Sunday, June 26, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 36

หลังจากที่เดินออกมาจากบอร์ดประกาศผล ผมก็ตามหากลุ่มรุ่นพี่คณะแพทย์ที่มารอต้อนรับและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สอบเอนทรานซ์ได้ ผมเข้าไปทักทายและรับทราบกำหนดการตรวจร่างกายและสอบสัมภาษณ์จากรุ่นพี่ จากนั้นก็เดินออกจากสนามจุ๊บไป

สถานที่ประกาศผลสอบปีนี้เป็นสถานที่เดียวกันกับปีที่แล้ว แต่สภาพการณ์กลับแตกต่างกัน ปีที่แล้วผมแทบไม่พบคนที่รู้จักเลยเลยแต่ทว่าในปีนี้ผมกลับพบเพื่อนร่วมรุ่นที่โรงเรียนเก่ามากมาย ส่วนเพื่อนในคณะก็มีพบบ้าง

เพื่อนมัธยมที่ผมพบนั้นสอบติดสถาบันต่างๆจนจำไม่ไหว บางคนก็สอบติดแพทย์ วิศวะ สถาปัตยฯ กรุงเทพฯก็มี ต่างจังหวัดก็มี บางคนก็เดินซึมเพราะสอบไม่ติดที่ใดเลย ผมเดินออกจากสนามจุ๊บในปีนี้ด้วยความสะเทือนใจเพราะเสียงหัวเราะและร้องไห้ในปีนี้ส่วนหนึ่งเป็นของเพื่อนๆที่ผมรู้จักมักคุ้นนั่นเอง

วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ ผมอดนึกถึงพุทธภาษิตบทนี้อีกไม่ได้ ความพยายามทำให้ผมฟันผ่าอุปสรรคในชีวิตไปได้อีกเปลาะหนึ่ง แต่ชีวิตไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีเส้นทางที่ผมยังต้องเดินอีกแสนไกล...

- - -

“แม่ อูสอบติดแพทย์ที่...นะแม่” ผมรีบโทรศัพท์ไปบอกแม่หลังจากที่กลับไปถึงหอพัก

“เหรอ” แม่ตอบ ไม่มีคำชมหลุดออกมาจากแม้แต่คำเดียว ที่บ้านผมก็เป็นแบบนี้แหละ “แต่ทำไมน้ำเสียงอูไม่ดีใจเลย”

“น้ำเสียงแม่ก็ไม่ได้ดีใจเหมือนกันนั่นแหละ” ผมย้อน

“เอ๊ดก็ไปเรียนเสียไกล นี่อูยังสอบได้ที่ไกลๆอีก อีกหน่อยบ้านคงเหงา” แม่พูด ในความรู้สึกเหมือนกับได้ยินแม่แอบถอนใจ

“แม่ก็...” ผมฝืนหัวเราะ “ปกติเอ๊ดกับอูก็ไม่ได้เรียนแถวบ้านอยู่แล้ว อยู่ที่กรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่เด็ก ยังไงที่บ้านก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“ไม่รู้สิ” แม่พูดอีก “ตอนที่ลูกๆเรียนที่กรุงเทพฯแม่รู้สึกเหมือนกับว่ามันใกล้บ้านนิดเดียว นึกอยากไปหาก็ไปได้ พอไปเรียนแบบนี้รู้สึกว่า... มันไกลยังไงก็ไม่รู้ ดูเอ๊ดสิ ปีนี้ก็ไม่ได้กลับบ้านตอนปิดเทอม”

“ไม่ได้ไปเรียนทั้งชีวิตสักหน่อย เรียนจบแล้วก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯอย่างเดิมนั่นแหละแม่” ผมพูด คิดอะไรสักครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อ “อ้อ แม่อย่าเพิ่งบอกป๊าเรื่องนี้นะ”

“ทำไมล่ะ” แม่สงสัย

“เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งบอกก็แล้วกัน” ผมบ่ายเบี่ยง “เอาไว้อูหาจังหวะดีๆบอกป๊าเอง”

