Sunday, February 27, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 24

“หวัดดีปู

หนุ่ยจะขึ้นไปหาพี่สาวที่กรุงเทพฯวันเสาร์ที่ ... พี่สาวหนุ่ยอยู่แถวสะพานควาย อยากเจอปูด้วย มาหาหนุ่ยได้ไหม หนุ่ยจะรออยู่ที่ห้างเมอร์รี่คิงส์ตอนบ่าย อยากดูหนังโรงสักเรื่อง โทรมาหาหนุ่ยหน่อยนะ จะได้นัดกัน เบอร์หนุ่ย ...

คิดถึง

หนุ่ย”

หลายวันมานี้ผมมัวแต่ขลุกอยู่ในโรงพยาบาลจนค่ำ ทำให้ไปไขตู้ไปรษณีย์ไม่ทัน เว้นไปหลายวันเมื่อกลับมาไขตู้อีกทีก็พบจดหมายของหนุ่ย ช่วงนั้นเหลือหนุ่ยเพียงคนเดียวที่ยังเขียนติดต่อกับผม

หนุ่ยเคยเล่าให้ฟังว่ามีพี่สาวมาทำงานที่กรุงเทพฯ เช่าห้องพักแถวสะพานควายโดยพักร่วมกับเพื่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ติดต่อกันมาหนุ่ยไม่เคยพูดเรื่องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเลย เราจึงไม่เคยคุยเรื่องนัดเจอกันมาก่อน ครั้งนี้จู่ๆหนุ่ยก็จะเข้ากรุงเทพฯมาพร้อมกับชวนผมดูหนัง

หนุ่ยหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ส่วนนิสัยนั้นเท่าที่คุยน่าจะเป็นคนซื่อๆ จริงใจ เมื่อคิดถึงเรื่องการนัดกันก็ทำให้อดนึกไปถึงโอ๋ไม่ได้ เมื่อได้เจอกับหนุ่ยแล้วเราจะยังคบกันต่อไปได้หรือไม่ หากว่าได้พบกันแล้วจะต้องทำให้ห่างหายกันไป ถ้าอย่างนั้นสู้อย่าได้พบกันจะดีกว่า...

“ฮัลโหล ผมขอสายหนุ่ยครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ของเครื่องโทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งอยู่ภายในซอยหอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มแล้ว เมื่อผมอ่านจดหมายของหนุ่ยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลองโทรหาหนุ่ยดู เรื่องของโอ๋เพียงเหตุการณ์เดียวยังไม่ทำให้ผมเข็ดขยาด คนเราอาจไม่ใช่เป็นอย่างโอ๋ไปเสียทุกคน

ผมรอสายอยู่สักครู่ก็ได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งรับสาย

“ฮัลโหล”

“หนุ่ยเหรอ นี่ปู...” ผมพูด

“ปู... หูย ดีใจจัง หนุ่ยรอโทรศัพท์อยู่หลายวันแล้ว นึกว่าปูจะไม่โทรมาแล้ว” หนุ่ยพูดด้วยความดีใจ เสียงของหนุ่ยทุ้มๆ ฟังรื่นหูดี แต่ทว่าสำเนียงนั้นเหน่อกระจาย

“ช่วงนี้เพื่อนไม่สบายน่ะ ไปเยี่ยมเพื่อนแล้วทำให้ไขตู้ไม่ทัน เลยไม่ได้ไปไขเสียหลายวัน” ผมอธิบาย

เราคุยกันสักครู่จากนั้นก็พูดกันถึงเรื่องการนัดเจอกัน

“อยากดูหนังสักรอบจัง ไม่ได้ดูหนังที่กรุงเทพฯนานแล้ว” หนุ่ยอ้อน “แต่อย่าไปดูไกลเพราะไม่อยากกลับบ้านดึก”

จากการพูดคุยกันทำให้ผมคิดว่าหนุ่ยคงไม่น่าจะมาแผนสูงแบบโอ๋ แค่ดูหนังสักรอบแล้วรีบกลับคงไม่น่ามีอะไร ในที่สุดผมจึงตกลงนัดหมายกับหนุ่ยที่ห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย ตอนบ่ายสามโมงที่ศูนย์อาหาร ห้างเมอร์รี่คิงส์ในตอนนั้นเพิ่งเปิดได้เพียงไม่กี่ปี ยังเป็นห้างใหม่อยู่ ก็น่าเดินอยู่เหมือนกัน จำได้ว่าห้างนี้หลังจากที่เปิดมาไม่นานก็เกิดไฟไหม้ จากนั้นปิดปรับปรุงไปพักหนึ่งแล้วก็เปิดทำการอีกครั้ง

