Tuesday, April 6, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 57

พักเที่ยงวันนั้นผมไปหาบอยที่สหกรณ์อีกครั้งแต่ก็ไม่พบ หลังเลิกเรียนไปหาก็ยังไม่พบ เมื่อแวะไปดูที่ห้องเรียนก็ไม่พบอีก

การหายตัวไปอย่างลึกลับของบอยทำให้ผมไม่สบายใจ กังวลว่าบอยอาจไม่สบายหรือมีปัญหาอะไรสักอย่าง มันก็แปลกที่เมื่อก่อนหน้านี้เวลาที่ผมไม่ได้เจอกับบอยหลายๆวันยังหรือบางทีมาหาแล้วไม่พบก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอมาในระยะหลังพอมีอะไรนิดหน่อยก็รู้สึกห่วงใยกังวลขึ้นมา

ตอนหัวค่ำ หลังจากกลับมาที่หอพักแล้วผมก็รีบโทรหาบอยทันที

สายไม่ว่างแฮะ

เนื่องจากตู้โทรศัพท์สาธารณะมีคนต่อคิวรอโทรอยู่ เมื่อผมต่อโทรศัพท์อยู่สักครู่ก็ต้องออกมาต่อคิวใหม่อีกครั้งเนื่องจากเกรงใจคนข้างหลัง ผมวนเวียนอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่สายที่บ้านของบอยก็ไม่ว่างอยู่ตลอด จนในที่สุดผมก็ยอมแพ้ เดินกลับเข้าหอพัก คิดว่าดึกๆอาจจะลองมาโทรดูอีกสักรอบ

“น้องอู เมื่อกี้แม่โทรมาตั้งหลายครั้งแน่ะ” เสียงพี่พรทักเมื่อผมเดินกลับเข้าไปในหอพัก “คุณแม่สั่งเอาไว้ว่าให้โทรกลับ”

หมู่นี้ผมมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเรียนและไอ้บอยจนไม่ค่อยได้โทรกลับบ้าน นี่ถ้าแม่ไม่โทรมาผมคงยังไม่ได้คิดที่จะโทรกลับบ้าน ผมถอนหายใจ ตั้งแต่กลับมาก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการโทรศัพท์จนยังไม่ได้ดูหนังสือเลย ผมเดินขึ้นไปหยิบเหรียญที่ห้องและไปที่ตู้โทรศัพท์ใกล้ๆหอพักอีกครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล แม่ นี่อูเอง แม่เป็นไงบ้าง” ผมเอ่ยทักทายเมื่อแม่รับสาย

“จะให้เป็นยังไง ก็เป็นห่วงอูน่ะสิ เงียบหายไปเป็นอาทิตย์เลย นี่ถ้าแม่ไม่โทรมาอูคิดจะโทรมาคุยกับแม่บ้างไหม” แม่บ่น

“โทรสิแม่ ใครจะลืมกระเป๋าเงินได้ลง พอปลายเดือนอูก็ต้องนึกถึงแม่นั่นแหละ” ผมสตรอเบอร์รี่

“ยังจะมาทะเล้นอีก” แม่หัวเราะ “ทำไมหิวเงินยังงี้นะ”

“แม่สบายดีหรือเปล่า แล้วป๊าเป็นไงบ้าง” ผมถาม

“ป๊าก็เรื่อยๆแหละ” แม่ตอบ “แต่แม่นี่สิ ตรงต้นคอมันบวมๆ ไม่รู้ไปโดนอะไรมา”

“ตรงไหนของต้นคอล่ะแม่” ผมถาม

“ใต้คางน่ะ วันก่อนแม่เอาสร้อยออกมาใส่สองสามวัน ไม่รู้ว่าล็อกเก็ตมันทำให้ผิวหนังระคายเคืองหรือเปล่า ดูมันบวมๆตรงตำแหน่งที่ห้อยล็อกเก็ต” แม่อธิบาย “แต่ถ้าแพ้มันก็น่าจะคันนะ นี่ก็ไม่คัน ทายาหม่องตั้งหลายวันแล้วก็ไม่ยุบ แต่มันก็บวมไม่มาก อีกสักวันสองวันน่าจะยุบ”

แม่พูดเองเออเอง สำหรับแม่แล้วยาหม่องคือยาวิเศษ ไม่ว่าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับผิวหนัง ฟกช้ำดำเขียว ผื่นคัน รวมทั้งอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้องทายาหม่องไว้ก่อน ผมคุยกับแม่สักพัก ส่วนใหญ่จะเป็นแม่คุยเสียมากกว่า ที่จริงก็ไม่ได้เรียกว่าคุยหรอก คงเป็นการบ่นผมเสียมากกว่า ผมฟังจนหูชา

“แม่ๆๆ ถ้าแม่บ่นต่ออีกอูคงต้องไปหาหมอแล้วล่ะ” ผมบอกแม่

“ไปหาทำไม” แม่สงสัย

“ก็หูคงอักเสบเป็นน้ำหนวกอะ” ผมตอบ “เหรียญจะหมดแล้วด้วย”

