ผมมองเข้าไปในร้านเห็นภายในร้านขนาดหนึ่งคูหานั้นมีของวางอยู่เต็มไปหมดจนเหลือทางเดินแคบนิดเดียว ยังดีที่เจ้าของร้านตัวผอมบางไม่อย่างนั้นคงเข้าไปในร้านไม่ได้แน่ นอกจากสินค้าที่วางอัดกันจนเต็มไปหมดแล้ว แม้แต่เพดานก็ยังมีสินค้าแขวนเอาไว้และห้อยลงมา อย่างเช่น กระติกน้ำร้อน โบผูกของขวัญ และอีกหลายอย่างที่ดูไม่ออกเนื่องจากใส่อยู่ในถุงพลาสติกฝุ่นจับเขรอะ ร้านนี้ผมต้องเดินผ่านทุกวันตอนมาขึ้นขากลับแต่ก็ยังไม่เคยมาอุดหนุนสักที
“เอ้อ ใบถอนรายวิชาสีชมพูน่ะครับ มีมั้ย” ผมถามเสียงอึกอัก ใบคำร้องต่างๆเป็นเอกสารที่ใช้ภายในมหาวิทยาลัย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีขายในร้านขายของชำที่รกราวกับรังหนูเช่นนี้
ที่จริงผมไม่อยากจะถามรวมทั้งไม่อยากจะมาที่ร้านนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่เชื่อว่าจะหาใบถอนได้จากที่นี่แต่พี่ตั้วคะยั้นคะยอให้มา โดยในขณะที่ผมนั่งกำลังมืดแปดด้านคุยอยู่กับพี่หมูและพี่ตั้วอยู่ที่ชมรมนั้นเอง พี่ตั้วก็แนะนำขึ้นมาว่า
“ลองไปถามร้านจีฉ่อยดูสิ เผื่อจะมี”
“ไอ้บ้า ร้านจีฉ่อยจะไปมีได้ยังไง” พี่หมูที่ร่วมวงคุยอยู่ด้วยหัวเราะ แต่แล้วก็ชะงักไป “เอ... แต่ก็ไม่แน่นะ เพราะที่นี่มีทุกอย่าง”
“พี่สองคนพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย” ผมชักงง แยกไม่ออกว่าพูดอำหรือว่าพูดจริง
“เฮ้ย พี่พูดจริง ร้านนี้มีทุกอย่าง ถ้าหากว่าหาเจอนะ เพราะร้านโคตรรกเลย” พี่ตั้วพูด พลางหยิบปากกาหมึกแห้งสีทองออกจากกระเป๋าเสื้อมาอวด “นี่ไง ปากกาครอส ด้ามนึงพันกว่าบาท พี่ซื้อจากจีฉ่อยร้อยห้าสิบเอง”
พี่หมูแย่งเอาปากกามีทองมาจากมือของพี่ตั้วมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์
“เฮ้ย ขายได้ไงวะ มีอีกหรือเปล่า” พี่หมูรีบถาม “อยากได้มั่ง”
พี่ตั้วไม่สนใจพี่หมู แต่หันมาพูดกับผมต่อ
“ว่ากันว่าจีฉ่อยเป็นมุนษย์ต่างดาว บนดาดฟ้าของร้านมียานอวกาศจอดอยู่ด้วย และมีอุปกรณ์วิเศษคล้ายกับกระเป๋าหน้าท้องของโดราเอมอน จีฉ่อยเลยมีทุกอย่าง” พูดจบพี่ตั้วก็หัวเราะ
“เฮ้ย ถามว่าปากากยังมีอีกไหม” พี่หมูถามอีก
“จะไปรู้ได้ไง ก็ลองไปถามที่ร้านดูสิ” พี่ตั้วตอบ
ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาของร้านจีฉ่อย เท่าที่เดินผ่านและมองเห็นก็เป็นเพียงร้านขายของชำรกๆร้านหนึ่งเท่านั้น เจ้าของร้านสารรูปก็โทรมๆอีกทั้งหน้าตาไม่รับแขก ทั้งร้านค้าและทั้งผู้ขายไม่ชวนให้ซื้อเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อจนตรอกก็ลองทำตามคำแนะนำของพี่ตั้วดู
“ลื้อจาเอาของมหาลัยหนายล่ะ” เจ้าของร้านถาม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากห้วงความคิด
