Monday, March 29, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 56

ดึกแล้ว

หลังจากที่ผมแยกจากบอยและกลับมาถึงหอพักแล้วผมก็อาบน้ำและดูหนังสือตามปกติแต่ปรากฏว่าผมดูหนังสือไม่รู้เรื่องเอาเลย คิดถึงบอยทั้งๆที่เพิ่งจะแยกจากกันมาไม่นาน มีความรู้สึกว่าอยากให้บอยอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา

ความคิดอันสับสนแล่นวนเวียนไปมาอยู่ในหัวจนประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ผมไม่สามารถข่มใจดูหนังสือได้ ในที่สุดผมจึงยอมแพ้ เลิกดูหนังสือ ออกจากห้องและขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า

ท้องฟ้าในปลายฤดูร้อนไม่แจ่มใสนัก บางวันก็มีฟ้าครึ้มฝน ผมเหม่อมองดูดาวพรายที่มีอยู่เพียงครึ่งฟ้าอย่างเลื่อนลอย ห้วงความคิดสับสนไปด้วยเรื่องการสอบ เรื่องไอ้นัย และเรื่องบอยจนจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากที่เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ได้พักหนึ่ง สมองของผมก็ค่อยๆสงบลงจนผมสามารถไล่เรียงความคิดได้ทีละเรื่อง

ภาพชีวิตในอดีตไหลผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงของผมเป็นฉากๆ ภาพความยากจนในชนบท ความอดอยากหิวโหยไร้ที่พึ่งพาในเมืองกรุงที่ผมเห็นตั้งแต่เด็กจนเป็นวัยรุ่น ในหนังสือเรียนบอกว่าคนเราเมื่อพบหรือเผชิญกับอะไรซ้ำๆก็จะเกิดความเคยชิน แต่สำหรับผมแล้วผมไม่เคยมีความรู้สึกคุ้นชินกับภาพเหล่านั้นเลย ตรงกันข้าม กลับคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีส่วนช่วยคนเหล่านี้ให้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้างได้

ความคิดในตอนนั้นยังมีความคิดอ่านและความใฝ่ฝันแบบเด็กๆเจือปนอยู่ ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในตอนนั้นผมยังมองไม่ออกว่าหากเรียนวิศวฯแล้วผมจะมีส่วนช่วยคนอื่นได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเรียนแพทย์ แม้จะช่วยให้เศรษฐกิจของคนอื่นให้ดีขึ้นไม่ได้แต่อย่างน้อยการมีสุขภาพดีไม่เจ็บไข้ก็น่าจะช่วยทำให้ผู้อื่นมีความสุขขึ้นได้บ้าง

ความคิดเป็นกระเป๋ารถเมล์ในสมัยเด็กนั้นเลิกคิดไปแล้ว ส่วนความคิดเป็นครูยังพอมีอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับทำให้ผมตัดสินใจเลือกเรียนต่อ เมื่อพูดถึงความอยากเรียนแพทย์แล้วที่จริงแล้วความรู้สึกลึกๆในตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอยากเรียนแพทย์มากมายนัก คงเป็นความอยากเรียนที่มาจากค่านิยมในยุคนั้นผสมกับความคิดฝันแบบเด็กๆ แต่ถ้าพูดถึงวิศวฯแล้วผมยิ่งไม่อยากเรียนมากกว่าเพราะไปนึกถึงภาพการทำงานในโรงงานซึ่งผมไม่ชอบ ที่บ้านของผมก็เป็นโรงงานผลิตเล็กๆ ผมเห็นสภาพการทำงานที่จำเจในโรงงานอยู่เสมอจนมีความฝังใจว่างานโรงงานเป็นงานที่น่าเบื่อ ดังนั้นถ้าจะพูดถึงเหตุผลลึกๆแล้วก็คงเป็นเพราะผมหาข้ออ้างที่จะไม่เรียนวิศวฯมากกว่า และในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมจะไม่ตัดวิชาชีววิทยาออกไป แต่หากจะถามว่าผมชอบเรียนอะไรหรือว่ามีความถนัดเหมาะกับการเรียนสาขาใดมากที่สุดคำตอบจริงๆก็คือผมเองก็ยังไม่ทราบ ซึ่งก็คงเหมือนกับคำตอบของอีกหลายๆคน

สำหรับเรื่องบอยนั้น ยิ่งนานผมยิ่งรู้สึกว่าขาดบอยไม่ได้ แต่เดิมหลายๆวันเจอกันทีก็รู้สึกเฉยๆ แต่ยามนี้คิดถึงมันตลอดเวลาอย่างไม่อาจหักห้ามใจตนเองได้ อยากให้มันมาอยู่ใกล้ๆเป็นเพื่อนเวลาผมดูหนังสือ จะได้มีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อก่อนความคิดของผมเกี่ยวกับนัยมักถูกสะดุดด้วยความคิดเกี่ยวกับบอย แต่มาบัดนี้กลายเป็นว่าความคิดเกี่ยวกับบอยของผมมักสะดุดเพราะเรื่องของไอ้นัย

ก็ในเมื่อคบกับบอยแล้วสบายใจก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ไม่ได้คบเป็นแฟนเสียหน่อย ก็แค่สนิทกันเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่น่าจะผิดอะไร ไอ้นัยเองก็เถอะ เมื่อมันเรียนอยู่ต่างประเทศ หากมันมีเพื่อนที่คบแล้วคุยด้วยสบายใจ ผมก็คงดีใจกับมัน ผมพยายามให้เหตุผลแก่ตัวเอง...