“เอ๊ะ เรานี่ยังไง ทำอะไรแปลกๆ” แม่ยังไม่หายสงสัย

“ให้อูสอบสัมภาษณ์เสร็จแล้วประกาศผลขั้นสุดท้ายก่อนดีกว่า” ผมเห็นว่าแม่สงสัยหนัก เกรงว่าจะไม่ยอมเก็บความลับให้ผม จึงอธิบายแต่เพียงสั้นๆ “ตอนนี้แค่ประกาศผลข้อเขียน เกิดสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านป๊าจะสมน้ำหน้าเอาอีก เอาไว้ให้สอบได้แน่ๆแล้วค่อยบอกดีกว่า”

“โอ๊ย ป๊าเค้าไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก” แม่แย้ง “แต่เอายังงั้นก็ได้ ตามใจอู”

- - -

หลังจากที่รู้ผลสอบผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกหนักใจ โดยเฉพาะหลังจากที่โทรไปคุยกับแม่ ผมรู้ดีว่าหากผมตัดสินใจเรียนแพทย์ที่นี่ผมคงไม่ได้จากบ้านไปเพียงประเดี๋ยวเดียว เท่าที่ทราบมาตลอดหลักสูตรการเรียนผมคงมีโอกาสกลับบ้านไม่มากนัก เมื่อเรียนจบก็ต้องไปทำงานใช้ทุนในโรงพยาบาลต่างจังหวัดอีก รวมเวลาแล้วคงต้องจากบ้านไปร่วมๆสิบปีหรืออาจนานกว่านั้นหากไม่สามารถทำเรื่องโอนย้ายได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องไปทำงานเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแบบเต็มเวลาซึ่งในยุคนั้นยังไม่นิยมกัน รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนเองก็ยังไม่ได้มีมากมายเหมือนเช่นทุกวันนี้

ผมนึกถึงครูช่วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่าทุกครั้งที่มีเรื่องที่ต้องการคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ผมมักนึกถึงครูช่วยทุกครั้ง แม้ว่าครูช่วยจะจากไปนานแล้วก็ตามแต่ผมก็ยังอดนึกถึงไม่ได้

ครูช่วยไม่อยู่แล้ว นี่ถ้าไอ้นัยอยู่ด้วยก็คงดี... ผมอดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ ในวัยเด็กไอ้นัยเป็นที่ปรึกษาที่ดีของผมเสมอ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะพึ่งใครจึงได้แต่ต้องพึ่งตนเอง...

- - -

ที่คณะเทคโนโลยี

คณะที่ผมเรียนอยู่นี้เมื่อเรียนจบชั้นปีที่หนึ่งแล้ว นักศึกษาที่จะเข้าเรียนในชั้นปีที่สองจะต้องเลือกโปรแกรมการเรียนหรือที่เรียกว่าเข้าแผนกซึ่งมีอยู่หลายโปรแกรมให้เลือก แต่ละโปรแกรมการเรียนก็จะมีภาควิชาคอยจัดการเรียนการสอน อย่างเช่น โปรแกรมเคมีประยุกต์ก็จะมีภาควิชาเคมีประยุกต์เป็นผู้ดูแลการเรียนการสอนของนักศึกษาที่เลือกเรียนในสาขานี้ เป็นต้น

ปกติการเลือกเข้าแผนกนั้นจะเริ่มยื่นเอกสารกันในราวต้นเดือนพฤษภาคม ดังนั้นแม้แต่นักศึกษาที่ไปสอบเอนทรานซ์ใหม่ก็มักทำเรื่องเข้าแผนกเอาไว้ด้วยเพื่อกันพลาด ก่อนที่จะยื่นเอกสารแต่ละภาควิชาที่ดูแลแต่ละโปรแกรมการเรียนอยู่ก็จะจัดให้มีการเปิดบ้านหรือว่าเปิดภาควิชาและพานักศึกษาชมภาควิชาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ใครอยากชมภาควิชาใดก็สามารถชมและซักถามได้

ผมมายืนอยู่หน้าตึกของภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ที่จริงชื่อสาขาและชื่อภาควิชายาวกว่านี้อีก แต่ส่วนใหญ่นักศึกษามักเรียนว่าสาขาเทคโนอุตฯ ยืนเมียงๆมองๆอยู่ที่หน้าตึกสักครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินเข้าไปในตึก

ผมหยุดยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ธุรการและถามเจ้าหน้าที่

