Sunday, February 6, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 21

“หวัดดีปู

วันก่อนผ่านไปแถวลาดพร้าว ตอนที่นั่งรถอยู่ก็คิดถึงนาย พยายามวาดภาพว่านายอยู่ในส่วนไหนของลาดพร้าว หอพักของนายเป็นอย่างไร ห้องพักของนายเป็นอย่างไร นายอยู่ยังไง อยากเห็นหอพักของนายว่าจะเหมือนกับที่เราวาดภาพเอาไว้หรือเปล่า

นายไม่อยู่เราเหงาเลยว่ะ ขี้เกียจรอจดหมายของนายแล้ว เอาเบอร์โทรไปละกัน xxx-xxxx เผื่ออยู่ต่างจังหวัดก็จะได้คุยกันได้ โทรมาดึกๆจะได้คุยสะดวก

โอ๋”

หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านที่ต่างจังหวัด เรื่องแรกที่ผมทำหลังจากลงรถที่หมอชิตก็คือ... ไปไขตู้ไปรษณีย์

แล้วก็ไม่ผิดหวัง หลังจากที่ไม่ได้ไขตู้มาหลายวัน วันนั้นมีจดหมายนอนรออยู่ในตู้หลายฉบับทีเดียว ก่อนไปบ้านต่างจังหวัดผมเขียนจดหมายไปบอกทุกคนที่ติดต่อด้วยว่าอาจจะหายไปจนใกล้ๆเปิดเทอมเนื่องจากต้องกลับบ้าน ตอนนั้นคิดว่าจะอยู่ที่บ้านให้นานที่สุดเพื่อชดเชยกับการที่ไม่ค่อยได้ให้เวลากับแม่มากนักในช่วงเปิดเทอม แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผมกลับบ้านได้เพียงไม่กี่วันก็ต้องเข้ากรุงเทพฯอีกแล้ว

หลังจากที่กลับมาถึงห้องพัก ผมก็เปิดจดหมายอ่าน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องคุยกันทั่วไป ยกเว้นเพียงรายเดียวที่ไม่ได้คุยอะไร แต่ให้เบอร์โทรศัพท์มา

ในบรรดาเพื่อนทางจดหมาย มีอยู่สองคนที่คุยแล้วถูกคอกันมากกว่าคนอื่นๆ คนหนึ่งคือโอ๋ เรียนชั้นปีหนึ่งเช่นเดียวกับผมในมหาวิทยาลัยย่านธนบุรี ส่วนอีกคนชื่อหนุ่ย เรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งในวิทยาลัยในจังหวัดราชบุรี สาเหตุที่คุยกันถูกคอส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเรามีวัยใกล้เคียงกันอีกทั้งยังเรียนอยู่ปีหนึ่งเช่นเดียวกันก็เป็นได้

โอ๋เป็นเพื่อนทางจดหมายคนแรกที่ยอมให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผม จากการพูดคุยในจดหมายดูเหมือนว่าเราจะเข้ากันได้ค่อนข้างดีทีเดียว โอ๋มีอารมณ์ขัน ชอบเขียนอะไรตลกๆ บางทีก็อ่อนไหว ช่างคิดช่างฝัน การที่โอ๋ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผมทำให้ความคิดเดิมของผมที่คิดจะติดต่อกับเพื่อนเกย์เฉพาะทางจดหมายเท่านั้นเริ่มคลอนคลายไป

สี่ทุ่ม...

ผมเดินออกจากหอพักไปที่ตู้โทรศัพท์ในซอยเพื่อจะโทรไปหาโอ๋ สี่ทุ่มนี่น่าจะดึกพอแล้ว กลัวแต่ว่ามันจะดึกเกินไปเสียมากกว่า กลัวคนที่บ้านของโอ๋เมื่อรับสายแล้วจะด่าเอาว่าโทรมารบกวน

“ฮัลโหล” ได้ยินสียงใสๆรับสาย

“ขอพูดกับโอ๋หน่อยครับ” ผมพูด

“พูดอยู่ นั่นใครหว่า” โอ๋ทำเสียงงงๆ

“เราอ... เอ๊ย ปูไง นายให้เบอร์เรา เราก็เลยโทรมาคุย” ผมตอบ

“เฮ้ย ปู” โอ๋พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ น้ำเสียงของโอ๋มีส่วนคล้ายกับแป๋งอยู่บ้างตรงที่ฟังดูร่าเริง เฮฮา นี่ถ้าไม่ได้อ่านเนื้อความจากในจดหมายคงไม่รู้เลยว่าโอ๋เป็นคนที่ช่างคิดและอ่อนไหว “ไม่คิดว่าจะเป็นนาย ไหนว่าจะมาใกล้ๆเปิดเทอมไง ตอนแรกยังงงอยู่เหมือนกันว่าใครโทรมา เสียงไม่คุ้นเลย”

น้ำเสียงที่ร่าเริงและแฝงความรู้สึกยินดีทำให้ผมเกิดความประทับใจในตัวโอ๋ ในยามที่เหงาและอ้างว้าง การที่ใครสักคนดีใจเมื่อได้คุยกับเราย่อมทำให้เรารู้สึกประทับใจในบุคคลผู้นั้นเป็นพิเศษ

“เพิ่งมาถึงวันนี้เอง เปลี่ยนแผนนิดหน่อย” ผมตอบ “เห็นจดหมายของนายแล้วก็รีบโทรมาเลย...”

