Friday, March 11, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 26

ผมใจกล้าๆกลัวๆ ใจหนึ่งก็อยากลอง ส่วนอีกใจหนึ่งก็รู้สึกขัดเขิน มันดูประเจิดประเจ้อเกินไปหน่อย กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า จริงอยู่ แม้ว่าโรงหนังจะมืดแต่ก็ไม่ถึงกับมืดสนิทเสียทีเดียว หากใครเดินผ่านก็ยังพอเห็นได้ว่ามีผู้ชายสองคนนั่งกอดกันอยู่

แต่ในที่สุดความอยากลองมีมากกว่า ผมจึงเอาแขนไปโอบรอบลำตัวของหนุ่ย เมื่อหนุ่ยรู้ว่าผมสวมกอดก็ยิ่งซุกตัวเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น ร่างของหนุ่ยขดอยู่ข้างๆกายของผมราวกับเป็นลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง

เราอยู่ใกล้กันจนผมสามารถได้กลิ่นกายชายจากตัวของหนุ่ย กลิ่นกายชายเป็นกลิ่นตัวอ่อนๆ อาจผสมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่บ้าง และหากเหงื่อไหลไคลย้อยมาทั้งวันก็จะผสมกลิ่นเหงื่อเข้าไปด้วย ไม่ค่อยมีกลิ่นน้ำหอมมาปนเนื่องจากนักศึกษาชายในยุคนั้นไม่ค่อยมีคนใช้น้ำหอมหรือโคโลญจน์กัน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีก็เป็นยุคของผู้ชายเมโทรเซ็กชวล (metrosexual) ที่เอาใจใส่ดูแลบุคลิกภาพของตนเองและมักใช้น้ำหอม โคโลญจน์ หรือเครื่องสำอางบำรุงผิว กลิ่นกายของผู้ชายเมโทรจึงมักถูกกลบด้วยกลิ่นของเครื่องหอมแทน

ผมรู้สึกใจหวั่นไหวอย่างประหลาด ไออุ่นและกลิ่นกายชายของหนุ่ยทำให้ผมรู้สึกดีมาก... มันเป็นความรู้สึกที่เต็มอิ่มกว่าการได้สนิทชิดใกล้กับชายคนอื่นๆเท่าที่ผ่านมา

เมื่อก่อนตอนที่ได้สวมกอดไอ้นัยนั้นเรายังค่อนข้างเด็กอยู่ ความรู้สึกยังมีความเป็นเพื่อนเจือปนอยู่มาก ต่อมาเมื่อได้มาสวมกอดบอยแม้ว่าตอนนั้นจะมีจิตปฏิพัทธ์บอยอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าบอยคิดกับผมอย่างไร อีกทั้งการสวมกอดยังต้องทำให้แนบเนียน ไม่สามารถทำอย่างโจ่งแจ้งได้ ต้องทำให้เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นจึงเหมือนยังมีระยะห่างของความรู้สึกอยู่

ส่วนตอนที่อยู่กับโอ๋นั้นมีแต่ความใคร่เสียมากกว่า จึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรตอนอยู่ใกล้ชิดโอ๋เท่าไรนัก แต่กับหนุ่ยนั้นแตกต่างกันมาก ผมมีโอกาสได้กอดหนุ่ยด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย... ความรู้สึกในแบบชายกับชายที่ไม่ถูกกีดกั้นด้วยม่านทางจารีตและค่านิยมในสังคม... เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันในท่ามกลางสังคมของเผ่าพันธุ์อื่น... การสวมกอดหนุ่ยได้เติมเต็มอารมณ์ของผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ฮือ...” ได้ยินเสียงหนุ่ยครางเบาๆ

“ยังหนาวเหรอ” ผมถามหนุ่ยเบาๆ กอดหนุ่ยแน่นขึ้นอย่างทะนุถนอม

“เปล่า... แต่หนุ่ยมีความสุข” หนุ่ยตอบ

ผมกอดหนุ่ยเอาไว้อย่างนั้น แม้กายของผมจะนิ่งงัน แต่ใจนั้นปั่นป่วนเป็นระลอกใหญ่ หัวใจเต้นระทึก อยากทำอะไรที่มากไปกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า... ผมกอดหนุ่ยอยู่นานพอควรจนในที่สุดก็ต้องคลายกอดออกเนื่องจากมาคนเดินผ่านไปมา และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้กอดกันอีก