“หนุ่ยขอเบอร์ปูได้ไหม” หนุ่ยถามก่อนที่เราจะจบการสนทนาในคืนวันนั้นลง

“เอ้อ... อย่าเลย” ผมปฏิเสธด้วยเสียงอึกอัก แม้รู้สึกเกรงใจหนุ่ยแต่ก็จำใจต้องทำ ผมจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “เบอร์โทรหอพัก โทรมาก็ไม่สะดวกหรอก เขียนจดหมายคุยกันดีกว่า”

“งั้นพรุ่งนี้โทรมาหาหนุ่ยอีกได้ไหม” หนุ่ยถาม หลายๆคำที่หนุ่ยพูดนั้นออกเสียงเหมือนในภาษาเขียน เช่นในภาษาพูดคำว่าได้ไหมเรามักออกเสียงว่าได้มั้ย แต่หนุ่ยออกเสียงว่าได้ไหม คำว่าเขาที่ปกติออกเสียงว่าเค้าในภาษาพูด หนุ่ยก็ออกเสียงว่าเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เหน่อกระจายแบบนี้ฟังแล้วก็น่ารักดี

“จะพยายามนะหนุ่ย” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ที่จริงผมอยากโทรไปคุย

“ฝันดีนะปู” หนุ่ยหยอดคำหวานด้วยสำเนียงท้องถิ่น

“ฝันดีเช่นกันหนุ่ย” ผมตอบ

- - -

เที่ยงวันหนึ่ง

ผมก้าวขึ้นบันไดตึกกิจกรรมเพื่อขึ้นไปยังชมรมวิชาการหลังจากที่กินอาหารเที่ยงเสร็จ เปิดเทอมสองมาได้หลายวันแล้วแต่ผมแทบไม่ได้ย่างกรายไปที่ชมรมเลยเนื่องจากตอนกลางวันผมต้องช่วยแมวกับจิ๊บเตรียมเอกสารวิชาเรียนให้เพ็ญ ส่วนตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็เอาไปส่งให้เพ็ญ แม้เพ็ญจะอ่านบ้างไม่อ่านบ้างเนื่องจากสภาพจิตใจคงยังไม่พร้อม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเราก็ยังเตรียมวิชาเรียนไปให้เพ็ญทุกวัน

เมื่อผมขึ้นไปถึงชมรม แค่ยืนอยู่หน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องเพลงลอยออกมาจากห้องชั้นในแล้ว เมื่อผมเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องชั้นในก็เห็นพี่ตั้วกำลังเล่นกีตาร์และมีคนอื่นๆช่วยร้องคลออยู่ หนึ่งในคนเหล่านั้นเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะเจอที่นี่

“อ้าวๆๆ ไอ้เหี้ยอู มึงขึ้นมานี่ได้ไง” นักศึกษาขาวตี๋ หุ่นผอมๆ ที่กำลังนั่งร้องเพลงอยู่เมื่อเห็นผมเข้าก็ร้องทักทาย ทั้งร่างและเสียงนั้นผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม

“กูมีตีนกูก็เดินขึ้นมาน่ะสิ ถามได้” ผมตอบ

“ไอ้สัตว์นี่” นักศึกษาคนนั้นหัวเราะจนตาหยี “มึงขึ้นมาทำไมวะ”

“ก็กูทำงานที่ชมรมนี้ตั้งแต่เทอมที่แล้ว มึงต่างหากที่ขึ้นมาทำไม” ผมตอบไม่ลดราวาศอก

นักศึกษาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้กี้นั่นเอง มันหันไปมองหน้าพี่ตั้วเป็นเชิงถาม พี่ตั้วพยักหน้ารับว่าใช่

“มึงเนี่ยนะทำงานวิชาการ โอย กูอยากขำให้เหงือกหลุด” ไอ้กี้หัวเราะแบบตัวร้ายในหนังจีน แถมยังเอามือจี้เอวตนเองเพื่อเพิ่มระดับความขบขันเสียอีก ดูแล้วน่ากระโดดเตะเหลือเกิน