ผมคุยโดยไม่รับรู้ถึงกาลเวลา เหรียญแล้วเหรียญเล่าที่หยอดลงในช่องหยอดเหรียญของตู้โทรศัพท์ จากเดิมที่ผมคิดว่าจะโทรมาทักทายและคุยกันเพียงเล็กน้อยกลายเป็นว่าเรามีเรื่องให้คุยกันยาว เราคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง ถามถึงนิสัยและสิ่งที่ชอบและไม่ชอบของกันและกัน แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะบอกข้อมูลที่จะสืบสาวถึงตัวบุคคลได้ เช่น ไม่บอกชื่อมหาวิทยาลัย ไม่บอกชื่อคณะ รวมทั้งไม่บอกชื่อจริงของตนเอง ฯลฯ

“เหรียญหมดแล้วละโอ๋” ผมพูดหลังจากที่คุยกันนานกว่าสิบห้านาที “พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อก็แล้วกัน”

ผมวางหูโทรศัพท์ลงที่เครื่องอย่างเสียดาย นานแล้วที่ผมไม่ได้คุยกับใครอย่างสนุกสนานแบบนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นกับมิตรภาพใหม่ในครั้งนี้มาก รวมทั้งกระตือรือร้นที่จะให้ถึงวันต่อไปเพื่อที่เราจะได้กลับมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง ผมเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องโอ๋และเรื่องที่เราคุยกันจนกระทั่งผมเข้านอนและหลับไป

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้า จากนั้นก็ออกจากหอพักไป ผมนั่งรถเมล์สาย ๙๖ เพื่อมายังถนนราชดำเนินกลาง

เอ... โรงหนังเฉลิมไทยหายไปไหนแล้วเนี่ย ผมคิดในใจขณะที่นั่งรถข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศและเข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง ผมไม่ได้ผ่านแถวนี้มานานหลายเดือนแล้ว โรงภาพยนตร์เฉลิมไทยที่เคยเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหัวมุมถนนราชดำเนินและมีข่าวว่าจะถูกรื้อเนื่องจากบดบังทัศนียภาพของโลหะปราสาทแต่ก็มีเสียงคัดค้านจากกลุ่มผู้ที่ต้องการอนุรักษ์อาคารเก่าเอาไว้ มาบัดนี้เฉลิมไทยได้ถูกรื้อไปแล้ว โลหะปราสาทและวัดราชนัดดาที่เคยถูกอาคารโรงหนังเฉลิมไทยบดบังมาตลอดบัดนี้สามารถมองเห็นได้แต่ไกล

ผมลงรถที่ถนนดินสอ ข้างศาลาว่าการ กทม. จากนั้นก็เดินสำรวจโรงเรียนกวดวิชาดังในย่านถนนราชดำเนินว่าในเทอมปลายนี้มีหลักสูตรติวเข้ามหาวิทยาลัยอะไรที่เปิดบ้างและราคาเท่าไร ในตอนนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ค้นหาข้อมูล หากไม่โทรถามก็ต้องเดินทางไปถามข้อมูลถึงที่ เมื่อเสร็จจากการสำรวจในย่านราชดำเนินแล้วจากนั้นก็ไปแถวสยาม สามย่าน และรองเมืองเพื่อหาข้อมูลหลักสูตรและราคาของโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ ในปีนั้นอาจารย์อุ๊เพิ่งจะเริ่มเปิดสอนกวดวิชาที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก

ที่จริงถ้าเป็นนักเรียนที่เคยติวเอนทรานซ์มาก่อนก็พอจะรู้ว่าที่ไหนดีหรือด้อยอย่างไร แต่สำหรับผมนั้นไม่เคยติวเอนทรานซ์มาก่อนจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักติวต่างๆไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อยามที่ต้องการติวจึงต้องหาข้อมูลจากทุกแห่งเพื่อเปรียบเทียบกัน

กว่าจะเสร็จธุระก็เป็นเวลาเย็นแล้ว หลังจากกลับมาที่หอพักผมก็หาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาและรอให้ถึงเวลาสี่ทุ่มด้วยความกระวนกระวาย

“ฮัลโหล ปูใช่ไหม” เสียงใสๆของโอ๋รับสาย

“เราเอง” ผมตอบ

“กำลังรอให้นายโทรมาอยู่” โอ๋พูด “วันนี้ทำอะไรมาบ้างล่ะ”

“ก็ไปหลายที่” ผมตอบ “ไปดูพวกหลักสูตรติวเอนทรานซ์มา”

“เฮ้ย จะสอบเอนทรานซ์ใหม่เหรอ” โอ๋ถาม

“คิดว่างั้นนะ” ผมตอบ “นายไม่คิดสอบเอนทรานซ์ใหม่เหรอ”

“ไม่แล้วล่ะ สอบติดที่นี่เราก็ถือว่าดีแล้ว ไม่รู้ว่าจะสอบใหม่ไปทำไมอีก” โอ๋ตอบ “ทำไมนายคิดจะสอบใหม่ล่ะ ไม่ชอบคณะที่เรียนอยู่หรือไง”