“พี่ครับ มีอาจารย์ในภาคเข้ามาบ้างไหมครับ” ผมถาม เนื่องจากช่วงนั้นยังปิดเทอมอยู่ อาจารย์อาจเข้าหรือไม่เข้าก็ได้

“แล้วน้องต้องการพบอาจารย์คนไหนล่ะ” พี่ธุรการงงกับคำถามที่ไม่เจาะจงตัวบุคคลของผม

“อยากถามเรื่องการเลือกโปรแกรมการเรียนน่ะครับ พี่แนะนำให้หน่อยว่าควรจะคุยกับอาจารย์คนไหนดี” ผมตอบ

“ก็เค้าพาทัวร์ภาควิชาและแนะนำโปรแกรมการเรียนไปแล้วนี่” เจ้าหน้าที่ยังสงสัยไม่หาย

“ครับ ผมก็ฟังมาแล้ว แต่อยากรู้เพิ่มเติมอีกน่ะครับ ผมยังเลือกไม่ค่อยถูก” ผมอธิบาย

“งั้นไปคุยกับอาจารย์กาญก็แล้วกัน เช้านี้เพิ่งมีอาจารย์กาญเข้ามาคนเดียวเอง” พี่ธุรการตอบ “ไม่มีให้เลือกหรอกน้อง”

เมื่อไม่มีอาจารย์ให้เลือกก็ไม่ต้องเลือก ผมเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ธุรการ เมื่อถึงหน้าห้องพักของอาจารย์กาญก็เคาะประตู

“เชิญค่ะ” เสียงของหญิงสาวดังมาจากข้างใน

อาจารย์กาญเป็นหญิงสาวในวัยไม่เกินสามสิบปี ท่าทางและการแต่งตัวยังวัยรุ่นอยู่เลย ดูท่าคงเป็นอาจารย์ค่อนข้างใหม่ เมื่อผมเข้าไปในห้องก็ยกมือไหว้

“นักศึกษามาพบครูมีธุระอะไรเหรอ” อาจารย์กาญรับไหว้พร้อมกับถามผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ผม... เอ้อ... มีเรื่องอยากจะปรึกษาอาจารย์น่ะครับ” ผมอึกอัก เริ่มต้นไม่ถูกเหมือนกัน

“ปรึกษาครู” อาจารย์สาวทวนคำอย่างงุนงง “เรื่องอะไรหรือ แล้วนักศึกษาชื่อ...”

“ผมชื่ออูครับ” ผมพยายามลำดับความคิดและเรียบเรียงคำพูด “คือผมสนใจอยากเข้าเรียนในแผนกนี้ แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ก็... ก็... ก็ยังไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดีครับ”

“ไม่แน่ใจเรื่องเกรดหรือเปล่า” อาจารย์กาญถาม

“เกรดผมน่าจะไม่มีปัญหาครับ แต่... ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันครับว่าทำไมถึงไม่ค่อยแน่ใจนัก” ผมจนปัญญาจะอธิบาย จะบอกว่าสอบเอนทรานซ์ติดที่อื่นก็ไม่กล้าพูดออกไป

“เอางี้ก็ได้ ครูถามอูก็แล้วกัน” อาจารย์กาญพูด “อูคิดจะเลือกเรียนโปรแกรมนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรียนจบแล้วงานดี หรือเพราะว่าเกรดถึงก็เลยเลือกตามลำดับคะแนน หรือเพราะว่าอูรักที่จะเรียนสาขานี้”

“ที่ผมคิดจะเลือกเพราะว่าผมชอบครับ” ผมตอบ “แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผมชอบจริงหรือเปล่า หรือแค่คิดไปเองว่าผมชอบ”

“แล้วที่อูคิดอยากเรียนจริงๆคืออะไรล่ะ” อาจารย์กาญถามอีก

“ผมก็เคยคิดอยากเรียนหมอครับ” ผมตอบอ้อมแอ้ม “แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจตัวเองอีกเหมือนกัน”

“นักเรียนสมัยนี้เลือกเรียนหมอ เลือกเรียนวิศวะ เพราะค่านิยมก็มากนะอู หลายคนที่สอบติดและได้เรียนแพทย์หรือวิศวะไม่ใช่ว่าจะเกิดจากความรักความชอบในวิชาชีพจริงๆ คนที่จะเรียนแพทย์ได้ดีและเป็นหมอที่ดีได้นั้นต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมหลายๆอย่างด้วย แล้วทำไมอูถึงอยากเรียนหมอล่ะ”