ผมรู้ดีว่าไอ้กี้คงสงสัยว่าคนที่เรียนห่วยอย่างผมนั้นมาทำงานวิชาการได้อย่างไร ผมรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ภาพความห่วยในอดีตของผมคงติดตาตรึงใจอยู่ในความรู้สึกของหลายๆคน แม้จนบัดนี้ภาพนั้นก็ยังไม่ได้ถูกลบเลือนไป

“มึงรู้หรือเปล่าว่าชีตติวแคลคูลัสที่ช่วยให้มึงสอบผ่านในเทอมที่แล้วน่ะ ส่วนหนึ่งก็ฝีมือกูเอง ไม่ต้องเสือกมาพูดมากเลย” ผมยังไม่ยอมมัน

“เอ้อ ไอ้อู ยายเพ็ญมันหายไปไหนของมันวะ” พี่ตั้วพูดแทรกขึ้นมา ทำให้การต่อปากต่อคำของผมกับไอ้กี้ต้องหยุดลง “พี่ไปตามหาเพ็ญที่กลุ่มก็ไม่เจอ ได้ยินพูดกันว่าเพ็ญไม่ค่อยสบาย ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ได้มาเรียนเลย”

“เพ็ญเหรอครับ” ผมเสียววาบ พี่ตั้วไม่น่ามาถามผมเลย ผมไม่อยากโกหกแต่ก็พูดความจริงไม่ได้ “พี่จะหาเพ็ญไปทำไมล่ะ”

“ก็จะตามตัวมาช่วยงานอีกน่ะสิ นายสนิทกับเพ็ญ พอรู้ไหมว่าเพ็ญไม่สบายเป็นอะไร” พี่ตั้วถามอีก

“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่” ผมมุสา “ก็สนิทกันแค่ตอนทำงานในชมรมเท่านั้น”

“อะไรกันฟะ” พี่ตั้วบ่น “ไม่ได้มาเรียนตั้งแต่เปิดเทอมแต่ไม่ยักมีใครรู้ว่าเป็นอะไร พวกนี้มันเป็นเพื่อนกันยังไงนะ”

“แล้วพี่เอาไอ้ตัวนี่ขึ้นมาทำไมครับ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปมองทางไอ้กี้ “เกะกะมากเลย”

“เฮ้ย พี่เปล่าพามา กี้กับเพื่อนขึ้นมาเอง บอกว่าอยากทำกิจกรรม ขึ้นมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว” พี่ตั้วพูด “แล้วนายหายไปไหนมา ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”

“ผมเห็นว่าที่ชมรมยังไม่ค่อยมีงานน่ะครับ ก็เลยไม่ค่อยได้ขึ้นมา เอาไว้มีงานแล้วผมก็ขึ้นมาช่วย” ผมตอบเลี่ยง

ผมนั่งเล่นอยู่ที่ชมรมจนได้เวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายจึงจากมา เป็นอันว่าในเทอมปลายนี้ชมรมได้นักศึกษาปีหนึ่งมาช่วยงานเพิ่มขึ้นอีกสองคน นั่นคือกี้และเพื่อนที่มาจากกลุ่มเดียวกัน คิดแล้วก็อดแปลกใจในชะตาชีวิตไม่ได้ ดูเหมือนว่าผมกับไอ้กี้จะหลีกหนีกันไม่พ้น หลายปีมานี้เพื่อนแล้วคนเล่าได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมแล้วก็จากไป เพื่อนสมัยประถมก็ขาดการติดต่อกัน ส่วนเพื่อนมัธยมนั้นเมื่อผมจบมาแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับใคร คงมีแต่ไอ้กี้เพื่อนมัธยมที่เหมือนจะไม่กินเส้นกับผมเท่าไรนักเพียงคนเดียวที่ยังได้พูดคุยกัน

- - -

“หวัดดีจ้าเพ็ญ” พวกเราเคาะประตูห้องผู้ป่วยที่เพ็ญพักฟื้นอยู่ จากนั้นพวกสาวๆก็บุกเข้าไปทักทายเพ็ญเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ตอนนั้นเพ็ญกำลังเตรียมกินอาหารเย็น

วันนี้สามสาวอันได้แก่ จุ๋ม แมว และจิ๊บ พร้อมด้วยผมนัดมาเยี่ยมเพ็ญด้วยกัน เมื่อเพ็ญเห็นเพื่อนๆสีหน้าก็สดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“แหม ดีจัง วันนี้มากันพร้อมหน้า” เพ็ญพูด

