Sunday, February 13, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 22

มุขมาตรฐาน ผมคิดในใจ ผมไม่ได้เพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกดังนั้นจึงรู้ดีว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าผมจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์กำลังจะเกิดขึ้นอีกถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

โอ๋นั่งชิดกับผม เอามือลูบเป้ากางเกงในที่นูนจนเห็นเป็นรูปท่อนลำไปมา สายตาก็มองดูภาพลับที่อยู่ในมือของผมสลับกับเป้ากางเกงของผมที่กำลังพองเป็นลำเช่นกันซึ่งผมก็ปล่อยให้โอ๋ดูตามสบาย สักครู่เดียวโอ๋ก็เอื้อมมือมาจับที่เป้ากางเกงของผม

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือของโอ๋สัมผัสถูกเป้ากางเกงแต่ก็ปล่อยให้โอ๋จับ เมื่อโอ๋เห็นว่าผมไม่ว่าอะไรก็รุกคืบด้วยการเคล้นคลึงไปตามรอยนูนของเป้ากางเกง ผมไม่ยอมเสียเปรียบ เอื้อมมือไปจับรอยนูนที่เป้ากางเกงในของโอ๋บ้าง ใจเต้นระทึก ผมรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงพร้อมกับของเหลวที่ซึมจากกางเกงในมาติดที่ปลายนิ้วของผม

“แข็งดีจัง เอาออกมาเถอะ” โอ๋พูด พลางปลดตะขอกางเกงของผมออก

ผมนั่งนิ่ง ปล๋อยให้โอ๋ปลอดตะขอแต่โดยดี จากนั้นโอ๋ก็รูดซิปและรูดกางเกงของผมลงไปกองที่ปลายขา โอ๋ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ถอดกางเกงออกจากขาของผมเอาไปกองไว้ที่พื้นข้างๆ จากนั้นก็ลงมือรูดกางเกงในของผมลง

โอ๋สัมผัสเล้าโลมกับผมสักครู่จนผมรู้สึกทนไม่ไหวจึงรูดกางเกงในของโอ๋ลงบ้าง

“ถอดออกให้หมดก็แล้วกัน” โอ๋พูด

ผมทำตามอย่างว่าง่าย และแล้ว ในที่สุด เราสองคนก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า โอ๋ใช้มือกับผมอย่างชำนาญจนผมอดไม่ได้ต้องครางออกมา จากนั้นผมก็ลงมือกับโอ๋เป็นการตอบแทนบ้าง โอ๋สูดปากเบาๆจากนั้นจับข้อมือของผมเอาไว้ไม่ให้รุกคืบต่อไป

“พอก่อนๆ” โอ๋คราง จากนั้นมองตาผมด้วยสายตาที่ตื่นเต้นและเร่าร้อน “เอากันมั้ย”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร โอ๋พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา

“ขอเราเอานายสักครั้ง นะ นะ”

“เอ้อ ไม่ล่ะ” ผมอึกอัก ไม่นึกว่าจะเจอกับคำขอเช่นนี้

“ทำไมล่ะ” โอ๋ทำเสียงอ้อน มือยังไม่หยุด เคล้นคลึงจนผมตัวอ่อนระทวย คงหวังจะให้ผมคล้อยตาม

“เราไม่ชอบถูกเอา” ผมตอบดื้อๆ

“ลองดูสักครั้งน่า นะ อยากเอานายมากเลย” โอ๋พยายามอ้อนต่อ

“เราไม่ชอบจริงๆโอ๋” ผมส่ายหัว

โอ๋นิ่งไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็พูดต่อ “งั้นเราให้นายเอาเรา นะปู”

จากนั้นโอ๋ก็ลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าในสภาพที่เปลือยเปล่า เมื่อโอ๋ลุกขึ้นยืน ผมจึงเห็นว่าร่างอันเปลือยเปล่าของโอ๋นั้นงดงามและได้สัดส่วน โอ๋เป็นคนที่มีหุ่นดีทีเดียว ทรวงอกมีกล้ามเล็กน้อย หน้าท้องแบนราบ ต้นขาและปลีน่องมีมัดกล้ามพอสมควร