- - -

การเรียนในช่วงต้นเทอมยังไม่มีอะไรมากนัก แต่สำหรับนักเรียนที่เตรียมสอบเอนทรานซ์ในตอนสิ้นปีการศึกษานี้ก็เริ่มหน้าดำคร่ำเครียดกันแล้วเนื่องจากมีทั้งเรื่องกวดวิชาเพื่อนเตรียมเอนทรานซ์และเรียน กศน. เรื่องเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นห่วงใยกังวลกันนั่นก็คือเรื่องการเรียนในห้องเรียน ทั้งนี้ เนื่องจากหากสอบเทียบได้ก็เท่ากับจบชั้น ม.ปลายจาก กศน. และเท่ากับว่าเรียนในโรงเรียนสามัญไม่จบแต่ลาออกกลางคัน ดังนั้นผลการเรียนจากโรงเรียนสามัญจึงนำไปใช้ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากมีเพียงครึ่งๆกลางๆ ไม่ครบตามหลักสูตร

ดังนั้นในยุคที่การสอบเทียบเฟื่อง นักเรียน ม.ปลายที่ต้องการเรียนลัดมักไม่สนใจเกรดที่ได้จากการเรียนในชั้นเรียน เรียกได้ว่าเรียนแบบไม่งกเกรด ไม่อยากเรียนก็โดด บางทีเรียนแต่เอาวิชาอื่นมานั่งอ่านใต้โต๊ะ การบ้านก็ส่งบ้างไม่ส่งบ้าง รายงานถ้าเป็นรายงานเดี่ยวนี่ทำแบบห่วยๆ ถ้าเป็นรายงานกลุ่มยังพอจะค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยเนื่องจากยังเกรงใจเพื่อนในกลุ่มอยู่บ้าง ตอนสอบทั้งสอบย่อยสอบใหญ่ก็จะทำแบบพอผ่านเท่านั้น เมื่อตอน ม.๔ อาการเรียนแบบไม่ง้อเกรดยังไม่มากเท่าไรเนื่องจากหลายคนก็ยังไม่ทันได้วางแผนการเรียน แต่เมื่อเรียนถึงชั้น ม.๕ แล้วอาการปล่อยวางกับการเรียนในชั้นจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มไอ้เฉา ไอ้กี้ จอมมารดำขาว พวกนี้เรียนเก่งกันทุกคนแต่ว่าหากดูจากผลการเรียนแล้วจะไม่รู้ว่าเก่งเนื่องจากเกรดเฉลี่ยไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ ๔ เลย

ส่วนพวกที่เรียนแบบล่าเกรดก็มี พวกนี้ไม่สอบเทียบเพราะตั้งใจให้จบ ม.๖ ด้วยเหตุผลหลายๆประการ เช่น ต้องการชิงทุนเล่าเรียนหลวง ฯลฯ พวกที่ล่าเกรดนี้จะเรียนแข่งกันและพยายามจบชั้น ม.ปลายด้วยเกรดเฉลี่ยที่สวยหรู ประเภทเฉียด ๔ หรือได้ ๔.๐๐ ไปเลย อย่างเช่นพวกน้องมอนคนน่ารักที่ผมเคยชอบแอบมองตอน ม.๔ ไอ้พันหัวหน้าห้องตอน ม.๔ ซึ่งปีนี้ไม่ได้เป็นแล้ว และโชคเสือซุ่มผู้หวงวิชาที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมในปีนี้

เนื่องจากการสมัครเรียน กศน. เป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการเปิดภาคต้น ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ผมต้องพยายามติดตามข่าวสารจากเพื่อนๆว่ามีขั้นตอนอะไรที่ต้องทำบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นการฟังเพื่อนๆคุยกัน ผมไม่พยายามสอบถามใครโดยตรงเนื่องจากผมทำเนียนเป็นว่าไม่ได้สนใจเรียน กศน. แหล่งข้อมูลสำคัญก็มาจากจอมมารดำขาวที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั่นเอง แต่ข้อมูลที่ได้จากมันต้องระวังเอาไว้บ้างเนื่องจากบางทีเป็นเรื่องอำ ไม่ใช่เรื่องจริง

“เฮ้ย ใบสมัครชุดละ ๓๐๐ บาทเชียวนะมึง” นน จอมมารดำบอกไอ้กี้ “คนไปเข้าคิวรอซื้อตั้งแต่ตีสาม มึงจะฝากกูซื้อก็ได้นะ กูยอมเหนื่อยคนเดียวเพื่อเพื่อนๆ”

“พ่อมึงดิ ใบสมัครชุดละ ๓๐๐ ไปเข้าคิวตีสาม” ไอ้กี้หัวเราะจนตาเหลือเพียงเส้นเดียว “มึงไปหลอกควายไป๊”

“กูก็กำลังทำอยู่นี่ไง” นนพูดพลางหัวเราะ

ตอนนั้นศูนย์ กศน. มีหลายแห่ง คนที่เรียนแถวๆปากคลองตลาด วังบูรพา จะข้ามไปเรียนที่ศูนย์ย่านฝั่งธนฯก็สะดวกดี ดูเหมือนจะชื่อศูนย์ กศน. วัดกัลยาณ์ฯ ส่วนผมนั้นข้ามไปฝั่งธนฯไกลจากที่พักเกินไป อีกอย่าง ผมไม่อยากเจอเพื่อนๆเพราะว่ากลัวเพื่อนๆจะรู้ จึงมาซื้อใบสมัครที่ศูนย์ กศน. ย่านสะพานควายซึ่งใบสมัครนั้นราคาไม่แพงอย่างที่นนบอก จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไร แต่ที่ว่าเข้าคิวกันซื้อนั้นมีส่วนจริง เพราะตอนที่ผมไปนั้นมีนักเรียนหัวเกรียนๆไปรอซื้อใบสมัครกันคับคั่ง พวก ม.ต้น ที่ต้องการสอบเทียบ ม.๓ ก็มาด้วย ผู้ใหญ่บางคนที่มาซื้อใบสมัครให้ลูกบ่นว่ามารอคิวตั้งแต่ไก่โห่ และที่สำคัญ ผมเจอเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันบางคนด้วย

เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงเปลี่ยนแผน ไม่เรียนแถวสะพานควายแล้ว แต่ไปที่ศูนย์ กศน. ย่านบางกะปิแทน ซึ่งที่นั่นไกลจากโรงเรียนมาก แต่สำหรับผมแล้วถ้าต้องเดินทางไปพบกลุ่มในวันหยุดก็ถือว่าสะดวกดี ที่ศูนย์แห่งนั้นหัวเกรียนทั้ง ม.ต้นและ ม.ปลายที่มาซื้อใบสมัครก็คับคั่งเช่นเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนในย่านลาดพร้าว บางกะปิ และพื้นที่ใกล้เคียงนั่นเอง

เมื่อได้ใบสมัครมาแล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นการเตรียมเอกสาร ได้แก่ พวกใบประกาศนียบัตรชั้น ม.๓ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน และที่ขาดไม่ได้คือรูปถ่าย ซึ่งพวกเพื่อนๆในห้องจะพูดกันนักพูดกันหนาว่าหากจะสมัครเรียน กศน. อย่าใช้รูปถ่ายในชุดนักเรียนติดใบสมัคร ให้ใช้รูปถ่ายเสื้อเชิ้ตขาวธรรมดาแทน รวมทั้งห้ามแต่งชุดนักเรียนไปสมัคร ซึ่งแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่ว่าก็ขอปลอดภัยเอาไว้ก่อน จึงไปถ่ายรูปเสื้อเชิ้ตขาวมาเตรียมเอาไว้โหลหนึ่ง

- - -

หลังจากที่ผมแกล้งบอยไป เมื่อบอยหายเคืองผมและเราสองคนได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว มันทำให้ผมยิ่งเห็นความสำคัญของบอยมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมมักคิดถึงบอยอยู่เสมอและหาโอกาสไปพบบอยที่สหกรณ์เสมอเท่าที่ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกผิดสังเกต รวมทั้งพยายามแบ่งเวลาส่วนหนึ่งสำหรับไปเที่ยวกับบอยบ้างเพราะรู้ว่าบอยชอบมีคนที่คอยดูแลและเอาใจ แม้บางครั้งผมจะไปทำธุระแต่ผมก็พยายามหาเรื่องชวนบอยไปเนื่องจากอยากอยู่ใกล้ๆบอยนั่นเอง

เรื่องความในใจนั้นผมยังลังเลที่จะบอก คราวก่อนที่คิดจะบอกเพราะเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ตอนนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรแล้วผมจึงกลับมาลังเลอีกครั้งหนึ่ง สภาพสังคมในยุคนั้นไม่เหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นวัยรุ่นในยุคปัจจุบันจึงอาจไม่เข้าใจว่าทำไมการบอกความในใจกับบอยจึงได้ยากนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในปัจจุบันนั้นสังคมเปิดกว้างและมีพื้นที่ให้แก่เกย์มากกว่าเมื่อก่อนมากจนวัยรุ่นในปัจจุบันยากที่จะนึกภาพในยุคก่อนออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมในเมือง

วัยรุ่นในปัจจุบันอาจไม่ปิดบังเพื่อนๆว่าตนเองเป็นเกย์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่เว็บไซต์เครือข่ายสังคม เช่น ไฮไฟฟ์ เฟซบุ๊ก ซึ่งวัยรุ่นชายหลายๆคนนำเอาภาพที่ตนเองจูบกับเพื่อนชายมาลงได้โดยไม่ต้องปิดบัง แต่ในยุคที่ผมเป็นวัยรุ่นนั้นเกย์เป็นเรื่องผิดปกติ แม้แต่ในทางการแพทย์ก็ยังถือว่าเกย์เป็นความผิดปกติทางจิต หรือที่เรียกกันว่ากามวิปริต แค่คำที่เลือกใช้ก็พอจะสะท้อนทัศนคติในยุคนั้นได้แล้ว ดังนั้นในมุมมองของคนทั่วไปในสังคมการเป็นเกย์จึงถือเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว ต่อมาอีกหลายปีวงการแพทย์จึงค่อยเปลี่ยนแปลงทัศนะจากความผิดปกติกลายเป็นเรื่องของลางเนื้อชอบลางยาหรือที่เรียกว่า sexual preference แทน พร้อมๆกับสังคมที่ค่อยๆเปิดกว้างมากยิ่งขึ้นและยอมรับความเป็นปัจเจกมากยิ่งขึ้น

“บอย วันเสาร์นี้ไปหลังกระทรวงกันไหม” ผมถามบอยในตอนเย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งกินขนมอยู่ในโรงอาหาร หลังจากที่บอยเลิกเรียนและเสร็จจากงานที่สหกรณ์แล้ว

“กระทรวงไหนเหรอพี่อู” บอยทำหน้าเหรอหรา “มีตั้งหลายกระทรวง”