“ไม่บ่นก็ได้ แล้วรู้จักโทรมาคุยบ้างนะ จะได้รู้ว่าอูสบายดี แม่กับป๊าจะได้ไม่เป็นห่วง” แม่กำชับก่อนที่จะวางสายไป

หลังจากวางสายของแม่ ผมโทรกลับไปหาบอยอีก แต่สายก็ยังไม่ว่าง ผมเห็นว่าเลยเวลาดูหนังสือไปมากแล้วจึงได้กลับขึ้นห้องไปและไม่ได้ลงมาโทรหาบอยอีกเลยในคืนนั้น

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมไปหาบอยที่ห้องเรียน เมื่อไม่เห็นเป้ที่เก้าอี้ของมันอันแสดงว่ามันยังไม่มา ผมไปดักรอบอยที่บันไดทางขึ้นตึกเรียนของมัน วิธีนี้มีโอกาสไม่พบอยู่เหมือนกันเนื่องจากตึกมีบันไดทางขึ้นถึงสามทาง แต่เป็นวิธีที่ไม่เอิกเกริกเหมือนกับการไปที่สหกรณ์หรือการรออยู่ที่หน้าห้องเรียน ผมเลือกรอบันไดด้านที่มันน่าจะใช้เดินขึ้นตึกมากที่สุด

รออยู่สักพัก บอยก็เดินผิวปากมาที่บันไดทางด้านนี้ตามคาด ท่าทางของบอยร่าเริงมาก มันทักทายเพื่อนมาตลอดทาง

“เฮ้ย น้องส้มของมึงเป็นไงบ้างไอ้บอย” เพื่อนคนหนึ่งทักบอย อีกหลายคนฮากันครืน

น้องส้มนี่มันใครกันวะ ผมนึกสงสัยตงิดๆอยู่ในใจ แต่ก็คิดไปว่าวัยรุ่นสมัยนี้มันอำกันเก่ง น้องส้มอาจเป็นเรื่องอำอะไรกันสักอย่างในหมู่เพื่อนฝูงของบอยก็ได้ ผมรีบเดินไปหามันทันที

“อ้าว พี่อู” บอยทัก ทำหน้างงๆเมื่อเห็นผม “ทำไมมาอยู่แถวนี้ล่ะ”

“ก็มาหานายนั่นแหละ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งจนแม้แต่ผมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมจู่ๆผมก็มีอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมา ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุดเพราะมีเพื่อนๆของบอยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย “อยากคุยกับนาย ไปหาที่คุยกันหน่อย”

เราสองคนเดินไปที่ม้าหินหลังตึก เมื่อปลอดคน ผมก็ตั้งคำถามใส่บอยทันที “เมื่อวานนายหายไปไหนมา”

“บอยไม่ได้หายไปไหนนี่ ก็มาเรียนปกติ” บอยทำสีหน้าไม่ดีเมื่อเห็นอาการของผม “พี่อูเป็นไรอะ”

“พี่ไปหานายที่สหกรณ์ พวก ม.๔ มันบอกว่านายเบี้ยวเวร พี่ไปหานายตั้งหลายหนนายก็ไม่ไปที่สหกรณ์เลย เมื่อคืนโทรหานายเป็นชั่วโมงก็โทรไม่ติด สายไม่ว่างตลอด” ผมพรั่งพรูคำพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

“เมื่อวานบอยมาสายฮะ” บอยตอบอ้อมแอ้ม “ไม่รู้นี่ว่าพี่อูจะไปหา”

“แล้วกลางคืนล่ะ” ผมยังไม่หายคาใจ “โทรศัพท์เสียเหรอ”

“ไม่เสียฮะพี่อู บอยใช้เองแหละ เพื่อนมันทำการบ้านไม่ได้แล้วโทรมาหาบอย บอยก็เลยสอนการบ้านมัน เลยคุยกันยาว” บอยอธิบาย แล้วถามผมว่า “ทำไมพี่อูต้องโกรธด้วยล่ะ ไม่เห็นมีอะไรต้องโกรธเลย”

ผมนิ่งไป นั่นสินะ ผมโกรธมันหรือ ทำไมผมต้องโกรธมันด้วยก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พี่เป็นห่วงนายน่ะ นึกว่าไม่สบายไป” ผมผ่อนเสียงให้นุ่มนวลลง “ติดต่อนายไม่ได้พี่เลยกังวล กลัวว่านายไม่สบายแล้วไม่มีใครดูแล”

เฮ้ย พูดออกไปได้ยังไงวะเนี่ย ผมนึกในใจ แต่ก็หลุดปากออกไปแล้ว

“บอยไม่เป็นไรหรอกพี่อู บอยสบายดี” บอยพูด “แต่วันนี้คงไม่ได้ขึ้นไปสหกรณ์ เลิกแล้วต้องรีบไปเรียนพิเศษ”