จะว่าไปมันก็จริงอยู่ พวกที่เรียนจบ ม.๖ ตามปกติมีแนวโน้มที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่น้อยกว่าพวกเด็กสอบเทียบเนื่องจากไม่อยากเสียเวลาอีกหนึ่งปี ส่วนเด็กสอบเทียบนั้นถือว่าได้กำไรเวลามาหนึ่งปี ดั้งนั้นจึงสอบเอนทรานซ์ใหม่ได้ง่ายๆโดยไม่กลัวเสียเวลา แต่ผมไม่เคยบอกโอ๋ว่าผมสอบเทียบมา รวมทั้งไม่ได้บอกว่าจบมาจากโรงเรียนอะไร โอ๋จึงแปลกใจในความคิดที่จะสอบเอนทรานซ์ของผม

“เอ้อ... ที่จริงที่นี่ก็ดีแหละ แต่ว่า...” ผมหยุดคิดนิดหนึ่งและพยายามเล่า “พี่ชายเราสอบได้วิศวะ... พอเราได้ที่นี่พ่อเราก็... พ่อคิดว่าเราคงมีปัญญาสอบได้แค่นี้”

ผมตะกุกตะกัก เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยถูกเนื่องจากปกติไม่ค่อยเล่าความในใจให้ใครฟัง

“เข้าใจล่ะ พ่อนายคิดว่านายโง่ สู้พี่ชายไม่ได้ ว่ายังงั้นเถอะ” โอ๋สรุป “นายก็เลยอยากทำให้พ่อเห็นว่านายก็ทำได้”

“เออ นั่นแหละ ใช่เลย” ผมพูด อดแปลกใจไม่ได้ที่โอ๋เข้าใจความรู้สึกของผมได้เป็นอย่างดีราวกับเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานจนรู้ใจกัน

เมื่อโอ๋พูดจี้ใจดำของผมได้อย่างถูกต้อง ผมก็พรั่งพรูความในใจที่เก็บเอาไว้ออกมา ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่บ้าน เกี่ยวกับพ่อ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผมแม้แต่จะคิดก็ไม่เคยคิดว่าจะเล่าให้ใครฟัง ผมเล่าความในใจมากมายให้แก่เพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันทางจดหมายเพียงไม่นานฟัง แม้แต่หน้าตาก็ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ

“แล้วปีนี้นายจะเลือกอะไรล่ะ” โอ๋ถาม

“ก็คงแพทย์มั้ง” ผมตอบ “ปีที่แล้วก็พลาดมาทีหนึ่งแล้ว แต่ปีที่แล้วเราดูหนังสือสอบเอง ไม่ได้ติวเลย ปีนี้ไม่อยากพลาดอีกก็เลยคิดว่าจะลองติวดู”

โอ๋เป็นคนที่คุยสนุก ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าโอ๋มีส่วนผสมของบุคคลที่ผมรู้จักหลายคน เช่น ร่าเริงเหมือนแป๋งและเข้าใจผมเหมือนกับไอ้นัย... เราคุยกันอยู่นานจนมีคนมาเคาะตู้โทรศัพท์ ผมจึงต้องวางสายลงอย่างจำใจ

“ต้องวางแล้วล่ะ มีคนจะใช้ตู้ต่อ” ผมพูด

“ฝันดีนะปู แล้วพรุ่งนี้คุยกัน” โอ๋ทิ้งท้ายก่อนที่จะวางสายไป

- - -

ผมกลับเข้ากรุงเทพฯในครั้งนี้พร้อมกับการตัดสินใจที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยการตัดสินใจครั้งนี้มีเพียงโอ๋มิตรผู้ไม่รู้จักคนเดียวเท่านั้นที่รู้ หลายๆคนพูดกันว่าการเรียนปีหนึ่งแล้วไปสอบเอนทรานซ์ใหม่จะทำให้ได้เปรียบ ดีกว่าไปเรียนกวดวิชาเสียอีก เนื่องจากวิชาเรียนปีหนึ่งพวก คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และภาษาอังกฤษ นั้นเรียนลึกกว่าในระดับมัธยมปลาย ข้อสอบเอนทรานซ์จะกลายเป็นของง่ายไปเลย แต่พอได้มาเรียนเข้าจริงผมกลับไม่คิดอย่างนั้น

สำหรับผมแล้ว เมื่อเรียนปีหนึ่งชีวิตก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ความสนุกของชีวิตในมหาวิทยาลัยมีส่วนบั่นทอนความตั้งใจที่จะสอบใหม่ อีกประการหนึ่งก็คือผมสอบเทียบมา คะแนนสอบที่ได้มานั้นส่วนหนึ่งได้มาจากการวางแผนในการสอบ อย่างเช่นวิชา ม.๖ ส่วนใดที่ผมดูไม่ทันหรือคิดว่าจะยากจนทำให้เสียเวลาเกินไปผมจะอ่านเพียงรอบเดียวหรือสองรอบเท่านั้น ตอนทำข้อสอบดูคร่าวๆก่อน หากทำได้ก็ทำ หากคิดว่ายากก็มั่วไปเลย ยอมเสียคะแนนสอบในส่วนนั้นแล้วไปทำคะแนนในส่วนอื่นชดเชยแทน รวมทั้งพยายามใช้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษมาชดเชยด้วย ดังนั้นแม้คะแนนรวมจะทำให้ผมสอบเข้าได้แต่ในความเป็นจริงแล้วพื้นฐานของผมไม่แน่นนัก หากต้องการสอบใหม่และทำคะแนนให้สูงขึ้นกว่าเดิมผมอาจจำเป็นต้องติวบ้างในบางวิชา