“โธ่เอ๊ย” ผมหัวเราะ “นี่นายไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้ หลังกระทรวงก็หมายถึงหลังกระทรวงกลาโหมไงล่ะ เอ... หรือหมายถึงหลังกระทรวงมหาดไทยหว่า” ผมพูดเองก็ชักสับสนเอง บอยหัวเราะ นึกว่าผมแกล้งทำ

“ไม่รู้จริงๆ” บอยตอบ

“ก็หลังกระทรวงที่ขายพวกชุด รด. และอุปกรณ์ต่าง ไง” ผมตอบ “เดินจากสนามหลวงไปหน่อยก็ถึงแล้ว”

“แล้วพี่อูจะไปซื้ออะไร” บอยถาม

“จะไปซื้อรองเท้าคอมแบตน่ะ คู่เดิมเป็นของใช้มือสอง ใส่เรียน รด. ได้ปีเดียวก็พังเสียแล้ว” ผมตอบ “อยากชวนนายไปเป็นเพื่อนน่ะ”

“อ้อ จะให้ไปช่วยดูว่ารองเท้ารับกับใบหน้าหรือเปล่าใช่มั้ย” บอยทำหน้าทะเล้น

“ไอ้เปรต” ผมหัวเราะ อดไม่ได้ต้องยกมือขยี้หัวมันเล่น “อยากให้นายไปด้วยน่ะ ไม่ได้เจอนายหลายวัน... คิดถึงว่ะ”

ประโยคสุดท้ายผมพูดตามน้ำไปเรื่อยๆแบบทีเล่นทีจริง

บอยนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง

“เสาร์นี้บอยไม่ว่างฮะ” บอยตอบ

ผมใจหายวูบ ปกติบอยไม่เคยปฏิเสธอะไรผมเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำปฏิเสธจากบอย

“อ้อ” ผมได้เพียงคำเดียวแล้วก็พูดต่อไม่ออก

“ว่าจะบอกพี่อูอยู่พอดีว่า...” บอยหยุดไปนิดหนึ่ง “ต่อไปบอยคงไปทำงานที่สหกรณ์น้อยลงเพราะว่าบอยมีเรียนกวดวิชาหลังเลิกเรียน แล้วก็วันเสาร์ด้วย”

“นี่... นี่นายจะสอบเทียบเหรอ” ผมรู้สึกใจหายราวกับว่ากำลังสูญเสียของสำคัญบางอย่างไป

“สอบเทียบอะไรกันพี่อู บอยก็ ม.๓ แล้วนะ” บอยหัวเราะ “แต่ว่าบอยจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ”

“พี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” จู่ๆผมก็รู้สึกอ้างว้างวูบขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ “ทำไมนายไม่เคยบอกพี่เลย”

“ก็ช่วงเปิดเทอมที่พี่อูทำให้บอยโกรธไง” บอยเท้าความ “แล้วพี่อูก็หายไปเลย บอยเซ็งๆอยู่พอดีเพื่อนๆในห้องมันท้าไปสอบเตรียมฯเพื่อวัดฝีมือกัน มันท้าบอย บอยก็เลยรับคำท้ามัน”

ในยุคนั้นการสอบเข้า ม.๔ โรงเรียนเตรียมฯของพวกเด็ก ม.๓ ก็คล้ายๆกับการสอบเข้า ม.๑ เข้าโรงเรียนดีๆของพวกเด็ก ป.๖ ที่ถือว่าเป็นการวัดฝีมือกันอย่างหนึ่ง ใครสอบได้ก็ถือเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาในหมู่เพื่อนฝูง ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.๓ ก็เป็นเช่นเดียวกัน

“แล้วเกี่ยวอะไรกับกวดวิชา” ผมถาม ที่จริงผมก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว แต่ก็ยังอยากถามเพื่อความแน่ใจ

“ก็ถ้าจะสอบให้ติดก็ต้องไปกวดวิชาดิ พวกเพื่อนๆมันก็ไปเรียนกันทั้งนั้น ถ้าบอยไม่เรียนแล้วจะไปสู้พวกมันได้ไง ถ้าเกิดแพ้พวกมันบอยก็เสียหน้าหมด” บอยตอบ “อีกอย่างก็เซ็งพวกพี่ๆที่สหกรณ์ด้วยแหละ ชอบแกล้งบอย เลยว่าจะหาอะไรอย่างอื่นทำดูบ้าง”

“นายจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วถ้าสอบติดขึ้นมานายจะทำไง อยู่ที่นี่ไม่ดีพอหรือไง” ผมระดมคำถามไปรวดเดียวหลายคำถาม

“ก็... ไม่รู้สิ” บอยนิ่งคิด “ให้มันสอบได้ก่อนเถอะพี่อู แล้วค่อยว่ากัน”

บอยสมัครเรียนกวดวิชาไปสองหลักสูตร หลักสูตรกวดเข้าเตรียมฯโดยเฉพาะกับหลักสูตรภาษาอังกฤษ หลังจากที่ได้รู้ว่าบอยต้องไปเรียนกวดวิชา การพบปะกับบอยในวันนั้นแทนที่จะเป็นความสุข ผมกลับรู้สึกเคว้งคว้าง คิดแล้วก็น่าแปลก ก็ในเมื่อปกติผมก็ไม่ได้เจอบอยทุกวันอยู่แล้ว การที่บอยเรียนกวดวิชาอาจไม่กระทบกับเวลาระหว่างผมกับบอยเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งปีนี้หากผมเอนทรานซ์ได้ผมก็ต้องจากบอยไป ถึงบอยจะสอบเข้าเตรียมฯได้หรือไม่ก็ไม่แตกต่างอะไรกัน แต่ทำไมผมจึงมีความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไปจากชีวิตได้ก็ไม่รู้

