยมของผมกับพี่ยังมีความคล้ายกันมากทำให้ยิ่งเห็นภาพ ยังอยากให้ทั้งสองคนยังคงมีวาสนาต่อกันนะครับ (ถึงอยางไรก็ยังแอบเชียรคู่อูกับนัย) อยากให้ทั้งสองคนได้เจอกันอีกครั้ง

U Nakrub said...

สวัสดีครับหลานบอย ไม่ได้เจอกันเสียนาน ดีใจที่กลับมาอีก

เด็กวางระเบิดก็เงียบๆไป แบงค์ก็หายไปนาน ขอบคุณที่เข้ามาทักทายครับ

ยินดีที่รู้จักกับทอปครับ แวะเข้ามาคุยกันบ่อยๆจะได้ไม่เหงา

ส่วนคนอื่นๆ พี่ชู กัน PK พี่สาวลาดพร้าว ฯลฯ ก็ขอบคุณที่เข้ามาทักทายครับ

Anonymous said...

ขออภัยอาอูด้วยครับ ที่เข้ามาหาช้า
งานวุ่นมากน่ะครับ เรียนไปทำงานไป
น้ำท่วมทำตารางเรียนรวนไปหมดเลย T-T

หลาน Arus ของอาอู