- - -

กว่าที่เราสองคนจะออกจากโรงหนังก็เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น ท้องฟ้าในยามฤดูหนาวเริ่มครึ้มแล้ว ม่านแห่งวิกาลค่อยๆคลี่คลุมลงมา ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราจะต้องแยกจากกัน

“ฟ้ามืดเร็วเสียด้วย หนุ่ยคงต้องรีบกลับหน่อยแล้วล่ะ” ผมพูดขึ้นขณะที่เราเดินอยู่หน้าโรงหนัง “อ้อ ลืมบอกไป หากจะโทรหาเราให้บอกคนรับว่าเรียกห้องเบอร์ ... ดีกว่า ไม่ต้องบอกชื่อเราหรอกเพราะบางทีคนรับสายก็จำชื่อผู้เช่าไม่ได้”

ผมพูดดักเอาไว้ก่อนเพราะเกรงว่าหากหนุ่ยโทรไปแล้วบอกว่าขอพูดกับปูความรื่องชื่อปลอมก็จะแตก ทีแรกตอนที่ให้เบอร์หนุ่ยก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป

“โหย ค่ำอย่างนี้หนุ่ยกลับบ้านไม่ได้แล้วล่ะ” หนุ่ยพูด “กว่าจะถึงคงดึก”

“อ้าว แล้วจะทำไงล่ะ” ผมสงสัย

“ก็ให้หนุ่ยไปนอนค้างที่ห้องปูสักคืนหนึ่งสิ พรุ่งนี้เช้าหนุ่ยค่อยกลับ” หนุ่ยพูดหน้าตาเฉย

“หนุ่ยไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลยนี่” ผมถาม

“หนุ่ยใส่กางเกงในนอนก็ได้” หนุ่ยตอบ

“เอ้อ ไม่ค่อยเหมาะมั้ง” ผมเริ่มระวังตัวขึ้นมาทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองหมายถึงอะไรกันแน่ที่ว่าไม่เหมาะ เรื่องการนอนค้างคืนที่ห้องของผมหรือว่าการใส่กางเกงในนอน...

“แล้วปูจะปล่อยให้หนุ่ยกลับทั้งมืดๆอย่างนี้เหรอ หนุ่ยกลัว ไม่เคยเดินทางกลางคืนคนเดียว ไม่สงสารหนุ่ยบ้างหรือไง” หนุ่ยทำเสียงอ้อนเหมือนกับคนที่หมดหนทางจนจะร้องไห้ แถมท้ายยังต่อว่าผมเสียอีก

“ไม่ใช่ไม่สงสารหนุ่ย” ผมรีบแก้ตัว “แต่ว่าห้องเราไม่ค่อยสะดวกน่ะ คือ คือ คือ เอ้อ ช่วงนี้พี่ชายเรามาพักอยู่ด้วยน่ะ”

“ปูไม่เคยพูดเรื่องที่พี่ชายมาพักด้วยเลยนี่” หนุ่ยทำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อ

“พี่ชายเราก็ไปๆมาๆแบบนี้เสมอ อีกอย่าง หนุ่ยไม่เคยบอกว่าจะมาพักด้วยนี่ เราก็เลยไม่ได้พูดอะไรเรื่องพี่ชาย”

“ไม่รู้ล่ะ ปูต้องช่วยหนุ่ยแก้ปัญหาด้วย มืดค่ำแบบนี้หนุ่ยไม่กล้ากลับแล้ว” หนุ่ยพูดเสียงเครือราวกับว่าหากกลับไปในตอนนี้คงไม่แคล้วถูกฉุดคร่าเป็นแน่

“แล้วทำไมหนุ่ยไม่พักกับพี่สาวล่ะ อยู่แถวนี้เอง” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

“เขาพักกับเพื่อนผู้หญิง ห้องหนึ่งอยู่กันหลายคน หนุ่ยไปพักด้วยไม่ได้หรอก มันไม่สะดวก” หนุ่ยอ้าง

“อ่า เอาไงดีหว่า” ผมชักหนักใจ แต่แล้วก็คิดออก “แถวนี้มีโรงแรมตั้งหลายแห่ง เขียนว่ามีแบบชั่วคราวด้วย ลองไปถามราคาดูไหม”

ย่านสะพานควายในยุคนั้นมีโรงแรมที่ชื่อโรงแรมเป็นตัวเลขอยู่ด้วย จำได้ว่าอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งมันก็คือโรงแรมม่านรูดนั่นเอง ซึ่งผมคิดว่าถึงจะม่านรูดหรือไม่ม่านรูดก็น่าจะเข้าพักแก้ขัดได้สักคืนหนึ่ง