“ก็... คงเป็นเพราะอยากช่วยคนมั้งครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงลังเล

“เอาละนะ ครูจะเปรียบเทียบให้ฟัง หากอูเป็นหมอ สมมติว่าเป็นอายุรแพทย์ก็แล้วกัน ตรวจรักษาคนไข้ทั้งวัน วันหนึ่งอูอาจจะช่วยคนไข้จากอาการป่วยได้สัก ๕๐ คน” อาจารย์กาญพูด “แต่ถ้าอูเรียนเภสัช แล้วทำทางด้านการวิจัย อูอาจพัฒนาตัวยาใหม่ๆขึ้นมาได้ นั่นอูอาจช่วยคนป่วยได้นับไม่ถ้วน

“แต่ถ้าอูอยู่ในสายเทคโนโลยี แม้จะไม่ได้ช่วยผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยโดยตรง แต่วิทยาการใหม่ๆประกอบกับการผลิตในระบบอุตสาหกรรมก็สามารถช่วยยกระดับชีวิตหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนจำนวนมากได้ ผู้ที่ป่วยต้องการแพทย์ แต่ผู้ที่ไม่ป่วยก็ต้องการอย่างอื่นเช่นการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โครงสร้างของสังคมต้องประกอบจากหลากหลายอาชีพนะอู ไม่ใช่มีแต่หมอ ถ้าอูอยากช่วยคนอูสามารถช่วยได้เสมอไม่ว่าอูจะอยู่ในสาขาอาชีพใด มันขึ้นอยู่กับใจ วิธีคิด และวิธีทำของเรามากกว่า”

ผมอึ้งไปชั่วครู่ คำพูดขออาจารย์กาญเป็นมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ผมไม่เคยใส่ใจมาก่อน... ผมใช้เวลาคุยและซักถามอาจารย์กาญอีกครู่หนึ่งจากนั้นก็ลาจากมา

“ครูยังไม่เคยจอนักศึกษาที่เลือกเข้าแผนกมาถามอะไรแบบนี้เลยนะ อูนี่ก็แปลกดี” อาจารย์กาญปิดท้ายการสนทนาแบบขำๆ

- - -

“แม่ ป๊า” ผมทักทายแม่และพ่อเมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน

“อ้าว อู ว่างเหรอถึงได้กลับบ้าน” แม่ทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นผม “แล้วเรื่อง...”

ผมรีบขยิบตาบอกให้แม่หยุด

“อีกตั้งหลายวันกว่าจะเปิดเทอม ช่วงนี้ไม่มีอะไรที่กรุงเทพฯ ก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านดีกว่า” ผมพูด “เดี๋ยวอูเข้าครัวไปหาอะไรกินก่อนนะ หิวจัง”

พูดจบผมก็เดินเข้าไปในห้องครัว สักครู่เดียวแม่ก็เดินตามเข้ามา

“แม่นึกว่าตอนนี้อูไปต่างจังหวัดเสียอีก” แม่ถามด้วยความแปลกใจ

“อูจะเรียนที่เดิมน่ะแม่” ผมตอบ สบตาแม่ พลางพิจารณาดูแม่อย่างละเอียด หลายปีนี้ทั้งแม่และพ่อดูร่วงโรยไปจริงๆ เวลาผ่านไป คนก็อายุมากขึ้น หลายปีก่อนใบหน้าของแม่ยังเต่งตึง มีริ้วรอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาวันนี้ใบหน้าของแม่มีรอยย่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนพ่อนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง พ่อดูโรยไปเห็นได้ชัดยิ่งกว่าแม่เสียอีก “อูไม่เรียนหมอแล้ว”

“ทำไมอูเปลี่ยนใจล่ะ” แม่ถาม

“ก็ไม่มีอะไร อูคิดว่าอูคงไม่ได้อยากเป็นหมอจริงๆหรอก” ผมตอบ “อีกอย่าง ถ้าไปเรียนก็คงต้องจากบ้านไปหลายปีเลย อูอยากอยู่ใกล้ๆบ้านมากกว่า”