โอ๋หยิบหลอดที่คล้ายหลอดยาสีฟันขนาดเล็กสีฟ้าขาวออกมาจากในตู้ ดูก็รู้ว่าเป็นหลอดอะไรจากนั้นลงมานั่งที่ข้างๆผมอีก

“ถ้านายไม่ชอบ เรายอมให้นายก็ได้” โอ๋พูดอีก

ตลอดเวลาที่โอ๋พูด ผมนั่งนิ่ง ในใจรู้สึกสับสน เรือนกายอันงดงามของโอ๋ประกอบกับความรู้สึกถูกคอจากการคุยกันเป็นทุนเดิมทำให้ผมปฏิเสธคำเชิญชวนนั้นไม่ลง ผมเริ่มรู้สึกคล้อยตามไปกับคำเชิญชวนนั้น... ถ้าได้มีอะไรกับโอ๋ผมคงมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อโอ๋เห็นผมเงียบโดยไม่ปฏิเสธอีก จึงคิดเอาว่าผมยอมรับโดยดุษณี

“ไปที่เตียงเถอะ นายอยากทำอะไรกับเราก็เชิญได้เลย” โอ๋พูดเสียงแผ่วเบาพลางจ้อมมองผมด้วยสายตาที่ทั้งเร่าร้อน เชิญชวน และท้าทาย สายตาของโอ๋ราวกับเป็นกองไฟเล็กๆกองหนึ่งเพราะสายตานั้นทำให้ผมรู้สึกน้ำลายเหนียว ลำคอแห้งผาก พร้อมกันนั้นรู้สึกร้อนและหน่วงที่ท้องน้อย

เราสองคนย้ายจากพื้นห้องขึ้นไปบนเตียง ผมเอื้อมมือหยิบหลอดเจลจากมือของโอ๋ บิดเกลียวเปิดฝาออก บีบเนื้อเจลออกมาชโลมที่นิ้วชี้ เมื่อโอ๋เห็นเช่นนั้นก็นอนชันขาขึ้นและพร้อมทั้งแยกเข่าออก

ผมใช้นิ้วชี้ที่ชโลมไปด้วยเจลเบิกทาง ขณะที่สอดปลายนิ้วเข้าไปผมสามารถรับรู้ได้ถึงผนังถ้ำที่นุ่มแต่หยุ่นกระชับจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหูรูด มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ความรู้สึกของผมในตอนนั้นเหมือนกับมีกองไฟกำลังลุกไหม้อยู่ในท้องน้อย ส่วนในใจนั้นเหมือนกับทะเลทรายอันแห้งแล้งที่เริ่มได้รับฝนปรอย ความรู้สึกทั้งร้อนรุ่มและทั้งชุ่มฉ่ำเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

โอ๋แย่งหลอดเจลไปจากมือผม บีบเจลลงในฝ่ามือของตนเอง จากนั้นนำมาชโลมให้แก่ผม มือที่ชุ่มเจลของโอ๋ขณะที่ลูบไล้ไปมาทำให้ผมรู้สึกเสียววาบที่ท้องน้อยจากนั้นความเสียวก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว

“ลงมือได้เลยปู” โอ๋ใช้น้ำเสียงพูดปนเสียงครางเร่งรัดผมหลังจากที่เราพร้อมกันแล้วทั้งคู่

ผมจับโอ๋นอนหงาย ตัวของผมเองขึ้นคร่อมลำตัวของโอ๋ สองเข่ายันฟูกพร้อมทั้งใช้แขนข้างหนึ่งสอดลอดข้อพับขาของโอ๋และใช้มือยันกับฟูกเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งใช้คลำหาตำแหน่ง เมื่อพบตำแหน่งปากถ้ำแล้วก็เตรียมที่จะสอดใส่

ผมอดนึกถึงวันที่ไปขึ้นครูไม่ได้ ภาพเหตุการณ์ในวันที่ไปขึ้นครูไหลเข้ามาในห้วงคำนึง... ผมลังเลไปชั่ววูบ...