- - -

เดือนมิถุนายน

“พี่ครับ เที่ยวบินที่ไปอเมริกา หกโมงห้าสิบ จะมาส่งคนน่ะครับ ต้องไปที่ไหนครับ” ผมถามอย่างร้อนรน

พนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่ได้ชายมามองผมแม้แต่นิดเดียว

ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาหลังของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ผมอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เงาหลังนั้นช่างคล้ายไอ้นัยเหลือเกิน ต้องใช่มันแน่ๆ โดยไม่รอช้า ผมรีบไปวิ่งไปที่ร่างนั้นทันที

“นัย” ผมตะโกนลั่น “รอก่อน”

ไอ้นัยไม่หันกลับมา แต่กลับเดินหน้าต่อไปอย่างเร่งรีบ ผมรีบวิ่งตามไป แต่วิ่งเท่าไรก็ไม่ทันไอ้นัยเสียที ผมรู้สึกว่าผมกำลังก้าวเท้าซอยอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้... ทันใดนั้น เสียงกริ่งเตือนภัยก็ดังขึ้นทั่วทั้งสนามบิน เสียงดังแสบหู ฝูงชนอลหม่านด้วยความแตกตื่นตกใจ ไอ้นัยถูกฝูงชนเบียดหายลับไปจากสายตา

“นัย รอด้วย” ผมตะโกนสุดเสียง

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจเต้นถี่เร็ว เหงื่อออกจนชุ่มตัว เสียงนาฬิกาปลุกดังระรัวแสบหู ผมกดนาฬิกาปลุกจากนั้นลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาบน้ำแต่งตัวและไปโรงเรียน

เช้าวันนี้ฟ้ามืดครึ้มเป็นพิเศษ ลมแรง อากาศเจือปนด้วยกลิ่นไอฝน ผมออกจากหอพักไปโรงเรียนด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่เต็มอิ่ม

บรรยากาศยามเช้าหน้าหอพักที่ผมอาศัยอยู่คึกคักกว่าเมื่อปีที่แล้วมากเนื่องจากตึกแถวฝั่งตรงข้ามปรับปรุงเป็นห้องพักให้เช่าและเปิดให้บริการแล้ว มีผู้เช่าพักเป็นจำนวนมาก ช่วงหกโมงเช้าถึงเจ็ดโมงจะเห็นผู้จากตึกทั้งสองเดินกันคึกคักอยู่ในซอย ทำให้เกิดการค้ายามเช้าในซอยเพิ่มมากขึ้นตามมา ทั้งขนมปัง อาหารถุง เครื่องดื่ม หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ทำให้อาหารการกินในยามเช้าสะดวกสบายและมีให้เลือกหลากหลายขึ้น

ผมเดินเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่ปากซอยภาวนา แม้วันนี้ฝนจะตั้งเค้าและถึงแม้ผมจะรู้สึกเพลียแต่ผมก็ยังเดินไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาเช่นเดิม ผมทำอย่างนี้มาหลายปีชนชินแล้ว... จนลืมไปแล้วว่าทำไมผมต้องเดินไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาทั้งๆที่หน้าปากซอยหอพักของผมก็มีป้ายรถเมล์เช่นกัน

ขณะที่นั่งรถเมล์ ฝนก็ปรอยลงมา ผมยังไม่ปิดหน้าต่าง ปล่อยให้สายลมกรุ่นกลิ่นฝนพัดมาปะทะใบหน้าพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปแสนไกล

ในที่สุด การสมัครเรียน กศน ของผมก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อยแต่ไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากในวันสมัครเรียนมีผู้สมัครหัวเกรียนทั้ง ม.ต้นและ ม.ปลาย ไปสมัครกันล้นหลามจนภายในตึกแถวอันเป็นที่ตั้งของศูนย์ กศน. ไม่มีที่ว่างเลย ผู้สมัครต้องออกมายืนตากแดดคอยนอกตึก ออกันเป็นกลุ่มใหญ่ราวกับมีการจับกลุ่มประท้วงอะไรสักอย่าง การสมัครดูโกลาหลวุ่นวายไปหมด ผมใช้เวลานานมากกว่าจะสมัครและลงทะเบียนเรียนแล้วเสร็จซึ่งเวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการรอคอย

การเรียน กศน. ก็แบ่งเป็นภาคเหมือนการเรียนในโรงเรียนสามัญ ในภาคการศึกษานี้ผมลงทะเบียนเรียนไป ๔ วิชาจากทั้งหมด ๘ วิชา จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าต้องไปเรียนพิมพ์ดีดด้วย ซึ่งจะต้องไปสมัครเรียนพิมพ์ดีดกับโรงเรียนพิมพ์ดีดอีกทีหนึ่ง เมื่อเรียนสำเร็จแล้วจึงเอาใบประกาศนียบัตรวิชาพิมพ์ดีดไปแสดงเป็นหลักฐาน