ผมสบตาแม่ แม่ยังไม่รู้ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร เวลาของแม่จะเหลืออีกเพียงใดก็ไม่รู้ จนถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความต้องการที่แท้จริงของผมคืออะไร ผมอยากอยู่กับครอบครัว... ได้อยู่กับคนที่ผมรัก และได้อยู่กับคนที่รักผม เพียงแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมอาจจะโง่หรือไม่รักความก้าวหน้าก็เป็นได้ แต่มาคิดดูแล้วผมจะทิ้งวันเวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวไปหลายปีเพื่อแลกกับอะไร ทำไมผมต้องแลกสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้ากับสิ่งที่ยังเป็นความเลือนลางและไม่รู้ว่าดีกว่านี้จริงหรือเปล่า

นอกจากนี้ ผมยังมีความหวังลึกๆอยู่ในใจอีกประการหนึ่ง... นั่นคือ ผมอยากได้พบไอ้นัยอีกสักครั้ง เมื่อไอ้นัยเรียนจบปริญญาตรีมันคงกลับมาเมืองไทย หากผมยังอยู่ในกรุงเทพฯก็คงมีโอกาสพบมันหรือสืบหามันได้ แต่หากผมไปเรียนและทำงานที่ต่างจังหวัดเสียแล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสได้พบไอ้นัยอีก... ในชีวิตนี้ผมมีเรื่องติดค้างไอ้นัยอยู่มากมาย ผมอยากเห็นความสำเร็จของมัน อยากบอกเรื่องที่เก็บไว้ในใจอยู่นานปีให้มันรู้ รวมทั้งหากเป็นไปได้ผมจะได้มอบซองจดหมายที่เก็บไว้นานแล้วให้แก่มันเสียที... ไม่ได้หมายความว่าผมคิดจะหันกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมอีก เพียงแต่อยากสะสางเรื่องที่ค้างอยู่ในใจตั้งแต่ในอดีตให้จบลงไปเท่านั้น

“อู” แม่ตีแขนผมเบาๆ “เป็นอะไร ตาลอยเชียว”

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์

“เรื่องสอบปีนี้เราไม่ต้องบอกป๊าหรอกแม่” ผมพูด

“อ้าว ทำไมล่ะ” แม่ทำเสียงแปลกใจ “ทำไมไม่อยากให้ป๊ารู้ล่ะ”

ใจหนึ่งผมก็อยากบอกให้พ่อรู้ ผลการสอบในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมไม่ใช่คนไม่เอาไหนอย่างที่พ่อคิด แต่เมื่อมาไตร่ตรองดูอีกที หากพ่อรู้ว่าผมสละสิทธิ์ผมอาจโดนด่าไปอีกสิบปีก็ได้ คิดแล้วก็อย่าบอกดีกว่า... ไม่เอาไหนก็ไม่เอาไหน

- - -

ที่คณะเทคโนโลยี ปลายเดือนพฤษภาคม

“เฮ้ย ไอ้อู ทำไมมาเดินอยู่แถวนี้” ผมได้ยินเสียงคนทักขณะที่เพิ่งเดินไปถึงใต้ตึกเคมีประยุกต์

ผมหันไปมอง พี่จุ้ยนั่นเอง

“ก็มาลงช่วยต้อนรับน้องใหม่น่ะสิพี่” ผมตอบ แม้ว่าผมกับพี่จุ้ยจะขึ้นปีสองเหมือนกันแต่ว่าเรียกพี่จนติดปากก็เลยไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกหา

วันนี้เป็นวันแรกพบน้องใหม่ที่สอบเข้าคณะเทคโนได้ งานวันแรกพบจัดขึ้นที่ใต้ตึกเคมีประยุกต์อันเป็นสถานที่เดียวกับที่ผมเป็นน้องใหม่เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง มองไปเห็นน้องใหม่คลาล่ำนับร้อยคนทำให้อดคิดถึงตนเองไม่ได้ เมื่อก่อนผมก็เป็นน้องใหม่แบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว... ผมเป็นพี่ปีสองแล้ว

ทีแรกมีแค่พี่จุ้ยที่เดินมากทัก แต่ต่อมาไอ้กี้และเพื่อนอีกหลายคนก็เดินมาสมทบจนกลายเป็นกลุ่มย่อย