“อ้าว เหรอ” ผมพูดด้วยความผิดหวัง คำพูดที่ตั้งใจจะนัดบอยที่โรงอาหารเย็นนี้ต้องถูกยั้งเอาไว้ที่ริมฝีปาก “ไม่เป็นไร รู้ว่านายไม่ได้เป็นอะไรพี่ก็ไม่ห่วงแล้ว งั้นพี่ไปล่ะ ใกล้เข้าห้องเรียนแล้ว”

ผมหันกายและเดินจากบอยไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็ชะงักเท้าเอาไว้และหันกลับไปอีก

“บอย วันเสาร์ไปดูหนังกันนะ” ผมเอ่ยปากชวน

“บอยเรียนพิเศษไง” บอยเตือนความจำผม

“ตอนบ่ายหรือเย็นก็ได้ ให้นายเลิกเรียนก่อนแล้วค่อยไปดูด้วยกัน” ผมพยายามต่อรอง

“งั้นก็ได้ฮะ บอยเลิกสี่โมง” บอยตอบ

“ดีเลย งั้นเจอกันที่เก่าเวลาเดิม” ผมพูดด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส อารมณ์ที่ขุ่นมัวเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง

บอยรับคำ และหลังจากนั้นเสียงกริ่งเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น เราจึงแยกย้ายจากกัน

- - -

ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่าเพื่อนร่วมโต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ในปีนี้เป็นพวกเด็กที่เรียนปานกลางและไม่ได้สนใจเรื่องการสอบเทียบ ดังนั้นในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์โต๊ะของเราจึงมักเรียนๆเล่นๆ มีแต่เรื่องเฮฮา ช่วยกันทำงานกลุ่มเป็นอย่างดีไม่มีใครเอาเปรียบกัน และที่สำคัญคือสมาชิกในโต๊ะล้วนแต่เป็นเด็กที่ชอบดูหนังฟังเพลง ตลอดการเรียนในชั่วโมงวิทยาศาสตร์จึงคุยกันแต่เรื่องหนังและเพลง

หมู เป็นคนรูปร่างตุ้ยนุ้ย พูดจานุ่มๆ ขนาดตอนเอะอะโวยวายก็ยังรู้สึกว่านุ่มนิ่ม หมูบอกว่าชอบเรียนภาษา อยากเรียนสายศิลป์ภาษา ไม่ได้อยากเรียนสายวิทย์เลย แต่ที่บ้านอยากให้เรียนหมอจึงจำใจต้องเรียนสายวิทย์

อีกคนหนึ่งคือสิทธิ์ หมูว่านุ่มแล้วรายนี้นุ่มยิ่งกว่า รูปร่างอ้อนแอ้น เวลาเดินบิดนิดหน่อย ถ้าพูดอย่างไม่เกรงใจก็ต้องบอกว่าเบี่ยงเบนค่อนข้างแน่ เพื่อนๆไม่เคยเรียกสิทธิ์ แต่เรียกว่าเจ๊จู บางคนก็เรียกอีจู ถ้าจำไม่ผิดคงเอาชื่อมาจากตัวละครในหนังหรือละครในยุคนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับชื่อนี้โดยดุษณี เจ๊จูมีนิสัยเฮฮาแต่เรียบร้อย ไม่แรด จึงเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนๆ แต่เรื่องถูกล้อนั้นเป็นของตาย ถึงอย่างไรก็เลี่ยงไม่พ้น

อีกคนหนึ่งก็คือกรณ์ กรณ์เป็นเด็กตัวเล็ก ผิวขาว ผมหยิกหยักศก หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา ตัวจ้ำม่ำไม่แพ้หมู เป็นคนขี้เล่น ซนยังกะลิง ชอบแกล้งเพื่อน ถ้าไม่ใช่ในห้องเรียนวิทยาศาสตร์ปกติก็จะนั่งอยู่ด้านหน้าชั้น

ส่วนอีกคนหนึ่งคือไอ้จ่อย ที่จริงไม่ได้ชื่อจ่อย แต่เนื่องจากใบหน้าของมันละม้ายคล้ายไอ้จ่อยตัวการ์ตูนในการ์ตูนชุดผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน เพื่อนๆจึงเรียกมันว่าไอ้จ่อย ไอ้จ่อยนี่เป็นนักกีฬา ไม่มีรสนิยมทางด้านดูหนังฟังเพลงเลย เลิกเรียนก็รีบไปซ้อมกีฬาอย่างเดียว

ที่จริงเพื่อนในโต๊ะก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ชั้น ม.๔ ชื่อเจ๊จูก็เรียกกันมานานแล้ว แต่เนื่องจากปีที่แล้วไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนิทกันนัก แต่มาในปีนี้เรียนวิทยาศาสตร์โต๊ะเดียวกัน จึงกลับกลายมาเป็นสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น

“เฮ้ยๆๆ เสาร์นี้ไปดูหนังกันป่าว” กรณ์ สมาชิกอีกคนหนึ่งในโต๊ะชวนเพื่อนๆร่วมโต๊ะขณะที่อาจารย์กำลังหันหน้าเขียนกระดานอยู่