“ดีเหมือนกัน” หนุ่ยมีสีหน้าสดชื่นขึ้นทันที “ปูพาไปหน่อยสิ”

“กินอาหารเย็นกันก่อนไหม” ผมแนะนำ “หนุ่ยเข้าพักแล้วจะได้ไม่ต้องออกมาหาอะไรกินอีก แล้วเราก็จะได้แยกกลับ วันพรุ่งนี้หนุ่ยก็รีบกลับแต่เช้า”

“อ๊าว” หนุ่ยโวย “จะทิ้งหนุ่ยให้นอนในโรงแรมคนเดียวได้ไง ปูต้องนอนเป็นเพื่อนหนุ่ยด้วยสิ นะปูนะ”

ผมชักลังเลใจ ความหล่อของหนุ่ยบวกกับความขี้อ้อนทำให้ผมรู้สึกดีกับหนุ่ย ผมรู้ดีว่าหากเรานอนด้วยกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ที่จริงผมก็อยากมีความสุขเล็กๆน้อยๆกับหนุ่ยอยู่เหมือนกัน

“เอ้อ...” ผมลากเสียงลังเล

“ไม่ต้องเอ้อแล้ว ปูจะทิ้งหนุ่ยไปได้ไง” หนุ่ยย้ำอีก

หากจะมีความสุขกันเล็กๆน้อยๆผมไม่ถือสาอะไร แต่หากผมค้างคืนกับหนุ่ยผมกลัวว่าผมเองจะยั้งใจไม่ได้จนมีอะไรกันเลยเถิด ผมคิดหนัก... ต่างคนต่างก็มีวิธีคิดของตนเอง สำหรับผมนั้นผมไม่ต้องการมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับใครที่ผมไม่ได้รัก มันก็ไม่เชิงว่าคนคนนั้นต้องเป็นไอ้นัยเพราะตอนนั้นเรื่องของไอ้นัยก็ผ่านมาหลายปีแล้ว การขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิงทำให้ภาพของไอ้นัยเริ่มลางเลือนไปแล้ว... คนผู้นั้นอาจเป็นคนอื่นก็คงได้แต่ขอให้เป็นคนที่ผมมอบหัวใจรักให้... จริงอยู่ แม้หนุ่ยกับผมจะถูกอัธยาศัยกันและผมรู้สึกดีกับหนุ่ยมาก แต่หากจะพูดคำว่ารักแล้วมันยังห่างอยู่อีกช่วงหนึ่ง... ช่วงใหญ่ทีเดียว...

ด้วยความที่ผมเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง หากค้างคืนกันสองต่อสอง ความหล่อกับความอ้อนของหนุ่ยคงทำให้ผมยากที่จะหักห้ามใจตนเองได้เป็นแน่...

“เราคงช่วยหนุ่ยได้เท่านี้เพราะเราเองก็ต้องกลับหอ หากเราไม่กลับไปนอนที่หอพี่ชายเกิดเอาไปฟ้องพ่อแม่ว่าเราเหลวไหลเราคงเดือดร้อน” ผมตัดสินใจพูดอย่างรวบรัด แม้จะฟังดูถูไถไปบ้างแต่ก็ตัดรอนอย่างชัดเจน “หนุ่ยเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะกลับบ้านตอนนี้หรือจะนอนค้างคืนคนเดียวในโรงแรม”

ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้หนุ่ยต่อรองทำให้หนุ่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดเสียงอ่อยๆ

“งั้นหนุ่ยกลับก็แล้วกัน หนุ่ยไม่กล้านอนในโรงแรมแบบนี้คนเดียวหรอก”

น้ำเสียงของหนุ่ยทำให้ผมแทบใจอ่อน แต่ในเมื่อผมตัดสินใจพูดแล้วผมก็คงกลับคำอีกไม่ได้ ผมตัดสินใจตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า ในที่สุดผมก็ส่งหนุ่ยขึ้นรถเมล์ที่หน้าโรงหนังมงคลรามานั่นเองเพื่อไปยังสถานีขนส่งสายใต้

“หวัดดีหนุ่ย แล้วโทรคุยกันอีกนะ หรือจะเขียนจดหมายก็ได้” ผมกล่าวลาหนุ่ยขณะที่ส่งหนุ่ยขึ้นรถไป