“เป็นไงบ้าง” เพื่อนๆถามไถ่อาการ

“หมอบอกว่าวันมะรืนก็กลับได้แล้ว” เพ็ญตอบ

เมื่อเพ็ญพูดจบพวกเราทั้งหมดต่างก็อึ้งกับไปวูบหนึ่ง แม้แต่เพ็ญเองก็มีสีหน้าที่หม่นและอึ้งไปด้วยเช่นกัน การพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเปรียบเหมือนกับเพ็ญได้อาศัยอยู่ในหลุมหลบภัย เมื่อออกจากที่นี่ไปเมื่อไรก็เท่ากับว่าเพ็ญต้องกลับเข้าไปเผชิญโลกของความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง

พวกสาวๆพยายามชวนเพ็ญคุย ส่วนผมนั้นได้แต่ฟังเพราะพูดไม่ทัน คุยกันจนค่ำสามสาวก็ขอตัวกลับ ส่วนผมนั้นยังคงนั่งอยู่ในห้อง

“เดี๋ยวอีกสักพักเราค่อยกลับ” ผมบอกกับทุกคน “บ้านเราอยู่ไม่ไกล นั่งเป็นเพื่อนเพ็ญอีกสักหน่อยเพ็ญจะได้ไม่เหงา”

ผมนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์อย่างเงียบๆ อยากจะพูดกับเพ็ญว่าดีจังที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ผมก็รู้ดีว่าเพ็ญคงไม่ได้รู้สึกดีเท่าไรนัก เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วเพ็ญคงต้องกลับไปเรียนต่อที่เดิม กลับไปพักที่เดิม แต่ตัวเพ็ญนี่สิกลับไม่ใช่เพ็ญคนเดิมแล้ว แต่เป็นเพ็ญที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลในชีวิต หากเป็นผมผมก็ไม่รู้ว่าจะมีความกล้าและกำลังใจที่จะกลับเข้าไปในโลกอันโหดร้ายใบนี้ได้อย่างไรเหมือนกัน คิดแล้วก็ไม่พูดเสียดีกว่า ผมนึกคำพูดที่จะปลอบใจเพ็ญไม่ออกจริงๆ

ผมนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ส่วนเพ็ญก็ดูทีวีโดยเปิดเสียงเพียงเบาๆเพื่อไม่ให้รบกวนผม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่มผมจึงเตรียมตัวกลับ

“ขอบใจนะอูที่มาอยู่เป็นพื่อน พรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า” เพ็ญถาม

“มาดิ” ผมตอบ

“มะรืนไม่ต้องมานะ เราต้องออกก่อนเที่ยง” เพ็ญพูดต่อ ผมเข้าใจดีเพราะว่าเคยมานอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อน รู้ดีว่าหากออกหลังเที่ยงทางโรงพยาบาลจะคิดค่าห้องเพิ่มอีกหนึ่งวัน

“จะให้มาช่วยไหม” ผมอาสา

“เธอมีเรียนนี่นา” เพ็ญพูด

“โดดได้ สบายมาก” ผมพูด

“ไม่ต้องหรอก ข้าวของเราไม่ได้มากมายอะไร เรากลับเองได้” เพ็ญตอบ

เราสองคนเงียบไปพักหนึ่ง เพ็ญทำท่าเหมือนกับอยากพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด

“คิดอะไรอยู่เหรอ” ผมถามนำเพื่อเปิดโอกาสให้เธอพูด

“เราอยากขอบใจเธอ...” เพ็ญพูดช้าๆ “ที่จริงก็อยากถามอะไรเธอด้วย”

“อะไรล่ะ ว่ามาสิ” ผมพูดกระตุ้นเมื่อเห็นเพ็ญลังเล

“เราอยากขอบใจอูที่... ที่ไม่ถามอะไรเรา” เพ็ญพูดช้าๆ “แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าหลายวันมานี้เธอไม่เคยถามอะไรเราเลย มาถึงก็มาชวนเราคุยเรื่องทั่วๆไป แล้วก็นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ”

ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดของเพ็ญ มันเป็นคำถามที่ผมนึกไม่ถึงว่าจู่ๆเพ็ญจะถามขึ้นมา