“เรื่องอะไรล่ะ” หมูถาม ไอ้สามคนนี้ติดหนังโรงงอมแงม มักไปดูหนังด้วยกันเสมอ เงินค่าขนมส่วนใหญ่หมดไปกับตั๋วหนังและเทปเพลง

กรณ์บอกชื่อหนังฝรั่งออกมา ซึ่งก็เป็นหนังที่ผมคิดจะไปดูกับบอยนั่นเอง แต่ผมจำชื่อไม่ได้แล้วเนื่องจากนานมากแล้วอีกทั้งช่วงนั้นดูหนังบ่อยด้วย

ไอ้สามคนนี้ชวนกันไปดูหนังในรอบเที่ยงวันเสาร์ อีกทั้งยังจะไปดูที่สยามสแควร์เช่นกัน ผมจึงปฏิเสธไปเพราะว่าเตรียมจะไปดูกับบอยในรอบเย็นวันเดียวกันนั้นนั่นเอง

- - -

คืนวันศุกร์

“เด็กชายอู รับโทรศัพท์” เสียงเรียกจากอินเตอร์คอมดังลั่นชั้นสี่ของหอพัก

ผมรีบลงไปรับโทรศัพท์ เมื่อลงไปถึงชั้นล่างก็เห็นแป๋งนั่งหน้าทะเล้นอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง ผมเดินผ่านหน้าไปไปที่เครื่องโทรศัพท์และยกหูขึ้นพูด

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่อู นี่บอยเอง” เสียงมาจากปลายสายด้านโน้น

ผมรู้สึกดีใจ กำลังคิดถึงมันอยู่พอดี แสดงว่าเราสองคนคงมีใจที่ตรงกัน บอยคงคิดถึงผมเช่นกันจึงได้โทรมา

“กำลังคิดถึงนายอยู่พอดีเลย” ผมพูดเบาๆ กลัวไอ้แป๋งจะได้ยิน

“พี่อู... เอ้อ” บอยอึกอัก

“มีอะไรเหรอ” ผมชักสังหรณ์ใจ

“พรุ่งนี้บอยไปดูหนังกับพี่อูไม่ได้แล้วล่ะ” บอยพูดอึกอัก

“ทำไมล่ะ” ผมใจหายวาบ

“ก็...” บอยอึกอัก ปกติบอยเป็นเด็กที่ช่างพูด ผมไม่เคยเจอสถานการณ์ที่มันอึกอักเช่นนี้มาก่อน “บอยไม่ว่างอะ”

“โห พ่อนักธุรกิจร้อยล้าน” ผมเหน็บมันบ้าง พยายามทำตลกทั้งๆที่ใจกำลังขุ่นมัวอยู่ “ยุ่งอะไรนักเหรอ”

“บอยมีนัดกับเพื่อนอะ” บอยพูด

“นายว่าไงนะ” ผมพูดจนเกือบเป็นเสียงตะโกน “นายมีนัดกับเพื่อน แล้วนายไม่ได้มีนัดกับพี่เหรอ”

“ก็... บอยคงไปไม่ได้แล้วละพี่อู” บอยสรุปดื้อๆ ไม่มีคำธิบายหรือเหตุผลใดๆ ประกอบเลย

ผมรู้สึกโกรธมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยถ้ามันอธิบายความจำเป็นหรือบอกว่าขอเลื่อนไปเป็นวันอื่นก็ยังไม่โกรธมันเท่าไร แต่นี่... มันพูดสั้นๆแบบตัดรอนไปเลยว่าไปไม่ได้

“นายนัดพี่แล้วนะบอย ทำไมเสียคำพูดล่ะ” ผมทวงถามสัญญา

“บอยไปไม่ได้อะพี่อู” บอยยืนกราน “ขอโทษด้วยฮะ”

“ทำไมนายไม่ไปเลิกนัดกับคนอื่นแทนล่ะไม่รู้ล่ะ พี่ไม่ยอมให้นายเลิกนัด ไม่มีเหตุผลเลย” ด้วยความโกรธ ผมก็งี่เง่าไปบ้าง

“บอยไปไม่ได้จริงๆพี่อู” บอยพูดอีก

“นายพยายามหน่อยละกัน ก็บอกเพื่อนนายไปสิว่านายนัดกับพี่ไว้ก่อนแล้ว” ผมพยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ “แล้วนายโทรมาบอกพี่อีกทีก็แล้วกันว่าเป็นยังไงบ้าง”

ผมวางสายจากบอยด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เมื่อกี้พอได้ยินเรื่องของบอยก็เอาแต่โมโห แต่เมื่อวางสายไปแล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่นัดกับบอยก่อน แล้วเพื่อนของบอยคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดบอยจึงให้ความสำคัญกับมันนัก

- - -

คืนนั้นผมรอโทรศัพท์จากบอยจนไม่มีสมาธิในการดูหนังสือ แต่บอยก็ไม่โทรกลับมาอีกเลย ผมจึงเข้านอนด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว

เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์ที่เรานัดกัน บอยก็ยังไม่โทรมาอีก ครั้นผมจะให้ผมโทรไปถามบอยว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่ก็ไม่อยากทำเช่นนั้น บอยเองต่างหากที่ควรจะต้องพยายามสะสางปัญหาและโทรมาบอกผมจึงจะถูก