“โน่นครับ สะพานเหลือง” ผมพยักเพยิดไปในทิศที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย แน่ะ พูดราวกับว่ามีเอกสารของทุกมหาวิทยาลัยให้เลือกยังงั้นแหละ
“รอเหลียว” เจ้าของร้านร่างเล็กบอกพลางเดินเข้าไปรื้อๆค้นๆของในร้านโดยที่ผมยืนดูอยู่นอกร้านโดยไม่กล้าเข้าไปเนื่องจากเกรงว่าเข้าไปแล้วจะหลงทางอยู่ในแดนสนธยาจนออกมาไม่ได้
เพียงครู่เดียวหญิงร่างเล็กเจ้าของฟันทองอร่ามสองซี่ก็เดินออกมาพร้อมกับใบถอนสีชมพูยื่นมาให้ผม
“เอ้า เหลืออยู่ใบเลียวพอดี” จีฉ่อยพูด
“หา” ผมอุทานอย่างเหลือเชื่อ มองดูเอกสารที่อยู่ในมือ มันเป็นมัจจุราชสีชมพูของแท้แน่นอน “มีได้ยังไงเนี่ย ใบละเท่าไรครับ”
“ยี่สิบบาก” จีฉ่อยตอบ
ผมนึกเคืองในใจ เอกสารนี้แจกฟรีในมหาวิทยาลัย แต่นี่ดันเอามาขายผมตั้งยี่สิบบาท
“แพงจัง” ผมเริ่มหาข้อตำหนิเพื่อที่จะต่อรองราคา “ที่มหาลัยเขาแจกกันฟรีๆ คิดสิบบาทก็แล้วกัน”
จีฉ่ายส่ายหน้า แทนที่จะโมโหและไล่ให้ไปซื้อที่อื่น จีฉ่อยกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ของหายาก ไม่ใช่จะว่าล่ายมาง่ายๆ ไม่แพงเลี้ยว”
วันนั้นไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรเหมือนกัน ปกติผมไม่ใช่คนที่ชอบต่อราคาสินค้า ถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่ซื้อ แต่วันนั้นเกิดอยากเอาชนะขึ้นมา
“ถ้างั้นยังไม่เอาละครับ” ผมพูด พลางเดินจากร้านไป มุขนี้เป็นมุขที่แม่และคุณป้าที่ลาดพร้าวชอบใช้เวลาซื้อของ ผมเห็นจนชินตา แกล้งทำเป็นไม่อยากได้เพื่อให้แม่ค้าง้ออันเป็นการสร้างอำนาจต่อรอง
เอ ทำไมไม่ร้องเรียกหว่า ผมนึกในใจขณะที่เดินจากมา แอบเหลียวไปดูเห็นจีฉ่อยกำลังก้มหน้าก้มตาจัดสินค้าที่รกรุงรังหน้าร้านโดยไม่สนใจผม เมื่อเหตุการณ์ผิดคาดเช่นนี้จะหวนกลับทันทีก็หน้าแตก ด้วยความหน้าบางผมจึงเดินไปยืนแกร่วอยู่ในร้านขายหนังสือที่ป้ายรถเมล์อยู่สักพัก
เอาวะ ยอมหน้าด้านกลับไปซื้อดีกว่า ทำเป็นตายประชดป่าช้าแบบนี้ในที่สุดคงได้ไปถึงป่าช้าจริงๆ คิดพลางขาก็พาเดินกลับไปที่ร้านจีฉ่อย
“เอาใบสีชมพูใบนึงครับ” ผมพูดเสียงอ่อย ครั้งนี้ยอมจีฉ่อยเป็นผู้ชนะไปก็แล้วกัน
“ขายไปเลี้ยว” จีฉ่อยตอบ
“หา ว่าไงนะครับ” ผมอุทาน
“บอกว่าขายไปเลี้ยว หมกเลี้ยว ถ้าอยากล่ายอีกสองวันมาเอา จะหามาให้อีก” จีฉ่อยตอบ
“อย่าแกล้งผมสิครับ ยี่สิบก็ยี่สิบ ขายผมละกัน” ยามจวนตัวทำให้ผมต้องอ้อนวอนจีฉ่อยเพื่อขอซื้อใบสีชมพูเพราะนึกว่าแกแกล้งไม่ขายให้แก่ผม
“ม่ายล่ายแกล้ง เพิ่งขายคนอื่นไปเมื่อกี้นี้เอง” จีฉ่อยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกสองวันมาเอาสิ”
“ไม่ทันแล้วครับ” ผมพูดเบาๆ รู้สึกวูบราวกับตกหน้าผาและเหนี่ยวเถาวัลย์เอาไว้ได้ทัน แต่แล้วเถาวัลย์นั้นก็ขาดอีก “วันนี้วันสุดท้ายแล้ว...”