หลังจากที่หาข้อมูลและหมายตาหลักสูตรติวที่จะสมัครในตอนเปิดเทอมเอาไว้แล้ว ผมก็ใช้เวลาว่างขณะที่ยังปิดเทอมอยู่ด้วยการทบทวนวิชาเอนทรานซ์ด้วยตนเอง ผมมีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณ ๖ เดือนเท่านั้นซึ่งไม่มากนัก

ความสัมพันธ์ของผมกับโอ๋ มิตรผู้ไม่รู้จัก ก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก โอ๋กลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผม กลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติด ผมติดโอ๋อย่างหนัก ต้องโทรคุยกันทุกคืน แต่ละคืนใช้เวลาคุยกันนานทีเดียว ผมกล้าเล่าเรื่องราวต่างๆที่เป็นความในใจของผมที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เรียกว่าคุยกันได้โดยไม่รู้เบื่อราวกับเพื่อนที่สนิทสนมกันมานาน แต่ที่เรียกว่ามิตรผู้ไม่รู้จักก็เพราะว่าแม้ว่าเราจะดูเหมือนว่าสนิทสนมกันแต่เราต่างก็ยังปกปิดตัวตนในสังคมจริงๆเอาไว้ เราต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเรียนที่ใด ชื่ออะไร หรือว่าพักอยู่ที่ใด มันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างประหลาด แต่ก็อย่างว่า ชีวิตแบบนี้มันก็ประหลาดอยู่แล้ว การมีความสัมพันธ์ที่ประหลาดก็คงไม่แปลกอะไร

จนกระทั่งวันหนึ่ง...

“เฮ้ย ปู ผลสอบเป็นไงบ้าง” โอ๋ถามผมในคืนวันหนึ่งขณะที่เราโทรศัพท์คุยกัน ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ใกล้เปิดภาคปลายแล้ว ก่อนหน้านั้นผมบอกโอ๋ว่าวันนี้จะไปดูผลสอบที่คณะ

“รอดว่ะ” ผมตอบ “แคลคูลัสได้ C ส่วนฟิสิกส์ได้ D สงสัยจะเป็นคนสุดท้ายของเกรด D ละมั้ง”

ในที่สุดผมก็โล่งอก สองวิชาที่หวาดเสียวว่าจะสอบตกก็ผ่านมาได้อย่างหวุดหวิด คิดไปแล้วก็ต้องขอบคุณจีฉ่อยที่ขายมัจจุราชสีชมพูฉบับสุดท้ายให้แก่คนอื่นไป ไม่อย่างนั้นผมคงต้องวุ่นวายกับการเรียนซ้ำในภาคฤดูร้อนซึ่งทำให้มีผลกระทบทั้งกับการสอบเอนทรานซ์และการเลือกแผนกอีกด้วย

“ยังงั้นต้องฉลองกันหน่อย” โอ๋พูดขึ้น “พรุ่งนี้นายมาเที่ยวที่บ้านเราไหม”

“นายว่าไงนะ” ผมคิดว่าตนเองหูฝาดไป โอ๋อยู่ที่ไหนผมยังไม่รู้เลย อีกทั้งระยะเวลาที่รู้จักกันก็ยังไม่นานนัก แต่จู่ๆกลับกล้าชวนผมไปเที่ยวที่บ้าน

“เอ๊ะ หูตึงหรือไง” โอ๋หัวเราะ “ถามนายว่าพรุ่งนี้มาบ้านเราไหม พรุ่งนี้คนอื่นไม่มีใครอยู่บ้านเลย มีแต่เรา อยู่คนเดียวคงเหงา เลยชวนนายมาเที่ยวบ้านดีกว่า”

“แล้วบ้านนายอยู่ที่ไหนล่ะ รู้แต่ว่าอยู่ฝั่งธน อย่างอื่นยังไม่รู้เลย” ผมถาม

“บ้านเราอยู่บางแค ใกล้ๆตลาดบางแค” โอ๋ตอบ

โลกของผมมีแค่ลาดพร้าว สะพานพุทธ สยาม สามย่าน สะพานเหลือง แค่เลยจากสยามสแควร์ไปก็ยังไม่ค่อยรู้จักเลย แล้วบางแคนี่มันตรงไหนกัน ที่คุ้นๆก็มีเพียงบ้านบางแค

“ไปดิ” ผมพูดอย่างดีใจ อารามดีใจทำให้รับคำไปอย่างง่ายดายโดยลืมไปว่าหากเราพบกันก็เท่ากับว่าตัวตนในสังคมของผมต้องถูกเปิดเผย “แต่ไปยังไงล่ะ แถวนั้นไม่คุ้นเลย”