หลังจากที่สมัครเรียนและลงทะเบียนเรียนกับ กศน. เรียบร้อย ชีวิตของผมก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักเนื่องจากก่อนหน้านี้ปกติผมก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเทียบอยู่แล้ว จะมีกิจกรรมบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตบ้างก็เช่นการพบกลุ่มทุกวันหยุดสุดสัปดาห์และการไปเรียนพิมพ์ดีด เรื่องเรียนพิมพ์ดีดนั้นผมยังไม่ได้สมัครเรียน แต่ก็เล็งๆเอาไว้แล้วว่าจะเรียนที่ไหน คิดว่าอีกสักพักจึงค่อยไปสมัครเนื่องจากตอนนี้ผมยังดูหนังสือไม่ทันอยู่จึงยังไม่มีเวลาไปเรียน

พูดถึงเรื่องการดูหนังสือเตรียมสอบ ดูเท่าไรก็ไม่ทันตามแผนสักที ยิ่งพอเปิดเทอมต้องมีการบ้าน รายงาน และกิจกรรมอื่นๆด้วย การดูหนังสือของผมก็ยิ่งไม่ทัน ผมจึงมักวิตกกังวลอยู่เสมอ ผลจากความเครียดและความวิตกกังวลทำให้ผมฝันร้ายเรื่องเดิมๆอยู่เป็นประจำ

ทางด้านบอยนั้น บอยเริ่มเรียนกวดวิชาแล้ว ในวันเรียนเรามีโอกาสพบกันที่โรงอาหารหลังเลิกเรียนสัปดาห์ละสองวัน ส่วนในวันหยุดนั้นตั้งแต่บอยไปเรียนกวดวิชาเรายังไม่ได้นัดกันเลยเพราะว่าบอยมีเรียนวันเสาร์ ส่วนผมมีนัดพบกลุ่มวันอาทิตย์ จึงยังปรับเวลาให้ลงตัวกันไม่ได้

นอกจากนี้ ผมยังมีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การโทรไปคุยกับครูช่วย ตั้งแต่ที่เราพบกันในช่วงปิดเทอม หลังจากนั้นผมก็โทรศัพท์ไปหาครูช่วยบ้างราวเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ เพราะรู้สึกว่าครูช่วยค่อนข้างเหงาเนื่องจากตอนกลางครูต้องอยู่บ้านแต่เพียงคนเดียว ครูออกจากบ้านไม่บ่อยนัก ดังนั้นเราสองคนครูลูกศิษย์จึงยังไม่มีโอกาสกินอาหารด้วยกันอีกดังที่ได้ตั้งใจกันไว้

เช้าวันนั้น หลังจากที่ผมไปถึงห้องเรียนแล้ว ผมก็แวะไปที่สหกรณ์เพื่อทักทายบอย เช้าวันนี้ผมรู้สึกว่าจิตใจไม่ค่อยแจ่มใสนักจึงอยากเห็นหน้าไอ้บอยให้มีกำลังใจสักหน่อย

ที่สหกรณ์ ไอ้น้อง ม.๔ ตัวแสบที่เคยแกล้งบอยคนหนึ่งเป็นคนอยู่เวร ผมเห็นมันมองผมแล้วทำหน้าแปลกๆ รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน ป่านนี้ไม่รู้มันเอาผมกับบอยไปนินทาหึ่งไปถึงไหนแล้ว แต่ก็พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมทำเนียนดูโน่นดูนี่อยู่สักพักก็ไม่เห็นบอยทั้งๆที่เช้านี้เป็นเวรของมัน ในที่สุดอดรนทนไม่ได้จึงถามมัน

“ทำไมไม่เห็นไอ้บอยเลย วันนี้เวรมันไม่ใช่เหรอ” ผมถาม

“ครับพี่” น้อง ม.๔ คนนั้นตอบ “สงสัยมันจะเบี้ยวเวรแล้วละ ไอ้ตัวแสบนี่หมู่นี้เหลวไหล ชอบเบี้ยวเวร”

ผมรู้สึกแปลกใจเพราะปกติบอยเป็นเด็กที่รักหน้าที่และมีความรับผิดชอบ ทำไมจึงกลายเป็นเด็กเหลวไหลไปได้









<รายได้ของนิตยสารเกย์นอกจากเกิดจากการขายตัวนิตยสารเองแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังมาจากการขายภาพลับของนายแบบประจำฉบับ ภาพลับที่ว่าก็คือภาพเปลือยแบบเห็นทุกส่วนสัดซึ่งตีพิมพ์ในเล่มไม่ได้ ชุดหนึ่งจะมี ๕ ภาพ ในยุคต้นๆของนิตยสารเกย์ราคาประมาณชุดละ ๕๐-๖๐ บาท ในภาพเป็นภาพลับของนายแบบจากนิตยสารนีออน ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ อันเป็นช่วงที่นิตยสารฉบับนี้เพิ่งวางตลาดได้ไม่นาน ภาพลับชุดนี้ว่ากันว่าค่อนข้างฮือฮาในยุคนั้นเนื่องจากนายแบบเป็นหนุ่มชาวดอยร่างกำยำ รวมทั้งมีส่วนสัดที่พิเศษแตกต่างจากนายแบบทั่วไป ภาพชุดนี้ปัจจุบันคงแทบจะหาดูที่ไหนไม่ได้แล้ว ผมเองได้รับมาจากเพื่อนๆที่เป็นผู้อ่านคนหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วตอนที่ยังโพสต์อยู่ในบอร์ดใต้ดิน ต้องขอขอบคุณในไมตรีจิตของผู้ที่ส่งภาพให้มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ>

24 comments:

Anonymous said...

ที่หนึ่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ที่หนึ่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
Rose

Anonymous said...

ที่2 ฮิ้วววว์!!
เดี๋ยวมาใหม่ค่ะ..