- - -
จังหวะเวลาที่ช้าไปเพียงไม่กี่นาทีทำให้สถานการณ์พลิกผันกลับกลาย เวลาที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยทำให้ผมทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว มาครั้งนี้ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเดิมอีก
หลังจากที่ผมพลาดใบสีชมพูไป ในที่สุดผมก็ตัดสินใจทุบหม้อข้าวตีเมือง เมื่อหาไม่ได้ก็ไม่เอา ผมขอเรียนและสอบไปตามปกติวัดดวงดูสักครั้ง ผมพยายามเรียนและดูหนังสืออย่างหนักเพื่อทำคะแนนในการสอบปลายภาคให้ได้มากพอที่จะชดเชยกับที่ทำแย่ๆเอาไว้เมื่อตอนสอบกลางภาค
ผมไม่ได้ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนเพราะรู้สึกว่าทำไม่ไหว น่าแปลกที่ตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๕ และกำลังเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ผมสามารถดูหนังสือได้อย่างหามรุ่งหามค่ำ แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วผมกลับไม่สามารถกลับไปทำแบบนั้นได้อีก ดูมันเกินความสามารถของผมไปเสียแล้ว นอกจากนี้ก็คงอาจเป็นเพราะว่าผมอยากเรียนรู้ชีวิตจากด้านอื่นๆด้วย ดังนั้นผมจึงพยายามแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปทำงานที่ชมรม
งานที่ชมรมวิชาการเป็นงานที่ถูกใจผม รุ่นพี่สนุกสนานเฮฮากันดี อีกทั้งงานที่ทำก็มีแก่นสาร ทำให้ผมรู้สึกว่าใช้เวลาไปอย่างมีประโยชน์ จนในที่สุดผมก็เกิดอาการติดชมรม เมื่อมีเวลาว่างจากการเรียนก็จะขึ้นไปนั่งทำงานที่ชมรม ทำงานไป เรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ไป พี่ตั้วเป็นคนที่เก่งหลายอย่าง นอกจากจะสอนให้ผมใช้ซียูเวิร์ดแล้วยังสอนให้ผมรู้จักใช้โปรแกรมเวิร์กชีตที่ชื่อโลตัส 1-2-3 ซึ่งนิยมกันในยุคนั้น รวมทั้งโปรแกรมฐานข้อมูลดีเบส 3 กับการเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกอย่างง่ายๆ สอนให้อย่างละนิดอย่างละหน่อยตามแต่เวลาจะอำนวย นอกนั้นผมก็อ่านหนังสือเอาเองบ้าง ทำให้ได้ความรู้ที่ไม่มีอยู่ในห้องเรียน คิดไปแล้วก็ทำให้นึกถึงสมัยเรียนมัธยมต้นตอนที่ทำงานอยู่ที่สหกรณ์ ตอนนั้นก็ติดสหกรณ์เหมือนกัน มีเวลาว่างก็ไม่ไปไหน เอาเวลามาทำงานที่สหกรณ์ สภาพการณ์ก็คงคล้ายๆกัน
นอกจากชมรมวิชาการแล้ว สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ผมพยายามแวะเวียนไปบ้างนั่นก็คือคณะศิลปกรรม ห้องซ้อมดนตรีของพี่รหัสของผมนั่นเอง บางครั้งเมื่อมีโอกาสเหมาะพี่เหล่งพี่รหัสผู้ใจดีจะให้ผมเล่นเปียโน ได้ไปจิ้มๆเปียโนบ้างแม้ไม่ถึงกับทำให้ทักษะก้าวหน้าขึ้นแต่ก็พอได้ความสนุกสนานอยู่บ้าง