หลายวันมานี้ผมทำอย่างที่เพ็ญพูดจริงๆ นั่นคือ ชวนเพ็ญคุยในเรื่องสัพเพเหระ จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือ ผมไม่เคยถามเพ็ญเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยทั้งๆที่มีโอกาสจะถาม มีเรื่องหลายเรื่องที่ผมยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพ็ญจนต้องกลับกลายมาอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ถาม

จำได้ว่าความคิดวูบแรกที่เกิดขึ้นในหัวของผมเมื่อผมได้รู้เรื่องของเพ็ญก็คือคำว่าฆาตกร แต่เมื่อได้เห็นสภาพของเพ็ญแล้วผมก็อดสงสารไม่ได้แม้ในใจยังนึกตำหนิอยู่ก็ตาม

หลังจากที่ผมมาเยี่ยมเพ็ญและอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญในวันต่อมา ได้เห็นเพ็ญผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ยามอยู่เงียบๆผมจึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย... ผมอดนึกถึงเรื่องของตี๋ไม่ได้...

ตอนนั้นถ้าไม่ได้ไอ้นัยช่วยเตือนสติผมด้วยเรื่องพระเยซูกับหญิงคนชั่วผมก็ยังคงคิดรังเกียจไอ้ตี๋เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเพ็ญล่ะ เพ็ญต่างอะไรจากตี๋

ตั้งแต่นั้นมา ทัศนคติของผมที่มีต่อเพ็ญก็กลับกลาย มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะไปตัดสินโทษของเพ็ญ ผมเป็นเพียงแค่เพื่อน... และเพื่อนก็มีหน้าที่ของเพื่อนที่จะต้องทำ...

“เพ็ญ...” ผมพูดช้าๆ พยายามเรียบเรียบคำพูดอยู่ในใจเพื่อไม่ให้พูดผิดพลาด “ที่เราไม่ถามถึงเรื่องในอดีตเพราะเราอยากให้เพ็ญรู้ว่าปัจจุบันต่างหากคือเวลาที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราจึงไม่ได้สนใจอดีตของเพ็ญ แต่เราสนใจในปัจจุบันของเพ็ญมากกว่า เธอจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้หากยังมัวแต่ยึดติดอยู่กับอดีต”

เพ็ญมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ

“คนเราต่างก็มีอดีตที่ไม่น่าจดจำด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราก้าวข้ามมันไปได้ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นั่นก็เท่ากับว่าเราได้สร้างอดีตอันงดงามขึ้นมาสำหรับอนาคต แต่ถ้าเพ็ญก้าวข้ามอดีตไปไม่ได้ เพ็ญก็จะไม่อาจสร้างอดีตอันงดงามสำหรับวันในอนาคตได้ ดังนั้นเราไม่อยากให้เพ็ญอยู่กับอดีต แต่อยากให้เพ็ญอยู่กับปัจจุบัน”

โห พระเอกโคตรๆเลย ผมนึกในใจ พลางก้มลงมองดูที่พื้นห้อง อุปาทานทำให้ผมเห็นเงาของตนเองบนพื้นที่เกิดจากแสงไฟเพดานเหมือนกำลังทำท่าอ้วกอยู่ อะไรที่ผมพูดออกไปนั้นผมเองทำไม่ได้สักอย่าง แต่ก็อย่างว่า บทพูดของพระเอกมันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ

เพ็ญมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไร แต่น้ำตาเริ่มพรูออกมาจากหัวตา จากนั้นเธอก็เริ่มสะอื้น เมื่อผมเห็นน้ำตาของเพ็ญมือไม้ก็ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก คิดได้อยู่อย่างเดียวว่ากลับก่อนดีกว่า

“พักผ่อนก่อนเถอะนะ ค่อยๆคิด เราไปก่อนล่ะ” ผมทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องไป




<ห้างเมอร์รี่คิงส์เป็นห้างสรรพสินค้าที่เกิดขึ้นในยุคห้างสรรพสินค้าเฟื่องฟู คือในราว พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา ห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาแรกอยู่ที่วังบูรพา ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ต่อมาได้มาเปิดสาขาที่สองที่ย่านสะพานควาย โดยห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย นี้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ และหลังจากนั้นก็ยังมีห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาอื่นๆตามมาอีก