ผมรอจนสายด้วยใจกระวนกระวาย จะออกไปดูหนังสือที่ห้องสมุดก็ไม่กล้าออกไปเผื่อว่าบอยโทรมาแล้วจะคลาดกัน จะโทรไปหาบอยก็ไม่โทรเพราะทิษฐิอันแรงกล้า

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจออกจากหอพักในราวเที่ยงเพื่อไปดูหนังสือที่ห้องสมุด และคิดเอาไว้ว่าตอนห้าโมงเย็นจะไปรอบอยที่หน้าโรงหนังสกาล่าอันเป็นจุดนัดหมายของเราแม้ว่าบอยจะไม่โทรกลับมายืนยันอีกเลยก็ตาม

ความขุ่นใจผสมกับความกังวลที่อยู่ในใจลึกๆทำให้ผมดูหนังสือไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งวัน และการที่ดูหนังสือไม่ได้เลยนั่นยิ่งทำให้ผมเคร่งเครียดหนักยิ่งขึ้น วันนั้นทั้งวันผมต้องสูญเสียเวลาอันมีค่าไปกับอารมณ์และทิษฐิของตนเอง

เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมรู้สึกทรมานราวกับผ่านการลงทัณฑ์อันยาวนาน จนในที่สุดก็ถึงเวลาเย็น ผมกำลังจะพิสูจน์ความจริงใจของบอยได้ภายในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว ผมรีบเก็บข้าวของและเดินออกจากห้องสมุดปทุมวันข้ามฝั่งถนนไปยังโรงหนังสกาล่าทันที



<ภาพชุดนี้เป็นภาพชุดสุดท้ายที่เกี่ยวกับนิตยสารเกย์ของไทยในยุคแรก

ดังที่เคยได้กล่าวไปแล้วว่ารายได้ของนิตยสารเกย์มาจากหลายทาง ไม่ได้มาจากค่าขายนิตยสารแต่เพียงอย่างเดียว ช่องทางรายได้ทางหนึ่งก็คือการขายภาพลับ ช่องทางอื่นๆก็ได้แก่การขายวีดิโอเกย์หรือว่าหนังเอ็กซ์เกย์นั่นเอง นิตยสารเกย์ของไทยในยุคแรกนิยมนำวิดีโอของค่ายหนังฝรั่งมาขายเป็นส่วนใหญ่ ที่เห็นในภาพเป็นหน้าปกเทปของหนังเกย์เรื่อง The Idol อันเป็นหนังในยุค 1979 ซึ่งในยุคนั้นนักแสดงยังไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือที่เรียกว่าเป็นยุคพรีคอนดอม (precondom)>




<ภาพชุดนี้เป็นหน้าปกและภาพพรีวิวของหนังเกย์เรื่อง Schoolmates อันเป็นหนังในปี 1986 อันเป็นปลายยุค precondom ยุคพรีคอนดอมของหนังเกย์มาสิ้นสุดประมาณปี 1986-1987 อันเป็นช่วงที่มีการค้นพบโรคเอดส์ซึ่งมักเกิดในหมู่เกย์และผู้ติดยาเสพติด หลังจากนั้นนักแสดงในหนังเกย์ก็มักแสดงโดยใช้ถุงยางอนามัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกในการใช้ถุงยางอนามัยแก่ผู้ชม รวมทั้งนักแสดงเองก็คงกลัวตายเหมือนกัน>

34 comments:

Anonymous said...

เย้... ประเดิมคนแรก

ปิดเทอมนี้ไม่มีไรทำเลยอ่ะครับ

รู้สึกว่าตอนนี้อาจะแสดงอารมณ์ให้น้องบอยรู้เยอะเลยนะครับ

ชักจะอยากรู้แล้วหล่ะสิว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร

Anonymous said...

ลืมลงชื่อ

อาร์มครับผม

Anonymous said...

มาไม่ทันสิน่า พี่อู เป็นไงบ้าง สบายดีไหมครับ

ผมยุ่งมากมาย แต่ก็ตามอ่านประจำน่ะคับ
^^sky^^

Anonymous said...

โอ๊ะโอ...ที่สาม

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เมฆสีเทาตั้งเค้ามาอีกแล้ว..
ชีวิตนายอูทำไมหดหู่อย่างนี้หนอ
1ปีมี365วัน อูได้หัวเราะเต็มคำถึง10วันมั้ยเนี่ย?
อาการออกจะน่าเป็นห่วง..
ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ดั่งที่ว่าไว้จริงๆ
เป็นน้องเป็นนุ่งหน่อยไม่ได้
จะพาเที่ยวให้ลืมโศกไปเลย

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

พี่สาวไม่ต้องหายาดมแล้วเหรอครับ เอิ๊ก

Anonymous said...