หลังจากที่ทำงานในชมรมวิชาการร่วมกับเพ็ญมาได้ระยะหนึ่ง เราสองคนก็สนิทกันพอควร ที่ต้องใช้คำว่าพอควรแทนที่จะบอกว่าสนิทมากก็เนื่องจากในความรู้สึกของผมแล้วเพ็ญดูจะลึกลับอยู่บ้าง อาจจะเรียกว่ามีโลกส่วนตัวสูงก็ได้ เพ็ญไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตนเองหรือครอบครัวนัก ซึ่งก็คงพอๆกันกับผมที่ค่อนข้างเก็บตัว แต่เท่าที่ได้คุยกันก็ทำให้พอรู้ได้ว่าเพ็ญนั้นเป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัวที่มีฐานะดี พ่อเป็นหมอ แม่ก็เป็นหมอ เรียกได้ว่าเรียนเก่งกันทั้งบ้าน
ตอนที่เพ็ญเรียนมัธยมนั้นเพ็ญเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาก แม้จะเป็นโรงเรียนต่างจังหวัดแต่ก็เป็นโรงเรียนในเมืองใหญ่และมีชื่อเสียงด้านวิชาการ เพ็ญเรียนเก่งมาก เมื่อพ่อแม่เห็นแววของเพ็ญที่อาจจะเรียนเก่งกว่าผู้เป็นพ่อแม่เสียอีกเนื่องจากได้ยีนเรียนเก่งของทั้งพ่อและแม่มา คงรวมลักษณะเด่นของทั้งสองคนเอาไว้ที่ตัวลูกสาวคนนี้ พ่อแม่ของเพ็ญจึงสนับสนุนการเรียนของเพ็ญอย่างเต็มที่ ชีวิตที่ผ่านมาจึงแทบไม่ต้องทำอะไร มีแต่เรียน เรียน และเรียน เมื่อว่างเว้นจากการเรียนในชั้นเรียนปกติก็ต้องเรียนพิเศษทั้งในวันธรรมดาและวันหยุด เรียนทั้งที่โรงเรียนกวดวิชาและเชิญอาจารย์มหาวิทยาลัยมาสอนให้ที่บ้าน ซึ่งการเรียนพิเศษกับอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังนั้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทั่วไปแม้มีเงินก็ยากจะทำได้นอกเสียจากเป็นคนกว้างขวาง
ตอนที่เพ็ญสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเพ็ญไม่ได้เลือกเรียนแพทย์เนื่องจากเพ็ญกลัวการเห็นเลือดมาก และที่ไม่เลือกเรียนวิศวกรรมก็เนื่องจากเธอชอบเรียนคณิตศาสตร์ จึงตั้งใจมาเรียนที่คณะนี้และตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศจนถึงปริญญาเอกและกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งพ่อแม่ก็เห็นดีด้วย
การที่เป็นเด็กที่อยู่ในความดูแลของพ่อแม่อย่างเข้มงวดมาโดยตลอดทำให้เพ็ญไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก หลายเรื่องที่เป็นของง่ายๆแต่เพ็ญกลับไม่มีประสบการณ์ อย่างเช่น การใช้บัตรเอทีเอ็ม การขึ้นรถเมล์ ฯลฯ ตอนที่จะเข้าสอบเอนทรานซ์เพ็ญก็มีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน พ่อกับแม่อยากให้เรียนที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดเพราะไม่ไกลจากบ้านนัก แต่เพ็ญเองอยากมาเรียนที่กรุงเทพฯเพราะเชื่อว่าทางด้านวิชาการน่าจะดีกว่า อีกอย่างหนึ่งก็อาจเป็นเพราะอยากเปิดหูเปิดตาและไปให้ไกลตาพ่อแม่บ้างก็เป็นได้