- - -

“เอ้า เพ็ญ กินขนมหน่อย เพิ่งหายไข้ต้องบำรุงหน่อย” พี่ตั้วเดินเข้ามาในห้องชั้นในของชมรมพร้อมกับชูถุงขนมในมือ

“กินขนมแล้วมันจะบำรุงตรงไหน ไม่ใช่ยาบำรุงสักหน่อย” ผมกวน

“เสือก ไม่ได้เอามาให้นายกิน” พี่ตั้วดุ

“ก็อยากเสือกน่ะ มีอะไรมั้ย” ผมหน้าด้าน ไม่เลิกกวน จากนั้นก็หันไปพูดกับเพ็ญ “เพ็ญกินคนเดียวไม่หมดเนอะ แบ่งกันดีกว่า”

“พี่ตั้วเค้าซื้อมาฝากพวกเราทุกคนนั่นแหละ ก็แบ่งๆกัน” เพ็ญพูดแบบพยายามรักษาน้ำใจ

“แบ่งๆกันกินก็ได้ แต่ไม่ให้ไอ้อูกิน มันกวนโอ๊ยนัก” พี่ตั้วพูดพลางหัวเราะ

หลังจากที่เพ็ญกลับมาเรียนอีกครั้งหนึ่ง เพ็ญก็เชื่อคำแนะนำของผมที่พยายามอย่าอยู่ว่างจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ดังนั้นเพ็ญจึงกลับมาทำงานที่ชมรมอีกครั้งหนึ่งโดยพี่ตั้วมอบหมายให้เพ็ญทำหน้าที่ทำชีตเฉลยแบบฝึกหัดวิชาแคลคูลัสของเทอมสอง ในเทอมนี้เราได้ไอ้กี้กับเพื่อนที่ชื่อวัตรมาร่วมงานด้วยแต่เนื่องจากผมกับเพ็ญทำงานเข้าขากันดีอยู่แล้ว เพ็ญเขียนเฉลย ส่วนผมพิมพ์ต้นฉบับ ความคุ้นเคยกับลายมือของเพ็ญมาตั้งแต่เทอมที่แล้วทำให้งานค่อนข้างราบรื่น แทบจะทำกันเพียงสองคนก็ยังได้ ไอ้กี้กับวัตรหากจะช่วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก พี่ตั้วจึงมอบหมายไอ้สองคนนี้ทำอย่างอื่น การทำงานในชมรมเป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะรุ่นพี่กับรุ่นน้องเข้าขากันได้ดี กว่าจะได้ปิดชมรมก็เย็นถึงค่ำทุกวัน เพ็ญเองก็มักอยู่จนปิดชมรม

การได้ทำงานเฉลยแบบฝึกหัดทำให้ผมเท่ากับว่าได้ความรู้เพิ่มเติมไปในตัว เพราะเมื่อผมสงสัยข้อใด เพ็ญก็มักอธิบายให้ผมฟัง แม้บางข้อจะเข้าใจยาก เพ็ญก็พยายามอธิบายจนผมเข้าใจ จนมคิดว่าเกรดวิชาแคลคูลัสในเทอมนี้ของผมคงไม่ผ่านแบบเน่าๆเหมือนเทอมที่แล้วเป็นแน่ ขณะเดียวกัน ในเวลากลางคืนและในวันหยุดผมก็แบ่งเวลาให้กับการดูหนังสือสอบเอนทรานซ์อย่างเอาจริงเอาจัง

- - -

“หวัดดีครับพี่พร” ผมทักทายพี่พร แม่บ้านประจำหอพักที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านค้าชั้นล่างของหอพัก ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว วันนั้นผมกลับดึกนิดหน่อย

“กลับเสียดึกเชียวน้องอู” พี่พรทักทาย “มีคนโทรศัพท์มาหาอูหลายครั้งแล้วตั้งแต่มื่อตอนเย็น ดูท่าจะมีธุระด่วน”

“เค้าฝากบอกอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถาม คาดว่าอาจเป็นหนุ่ย ตอนนี้คนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ของผมมีแต่คนที่บ้านกับหนุ่ยเท่านั้น

“ไม่ได้ฝากบอกอะไร ถามแต่ว่าเมื่อไรกลับ แล้วจะโทรมาอีก” พี่พรตอบ จากนั้นก็พูดเหมือนนึกได้ “อ้อ ไม่รู้ว่าพี่ฟังผิดหรือว่าคนที่โทรมาพูดผิด คือสำเนียงเค้าแบบคนกาญจน์น่ะ แต่พี่ว่าเค้าเรียกชื่อปูนะ ดีแต่ว่าบอกเลขห้องด้วยพี่เลยรู้ว่าหมายถึงอู”