)^_^( เห้ออออ มาเฝ้าทั้งวันเลยคลาดกันได้ไง น้องส้มมาแล้วก็ดีแล้วหละครับลุงจะได้วัดกันไปเลยว่าบอยแบบไหน ลุงคงรู้คำตอบไปแล้วแต่ผมก็ลุ้นต่อไป นี่ถ้าเรื่องเกิดตอนนี้ผมจะเชียรให้ลุงสู้สุดตัวไปเลย บอยเองน่าจะรู้หัวใจลุงแล้วและน่าจะมีใจให้ด้วยแต่อาจยังไม่แน่ใจตัวเองรึป่าวจึงลองคบกับคนอื่นดู เชื่อดิว่าน้องบอยมีใจก็จากที่เล่ามามันใช่เลย สงสัยต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยเป็นซะงี้แล้วจะอ่านหนังสือรู้เรื่องได้ไง เอางี้แล้วกันผมให้ลุงมีแป๋งกับวุฒเป็นกิ้กเอามาช่วยติวไงครับ ติวหนังสือนะ แต่สิ่งที่ผมห่วงที่สุดไม่ใช่เรื่องบอยแล้วละครับ ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะครับลุง

Anonymous said...

อุปกรณ์ช่วยชีวิตติดธุระหมดเลยค่ะ
เพราะไม่รู้ใครเอายาดมกะเชี่ยนหมากไปซ่อน
พี่เลยใช้วิธีรูดปรื๊ดลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว
ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หายอยู่เลยนะเนี่ย!!555+

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

เลขสวยได้เบอร์เก้า เมนต์ก่อนเดี๋ยวค่อยไปอ่าน
Federick

Anonymous said...

ภาพแรงได้อีก แต่อ่านเรื่องแล้วรู้สึกหดหู่ยังไงก็ไม่รู้ ช่วงนี้ไม่ค่อยอยากได้ยินเรื่องความผิดหวังทางความรักสักเท่าไหร่เลย
Federick

Anonymous said...

โอ๊ะมารักอาอูสายอีกแล้ว

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

มีความรู้สึกว่าเหมือนอาอูทิ้งประเด็นเรื่องที่แม่ป่วยให้เป็นประเด็นยังไงก็ไม่รู้
Federick

Choo said...

ได้กลิ่นตุๆ ว่าเรื่องน้องบอย อูคงกินแห้ว น้ำตาเช็ดหัวเข่าชัวร์ วางเดิมพัน 100แลกขี้หมากองเดียวเลยเอา ..ล้อเล่นครับ จะมาชวนพนันในบล๊อคได้ไง เดี๋ยวจะไม่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ...ว่าแต่เห็นนัยหัวเราะก๊าก อยู่นอกบล๊อกโน้น

บอยอยู่ ม.3 เป็นช่วงวัยที่กำลังค้นหาตัวเอง อาจจะสับสนสภาวะทางเพศอยู่ก็เป็นได้ วัยรุ่นสมัยก่อนจะเข้าใจตัวเองช้ากว่าสมัยนี้ สังคมไม่ค่อยเปิดกว้างหรือยอมรับ สื่อต่างๆ มีน้อยและเข้าถึงยากกว่า

แต่อูเข้าถึงได้ขนาดนี้ แล้วเก็บไว้นานขนาดนี้ นับถือๆ เอ้อ...ว่าแต่ตอนนั้นผมไปอยู่หลังเขาไหน ไม่เห็นรู้เรื่องนิตยสารเกย์อะไรพวกนี้เลย พลาดไปได้ไงเนี้ย แล้วตกลงสามเล่มหกสิบจะให้ยืมหรือเปล่าอู

พี่สาวลาดพร้าว ทำเป็นรีบๆ จริงๆ ก็ชอบใช่มะละ

Federick ก็เข้าใจเปิดประเด็นนะครับ

รออ่านตอนต่อไปครับ ไม่ต้องรีบนะครับอู รักษาสุขภาพด้วย แต่รออยู่

ชู

Anonymous said...

พระศุกร์เข้า
พระเสาร์แทรก

Rosae

Anonymous said...

พระศุกร์เข้า
พระเสาร์แทรก

Rosae

naja said...

พี่อูท่าทางจะกินแห้วอีกแล้ว

คงจะสู้น้องส้มไม่ได้

ที่บอยจะอ้อนพี่อู อาจจะเป็นนิสัยเหมือนน้องอ้อนพี่ชายก็ได้ครับ

หรือหากบอยชอบพี่อูจริง แต่เด็กวัยนั้นอาจจะไม่ยังไม่ยอมรับความจริงก้อได้นะ

ไม่รู้สิ แต่สงสารพี่อูจังอะไรชีวิตมันจะเศร้าขนาดนี้

boy_aof_za said...

หวัดดีครับคุณอู มาอ่านต่ออีกแล้วครับ ไม่อยากจะคิดเลยถ้าวันใดวันหนึ่งเสียบอยไปแล้วจะอยู่อย่างไรอ่ะครับ เฮ้ย คิดมาแล้วเศร้า
แต่ถึงยังไงก็จะเขามาอ่านทุกๆตอนนะครับ

Fryderyk C. said...