- - -

“ปู เป็นอะไรน่ะ” เสียงโอ๋ถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นผมล้มตัวลงไปนอนข้างๆแทนที่จะเดินหน้าต่อไป

“เราไม่อยากทำแบบนั้นน่ะโอ๋” ผมตอบ

“เฮ้ย นี่มันอะไรกันว้า นายจะล้อเล่นอะไร” โอ๋พูด ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาเนื่องจากอารมณ์สะดุด

“ขอโทษนะโอ๋ เราไม่ได้แกล้งนาย แต่เราทำไม่ได้จริงๆ” ผมตอบ รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำร้ายความรู้สึกของโอ๋ไปแบบนั้น แต่หากอธิบายอะไรออกไปอีกคงยิ่งเป็นการทำร้ายความรู้สึกของโอ๋มากยิ่งขึ้น สู้ไม่อธิบายเสียจะดีกว่า

“แล้วไอ้ที่ทำไปเมื่อกี้นี่ทำไปเพื่ออะไร” โอ๋ยังใช้น้ำเสียงที่ไม่พอใจ “นายทำแล้วหยุดแบบนี้มันเสียอารมณ์มากเลยนะ”

“ขอโทษนะโอ๋ ขอโทษนายจริงๆ เราใช้มือช่วยนายก็แล้วกัน” ผมพูดด้วยความเสียใจ

ผมพร่ำกล่าวคำขอโทษ ขณะเดียวกันก็ใช้มือช่วยโอ๋แทน แม้จะมีสีหน้าที่ไม่พอใจแต่โอ๋ก็ยอมให้ผมช่วยแต่โดยดี

โอ๋หลับตาพริ้ม จากนั้นไม่นานก็ส่งเสียงครางเบาๆ มือของโอ๋ควานมาที่ท้องน้อยของผมและและไม่ยอมอยู่นิ่งเช่นกัน เวลาผ่านไปได้ชั่วครู่ ผมรู้ว่าเวลาของเราทั้งคู่ใกล้มาถึงแล้ว มือของผมเร่งเต็มที่ เพียงไม่นานผมก็รู้สึกว่ามีของเหลวอุ่นๆและเหนียวข้นเลอะมือของผมไปหมด ขณะเดียวกันมือของโอ๋ก็เริ่มคลายออก

โอ๋ปล่อยมือจากผมและนอนนิ่ง ของเหลวขุ่นข้นยังเลอะเต็มมือของผมและท้องน้อยของโอ๋อยู่

“โอ๋ เรายังไม่เสร็จเลย” ผมเรียกโอ๋แต่โอ๋เหมือนกับไม่ได้ยิน

โอ๋เอื้อมมือลงไปในตะกร้าเสื้อผ้าที่อยู่ข้างเสียง ในนั้นมีเสื้อผ้าหลายตัวกองซ้อนกันอยู่โดยไม่ได้พับให้เรียบร้อย ดูแล้วคงเป็นตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้วและรอซัก ผมเห็นโอ๋ล้วงหยิบเอาเสื้อยืดออกมาตัวหนึ่งมาใช้เช็ดคราบของเหลวที่ท้องน้อยของตนเอง

เมื่อผมเห็นสีสันของเสื้อยืดปราดแรกก็รู้สึกคุ้นๆ พอเห็นชัดก็ต้องตกใจ

เพราะมันเป็นเสื้อยืดของโรงเรียนเก่าของผมเอง!

เสื้อยืดตัวนี้อยู่ในตะกร้าเสื้อผ้าในห้องนอนของโอ๋ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเสื้อยืดของคนอื่น ดูจากรูปแบบแล้วเป็นเสื้อยืดนี้เป็นเสื้อยืดประจำรุ่นของรุ่นพี่ผมถัดไปสองรุ่น นั่นคือเป็นเสื้อรุ่นของรุ่นพี่หมีกับพี่เอ้นั่นเอง