อ้อ ถ้าอย่างนั้นคงเป็นหนุ่ยแน่เลย ถ้าสำเนียงแบบนั้นน่าจะเป็นหนุ่ยแต่พี่พรคงเข้าใจว่าเป็นสำเนียงกาญจนบุรี หนุ่ยมีธุระด่วนอะไรจึงต้องโทรมาหลายครั้งผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน

ผมเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสี่ เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าห้องพัก ยังไม่ทันจะไขกุญแจเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงออดของอินเตอร์คอมที่ติดอยู่ที่ทางเดินของชั้นสี่ดังขึ้น

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรลั่นออกมาทางลำโพงของอินเตอร์คอม

“คร้าบ ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมร้องตอบพร้อมทั้งรีบเดินลงไปชั้นล่างอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อผมเดินลงไปถึงชั้นล่าง พี่พรก็บุ้ยใบ้ไปทางหูโทรศัพท์ที่วางอยู่

“นั่นไง มาอีกแล้ว เจ้าเก่านั่นแหละ” พี่พรพูดเบาๆ

ผมเดินไปยกหูโทรศัพท์แล้วรับสาย

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหล นั่นคุณปูเหรอ” ผมเสียงทักทายด้วยสำเนียงเหน่อกระจาย แต่เสียงนั้นกลับไม่ใช่เสียงของหนุ่ย

“นั่นใครน่ะ” ผมถามอย่างงุนงง ยังนึกตนสายปลายเหตุไม่ออกว่าเหตุใดจึงมีคนแปลกหน้ารู้จักเบอร์โทรศัพท์ของหอพักที่ผมพักอยู่ได้

“ผมเป็นแฟนของหนุ่ยนะ” ได้ยินปลายสายทางด้านโน้นพูด

ผมเงียบไปด้วยความตกใจ มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่

“ได้ยินว่าคุณคบกับหนุ่ย... วันก่อนหนุ่ยก็มาหาคุณ แล้วพวกคุณก็มีอะไรกัน” ปลายสายทางด้านโน้นพูดอีก

“เฮ้ย เอาอะไรมาพูด” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุดเพราะเกรงคนในร้านได้ยิน “คุณชื่ออะไรล่ะ ผมจะได้เรียกถูก”

“ผมชื่อเอก” เอกตอบ

“เดี๋ยวผมโทรกลับได้ไหม ขอเบอร์คุณหน่อย ที่นี่เป็นหอพัก คุยไม่สะดวก” ผมพยายามต่อรองเพื่อที่จะไปคุยที่ตู้สาธารณะ คุยตรงนี้หากเผลอพูดเสียงดังหน่อยพอดีได้รู้กันหมดทั้งหอพัก

“คุยกันที่นี่แหละ” เอกยืนกราน

“เฮ้ย ก็บอกแล้วไงว่าไม่สะดวก คนอยู่เยอะแยะเลย” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุด

“ไม่ต้อง คุยที่นี่แหละ” เอกยืนกรานอีก

“ถ้าคุณไม่ให้ผมโทรกลับ ยังงั้นผมก็ไม่คุยเหมือนกันเพราะไม่สะดวกคุย” ผมชักโมโห

“ถ้าคุณไม่คุยกับผมให้รู้เรื่อง ผมจะโทรมาที่เบอร์นี้อีก แล้วบอกทุกคนที่รับสายว่าคุณแย่งแฟนคนอื่น... เป็นแฟนผู้ชายด้วย” เอกไม่กลัวคำขู่ของผมเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เมื่อผมได้ยินคำขู่กลับของเอกผมถึงกับเย็นสันหลังวาบ ขวัญหนีดีฝ่อ

ฉิบหายแล้ว ผมคิดในใจ ไอ้หนุ่ยก่อเรื่องให้ผมเสียแล้ว เรื่องราวเป็นมายังไงผมยังไม่รู้เลยแม้แต่น้อย รู้แต่ว่าครั้งนี้ผมคงเดือดร้อนแน่

“เอาก็เอา คุยที่นี่ก็ได้ แต่มันจะตัดทุกห้านาทีนะ โทรศัพท์ของหอพักมันจำกัดเวลา ผมไม่ได้แกล้งตัดสาย คุณอย่าเข้าใจผิดก็แล้วกัน” ในที่สุดผมก็ต้องจำยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเอก

“ผมเป็นแฟนของหนุ่ยนะ” เอกพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด “และคุณกำลังเป็นชู้กับแฟนของผม”

ผมฟังแล้วแทบสำลักน้ำลายในลำคอของตนเอง มันเป็นคำกล่าวหาที่น่าเกลียดมาก ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะต้องมาแบกข้อหาเป็นชู้กับแฟนคนอื่น และยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องชู้สาวเสียด้วย แต่เป็นเรื่องชู้หนุ่ม

“เดี๋ยวๆๆ” ผมพูดเกือบเป็นเสียงกระซิบ “ผมไม่เคยมีอะไรกับหนุ่ยเลยนะ จะมาว่าเป็นชู้ได้ไง”

“หนุ่ยมันเป็นคนเจ้าชู้” เอกพูดด้วยเสียงเครียด “มันแอบไปคบคนอื่นโดยที่ผมไม่รู้หลายคนแล้ว นี่ผมเจอชื่อคุณในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ของหนุ่ย คุณเป็นรายล่าสุดของมัน ผมถามมาแล้ว รู้ว่ามันไปหาคุณที่กรุงเทพฯเมื่อเสาร์ก่อน อย่านึกว่าผมไม่รู้นะ มันสารภาพออกมาหมดแล้ว”




<โรงหนังมงคลรามา เปิดฉายประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นโรงหนังชั้นสองที่ฉายแนวหนังฝรั่ง โรงหนังโรงนี้เปิดให้บริการมาอย่างยาวนานในขณะที่โรงหนังชั้นสองโรงอื่นๆทยอยกันปิดกิจการไปตั้งแต่เมื่อโรงหนังเข้าสู่ยุคที่เรียกว่าโรงหนังขึ้นห้างหรือเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นต้นมา และเมื่อถึงยุคหลังต้มยำกุ้งหรือว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ โรงหนังในห้างได้พัฒนาคุณภาพทั้งด้านระบบการฉายและระบบเสียงไปมาก การดูหนังได้กลายมาเป็นไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวไป โรงหนังชั้นสองที่ทั้งเก่าและสภาพทรุดโทรมจึงหมดความนิยมและยิ่งปิดตัวไปจนเกือบหมด ภาพบนเป็นโรงหนังมงคลรามาที่ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒ มงคลรามาให้บริการมาจนถึงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงเลิกกิจการและรื้อถอนไป ภาพล่างเป็นกิจการใหม่ที่มาแทนที่ในปัจจุบัน>




<สภาพภายในโรงหนังมงคลรามาสมัยก่อน เป็นโรงหนังที่มีสองชั้นซึ่งถือว่าหรูมาก เก้าอี้เบาะสีแดงนั่งสบาย ระบบปรับอากาศเย็นฉ่ำ ผู้ชมส่วนใหญ่จะนั่งออกันอยู่ตรงที่นั่งชั้นล่างด้านหลังกับที่นั่งชั้นบน (หมายถึงชั้นที่สอง) ดังนั้นที่นั่งของชั้นล่างด้านหน้าใกล้จอจึงมักว่างโล่ง สามารถนั่งพลอดรักกันได้>

21 comments:

Anonymous said...

ตอกบัตรก่อนอ่าน ตอนนี้มาพร้อมสึนามิเลยนะคะอู

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ก้อรู้สึกแหม่งๆมาตั้งกะตอนที่แล้ว อารั๊ยย..จะให้บังเอิญไปซะหมด เกือบไปแล้วมั้ยล่ะคะ..!!

โรงหนังแถวสะพานควายพี่เคยดูเรื่อง"ฟ้าหลังฝน"ที่เฉลิมสินด้วยล่ะ หน้าโรงจะขายมะม่วงเฉาะเป็นชิ้นๆย้อมสีเหลืองๆกับแห้วเสียบด้วยไม้ลูกชิ้น เล่าแล้วหลานๆแถวนี้รู้อายุหมดเลย 555

ป.ล.ตอนที่อธิป ทองจินดา ตกตึกCPNเสียชีวิตตอนนั้นคนลาดพร้าวทำงานแล้ว ฉะนั้นพี่ป้าขวัญคงทำงานแล้วเช่นเดียวกันค่ะ

คนลาดพร้าว

Unknown said...

มารายงานตัวก่อนครับผม

กัน

Anonymous said...

ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตวันที่ 1 ตุลาคม 2530
รายงานของตำรวจระบุ เวลาตีสอง รถเก๋งนิสสัน เซนทรา สีน้ำตาลแก่ ทะเบียน 2 ฉ-9357 กรุงเทพมหานคร เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ หักหลบเสยเข้าชนรถส่งหนังสือพิมพ์ จนประตูรถเก๋งด้านคนขับเปิดออก เหตุเกิดที่บริเวณแยกถนนประดิพัทธ์ ตัดถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ
ศพที่นอนอยู่ใต้ท้องรถสวมเสื้อคอกลมสีขาว หน้าผากด้านขวายุบคางแตก แขนซ้ายหักเขาคือ อธิป ทองจินดา พระเอกและนายแบบชื่อดังวัย 23 ปี

Anonymous said...

ผมว่าแล้ว ว่าเรื่องมันต้องพลิกล็อค เฮ่อ
Federick

Anonymous said...

มะ มารักคนแรกไม่ทันสินะ T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

โอว!ขออภัยค่ะ เอา2เหตุการณ์มาทับซ้อนกันจนได้ ที่คนลาดพร้าวเขียนไปนั่นคือธรรม์ โทณะวณิก ตะหาก ปลาท้อง ปลาทอง ของแท้..แฮ่ะๆ

คนลาดพร้าว

หลาบเอง said...

คนลาดพร้าวหนู เกือบเดาว่าคนลาดพร้าวจบ 2528

พี่อู หนูว่าความลับนี่ควรรักษา เท่าชีงวิตนะเนี่ย

Anonymous said...

เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ อธิปจากไปยี่สิบสี่ปีแล้วนะพอๆกับตอนที่ป้าเริ่มจีบลุุงสุดหล่อของป้า

น้องอูจะโดนเจ้าของตัวจริงของหนุ่ยกวนใจมากหรือเปล่า
คงไม่ถึงกับย้ายหอหนีนะ

อิอิ
ป้าขวัญ

Anonymous said...

บังเอิญเข้ามาเจอเรื่องสั้น น่าจะเรื่องยาวมากกว่า ที่คุณอูเขียนไว้ ผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านอยู่หลายวัน ทำให้นึกไปถึงวันเวลาที่ผ่านมาได้ชัดเจนมาก จิตตกอยู่หลายวัน แต่ก้อ สนุก และเป็นเรื่องที่ผมอ่านแล้วมีความสุข จะติดตามเรื่อยๆคับ

ApriL

อู said...

ยินดีที่รู้จักคุณเมษาครับ อ่านดูแล้วเราคงรุ่นใกล้ๆกันมั้ง อันที่จริง เดิมทีก็ว่าจะเขียนสั้นๆอยู่หรอกครับ ทำไมลากยาวมาจนป่านนี้ได้ก็ยังงงอยู่เหมือนกัน

ถ้าเรื่องนี้จัดเป็นเรื่องสั้น สงสัยเหมือนกันว่าต้องขนาดไหนจึงจะเป็นเรื่องยาว :-)

อ่านคอมเมนต์ของพี่สาวลาดพร้าวแล้วนึกถึงปลาทองตัวกลม แก้มป่อง ความจำ 12 วิ. ว่ายน้ำช้าๆอยู่ในโหล มีถุงมะม่วงดองอยู่ในโหลด้วย ชีวิตไม่เร่งรีบ พี่คงน่ารักแบบนั้นละเนอะ ดีนะครับที่พี่บอกว่าดูฟ้าหลังฝน หากบอกว่าดูหนังอินทรีทองละก็คงต้องเรียกย่าแล้ว

พี่นิวเสียชีวิตไป ๒๔ ปีแล้วหรือครับ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ถ้างั้นพี่ปุ๋ยก็เป็นนางงามมา ๒๓ ปีแล้วสิ พี่ต๋อง ศิษย์ฉ่อยก็เป็นแชมป์มา ๒๓ ปีแล้ว ตอนนั้นมงคลรามาแม้จะเริ่มเก่าแล้ว (เพราะเปิดมา ๒๐ ปีแล้ว) แต่ว่าในตอนนั้นสภาพโรงยังดูดี ใช้ได้อยู่ ยกเว้นห้องน้ำที่แย่มาก

มาในปีหลังๆที่ใกล้เลิกกิจการ ผมมีโอกาสเข้าไปดูอีกครั้งหนึ่ง สภาพภายในกลิ่นอับแรงมาก เบาะขาดๆ ดูๆอยู่มีหนูวิ่งตามพื้นโรงด้วย (สงสัยว่าจะเป็นสเปเชียลเอฟเฟกต์ของทางโรงหนัง) เวลาชมต้องยกขาขึ้นมาบนเก้าอี้เพื่อหลบไม่ให้หนูวิ่งชนขา ห้องน้ำนี่สุดจะบรรยายเลย แต่ว่าเสน่ห์ของโรงหนังชั้นสองอย่างหนึ่งที่ผมชอบก็คือบทพากย์ไทยที่ชอบพากย์นอกบท บางคนอาจจะบอกว่าเสียรสชาติแต่ผมชอบ ขำๆดี

Anonymous said...