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

ผมว่าวันนี้ภาพมาแรงกว่าเนื้อเรื่องอีกนะครับ
มาต่อ ตอนต่อไปไว ๆ นะครับ

ไก่

Anonymous said...

..มาเม้นท์ช้ามัวแต่หายาดม555+
สงสัยน้องบอยจะติดเตรียมฯล่ะมังคะ..
ถึงได้ห่างจากอกอู..(ว่าไปนั่น)
เมื่อวานมีมหกรรมสอบเข้าเตรียมฯที่อิมแพค
โอวแม่เจ้า..เด็กเกือบ13,000คน..!!
ผู้ใหญ่อีก2เท่า..นี่แหละหนาความรักของพ่อ-แม่
T_T

Anonymous said...

ลืมลงชื่ออีกแล้ว เม้นท์4ของพี่เองค่ะ
ส.ว.ก้อเงี้ยะ..!!
มัวแต่ฟังถ่ายทอดสดในทีวีอีกตะหาก เฮ้อ!

คนลาดพร้าว

naja said...

อื้อหือใหญ่จริง!

เห็นรูปแล้วลืมหมดเลยว่าจะ reply อะไร 5555

Anonymous said...

เปิด Summer แล้วครับ
จันทร์-อังคาร-พุธ
09.00-12.00
13.30-16.30
17.30-20.30

พฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์
09.00-12.00
13.30-16.30

T-T

ไม่พอยังต้องฝ่าขบฏไปเรียนอีก

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เย้ ยังทันหนึ่งในสิบ

แหมอาครับ
โพสกันตอนสถานการณ์บ้านเมืองตึงเครียด
กำลังเจรจากันเลยนะครับ หุหุ

ปิดเทอมนี้ไม่รู้ทำไรดี
ได้แต่ช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียน

อาได้ไปเดินสัปดาห์หนังสือมายังอ่ะครับ
หรือใครก็ได้ ช่วยบอกด้วยว่าปีนี้เป็นไงบ้าง

อาร์ม

Anonymous said...

ที่เท่าไร ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นแฟนประจำก็แล้วกัน อิอิ เป็นแฟนติดตามอ่านนะคับ ไม่ใช่แฟนที่นั่งอยู่ข้างๆนะคับ

เห็นรูปแล้วชอบชอบ อิอิ

รออ่านตอนต่อไปคับผม

กัน

Fryderyk C. said...

หลังจากที่เศร้ามานาน อย่าบอกนะครับ ว่าจะต้องมาเจอเรื่องเศร้าๆ จากน้องบอยอีก ง่าๆ


อาอูครับ ช่วงนี้ส่งต้นฉบับช้านะครับ อิอิ ทำเวลาหน่อยครับ


สวัสดีครับอาอู
+ แฝดผมด้วยครับนาย Federick และ พี่ๆ อาๆ ทุกคนครับ
^ ^

Anonymous said...

โอ้คราวนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง อ๊ากส์ วันหลังมาลงอีกนะครับ อิอิอิ ว่าแต่ผมกลายเป็นแฝดของนาย Fryderyk C. ไปแล้วเหรอเนี่ย ว่าแต่ผมคงเป็นแฝดพี่แหละ เพราะผมน่าจะอายุมากกว่านะ แฝดน้อง อิอิ
Federick

Anonymous said...

)^_^(ที่โหล สวัสดีเช้าครับลุง ก็ตอนนั้นลุงไม่บอกความในใจมานนี่ครับผมเลยไปสอบสะ หุหุ ไปก่อนครับเด๋วเย็นมาใหม่

Anonymous said...

โว้ว..........ลงรูปแล้ว


thom

Anonymous said...

)^_^( คำว่าคิดถึงอาจทำให้บอยรู้ความในใจบ้างแล้ว แต่ตอนท้ายนี่ชักเริ่มๆซะแล้ว เห็นลางร้ายพวกพี่ม4ต้องล้อเรื่องลุงกับบอยแหงม

Anonymous said...

พี่สาวลาดพร้าวถึงกับหายาดมเชียว ยาดมก็วางอยู่ในเชี่ยนหมากไงพี่ เชี่ยนหมากนี่ของคุณยายนะครับ ไม่ใช่ของพี่

พี่ ments42 ดูรูปให้ชื่นใจ ที่บ่นผิดหวังคงหายผิดหวังแล้วนะครับ

ตอนหน้าจะเป็นภาพชุดสุดท้ายที่เกี่ยวกับยุคแรกของนิตยสารเกย์ไทย แรงกว่านี้อีก กุหลาบจองที่หนึ่งให้ได้อีกนะครับ

ทำไมบอยจึงเบี้ยวเวรเหลวไหล อีกไม่นานก็รู้ครับ

หลาน arus ไปเรียนก็เดินระวังหน่อย มีอะไรก็วิ่งเอาไว้ก่อนแล้วกัน

ตอบหลานอาร์ม อายังไม่ได้ไปเดินงานสัปดาห์หนังสือเลยครับ เลยยังไม่รู้ว่าคึกคักขนาดไหน ว่าจะไปวันนี้ตอนค่ำครับ รอเงินเดือนออกแล้วค่อยไปน่ะ

ช่วงนี้มีคู่แฝดหลายคู่ แฝดหนิงอาร์หายตัวไปเลย เหลือแต่แฝดเฟเดอริก

กันจะมานั่งข้างๆพี่อูก็ได้ครับ แต่ต้องระวังน้องบอยหน่อย


อู

Choo said...