เศร้าจังครับ อาอู


สวัสดีทุกๆ คนด้วยนะครับ

Anonymous said...

)^_^(ที่19 ง่วงนอนเมื่อคืนดูบอลครับ แวะมาปลุกวันนี้เที่ยวดิโอกันมั้ยครับลุงปลอดแน่ครับ

Anonymous said...

เตรียมรับมือกับอีกหนึ่ง รสชาติ
อกหัก นั่นเอง สุดยอดมากรสชาตินี้
ยากจะลืมเลือนได้เลย

tl000

Anonymous said...

ไม่แน่ครับ อย่าเพิ่งมั่นใจนักว่าผมจะต้องอกหัก ผมว่าบอยมันก็ติดผมเหมือนกันนะ น่าจะมีใจให้ผมอยู่ไม่น้อย แต่คู่แข่งคนนี้เป็นใครอาร์มต้องรออ่านต่อไปอีกหน่อย

ชีวิตผมก็ไม่ได้แย่มากมายนักหรอกครับพี่สาวลาดพร้าว ยังคิดอยู่เสมอว่าดีกว่าคนอื่นอีกเยอะแยะ คิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นชีวิตที่มีไม่ครบแม้แต่ปัจจัยสี่มาไม่น้อย ยาดมกับเชี่ยนหมากไม่ต้องหาแล้วละพี่ ชีวิตต้องปรับตัวครับ น่าจะชินได้แล้ว

ดิโอลด์ลุงคงไปไม่ไหวหรอก เพราะว่าต้องผ่านราชประสงค์ก่อน งานนี้หลานคงถูกขังหลายวัน เอาใจช่วยให้หนีออกจากที่คุมขังได้นะหลาน

หนิงมัวไปหลอกเด็กอยู่ที่ไหนละเนี่ย หายเงียบไปเลย น่าเป็นห่วงอาร์มาก

ไม่ค่อยได้เห็นน้องฟ้า หวังว่าคงสบายดี พี่ก็เรื่อยๆครับ ไม่ถึงกับสบายมากนัก อากาศร้อน งานเยอะไปหน่อย

พี่ชูๆ นัยไปแอบหัวเราะอยู่ที่ไหนเหรอ ทำไมพี่ชูรู้ล่ะ หรือว่าอยู่ที่เดียวกัน สามเล่มยี่สิบเองครับ หกสิบที่ไหนกัน แต่ถ้าพี่ชูจะให้หกสิบก็ได้ ผมจะแถมเจ็ดตำนานให้ไปด้วย จะได้สวดได้แม่นๆ แต่วีดิโอไม่ได้ให้นะครับ เพราะไม่มี สมัยนั้นม้วนละตั้งห้าร้อย ไม่มีเครื่องเล่นอีกต่างหาก หนังก็ไม่ใช่หนังต้นฉบับ เป็นการเอาหนังเมืองนอกมาก๊อปต่ออีกทีหนึ่ง พี่ต้องถามรายละเอียดจากพี่ ments42 ครับ โยนไปโน่นเลย

อู

Anonymous said...

ตอนหน้าภาพจะแรงแค่ไหนไม่มีหวั่น
เพราะพี่เตรียมออกซิเจนถังไว้แล้ว ฮิ ฮิ

คนลาดพร้าว

Anonymous said...

โยนมาแล้วก็จะรับลูกนะครับ ถ้าเป็นหนังสือเกย์อย่างที่อูบอกว่าสมัยก่อนยังไม่ค่อยมีคนกล้าซื้อเท่าไร แม้แต่เดินเฉียดสายตาแลมองยังไม่ค่อยกล้าเลย ผมก็ได้แต่อาศัยเขาดู แต่มาดูเอาตอนที่ทำงานแล้ว ตอนเรียนไม่กล้า แต่ถ้าเป็นหนังสือปกไม่มีสี(ปกขาว)ก็พอจะมีประสพการณ์อยู่บ้างหรือจะเป็นพวกเปิดบริสุทธิ์ ที่มีสี มาในยุคหลังๆแล้วคนแสดงเป็นคนไทยที่ถ่ายทำได้ค่อนข้างดีก็จะได้ดูมากหน่อย ที่ได้ดูนี่ไม่ใช่ซื้อเองนะเพื่อนชอบและซื้อบ่อยมากเลยอาศัยเขาดู หนังสือเกย์ไมค่อยไดดูเลยไม่ถนัดที่จะบอกเล่าเท่าไร คงจะเหมือนคนแถวๆนี้ละยืมกันดูดีกว่า สามเล่มยี่สิบ
ments42

Anonymous said...

ต้องเตรียมรถพยาบาลไมครับจะได้โทรบอกให้ (แซวเล่นครับ)
ments42

nai said...

ก็รู้อยู่ว่า ผมนั่งหัวเราะกับพี่ชู อยู่ที่ไหน ยังจะมาถามกันอีก

ว่าแต่หนิงกับอาร์ ใครหรอกใครน้า ชู เฮ้อ อู

ห่วงแม่จังเลยเป็นอะไรมากหรือเปล่า

นัย

หลานหนิง said...