“แล้ววันสอบสัมภาษณ์นายไปอยู่ไหนมา” พี่จุ้ยถาม “รู้ไหมว่าพวกอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์หานายกันให้วุ่น”

ผมใจหายวูบ นึกไม่ถึงเลยว่าตนเองจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีก

“ก็... คิดว่าจะไม่เรียนน่ะพี่ เลยไม่ได้ไปตรวจร่างกายสอบสัมภาษณ์ ว่าแต่ทำไมพี่รู้ล่ะ” ผมชักสงสัยว่าทำไมพี่จุ้ยรู้เรื่องดีนัก

“ก็พี่ไปช่วยงานสอบสัมภาษณ์น่ะสิ พอดีอยู่แถวนั้น เห็นพวกอาจารย์ถามหาชื่อนายว่าไปไหน ทำไมไม่มาสอบสัมภาษณ์ ตามหากันให้วุ่น สงสัยนายถูกขึ้นบัญชีหนังหมาแน่เลยว่ะ” พี่จุ้ยตอบพลางหัวเราะ “ได้แล้วทำไมไม่เอาวะ ทำอย่างนี้ก็ไปกันที่คนอื่นเขา”

“นั่นสิพี่” ผมสำนึกผิด “รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เดิมก็ตั้งใจจะเรียนหรอกครับ แต่พอได้จริงๆแล้วก็ห่วงที่บ้าน เลยตัดสินใจไม่ไป ที่ผมไม่ไปตรวจร่างกายและสอบสัมภาษณ์ก็เพราะอยากให้เค้าเรียกตัวสำรองมาแทนไงพี่ ดีกว่าไปสละสิทธิ์หลังประกาศผลสัมภาษณ์แล้ว”

“ไอ้เหี้ยอูนี่ก่อเรื่องอีกแล้ว ทำไมมึงชอบก่อเรื่องนักวะ” ไอ้กี้หัวเราะจนตาหยีพลางพูดแทรกขึ้นมา “แล้วนี่มึงบ้าหรือเปล่า สอบได้หมอแล้วไม่เอา”

“ไอ้เวร มึงพูดยังกะเป็นพ่อกูเลย” ผมด่ามัน “ว่าแต่มึงก็สอบใหม่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังมาเดินอยู่แถวนี้”

“กูสอบไม่ติดโว้ย เลยไม่ได้ไปไหน” ไอ้กี้หัวเราะอีก “คราวนี้ทำไม่ค่อยได้ คงหมดไฟแล้วว่ะ”

เรื่องหนึ่งในชีวิตที่ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือเรื่องนี้นี่เอง การสอบได้คณะแพทย์ของผมทำให้ชีวิตของหลายคนเปลี่ยนไป คนที่ควรจะได้ตามลำดับคะแนนในการสอบกลับไม่ได้เรียน แต่คนที่ได้เรียนกลับเป็นตัวสำรองซึ่งเป็นคนละคนกัน หากผมไม่ไปสอบ ทุกอย่างก็คงเป็นไปตามครรลองของมัน

19 comments:

Anonymous said...

)^_^(ที่1 หุหุอรุณสวัสดิ์ครับ ผมคิดว่าถ้าลุงได้เรียนหมอลุงต้องเป็นหมอที่ดีแน่นอนเพราะลุงมีจิตใจที่ดี ลุงจะนึกถึงผู้อื่นอยู่เสมอเลย และเวลาที่ลุงต้องทำให้ผู้อื่นเสียใจลุงจะรู้สึกผิด จริงๆลุงอาจเรียนหมอก็ได้เนอะแต่นี่มันนิยายใช่ไหมอ่า กลัวเพื่อนจับได้ละซิ ไปกินข้าวหละครับ

yo408 said...

เมื่อคืนแวะมาดูยังไม่ได้อัพ เช้านี้แวะดูอีกทีอัพแล้ว
ที่จริงก็แวะมาดูทุกวันแหละ อิอิ

Bomber_Boy said...

มาแบบพลิกอีกแล้ว ยากที่จะเดาใจพี่อูเสียจริงๆ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ครับ

เห็นด้วยกับความเห็นที่หนึ่งครับ ที่บอกว่า "จริงๆลุงอาจเรียนหมอก็ได้เนอะแต่นี่มันนิยาย"

Bomber_Boy

Anonymous said...