ตอนที่เพ็ญสอบได้นั้นก็มีปัญหาเรื่องที่พักเนื่องจากพ่อแม่เป็นห่วงเพ็ญที่ต้องมาเรียนในกรุงเทพฯคนเดียว โชคดีที่สามารถพักอยู่ในหอของมหาวิทยาลัยได้ พ่อแม่จึงค่อนข้างวางใจ เพ็ญไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดตรงๆ ดังที่บอกว่าเธอไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวนัก แต่จากการที่ทำงานใกล้ชิดกันทำให้ผมพอปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้
การทำกิจกรรมของเพ็ญที่ชมรมนี้ก็เป็นโดยบังเอิญเนื่องจากเดิมทีเพ็ญไม่ค่อยสนใจทำกิจกรรมนัก ปกติก็เรียน เข้าห้องสมุด เดินกับเจต จากนั้นก็กลับหอพัก แต่เนื่องจากมีเพื่อนชวนมาทำชีตวิชาแคลคูลัสซึ่งเป็นวิชาที่เธอชอบเธอจึงสนใจและมาช่วยงาน
- - -
หลังจากที่คะแนนสอบกลางภาคออกมาทำให้หลายๆคนรวมทั้งผมเริ่มได้สำนึก แต่ละคนก็พยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์เพื่อเอาตนเองให้รอด สำหรับตัวผมนั้นแม้ดูจากภายนอกจะเห็นว่าชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น มีการแบ่งเวลาเพื่อทำกิจกรรม แต่ในความเป็นจริงแล้วผมยังมีเรื่องที่คอยรบกวนจิตใจอยู่
เรื่องคะแนนสอบกลางภาคโดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์เป็นเหมือนชนักที่ติดหลังที่ทำให้ผมกังวลใจอยู่ตลอดเวลา หากผมเกิดสอบตกได้เกรดเอฟขึ้นมาจริงๆก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เรื่องบอยและชาญนั้นแม้ดูราวกับว่ามันได้จบไปแล้ว บอยยังคงคบกับส้มอยู่ ส่วนชาญนั้นผมก็หาทางตีตัวออกห่างจนได้ แต่ที่จริงแล้วเรื่องทั้งสองไม่ได้จบลงไป ในความรู้สึกของผมแล้วมันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้น... จุดเริ่มต้นของความรู้สึกไม่ยอมรับตนเอง
หลังจากที่ผมได้พบกับบอย ผมเริ่มไม่ยอมรับตนเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่พยายามทำใจยอมรับตนเองให้ได้มาหลายปี เมื่อผมสามารถปลีกตัวจากชาญได้ แทนที่ผมจะรู้สึกโล่งใจ ผมกลับยิ่งรู้สึกคับข้องใจมากขึ้น ทำไมการรักชอบเพศเดียวกันจึงเป็นเรื่องวิปริตในสายตาของสังคมและต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในมุมมืดของชีวิต มันก็แค่ผู้ชายรักกันเท่านั้นเอง...