ตอนนี้เรื่องที่เล่า เป็นเรื่อง กศน.คือการศึกษานอกลู่นอกรอย กับ รูปสารคดีสัตว์โลกที่ลง สอดคล้องกันมากเลยครับ 555

ก็เลยหลบไปพิจารณารูปสังขารวิญญาณ นานหน่อยครับ

ปานนี้นายแบบก็คงแก่ละ

ชู

Anonymous said...

สุดยอดเลยครับ หายผิดหวังเลยจริงๆ คับแก้วเลย
ments42

หบานหนิง said...

ยุ่งๆ นิดครับ ตอนนี้ย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้ว

เม้นสำหรับตอนนี้สั้นๆ ว่า

"เนื้อเรื่องธรรมดา แต่ว่ารูปแรว๊ง"

ส่วนสำหรับอาอู???

"รู้ดีจังนะครับ หุหุ"

nai said...

รูปแรงดีจังตอนนี้

เพิ่งรู้เหมือนกันว่า ในบล็อกนี้มีแฝดหลายคู่ หนิงกับอาร์ FกับF แล้วก็ อูกับชู

ไม่รู้คู่สุดท้ายเป็นแฝดคนละฝาหรือเป็นฝาเดียวกันโน๊ะ
อ้อ ลืมไป บอยกับนัยก็คนเดียวกันนี่น่า

นัย

PR said...

อารัยกานอะ...พี่หนิง...อาชู...อาอู....
มีลับลมคมในรัยกานหว่า...เหอ...เหอ...
..............................
...ก่อนอื่นซาหวาดดีดีดีดีดีดีดีดีดีดี...อาอูดังๆให้ลั่นร้านเกมส์(ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกส์.....ออกแนวบ้านิดๆ...อิอิ)
...ช่วงนี้ม่ายด้ายมาเม้นให้อาอูเลยยยยย...กลับบ้านที่บ้านนอกม่ายมีเน็ตง่า....แงแงแง...
...กว่าจะมาเม้นทีต้องวิ่งเข้าตลาดแต่มานก็คุ้มมากมายค้าบบบบ...อิอิ
...รู้สึกเรื่องช่วงนี้อาอูจะม่ายเน้นเนื้อหานา...แต่รูป(อ๊ากกกกกกกส์ส์...แรงขึ้นทุกตอนนะอาอู...ดูแล้วเลือดกำเดากระจายเต็มพื้น...อิอิ)
...อืม...ต่อมาซาหวาดดีดีดีดีดีดีดีทุกท่านเหล่าแฟนๆและสาวกเรื่องนี้...เราจะยกทัพถล่มตีเมืองกระทู้ท่านอาอูกัน...มากมายเหลือเกิน...แล้วอาร์ ก็มาคนสุดท้ายทุกทีสิน่า..
...สุดท้าย...(แต่ม่ายท้ายสุด...เราจะยืดยาวต่อไป...)อาอูครับถามหน่อยนะ...เส้นแบ่งทางสังคม...มันมีเพียงเส้นบางๆใช่ไหมครับ...ถ้าเราผ่านมันไปได้...ตัดเส้นแบ่งนั้นออก...เราก็จะทำให้สังคมยอมรับใด้ใช่ใหมอาอู...ทิ้งท้ายไว้แค่นี้ก่อนนะฮะ...

Anonymous said...

ลืมข้อความคอมเมนท์เลย พอเห็นรูปด้านล่าง
ฮ่าๆๆ
จะไงก็ตามตอนพี่อูเรียน แล้วเลือกเรียน กศน ด้วย
ดูขยันนะ >< แหะๆ
ช่วงนี้คงเครียดเอนทรานซ์มากๆ เลยนะคะ
แล้วน้องบอยเป็นอะไรน้า จู่ๆ ก็เบี้ยวงานได้ยังไง
เห็นบอกตอนหน้าจะเฉลย รออ่านตอนหน้าค่ะ ^^
ขอบคุณค่ะ

หญิง

Anonymous said...

)^_^(แวะมาปลุกครับ ลุงไนติงเกลสบายดีรึป่าว วันนี้โดนขังอีกแล้ว แต่ไม่กินข้าวไข่เจียวแล้วใหย่พอแล้วกิ้กๆ ความคิดลุงที่จะเรียนหมอนี่ใช่เลย สำหรับผมก็รู้สึกอย่างงั้นนะคืออยากช่วยคนป่วยเห็นแล้วสงสารอันนี้ผมเห็นบ่อยแอบตามคนที่บ้านไป ผมถามเพื่อนว่าถ้าหมอเงินเดือนน้อยแล้วมรึงจะเรียนไหม มันบอกว่าเรียนเป็นหมอที่ต่างจังหวัดก็โอแล้วมันย้อยถามผมมาเช่นกัน แล้วเป็นลุงละลุงจะเรียนไหมครับ ม่าบอกให้ดูว่าผมชอบทำอะไร ทำงานอะไรแล้วมีความสุขอันนั่นดี แต่เงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งบางคนได้ทำงานที่ชอบแต่เงินไม่ดี บางคนเงินดีแต่งานไม่ชอบ แต่ผสมกันแล้วดีก็โอนะ อย่าป่วยนะลุงบายคับ

boy_aof_za said...

เอ๋อ ผมก็ยังตัดสิน ใจเลือกคณะที่จะเรียนไม่ได้เลย ผมคิดว่าสมัครเข้าไปก่อนแล้วย้ายทีหลังอ่ะครับ
เฮ้ย ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิต

Anonymous said...

What's up, its good piece of writing regarding media print, we all be familiar with media is a wonderful source of data.

My website: appliance repair Tampa Florida free estimates