ผมใจหายวาบ อารมณ์ที่ค้างคาอยู่หมดความหมายไปในทันที นึกไม่ถึงว่าจะมาจุดใต้ตำตอ ตอนที่เราติดต่อกันโอ๋เคยบอกว่าเรียนมัธยมแถวฝั่งธนฯ ผมก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อเนื่องจากเห็นว่าหากเรียนมัธยมและเรียนมหาวิทยาลัยย่านฝั่งธนฯมาตลอดก็คงปลอดภัยสำหรับผม โอกาสที่เราจะเคยรู้จักกันมาก่อนคงแทบไม่มี แต่นี่แสดงว่าโอ๋คงปิดบังความจริงกับผมหลายเรื่องทีเดียว เรื่องเรียนปีหนึ่งก็คงเช่นกัน ถ้าโอ๋ไม่ได้สอบเอนทรานซ์ใหม่ปีนี้โอ๋คงเรียนอยู่ปีสอง ไม่ใช่ปีหนึ่งอย่างที่เคยบอกเอาไว้

ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที เราเรียนห่างกันสองรุ่น คงเห็นหน้ากันน้อยมากดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะรู้เล่าว่าโอ๋อาจเป็นเพื่อนสนิทของพี่หมี พี่เอ้ หรือกับใครสักคนในโรงเรียนที่ผมรู้จักก็ได้ รวมทั้งอีกหน่อยหากมีงานโรงเรียน เราก็ยังมีโอกาสพบกัน แค่คิดก็หนาวแล้ว... หากโอ๋เอาเรื่องของผมไปพูดละก็ผมคงพังแน่

หลังจากที่โอ๋เช็ดร่างกายเสร็จก็ใส่กางเกง จากนั้นจึงหยิบกางเกงในและกางเกงของผมที่กองอยู่กับพื้นห้องโยนให้ผม

“ตอนนี้คนที่บ้านคงใกล้กลับมาแล้วล่ะ” โอ๋พูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ ไม่มีน้ำเสียงที่สนิทสนมและออดอ้อนเหมือนที่ผ่านมาเลย

ผมเข้าใจดีว่าโอ๋หมายถึงอะไร รู้สึกหน้าชาไปหมด วางสีหน้าไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยถูกคนขับไล่ออกจากบ้านในครั้งนี้... คนที่ผมเคยคิดว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่เข้าใจกลับเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิงเพียงเพราะผมไม่สนองความปรารถนาทางเพศให้ ความรู้สึกในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกับถูกหลอก... ผมเป็นตัวอะไรสักชนิดที่ทั้งโง่ ไร้ประโยชน์ และไม่มีความหมาย ไม่สมควรจะเก็บเอาไว้ให้รกหูรกตา จริงอยู่ แม้ว่าผมจะเคยถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน แต่นั่นไม่เหมือนกัน

ผมรับกางเกงมาพร้อมกับแต่งตัวอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ถูกส่งออกมายืนอยู่หน้าประตูบ้านอย่างงงๆ ไม่มีคำร่ำลาจากเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านเลยแม้สักคำเดียว ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน

- - -

ต้นเดือนพฤศจิกายน เปิดเทอมแล้ว

ในที่สุดการเรียนในภาคปลายของชั้นปีหนึ่งก็เริ่มขึ้น ในตอนเช้าวันแรกของการศึกษาภาคปลายพวกเราแทบไม่เป็นอันเรียนเนื่องจากมัวแต่พูดคุยกันถึงเรื่องผลการสอบในภาคต้นที่ผ่านมา มีนักศึกษาที่ถอนรายวิชาหรือว่าสอบตกและต้องลงทะเบียนเรียนใหม่เป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้การจัดตารางเรียนในภาคสองค่อนข้างวุ่นวาย หลายคนบ่นว่าคงไปไม่รอดหรือคงไปไม่รุ่ง หรือหากรุ่งก็คงเป็นแบบรุ่งริ่งมากกว่ารุ่งโรจน์ ดังนั้นการพูดคุยจึงเลยไปถึงเรื่องการสอบเอนทรานซ์ใหม่ด้วย