เมื่อผ่านพ้นยุครุ่งเรืองของห้างสรรพสินค้ายุคต่อมาก็เป็นยุคร่วงโรย หลังจากที่ห้างสรรพสินค้าแข่งกันเปิดจนกรุงเทพฯมีห้างสรรพสินค้าทั้งใหญ่ กลาง และเล็กเป็นจำนวนมากมาย หลายปีผ่านไป ห้างที่มีสายป่านไม่ยาวมากนักก็เริ่มประสบปัญหาการเงินเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจสูง หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาต่างๆก็ทยอยปิดตัวลง สำหรับห้างที่สะพานควายนี้ไม่แน่ใจว่าปิดในปีใด แต่น่าจะหลังจากปี พ.ศ. ๒๕๔๕

จากภาพ ภาพบนเป็นห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควายในช่วงที่เพิ่งเปิดไม่นานนัก ราว ๒๕ ปีมาแล้ว ส่วนภาพล่างเป็นภาพในปัจจุบันที่ห้างปิดกิจการไปแล้ว>

18 comments:

Anonymous said...

สุดยอดครับ คุณอู

Anonymous said...

พระเอกจริงๆด้วยครับ ^o^"

แต่ฟัง(และอ่าน)แล้วก็ทำให้รู้สึกได้คิดดีนะครับ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆครับ

DIONADUS

Anonymous said...

โห พระเอกสุดๆ กล้าพูดขนาดนี้ นี่ถ้าคุณอูไม่ได้เป็นเกย์ สงสัยจะมีผู้หญิงมาติดเพียบ

Unknown said...

อูปีหนี่ง สามารถพูดได้แบบนี้เลยรึครับ
โครตพระเอกมากๆๆ ผมว่าเพ็ญคงเริ่มชอบอูแล้วแน่เลย
แล้วปีหนึ่งของผมทำไมเหมือนเด็กจัง

กัน

Anonymous said...

เริ่องนี้จะมีหักมุม..ให้เพ็ญหันมาพิจารณาอูรึเปล่านะ ยามที่ผู้หญิงอ่อนแอมักต้องการใครคนสักคนที่เข้าใจไว้สำหรับยึดเหนี่ยว+ระบาย..ยิ่งเจอคำพูดแมนๆที่อ่อนโยนแฝงด้วยความจริงใจด้วยล่ะก้อ..งึ่มๆ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

555 ตอนนี้นายแน่มากนะอู

แต่รู้สึกสังหรณ์ใจกับเรื่องเพ็ญยังไงก็ไม่รู้

พี said...

ช่างกล้าพูด...นะ นายอู นี่ถ้าไม่ออกตัวไว้ก่อนนะว่าตัวเองก็ยังยึดติดกับอดีตอยู่ คงโดนแซวเยอะกว่านี่แน่

แต่ ก็ช่างเป็นคำพูด ของคนที่มีความคิดดีแท้

เพ็ญ...คงอยากเป็นมากกว่าเพื่อนที่ดีของอูแน่นอน

แต่อู...คงให้เพ็ญได้เป็นแค่เพื่อนหญิงที่รู้ใจเท่านั้น

*** PEE ***

Anonymous said...

สะเทือนใจมาก ๆ


พี่ เป็น แฟนที่ดี


และก็เป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ นับถือ จริง ๆ ครับ

Choo said...

หากเป็นละครช่อง..(ใครๆก็รู้ว่าช่องไหน)

ต้องประมาณว่า เพ็ญจะประทับใจในตัวอูอย่างมากมาย
แต่ด้วยความรู้สึกผิดและผิดพลาดในอดีต ทำให้เพ็ญต้องเจียมตัวไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวอูจะรังเกียจ ได้แต่เก็บความรักที่มีต่ออูไว้ในใจ เพ็ญต้องแอบชอกช้ำและผิดหวังในความรักอีกครั้ง

พระเอกยังคงเป็นพระเอกหรือไม่ หรือเปลี่ยนเป็นผู้ร้าย นางเอกจะสมหวังต่อความรักครั้งใหม่หรือไม่ พระเอกจะรับรักนางเอกหรือไม่และจะทำอย่างไรต่อไป

โปรดติดตามตอนที่ 24 และตอนต่อไป

หลาบ said...

คนหนึ่งอยากเป็นเพื่อน อีกคนอยากเป็นมากกว่าเพื่อน

ฮ่วย........... คนที่อยากเป็นเพื่อนทรมาน อ่ะพี่อู ........... เคลียร์คตให้ชัดไปเลบนะคะพี่อู อย่าให้ความหวังเค้า

PR said...