งานเข้าละ

ทำไงดีล่ะทีเน้


ลุ้น ๆๆ

...OaH...

Anonymous said...

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคับคุณอู ละก้อสวัสดีเพื่อนๆทุกคนคับ ตอนแรก สนใจเรื่องราวของเด็กทั้ง 3คน อ่านแล้ว อึ้ง ทึ่ง เสียว ลุ้นระทึก ประหนึ่งว่าเรื่องนี้เกิดกะตัวผมเอง 555. ในวัยเด็กผมก็โตขึ้นมากะรถเมล์สาย 8 นี่ละคับ ลาดพร้าว หลานหลวง สะพานพุทธ โตขึ้นมาหน่อยก้อเรียนพิเศษแถวสามย่าน สยาม ละก็มาเรียนอยู่แถวจุตจักร แต่ไปซื้อหนังสือเรียนที่ศุนย์หนังสือจุฬา text bookอ่ะคับเรียนที่นั่น3ปี ได้ดูหนังที่มงคลแค่ครั้งเดียวเองอ่า คือมันอยู่ใกล้ ขึ้นรถเมล์ไปก็2ป้าย มันเปลือง จะเดินก้อขี้เกียจคับ ทำงานช่วงแรก อยู่แถวโชคชัย4คับ ได้ใช้บริการ สาย8 ปอ2 ปอ126ประจำคับ และยิ่งเห็นรูปรถเมล์ที่คุณโพสไว้ด้วยนะ ช่ายเลย 555 มาตอนนี้แทบจำไม่ได้ว่าเส้นลาดพร้าวเป็นยังไง เพราะไม่ได้ผ่านไปเลยคับ เรื่องของคุณอูทำให้ผมหวนนึกไปถึงอดีตที่บางครั้ง สถานที่ที่เราไปมันเป็นที่เดียวกันคับ

ApriL

Choo said...

มีแฟนคลับเข้ามายินดีที่รู้จักอูด้วยแฮะ

แต่ผมเข้ามายินดีที่ไม่รู้จักอูดีกว่า เข้า trend หนังกวนมีนโฮ ซะหน่อย

ยินดีที่ไม่รู้จักครับอู รวมถึงยินดีที่ไม่รู้จักน้องๆ หลานๆ ทุกคนด้วย

ติดตามเรื่องนี้มาเป็นปีๆ หักมุมตลอดเลยครับ หักไปหักมา เดี๋ยวนายอูจะกลายเป็นชอบผู้หญิง หลอกฟันหญิงไปทั่ว จะผิดคอมเซ็ปเรื่องเกย์นะครับ

กัด กัด กัด

PR said...

โอ้ะ โอ เข้ามา ก้อมี แฟน คลับอาอู เพิ่ม แฮะ ...

ดีจ้ะ อาอู และทุกท่าน

มาสวัสดีเล็กน้อย ก่องเอิ้ก ๆ ว่า แต่ อาอู๊ ตอนต่อไปนานใช้ได้รุย

ไม่ได้มาทวง น้า หลานแค่คิดถุง ฮี่ ๆ

.......

หลาน อาร์

หลาบเอง said...

ขออย่าให้ถึงหลังสงกรานต์ นานเกิ้น

อู said...

วันพฤหัสมาโพสต์ครับ แต่เวลาไหนยังไม่แน่ใจ

ขออภัยที่ช้าครับ ช่วงนี้หัวหมุนลย

อู said...

ไม่ไหว ทำไม่ทันจริงๆครับ คงต้องรอวันหยุดแล้วละ

พี said...

จะรอครับ...

ขอบคุณครับที่ยังเข้ามาแจ้งให้ทราบ

*** PEE ***

หลาบเอง said...

ใช่ค่ะ ขอบคุณที่แจ้งค่ะ
ไม่ทันก็ไม่เป้นไร ค่ะ
รออ่านเสมอค่ะ

Anonymous said...

ApriL
รอได้คับ หุหุ