อย่าโทษตัวเองเลยครับอาอู เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้วครับ การสอบมันก็คือการแข่งขันอย่างนึง การทำสงครามอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีคนแพ้คนชนะ เราไม่ได้ไปปล้นชิงใครเขามาซะหน่อย แต่ดูท่าทางเรื่องอาเพ็ญท่าจะยังไม่เคลียร์นะ
Federick

Anonymous said...

แอบเห็นด้วยกับอาจารย์ว่าขึ้นอยู่กับวิธีคิดจริงๆค่ะ..
ส่วนเพ็ญ น่าจะเอนท์ติดที่ใหม่(รึเปล่า?)

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ทำไมจะไม่มา มาตลอดแหล่ะครับ
ไว้จะเล่าเรื่องให้ฟังเยอะแยะนะเอ้อ
ทั้งเรื่องเล่าเล่น และเรื่องปรึกษา
แต่ขอวุ่นน้อยลงนิดนะครับ คุคุคุ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เห็นด้วยกับอาจารย์กาญนะ
ทุกอาชีพมีความสำคัญต่อสังคมของเรา
แต่บังเอิญสังคมไทยยกย่องหมอเกินไปหน่อย

ป้าขวัญ

Anonymous said...

เต็มใจอย่างแรงเลยป๊าผมจะพาเที่ยวทุกจังหวัดในภาคใต้เลยถ้าป๊าอยากไปครับ อันที่จริงผมก็กลับกรุงเทพฯทุกเดือนนะครับ คือทุกวันที่ 1- 22 ผมจะลงใต้เพื่อไปทำงาน งานของผมจะทำให่้เสร็จทั้ง 14 จังหวัดของทุกเดือนครับ ถ้าป๊าอยากไปพักผ่อนช่วงลาพักร้อน ผมเต็มใจพาเที่ยวครับ รักป๊า ตัวเล็กของป๊า

Choo said...

นายอู เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลยนะ

เห็นด้วยกับการตัดสินใจของอูอย่างยิ่ง
และมันก็เป็นครรลองปรกติของการแข่งขัน

เป็นกำลังใจนะครับ

ชู

ปล.หายป่วยคราวนี้ รักษาสุขภาพดีๆ ดูสังขารตัวเองด้วย 555

nai said...

กำลังจะเรียก หมอดู ไม่ใช่สิ จะเรียก หมออู อยู่เลย
แต่ก็เดาว่า ตัดสินใจแบบนี้ละ

เม้นท์ข้างบน อย่าป่วยบ้างแล้วกัน 555

นัย

Anonymous said...

 นึกว่าจะต้องเรียกหมออูซะแล้ว

เด็กหลัง ร.ร.

อู said...

สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนหมอ ไม่ได้เอนทรานซ์ใหม่อีกแล้วครับ เรียนที่เดิมนี่แหละครับ

พี่สาวลาดพร้าวครับ เพ็ญนั้นตั้งใจเรียนคณะนี้แต่แรก คะแนนสอบเข้าแพทย์ได้อยู่แล้วแต่ไม่เลือกเอง ตอนอยู่ปีสองก็ยังเจอกัน แต่ในความรู้สึกดูจะไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไร แม้อึดอัดอยู่บ้างต้องทนๆไป เพราะคิดว่าหากหนีหน้าเพราะเรื่องแบบนี้ต่อไปคงมีเรื่องให้หนีตลอดทั้งชีวิต

ตอนนี้สุขภาพใช้ได้แล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง คนเตือนก็ระวังตัวเองด้วยละกัน ได้ข่าวว่าเดินทางเยอะ

ตัวเล็กของป๊าเดินทางเยอะ งานคงสนุก ฝนตกขับรถระวังด้วยล่ะ

หลาน arus ยังไม่มา

ตอบหลานที่ 1 หลานคิดลึกดีจัง นิยายครับนิยาย (แต่ก็แอบทำให้เด็กวางระเบิดผิดหวัง)

ขอบคุณเด็กหลัง ร.ร. โย และป้าขวัญที่แวะมาครับ พี่ชูด้วย คงทักหมดแล้วเนอะ เหลือไว้คนเดียวที่ไม่ทักเพราะว่าหมั่นไส้

;boyp said...