เมื่อมาถึงตอนนี้ผมจึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดนักศึกษาปีหนึ่งในคณะนี้จึงนิยมสอบเอนทรานซ์ใหม่กันเป็นจำนวนมาก ที่เป็นเช่นนี้คงเนื่องจากบางส่วนสอบใหม่เพราะอยากได้คณะที่ดีกว่าเดิม แต่ว่าบางส่วนสอบใหม่เพราะความจำใจเนื่องจากเห็นว่าหากอยู่ต่อไปก็อาจไปไม่รอด

สำหรับผมนั้นเมื่อดูจากเกรดเฉลี่ยแล้วคิดว่าน่าจะพอเอาตัวรอดได้หากไม่กลับไปทำตัวเหลวไหลเหมือนเก่า อันที่จริงผมก็รู้สึกชอบเรียนที่นี่อยู่เหมือนกัน แต่ความต้องการลบคำสบประมาทของพ่อทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากการเรียนในวันแรกของภาคการศึกษาสิ้นสุดลง ผมยังไม่อยากกลับหอพักจึงขึ้นไปนั่งเล่นที่ชมรมวิชาการ ที่ชมรมในวันนั้นเอะอะเฮฮากันตามสบายเนื่องจากยังไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเพราะเพิ่งเปิดเทอม ดังนั้นจึงนั่งจับกลุ่มคุยและร้องเพลงกันตามอัธยาศัย ผมเองก็ไปนั่งจับกลุ่มร้องเพลงกับเข้าด้วย พี่ตั้วเป็นคนเล่นกีตาร์ น้องๆกางเนื้อเพลงจากหนังสือรวมเพลงฮิตและร้องตาม

หลังจากที่ร้องเพลงกันจนเย็น คนที่อยู่ในชมรมต่างก็ทยอยกลับกันไปทีละคน ท้ายที่สุดเหลืออยู่เพียงสี่ห้าคนก็ปิดชมรมและพากันไปกินเต้าฮวยเย็นที่สามย่านโดยมีผมติดสอยห้อยตามไปด้วย ช่วงนั้นผมรู้สึกว่างๆไม่มีอะไรทำจริงๆ ดังนั้นชีวิตตอนเย็นของแต่ละวันมักจบลงที่แผงเต้าฮวยเย็นกับพวกพี่ๆที่ชมรม

เรื่องของโอ๋ในวันนั้นทำให้ผมคิดมาก หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วผมก็ไม่ได้โทรไปหาโอ๋อีกเลย สาเหตุสำคัญไม่ใช่เพราะว่าผมโกรธเคืองโอ๋แต่เป็นเพราะว่าผมกลัว... ผมกลัวโอ๋เนื่องจากรู้ความจริงแล้วว่าโอ๋นั้นเป็นรุ่นพี่โรงเรียนของผมเอง กลัวว่าโอ๋จะจำผมได้ว่าเป็นรุ่นน้อง ขณะเดียวกันก็รู้สึกสะท้อนใจและตั้งข้อสงสัย จากจำนวนเพื่อนทางจดหมายที่เหลือน้อยลง ประกอบการเหตุการณ์ของโอ๋ทำให้ผมครุ่นคิดว่าคนเหล่านี้กำลังแสวงหาอะไรกันแน่ แล้วผมเองล่ะ ผมกำลังแสวงหาอะไรอยู่ การมีเรื่องค้างคาอยู่ในจิตใจทำให้ผมเนือยไปบ้าง เรื่องการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์จึงยังไม่ได้เริ่มอย่างจริงจังนัก

- - -

การเรียนดำเนินไปอย่างราบรื่น หลังจากที่เปิดเทอมไปได้ประมาณสองสัปดาห์ในที่สุดความคิดของผมเกี่ยวกับการสอบเอนทรานซ์ก็ค่อนข้างลงตัว หลังจากที่ไตร่ตรองมาสักระยะหนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะไม่สมัครติวเอนทรานซ์เนื่องจากการไปติวต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างมาก ทำให้เสียเวลาไปในท้องถนนโดยใช่เหตุ สู้อ่านหนังสือเองดีกว่า ส่วนเนื้อหาวิชาที่ผมยังไม่แน่นนั้นดูรายวิชาเทอมนี้แล้วมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน หากผมตั้งใจเรียนในห้องเรียนก็น่าจะพอปรับพื้นฐานให้ดีขึ้นได้ และท้ายที่สุด หากคิดว่าจำเป็นจริงๆค่อยไปติวพวกหลักสูตรโค้งสุดท้ายตอนใกล้ๆสอบก็ได้