โอ๋บอกให้ผมมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าตลาดบางแคในเวลาสิบโมงเช้า โดยบอกสายรถเมล์ที่ผ่านให้ การนัดของเราเป็นแบบการนัดบอดเนื่องจากเราไม่เคยเห็นหน้ากัน ดังนั้นเราจึงต้องใช้สัญลักษณ์บางอย่างเพื่อการสังเกต เราจึงบอกลักษณะการแต่งตัวของตนเองในวันรุ่งขึ้นโดยละเอียด

“พรุ่งนี้เจอกัน” โอ๋บอกก่อนวางสาย “คิดถึงนายนะ ในที่สุดก็จะได้เจอกันเสียที”

คืนนั้นผมกลับเข้าห้องพักอย่างมีความสุข การคุยกับโอ๋ได้แทบจะทุกเรื่องแม้เป็นเรื่องความในใจทำให้ผมรู้สึกดี เราคุยกันได้แม้แต่เรื่องการเป็นเกย์ของเรา ผมไม่เคยรู้สึกดีที่ได้คุยกับใครเช่นนี้มาก่อน พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราจะได้พบตัวตนกันจริงๆ ใจหนึ่งก็อดหวั่นไม่ได้กับการเปิดเผยตัวตนให้โอ๋รู้จัก หากมันเกิดเป็นคนที่ผมรู้จักขึ้นมาหรือว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที หากเกิดเอาผมไปแฉที่คณะว่าผมเป็น... แล้วผมจะทำอย่างไร แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเท่าที่คุยกันโอ๋น่าจะไว้วางใจได้ คิดไปคิดมาสุดท้ายความอยากเจอก็มีมากกว่า

- - -

วันต่อมา

แม้ว่าผมจะออกจากหอพักแต่เช้าแล้วก็ตาม แต่กว่าที่ผมจะไปถึงตลาดบางแคได้ก็เป็นเวลาสิบโมงครึ่งแล้วเพราะบางแคอยู่ไกลจากลาดพร้าวมาก ทางด่วนก็ยังไม่มี โทรศัพท์มือถือที่จะติดต่อก็ยังไม่มี ผมรู้สึกกระวนกระวายเพราะเกรงว่าโอ๋จะคอยนาน

ผมยืนหันรีหันขวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าตลาดบางแค ป้ายรถเมล์นี้คนเยอะมากจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร การมองหาคนที่ไม่รู้จักสักคนหนึ่งจึงไม่ง่ายนัก

ในที่สุด ผมก็รู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่ผม ผมหันกลับไปดู เห็นผู้ชายในวัยเดียวกับผม แต่งตัวตามที่นัดกันเอาไว้ กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่

“โอ๋ใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

“ใช่แล้ว” โอ๋ตอบ “เราตะโกนเรียกนายตั้งนาน นายก็ไม่หันมา ไม่ได้ยินหรือไง”

“เอ้อ... ไม่ได้ยินเลย มัวแต่มองหานายอยู่” ผมตอบอ้อมแอ้ม ที่จริงเมื่อสักครู่ได้ยินเสียงคนเรียกปูๆอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจ คิดว่าเรียกคนอื่น

“ขอโทษที มาสายไปเยอะเลย” ผมพูด “มันไกลมาก กะเวลาไม่ถูกเลย”

“ไม่เป็นไร” โอ๋ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะคอยอยู่นานแต่ก็ดูยังอารมณ์ดี “นายไม่หลงก็ดีแล้ว”

จากนั้นโอ๋ก็พาผมเดินห่างจากตลาดออกไป ผมแอบพิจารณาโอ๋ขณะที่เราเดินด้วยกัน โอ๋มีรูปร่างเตี้ยกว่าผมเพียงเล็กน้อย ผิวสีเข้ม หน้าตาดูน่ารักทีเดียว

โอ๋พาผมเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยซอยหนึ่ง เดินจากปากซอยมาอีกครู่หนึ่งก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดใหญ่

“ถึงแล้ว นี่บ้านเรา” โอ๋พูด “วันนี้ไม่มีใครอยู่ ออกไปข้างนอกกันหมด”

บ้านของโอ๋เมื่อดูจากภายนอกเห็นเป็นทาวน์เฮ้าส์สามชั้น แต่เมื่อเข้าไปแล้วจึงรู้ว่าข้างในมีการเล่นระดับ นับได้หกระดับ เท่ากับว่าบ้านนี้มีอยู่ ๖ ชั้น ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูกว้างขวางน่าอยู่ทีเดียว

เมื่อเราได้พบตัวจริงกัน แทนที่จะมีเรื่องคุยกันมากมาย ตรงกันข้าม ผมกลับคุยไม่ออก ผมคงต้องการการปรับตัวนิดหน่อยสำหรับการนำเพื่อนในจดหมายมาซ้อนทับกับเพื่อนในชีวิตจริง

“เฮ้ย เป็นอะไรไป” โอ๋ถาม “ทำไมไม่ช่างคุยเหมือนในโทรศัพท์เลย” โอ๋ชวนคุย

“นั่นสิ” ผมยอมรับ “รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน คงยังไม่คุ้นที่มีเพื่อนแบบว่า... เอ้อ...”