ดักลอบต้องหมั่นกู้
เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว
การเรียนสิ่งใดต้องหมั่นเพียร
เขียนนิดเดียวถูกหมั่นไส้
แต่ก็

ฝากหัวใจให้กันเอาไว้ก่อนที่เราจะต้องห่างเหินไป
เผื่อว่าเราลำบากอยู่หนใด หัวใจก็ยังมีคนดูแล

อาจจะมีบางคราวเราพบใครใหม่
เกิดหวั่นไหวไปตามประสาคนไกลกัน
แต่เรายังมีใจกันไว้ไม่หวาดหวั่น
จะไม่เหลือดวงใจที่คิดเผื่อใคร..

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือให้เราคอยดูเสมอ
หากเราเผลอลืมไปแล้วดวงใจจะหาย
หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ
เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ

อาจจะมีบางคราวเราพบใครใหม่
เกิดหวั่นไหวไปตามประสาคนไกลกัน
แต่เรายังมีใจกันไว้ไม่หวาดหวั่น
จะไม่เหลือดวงใจที่คิดเผื่อใคร..

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือให้เราคอยดูเสมอ
หากเราเผลอลืมไปแล้วดวงใจจะหาย
หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ
เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือให้เราคอยดูเสมอ
หากเราเผลอลืมไปแล้วดวงใจจะหาย
หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ
เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ

เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ
เก็บเอาไว้จนวันที่สองเรา...คู่กัน


เนื้อเพลงมันได้ความรู้สึกใกล้เคียงดี
;boyp

Choo said...

ดีนะ ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยง หากมาอ่านเม้นต์ของ ;boyp หลังเที่ยง อาหารอาจกระจายได้

ไม่เห็นใกล้เคียงเลย ได้กลิ่นแต่ตุตุ...โคตรช่อง7เลย

หัดดูแลคุณอูบ้างนะนัย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน 555

ชู

ปล.หมั่นไส้ แปลว่า งอน หรือเปล่าหว่า

อู said...

สงสัยว่าพี่ชูจะทำคะแนนภาษาไทยไม่ค่อยดีสมัยเรียน หมั่นไส้ก็แปลว่าหมั่นไส้ จะแปลว่างอนได้ไงครับ

นับว่าพี่ชูโชคดีมากที่ไม่ได้เสียอาหารมื้อเที่ยงไป ทีหลังอย่าลืมว่าให้เปิดก่อนกินอาหารเท่านั้นครับ เอ แล้วถ้าเปิดก่อนนอนล่ะ จะฝันร้ายไหม

แต่จะว่าไปเพลงของ ;boyp ถ้าเปิดตอนเช้า ท้องว่างๆ ก็ซึ้งดีเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าผมแอบกด like ให้นายก็แล้วกัน

แก้ข่าวหน่อย หลาน arus มาแล้วนี่ ผมมึนไปหน่อย หน้าแตกเลย

Choo said...

โอ้โห แตะต้องอูกะเพื่อนอูคนนี้ไม่ได้เลยนะ ปกป้อง ออกรับแทนกันขนาดนี้ น่าอิจฉาจัง ยอมแพ้

ดูแลกันดีๆ นะ อย่าให้เดือดร้อนถึงผมละกัน

ฝากไว้ก่อนนะนัย 555+

ชู

Anonymous said...

เป็นคนที่มีความคิดตั้งแต่เล็ก ๆ จริง ๆ ครับ


แล้วตอนนี้ได้ช่วยเหลือคนไปเยอะรึยังครับ XD

...OaH...

Anonymous said...

คุคุคุ

หลาน Arus ของอาอู

นายครับ said...

หวัดดีครับพี่อู วันนี้กลับมาอ่านตอนเก่าๆครับ

ชอบมากๆกับคำสอนครูกาญ เป็นแรงบันดาลใจอีกหลายอย่างน่ะครับ

อ่านตอนใหม่ๆปี2012 ทำไมพี่นัยไม่ค่อยมาpostเลยล่ะครับ...เอ่???? หรือว่าผมดูผิด

คิดถึงน่ะครับพี่อู