หึหึ อาอู.... ไหงพูดอย่างนั้นล่ะครับ

เอ... หรือว่า

อิอิ ช่างเหอะครับ

พ่อแม่พี่น้อง ครับ ผมมีคำถาม

สมมติว่า ถ้าคุณกำลังถามฆาตรกร

ว่าเค้าฆ่าคนมาใช่มั้ย

คุณคิดว่า เค้าจะบอกมั้ยว่าเค้าฆ่าคน?

หึหึ ฉันใด ฉันนั้นครับ อาอู
.
.
.
.


ช่วงนี้กำลังหางานทำครับผม

เลยยุ่งๆ ไม่ค่อยว่างมา แต่ตามอ่านทุกตอนนะ

Anonymous said...

ไม่เข้าใจที่น้องหนิงเขียน มาอธิบายเพิ่มเติมหน่อยดิ

Anonymous said...

หมายถึงปัจจุบันน้องหนิงเค้าไม่เหงาแล้วชิมิ
แต่จะใช่อาร์อ๊ะเป่านี่..มะรุเจงๆ

Anonymous said...

นัยไม่รู้จักหนิงเหรอ หลานหนิงเจ้าเก่าไง ส่วนอาร์นั้นผมเขียนติดกันในย่อหน้าเดียวกันกับหนิงเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนเดียวกันหรอกพี่ชู เอ๊ย นัย

หลานหนิงไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆก็คิดเรื่องฆาตกรอะไรขึ้นมา แล้วยังมาถามอาอีก อาจะไปรู้ได้ไง แต่ก็ขอเอาใจช่วยให้ได้งานเหมาะๆ


อู

Choo said...

นั้นนะซิอู นัยหัวเราะอยู่ที่ไหน ก็รู้ๆ กันอยู่ จะมาถามผมอีกทำไมละ

แล้วอย่างไงกันครับนี้ นัยเขียนว่า "ชู เฮ้ย อู" ส่วนอูเขียน "พี่ชู เอ๊ย นัย" ในฐานะผู้โอนพาดพิง ขอความกระจ่างด้วยดิ คนไม่รู้จะหาว่าเป็นมือที่สามเอาได้

ขอบใจนะอูที่ให้ยืมสามเล่มยี่สิบ จะไปแบ่งดูกะพี่ment แล้วส่งต่อให้พี่สาวลาดพร้าวอีกทอด ไม่แบ่งนัยเพราะคงดูกะอูไปก่อนหน้าแล้ว

หลานหนิงเรียนจบแล้วเพี้ยนไปเลยนะครับ ก็ขอให้ได้งานไวๆ เช่นกัน

ชู

PR said...

ดีคับ ...อาๆลุงๆทั้งหลาย ตาๆปู่ๆ ด้วยเอา...
ธุจ้า อาอู อาชู อานัย พี่หนิง และอีกหลายๆท่าน นะจ๊ะ
เฮ้อ ช่วงนี้กะลังคิดมากมีหลายอย่างให้คิด
ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว ปัญหาจิตใจ
ปัญหา...อ๊ากกกกกกกกกก
อยากจะบ้าอะอาอู...

อาร์ คบ กะพี่คนหนึ่ง ดูท่าว่าจะไปกันได้ยากอะคับ
อาร์ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ไม่เข้าใจในหลายๆเรื่อง
เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนนี้อาร์ กับพี่เขา ก็ดูท่าว่าจะกลายเป็นพี่กับน้องแทนละ...อาอู อาชู อานัย

เครียด ว่าแต่อาอูไหงพูดกับพี่หนิงงั้นล่ะคับ
แหม่ เขาเลยร้อนตัวท่า อิอิ

อ้าก....อาอู กะอาชู เป็นฆาตรกร
ต้ำร้วจ...ตำรวจ...ค้าบ...อ้าก....
(เวอร์ไปป่าวไม่รู้)ใครฆ่าใครมาเหรอคับ
งงมากมาย...อาอูฆ่าอาชู หรืออาชูฆ่าอาอูหรืออาอูฆ่าคนอื่นคนอื่นฆ่าอาชูหรือรวมหัวกันฆ่าเหรอคับ...(งงแล้ว)
ตอนนี้ อาร์จะกลับมาเหงาเหมือนแทนละอาอู

หลานอาร์

Anonymous said...

ชูรีบส่งต่อเร็วๆนะผมรออ่านอยู่ แล้วเมื่อไรจะส่งละ
ments42

Anonymous said...

ชูรีบส่งต่อเร็วๆนะผมรออ่านอยู่ แล้วเมื่อไรจะส่งละ
ments42

Anonymous said...

มาสวัสดีปีใหม่ไทยให้อาอูและทุกคนที่ตามอ่านอยู่คับ

ไงก็ปีใหม่ไทยนี้ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงนะคับ คิดการณ์ใด ทำสิ่งใดก็ขอให้สมกับความปรารถนานะครับ มีเงินใช้กันเยอะๆคับ (เศรษฐกิจไม่ดี)

อาร์ม