ดีคับผม อาอู๊

อยากบอกเลยว่า ตอนนี้ อาอู๊ เท่อย่างยิ่ง แบบ บทพระ บทนางเลย

นี่ถ้าเป็นอานัย ไม่ใช่ป้าเพ็ญ เอ้ย พี่เพ็ญ คง โผกอด น้ำตาท่วม โรงบาลละ บ้ะอ่านไปอ่านมา ขุดไปอ่านตอน 1 ใหม่ (อ่านมา 4 -5 รอบละ) โคตรนึกถึงอานัยเลย

มาทักทายเล็กน้อยยามดึก เอิ้ก ๆ

BYe Be..
PR หลานอาร์

Anonymous said...

เท่ห์โคตรรรรรรรรรรร สุดยอดจริงๆครับ พูดอะไรต่อไม่ถูกเลยติดตามตอนต่อไปนะครับ
Federick

Anonymous said...

พี่อูเขียนได้ประทับใจสุด ๆ เลยครับ

ไก่

อู said...

ขอเป็นพระเอกสักตอนก็ต้องมีคนมาคอยดิสเครดิต กันนะกัน ไม่เชื่อว่าผมจะพูดได้ขนาดนี้ แค่เรียนปีหนึ่ง

ที่จริงแม้ว่าผมจะเรียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง แต่ว่าตอนเรียนมัธยม ทำงานสหกรณ์ ก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือเยอะอยู่นะครับ ก็ได้เก็บเกี่ยวความคิดอะไรดีๆตลอดมา

เรื่องปัจจุบันคืออดีตสำหรับอนาคตนั้นที่จริงเป็นแง่คิดที่ผมได้ตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมแล้ว ก็ได้มาจากการอ่านหนังสือต่างๆนั่นเอง ในภาคสามมีกล่าวถึงไว้หลายครั้งเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่คำพูดเท่ๆแต่ว่าในตอนนั้นผมก็มีทัศนคติกับชีวิตในแบบนั้นจริงๆ และก็เป็นทัศนคติที่ผมมีต่อชีวิตตลอดมาจนทุกวันนี้ คิดได้แต่ทำได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้นเองครับ

หวังว่าคงหายข้องใจ เชื่อกันมั่งสิว่าอูทำได้

ปล. ที่จริงทั้งตอนเรียนและตอนทำงานก็มีผู้หญิงมาสนใจผมเหมือนกันครับ ออกตัวเอาไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าเป็นคนไร้เสน่ห์จนสาวๆไม่แล

ปล.2 ผมแซวกัน (kan) เล่นขำๆเท่านั้น ไม่ได้เคืองอะไรนะครับ และขอบคุณสำหรับคำชมของทุกคนครับ

ปล.3 หลาน arus หายไปไหน ไม่สบายหรือเปล่า

Anonymous said...

น้ำตาไหลเลย ตื้นตัน
อูสู้ๆนะครับ

Anonymous said...

มารักช้าไปหลายวัน T-T
ช่วงนี้เป็นมหกรรมอยางที่อาอูทราบน่ะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ชอบมากๆ เลยครับ บทพูดนี้
ผมเชื่อว่า จะเป็นเทียนส่องชีวิตให้ น้าเพ็ญแน่ๆ
หากแต่จะมีโศกนาฎกรรมอะไรตามมาไหม
นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่ผมกลัวที่สุดคือ น้าเพ็ญจะเป็นคนเอามีดมากรีด
แผลให้อาอูซ้ำอีกแผล

ค่อนข้างมั่นใจว่า กลับมาถึงในชมรม
อาอู+น้าเพ็ญจะกลายเป็นแฟนกัน ช่วยกันเรียน
สุดท้ายน้าเพ็ญมีโอกาสจะสอบใหม่ที่คณะอื่น

หลาน Arus ของอาอู

P.S. เดี๋ยวจะส่ง Mail ไปหานะครับ

Choo said...

เพิ่งรู้ 3 เล่ม 20 สอนเรื่องหลักการดำเนินชีวิตด้วยหรือครับอู ถึงวาจาคมคายขนาดนี้

แล้วตอนนั้นทำไมไม่เอามาให้อ่านบ้าง ถ้าได้อ่านวันนี้ก็จะได้เป็นเพื่อนพระเอกได้บ้าง