ในช่วงนั้นเองที่ผมกลับมาสับสนอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกยอมรับตนเองไม่ได้ ความคิดที่อยากจะหายจากความผิดปกติทางเพศเริ่มรุนแรงและจริงจังมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่รุนแรงพอๆกัน นั่นคือความเหงาอยู่ลึกๆ... ผมเริ่มอยากรู้ว่าคนที่อื่นๆที่มีจิตใจผิดปกติเช่นผมนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างไร รู้สึกอย่างไร วางตัวในสังคมอย่างไร เคยคิดรักษาความผิดปกติเช่นนี้ไหม และผลเป็นอย่างไรบ้าง ฯลฯ
ผมเริ่มอยากเรียนรู้ชีวิตแบบรักร่วมเพศของคนอื่นๆบ้าง ไม่ใช่จากการเรียนรู้โดยอ่านจากบทความหรือประสบการณ์ในนิตยสาร แต่ผมเริ่มคิดอยากมีเพื่อนที่เป็นเกย์เหมือนๆกัน อยากมีใครสักคนหรือสองคนที่ผมพอจะคุยเรื่องต่างๆได้อย่างเปิดใจ เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีก็สามารถคุยให้ฟังได้ว่าคนนี้หน้าตาดีแฮะ แทนที่จะต้องแสร้งทำเป็นมองสาวแล้วบอกว่าคนนี้สวยจัง ยามใดที่มีเรื่องอึดอัดใจก็สามารถเล่าสู่กันฟังได้... ผมยังไม่เคยมีเพื่อนแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่กับไอ้นัย ไอ้ชัช ที่เป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็ก เราก็ไม่เคยคุยกันถึงเรื่องนี้ คิดอะไรต่างก็เก็บเอาไว้ในใจโดยไม่เคยพูดออกมา
ความรู้สึกคับข้องใจและอยากมีเพื่อนที่ระบายได้ของผมนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในช่วงปีหนึ่ง เทอมหนึ่งนั้นเอง ผมก็ได้ทำในเรื่องที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน...
- - -
“ขอถุงใส่ให้ด้วยครับ” ผมพูดกับเจ้าของแผงขายหนังสือและนิตยสารแห่งหนึ่งในขณะที่ยื่นหนังสือที่ต้องการสามเล่มและส่งเงินให้ในจังหวะที่ปลอดคน แผงหนังสือนี้อยู่ในย่านสะพานควายแถวๆโรงหนังเฉลิมสิน
เจ้าของแผงหนังสือมองหน้าผมนิดหนึ่งก่อนที่จะก้มลงหยิบถุงกระดาษมาใส่หนังสือและยื่นส่งให้ผมพร้อมกับเงินทอน
เมื่อผมได้หนังสือแล้วก็เก็บไว้ในเป้ จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าห้างเมอรี่คิงสะพานควาย ผ่านโรงหนังพหลโยธิน แล้วยังเลยต่อไปอีก จนในที่สุดมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารใหญ่ริมถนนแห่งหนึ่ง และเดินเข้าไปข้างใน
“ต้องการเช่าตู้ไปรษณีย์ ติดต่อที่ไหนครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่ อาคารใหญ่ที่ผมเดินเข้ามานี้ก็คือที่ทำการไปรษณีย์นั่นเอง
เจ้าหน้าที่บอกทางแก่ผม จากนั้นผมก็ไปที่แผนกตู้ไปรษณีย์เช่า เมื่อผมแจ้งความประสงค์ต้องการเช่าตู้ เจ้าหน้าที่ก็ให้กรอกเอกสาร พร้อมกับให้กลับไปรอรับไปรษณียบัตรที่บ้าน เมื่อได้รับไปรษณียบัตรนั้นแล้วให้นำมาติดต่ออีกครั้งจึงจะเช่าตู้ได้ ขั้นตอนดูยุ่งยากกว่าที่คิดเอาไว้ นึกว่ามาแล้วจะเช่าได้เลยเสียอีก แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่ออยากได้ก็ต้องยอมทำตามขั้นตอน
หลังจากที่ผมกลับมาถึงห้องพัก ผมก็เปิดถุงหนังสือและหยิบหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กที่อยู่ภายในออกมา อันที่จริงมันเป็นนิตยสาร ไม่ใช่หนังสือ ทั้งสามเล่มเป็นคนละหัวกัน มีทั้งวีคเอนด์ นีออน และมิดเวย์ ผมเหลือบดูภาพชายหนุ่มที่อยู่บนหน้าปกจากนั้นก็ฉีกซองพลาสติกออกดูทีละเล่ม
ปกติเมื่อผมซื้อนิตยสารเกย์ผมจะซื้อนิตยสารมือสอง แม้ว่าจะเป็นฉบับย้อนหลังไปเป็นปีแต่ก็ขายราคาถูกเพียงสามเล่มยี่สิบ ก็แค่ดูภาพและอ่านเรื่องเสียว จะเก่าหรือใหม่ก็ไม่แตกต่างกัน แต่สำหรับในครั้งนี้ผมลงทุนซื้อนิตยสารฉบับปัจจุบันจากแผงในราคาเต็มเล่มละ ๓๐ บาท แถมยังซื้อมาพร้อมกันถึงสามเล่มสามหัวเลยทีเดียว
ผมเปิดนิตยสารดูอย่างคร่าวๆ ผมเปิดผ่านหน้าที่เป็นภาพชายหนุ่มและเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวไป จากนั้นไปหยุดอยู่ที่หน้าที่เป็นคอลัมน์ประกาศหาเพื่อน ผมอ่านข้อความในประกาศหาเพื่อนทีละข้อความอย่างสนใจ...