ด้านเพื่อนทางจดหมายนั้น ผมยังคงไปไขตู้ไปรษณีย์บ่อยๆ แต่จดหมายในช่วงหลังยิ่งเหลือน้อยลงจนน่าใจหาย ในที่สุดก็เหลือเพียงคนเดียวที่ยังเขียนติดต่อกัน นั่นคือหนุ่ยที่อยู่ราชบุรี หลังจากเกิดเรื่องโอ๋ขึ้นแทนที่จะทำให้ผมเข็ด ตรงกันข้าม ผมกลับโหยหามิตรภาพจากเพื่อนที่มีวิถีชีวิตในเงามืดเช่นเดียวกันกับผมมากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายคนที่ผมติดต่อด้วยก็หายกันไปทีละคนสองคน

ผมพยายามระมัดระวังในการติดต่อเนื่องจากเกรงว่าจะไปพบกับคนที่มีความสัมพันธ์กับผมเข้าอีก แต่กับหนุ่ยคนนี้ผมติดต่อด้วยอย่างสบายใจเพราะรู้ดีว่าหนุ่ยเรียนอยู่ที่ราชบุรีจริงๆโดยดูจากตราประทับที่หน้าซองจดหมาย อีกประการ หนุ่ยไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายหรือเบอร์โทรศัพท์ เคยขออยู่เหมือนกันแต่เมื่อผมปฏิเสธหนุ่ยก็ไม่ว่าอะไร ดังนั้นผมจึงคิดอยู่เสมอว่าแม้ว่าเพื่อนทางจดหมายจะหายกันไปจนหมดแต่อย่างน้อยก็น่าจะเหลือหนุ่ยอยู่คนหนึ่ง และหนุ่ยคนนี้แหละที่น่าจะคบกันเป็นเพื่อนอย่างยืนยาวได้

- - -

บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่เลิกจากการประชุมเชียร์ ผมเดินออกจากห้องประชุมและเดินลัดเลาะไปตามทางเดินข้างตึกเพื่อจะไปยังชมรมวิชาการ

“นี่ตาอู” ได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลังพร้อมกับรู้สึกว่ามีใครเอามือมาตีต้นแขนของผม

“อ้อ แมว จิ๊บ ว่าไงเหรอ” ผมหันไปมองผู้ที่เรียกและตีต้นแขนของผม

“แหม่ ตาคนนี้ ทำไมประสาทช้ายังงี้ เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน ต้องให้สะกิดแรงๆถึงจะรู้สึก” จิ๊บบ่นพลางหัวเราะ

เราสามคนหยุดคุยทักทายกันชั่วครู่ ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมยังไม่ค่อยมีโอกาสคุยกับแมวและจิ๊บมากนัก รวมทั้งชาญก็เช่นกัน เนื่องจากในชั่วโมงวิชาบรรยายผมพยายามนั่งเรียนแยกห่างจากเพื่อนๆเพื่อจะได้มีสมาธิในการเรียน ประกอบกับวิชาเรียนในเทอมนี้บางวิชาก็ไม่ได้ถูกจัดให้เรียนด้วยกันอีก นอกจากนี้ตอนเย็นผมก็ขลุกอยู่ที่ชมรม ไม่ค่อยได้ไปที่กลุ่มอีก ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีโอกาสคุยกันมากนักทั้งๆที่เรียนอยู่คณะเดียวกันและเห็นหน้ากันทุกวัน

แมวกับจิ๊บยังคงร่าเริงและคุยสนุกเช่นเดิม หลังจากที่ทักทายกันชั่วครู่ต่างฝ่ายต่างก็เตรียมจะแยกย้ายกันไป