“ที่เป็นแบบเดียวกัน ใช่ไหม” โอ๋ต่อให้

ผมพยักหน้ารับ

“แล้วนายรู้ว่าตัวเองป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ” โอ๋ถามอีก

ผมอึ้ง ไม่เคยมีใครถามผมตรงขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อมาคิดว่าโอ๋เองก็เป็นแบบเดียวกับผม ผมก็กล้าพูดความจริงกับมัน

“ตั้งแต่เด็กแล้วมั้ง” ผมตอบ พลางหวนนึกไปถึงประสบการณ์ที่เคยมีกับไอ้นัยและไอ้ชัชเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม “นายล่ะ”

“คิดว่าตอน ม.ต้นนะ” โอ๋ตอบอย่างครุ่นคิด “แล้วเคยมีอะไรกับใครมาหรือยัง”

ผมพยักหน้ารับ

“โห เห็นหน้าซื่อๆใช่ย่อยเลยโว้ย” โอ๋พูด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นคำชมหรือเปล่า “นายเป็นแบบไหนล่ะ”

“เอ้อ ไม่รู้สิ มีแบบไหนให้เลือกบ้างล่ะ” ผมเริ่มกวนเมื่อเห็นมันอยากรู้มาก คุยกับมันแล้วสบายใจดี เลยกวนเสียหน่อย

“กวนโอ๊ยนักนะ” โอ๋ด่ายิ้มๆ กวนโอ๊ยเป็นสแลงในยุคนั้น แปลว่ากวนตีน “บอกมาเร็วๆ เป็นแบบไหน”

“ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจ คิงมั้ง” ผมตอบ พลางนึกถึงประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ที่จริงก็ทำได้ทั้งสองแบบแต่เมื่อนึกถึงตอนที่ไอ้นัยทำกับผมแล้วผมรู้สึกขยาดยังไงก็ไม่รู้ เลยเลือกบอกว่าเป็นคิงดีกว่า “นายล่ะ”

“เราเป็นควิง” โอ๋ตอบ สมัยนั้นถ้าเป็นรุกมักเรียกคิงหรือภาษาเขียนบางทีเขียนว่า K หากเป็นรับก็เรียกควีนหรือภาษาเขียนจะเขียน Q หากได้ทั้งรุกและรับมักเรียกว่าควิง คือคิงรวมกับควีน หรือเรียกไบก็ได้ แต่ไบนี้มีสองความหมายนอกจากหมายถึงรุกก็ได้รับก็ได้แล้วยังหมายถึงหญิงก็ได้ชายก็ดีอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่มักใช้ในความหมายแรกคือเป็นได้ทั้งรุกและรับมากกว่า

คนที่ได้ทั้งรุกและรับยังมีศัพท์อีกสองคำ นั่นคือ เวอร์แซตไทล์ (versatile) กับโบท (both) แต่สองคำนี้มานิยมกันในช่วงหลัง ช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้นยังไม่ใช้กัน ส่วนควิงนั้นใช้กันได้ไม่นานนักก็ไม่เป็นที่นิยมและเลิกเรียกกันไป

“นายลงประกาศคงมีคนเขียนมาหาเยอะละสิ” ผมเลียบเคียงถาม

“ใช่” โอ๋พยักหน้า “เขียนมาเยอะ แล้วก็ค่อยๆหายไป ที่นัดเจอก็มีแต่นายนี่แหละ”

“ทำไมนัดเราล่ะ” ผมถาม

“ถูกชะตากันมั้ง คุยถูกคอกันดี” โอ๋ตอบง่ายๆ แม้เป็นคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่ก็เป็นคำตอบที่ทำให้ผมประทับใจ

หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันอีกหลายเรื่อง โอ๋เป็นคนที่คุยเก่ง ยิ่งได้คุยก็ยิ่งรู้สึกปลื้มกับเพื่อนคนนี้มากยิ่งขึ้น

“นายเคยสั่งซื้อภาพลับไหม” จู่ๆโอ๋ก็ถามขึ้นมา แต่ผมก็เข้าใจว่าโอ๋หมายถึงภาพอะไร

“ไม่เคย” ผมส่ายหน้า “ไม่กล้าสั่ง”

“เรามีอยู่หลายชุดเลย อยากดูไหมล่ะ” โอ๋ชวน

“เหรอ เอาดิ” ผมดีใจ “ไหนล่ะ”

“อยู่ในห้องของเราข้างบน ขึ้นไปดูในห้องเราดีกว่า” โอ๋ตอบ หลังจากนั้นก็เดินนำผมขึ้นบันไดไปสู้ชั้นบนของบ้าน

ห้องนอนของโอ๋แม้ไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ข้าวของก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่หัวเตียงมีตู้หนังสือเล็กๆ ที่ผนังห้องมีโปสเตอร์นักร้องและดาราติดอยู่ ดูมีรสนิยมไม่น้อย

โอ๋เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบลูกกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก จากนั้นเดินไปเปิดตู้ทึบที่ข้างเตียง

“ต้องเก็บในตู้แล้วซ่อนกุญแจเอาไว้” โอ๋พูดแล้วหัวเราะ “ไม่งั้นแม่เห็นคงช็อก”