“เธอจะไปไหนละเนี่ย” จิ๊บถาม

“ไปชมรมวิชาการ เธอสองคนล่ะ” ผมตอบพร้อมทั้งถามกลับ

“จะไปโรงพยาบาลเยี่ยมเพ็ญเขาหน่อย อุ๊ย เจ็บ” จิ๊บตอบ พูดยังไม่ทันจบประโยคดี จิ๊บก็โดนแมวหยิกหมับเข้าให้

“เพ็ญ” ผมทวนคำ “เพ็ญไหน”

เมื่อเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของทั้งสอง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้คงมีเลศนัย

“เพ็ญเป็นอะไรถึงต้องเข้าโรงพยาบาล” ผมถามอีก

“ไม่ใช่ คนละเพ็ญกันน่ะ” จิ๊บพูดเสียงอึกอัก

“แล้วเธอรู้หรือว่าเราหมายถึงเพ็ญไหน ถึงได้รู้ว่าเป็นว่าคนละคนกัน” ผมย้อน





<โรงภาพยนตร์เฉลิมสิน ตั้งอยู่บนถนนประดิพัทธ์ ใกล้สี่แยกสะพานควาย ย่านสะพานควายนี้เดิมเป็นทุ่งเลี้ยงควายมาก่อน ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา มีการพัฒนาที่ดินในย่านนี้ จากสภาพทุ่งเลี้ยงควายค่อยๆพัฒนามาเป็นย่านสะพานควายชุมชนใหญ่โดยมีตลาดขนาดใหญ่ถึงสามตลาด นั่นคือ ตลาดศรีศุภราช (ปัจจุบันคือส่วนที่เป็นห้างเมอร์รี่คิงและศรีศุภราชอาเขต) ตลาดศรีสวัสดิ์ และตลาดศรีไทย (สองตลาดหลังนี้อยู่ติดกัน ปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซีสะพานควาย)

โรงหนังในย่านสะพานควายนั้นเดิมมี ๓ โรง นั่นคือ พหลโยธินรามา มงคลรามา และเฉลิมสิน สร้างในยุคเดียวกันคือในยุครุ่งเรืองของโรงหนัง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ มงคลรามาและเฉลิมสินเจ้าของเดียวกัน มงคลรามาฉายหนังฝรั่งส่วนเฉลิมสินฉายหนังไทย เคยอ่านพบว่าสมัยก่อนเฉลิมสินฉายหนังอินเดียด้วย โดยเฉลิมสินในยุคแรกนั้นอยู่ติดกับตลาดสดศรีศุภราชซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวางกินมาจนถึงสี่แยกสะพานควาย ต่อมามีการพัฒนาพื้นที่ มีห้างเมอร์รี่คิงสะพานควายมาเปิดกิจการ พร้อมกับเกิดศรีศุภราชอาเขต พื้นที่ตลาดสดเดิมจึงถูกลดขนาดลงจนเหลือเพียงตลาดเล็กๆ แต่โรงหนังเฉลิมสินก็ยังอยู่คู่กับสี่แยกสะพานควายเรื่อยมา ในช่วงปลายยุคของโรงหนังเฉลิมสินก่อนที่จะหยุดกิจการไปนั้นฉายถึง ๓ เรื่องควบ ค่าตั๋ว ๔๐ บาท และบางครั้งก็ยังมีการจัดเป็นคอนเสิร์ตหมอลำหรือเพลงลูกทุ่งอีกด้วย

โรงหนังเฉลิมสินหยุดกิจการไปเมื่อใดไม่ทราบชัด แต่น่าจะหลังปี พ.ศ. ๒๕๔๐ พื้นที่โรงหนังต่อมาถูกปรับเปลี่ยนเป็นสนามเทนนิส

จากภาพ ภาพบนเป็นภาพโรงหนังเฉลิมสินที่ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ตอนนั้นที่หน้าโรงหนังยังไม่มีสะพานลอยคนข้าม และชั้นล่างตรงที่เห็นกันสาดผ้าใบคือตำแหน่งร้านหนังสือซึ่งต่อมาเป็นเชิงสะพานลอยพอดี เป็นร้านหนึ่งในย่านนั้นที่ขายนิตยสารเกย์ ส่วนภาพล่างถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ แม้โรงหนังปิดตัวไปนานแล้วแต่ยังพอมองเห็นโครงสร้างเดิมอยู่>

13 comments:

Choo said...