เมื่อเปิดตู้ออกมา เห็นเป็นชั้นวางหนังสือ มีหนังสือเรียงรายอยู่ข้างใน มีทั้งหนังสืออ่านเล่นและหนังสือเรียน โอ๋ยกหนังสือลงจากชั้น เมื่อเอาหนังสือลงก็เห็นด้านหลังของแถวหนังสือยังมีหนังสือวางอยู่อีกแถวหนึ่ง มีทั้งมิถุนา นีออน มรกต วีกเอนด์ และชื่ออื่นๆอีกเต็มไปหมด พร้อมกับมีซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งวางอยู่

“นี่นายเปิดแผงขายได้เลยนะเนี่ย” ผมชมมัน

“ปากนะเนี่ย” โอ๋พูด “เดี๋ยวก็ไม่ให้ดูเสียหรอก”

“อะ อะ ไม่พูดแล้ว” ผมหัวเราะ “กลัวไม่ได้ดู”

แค่เห็นนิตยสารผมก็ตะลึงแล้ว แต่เมื่อโอ๋เปิดซองสีน้ำตาลออกผมก็ตะลึงมากยิ่งขึ้น เพราะในนั้นมีแต่ภาพลับที่เห็นหมดทุกส่วนสัดอยู่ปึกใหญ่ กว่าจะสะสมได้ขนาดนี้คงหมดเงินไปหลายทีเดียว

โอ๋ส่งภาพปึกใหญ่ให้ผม ผมเลิกสนใจกับนิตยสารทันที หันมาสนใจกับภาพลับแทน ผมนั่งลงกับพื้นห้องพลางดูภาพอย่างตั้งอกตั้งใจโดยมีโอ๋นั่งดูเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ภาพบางภาพมีรอยคราบปรอะเปื้อนอยู่ ขณะที่ดูภาพ อารมณ์ของผมที่เคยสงบราบเรียบมาพักใหญ่ก็กลับพลุ่งพล่านขึ้นมา

“เฮ้ย คราบอะไรติดที่ภาพวะ” ผมแกล้งถาม อยากรู้ว่ามันจะตอบว่าอย่างไร

“น้ำว่าวโว้ย” โอ๋ตอบสั้นแต่ได้ใจความ “ดูไปชักว่าวไป”

ผมได้ยินเสียงสวบสาบจึงหันไปดูโอ๋ เห็นโอ๋ถอดกางเกงขาสั้นออก เผยให้เห็นกางเกงในบิกินีสีขาวสะอาดที่มีรอยนูนเป็นลำใหญ่อยู่ตรงกลาง

“โอย ใส่กางเกงแล้วอึดอัดจัง ขอถอดออกดีกว่า” โอ๋พูด



<โรงภาพยนตร์เฉลิมไทยเป็นอาคารที่สร้างขึ้นที่หัวมุมถนนราชดำเนินกลางประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อใช้เป็นโรงละครแห่งชาติ เปิดทำการในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หลังจากที่ใช้เป็นสถานที่แสดงละครเวทีมาหลายปี ต่อมาก็เปลี่ยนไปเป็นโรงภาพยนตร์ มีทั้งยุคที่ฉายหนังฝรั่งและยุคที่ฉายหนังไทย ต่อมาในราวช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๐ กว่าๆ ทางการต้องการรื้อถอนอาคารและโรงภาพยนตร์แห่งนี้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์หัวมุมถนนราชดำเนินกลางเสียใหม่เนื่องจากอาคารนี้บดบังความงามโลหะปราสาทและวัดราชนัดดาเอาไว้ มีเสียงคัดค้านจากผู้ที่ต้องการอนุรักษ์อาคารเก่าเอาไว้ แต่แล้วในที่สุดอาคารโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยก็ถูกรื้อถอนออกไปในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ต่อมามีการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่โดยสร้างพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์และสวนหย่อมไว้ในตำแหน่งอาคารเดิม เผยให้เห็นโลหะปราสาทอันงดงามที่อยู่ด้านหลัง

ในภาพ ภาพบนเป็นโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยที่ถ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ตอนนั้นกำลังฉายเรื่องแผ่นดินแห่งความรัก ส่วนภาพล่างเป็นภาพพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ในปัจจุบัน>

16 comments:

Anonymous said...

)^_^(ที่1 555+ อรุณสวัสดิ์ครับคุณลุงปู อวยพรวันตรุษด้วยขอให้แข็งแรง มีเงินเยอะๆ กินเยอะๆ นะครับลุงปู

Unknown said...

สวัสดี ตอนเช้าครับ

ทำไมผมไม่เคยได้ที่หนี่งเลย
ขออ่านก่อนนะครับ

กัน

Unknown said...

อูจะมีแฟนแล้ว ดีใจจัง

กัน

Anonymous said...

วัยรุ่นนี้ใจร้อนกันจริงๆ อาอูจะได้แฟนก็งานนี้ละมั้ง ฮุๆ
Federick

Anonymous said...

รักอาอูๆ สู้ๆ นะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ว้าววว!!..มีเรื่องให้ลุ้นอีกแระ..!!

มันก็น่าแปลกนะ บางคนคุยกันแป๊บเดียวเหมือนรู้จักมานานแสนนาน และบางคนยิ่งคุยกันไปเหมือนยิ่งไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเค้าเลย..

รอลุ้นตอนหน้าให้อูหายหงอยเศร้ากันดีกว่า อิ อิ

คนลาดพร้าว

หลาบเอง said...

พี่อู จะมีความรักแล้วสิ ดีใจด้วยจัง
หลาบเอง

Anonymous said...

อ่านจากเรื่องแล้ว ผมว่าเขาวางแผนมีขั้นมีตอน
ในระดับนึง เพื่อฟันอาผมอ่ะ ไม่เชื่อหรอกว่า
ชวนอาอูมาเป็นคนแรก ช่ำชองปานนั้น

กลัวจะเป็นโรคน่ะสิเนี่ย (ว่าแต่อาอูไม่ได้เขียน
Rate X มาเป็น ร้อยตอนแล้วนะครับ)
ครั้งหน้าคงเขียนจริงๆ จังๆ สินะ

อยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ ลุงๆ อาๆ ป้าๆ น้าๆ
ร่วมกันกดดัน เอ้ย!! ให้กำลังใจอาอูกันด้วยครับ

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

ตอนนี้...ยังไม่คอมเ้มนต์ครับ

รอตอนหน้าก่อนครับ


ขอด่วนเลย...อูน้อย คงได้ใช้งานตอนหน้านี่ล่ะมั้ง 555...


*** PEE ***

Anonymous said...

ตอนหน้ามาเร็ว ๆ นะครับ


คิดเถิงงงงงงงฮ้าฟฟฟฟฟ


...OaH...

Anonymous said...

ใครจะฟันใครนะ
ป้าขวัญเอาใจช่วยน้องอู

andy_kwan

Choo said...

อูจะมีอาการเหมือนตอนที่อยู่กับแป๋งหรือเปล่าเนี้ย

ท่าทางความสัมพันธ์จะไม่ยาวซะแล้ว

เอาใจช่วยครับ ประสบการณ์ไม่ต้องคิดมากน่ะ 555

เอาเพลง "ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ" ของ ดา/บ๊อป มาฝาก อาจไม่เข้าบรรยากาศ แต่จะแซว

http://www.youtube.com/watch?v=26z6_XKe1Hk

ไม่มีฉากแบบนี้มานานนะ

ชู

Anonymous said...

เขียนติดเรตให้เว็บอื่นไม่กล้าก๊อบไปเลย แรงๆ

แบงค์ครับ

เด็กหลัง ร.ร. said...

ชอบรูปโรงหนังเฉลิมไทยครับ ตอนเด็กๆราวๆป.๖ต้องผ่านทุกเช้า ชอบดูป้ายโฆษณาหนังของที่นี่ ใหญ่ยักษ์มากๆ เคยหนีโรงเรียนเข้าไปดูหนังที่นี่ด้วย มีความสุขจังที่ได้เห็นภาพอีกครั้ง

ขอบคุณนะครับอู

อู said...

เด็กหลังโรงเรียนมาแล้วเหรอ

โรงหนังเฉลิมไทยนี่ไม่เคยเข้าเลยครับ ได้แค่ผ่าน สมัยก่อนเป็นโรงละครแบละครเวที แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นฉายหนังฝรั่ง ยุคหนังฝรั่งในสมัยก่อนมีเรื่องดังอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ เรื่องแก่คุณครูด้วยดวงใจ ที่เอามาทำเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาน่ะชื่อ To Sir with love หนังปี 1967 เกิดไม่ทัน พระเอกผิวสีชื่อซิดนีย์ ปอยติเยร์ Sidney Poitier ไม่รู้อ่านถูกหรือเปล่า โรงเรียนต่างๆต้องพานักเรียนไปดูทีเดียว เคยอ่านเกร็ดภาพยนตร์มา เข้าใจว่าพี่ป้าขวัญกับพี่สาวลาดพร้าวน่าจะทันได้ดู เคยดูไหมพี่ พี่ชูไม่น่าทัน ถ้าทันก็คงแก่แดดมากเลย

ถัดจากนั้นมาก็เป็นยุคหนังไทย ช่วงผมเรียนตอนนั้นฉายหนังไทย เลยไม่ได้ดู ถ้าฉายหนังฝรั่งหรือหนังจีนคงได้หนีโรงเรียนไปดูบ้าง

อ้อ ได้ยินมาว่าที่เฉลิมไทยมีลิฟต์ด้วย สมัยก่อนถือว่าอลังการมากทีเดียว เพราะโรงหนังทั่วไปไม่มีลิฟต์ ใครรู้ข้อเท็จจริงช่วยยืนยันหน่อยครับ

ตอนหน้าคงได้รู้กันว่าเกิดอะไรขึ้นกับโอ๋และผม อีกวันสองวันครับ

Bomber_Boy said...

หวัดดีครับพี่อู

อ่านแล้วตอนต่อไปต้องติดเรท18+ แน่ๆ เลย (หรือเปล่า) ไม่ได้อ่านแบบติดเรทมาตั้งนานแล้ว ครั้งล่าสุดนี่ระหว่างพี่อูกับพี่แป๋ง .... เหมือนผมดูหื่นๆ เน๊อะ...555+