"รู้สึกผิดต่อนัยหรือครับ"

จำได้ว่า อูเคยเขียนว่า

"ใช้เวลาเนิ่นนาน ในการหาความหมายของชีวิต และการดำรงอยู่อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี โดยมีสันติสุขในจิตใจ"

เป็นกำลังใจนะครับ คงยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะก้าวข้ามภาวะจิตใจเช่นนี้ไปได้

ขอบคุณสำหรับตอนนี้นะ ได้ที่ 1 ด้วย

ชู

Choo said...

อ้อ หาเพลง "I Will Be Right Here Waiting For You" มาฝาก

http://www.youtube.com/watch?v=2OeQZ9F4jYM&feature=related

ไม่รู้จะเข้าบรรยากาศหรือเปล่า

ชู

Unknown said...

ทำไมผมต้องเป็นที่สองอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องใด
แต่ขอไปอ่านก่อนนะครับ
คิดถึง อู นะครับ

กัน

Bomber_Boy said...

เอ่อ...ความรู้สึกที่มีต่อพี่นัยยังอยู่ในใจพี่อูตลอดเวลา ทำให้พี่อูไม่กล้าที่จะมีอะไรกับใครเลยเหรอ..
แล้วถ้าเป็นแบบนี้พี่อูจะมีความรักอีกหรือเปล่าครับเนี่ย

"คนเราจะอยู่ได้มั้ยถ้าไม่มีความรัก แล้วเราจะอยู่ได้มั้ยถ้าเราไม่รักใครเลย" จากรักแห่งสยาม
_____

ไอ้เราก็นึกว่าจะมีฉากติดเรทแบระทึก...(แอบหื่น)

Anonymous said...

มารักอาอูครับ
นั่งเฝ้าจนตี4 ไม่มาลง T-T สับขาหลอกสินะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วหลากหลายอารมณ์เหลือเกินครับ แตอย่างน้อยผมชอบอย่างนึงก็คือ อาอูสามารถแสดงให้เห็นว่า เกย์ไม่จำเป็นต้องมั่วเสมอไปอย่างที่มีการชอบสร้างภาพลบๆเสมอ
ติดตามตอนต่อไป
Federick

Anonymous said...

พี่เป็นคนมั่นคงกับความรักจริง ๆ


นับถือ ๆ


...OaH...

พี said...

มาบอก รัก...ทุกๆคนที่เป็นแฟนคลับคุณอูครับ

เผื่อแผ่ความรักให้กับคนรอบข้างด้วยนะครับ

*** PEE ***

Anonymous said...

พี่อูคงรักพี่นัยมาก.........ดีแล้วคับ...ผมชอบ...แต่ว่าเรื่องมันหักมุมมากเลยผมอ่านไปเคลิ้มไป......

Anonymous said...

ผมขอเป็นแฟนคลับคนนึงและจะติดตามต่อๆไป...............themonster...........

Anonymous said...

สมัยนั้นคนใกล้ตัวของป้าก็เคยใช้บริการเพื่อนทางจดหมาย ผลที่ได้ก็เหมือนกับเรื่องของอู
น้องอูคงจะรู้สึกผิดต่อนัยก็เลยทำไม่ลง
รออ่านตอน่อไปจ๊ะ

ป้าขวัญ

Anonymous said...

เฮ้อ!พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยตอนนี้..
รู้แต่ว่า..ต่อไปอูคงเพิ่มระดับความระวังตัวขึ้นอีก3เท่าแหงๆเลยค่ะ (เดิมก็มากอยู่แล้วนะเนี่ย..)

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

อยากอ่านต่ออีก จัง
ขอเป็น สัปดาห์ ละ 2 ตอนได้มั๊ยครับ
ไม่งั้น ต้องอ่านต่อไป อีก 10 ปี แน่เลย
...แต่ ก็จะอ่าน 555

มาร์ฟ ครับ