เอ็ม/กรุงเทพฯ อายุ ๒๔ สูง ๑๗๘ หนัก ๖๕ ต้องการหาเพื่อนหรือพี่ชายอายุ ๒๔ ขึ้นไป ไม่แสดงออก มีความเข้าใจ มีเหตุผล ทำงานแล้ว เป็นตัวของตัวเองและใช้ความรักไม่เปลือง ตอบทุกฉบับ
ณัฐ/เชียงราย อายุ ๒๑ สูง ๑๖๙ หนัก ๕๙ นิสัยสุภาพ ลักษณะไม่แสดงออก หน้าตาดี เพื่อนที่ติดต่อมารับรองไม่ผิดหวัง ปัจจุบันศึกษาอยู่ ผมมีเพื่อนมากมายแต่ไม่มีเพื่อนที่รู้ใจ รู้ส่วนลึกของจิตใจ ต้องการมีเพื่อนที่ไม่แสดงออก รูปร่างหน้าตาดี
มัมมี่/กทม อายุ ๑๖ ผิวสีแทน หน้าตาค่อนข้างดี สูง ๑๖๗ หนัก ๖๔ ต้องการเพื่อนหรือพี่ชายอายุ ๑๗-๓๐ ปี ไม่แสดงออก คิง ควีน ไบฯ ก็ได้ หรือแมน ๑๐๐% ก็ได้ ยอมรับความคิดเห็นกันและกัน ปรึกษาได้ ขอเบอร์โทรและรูปถ่าย ยินดีตอบทุกฉบับ
ฯลฯ
ความคิดอยากมีเพื่อนที่เป็นเกย์ด้วยกันเพื่อที่จะได้สามารถระบายความรู้สึกในส่วนลึกที่ไม่อาจพูดกับใครได้รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมจึงตัดสินใจที่จะลองหาเพื่อนที่เป็นเกย์ดูบ้าง การหาเพื่อนเกย์ในยุคปัจจุบันนี้สะดวกสบายแตกต่างจากเมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่มาก ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาอันเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตแพร่หลาย การหาเพื่อนเกย์ทำได้อย่างง่ายดาย มีเว็บบอร์ดประกาศหาเพื่อนเกย์อยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสามารถติดต่อกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นใคร ช่องทางการติดต่อก็สะดวก ทันทีและทันใจด้วยการใช้โปรแกรมแช็ตต่างๆที่คุยโต้ตอบกันได้ทันที แม้แต่การเขียนอีเมลคุยกันในยุคนี้ยังเป็นเรื่องเชยไปแล้วเนื่องจากไม่ทันใจ และหากถูกอัธยาศัยกันก็อาจแลกเบอร์โทรศัพท์มือถือกันได้ ใครจะนึกออกบ้างว่าการที่ต้องเขียนจดหมายใส่ซองติดแสตมป์เอาไปส่งที่ตู้และรอรับจดหมายตอบเป็นหลายๆวันหรือที่เรียกว่าสเนลเมล์ (snail mail) นั้นรสชาติของการรอคอยเป็นอย่างไร
ช่องทางการหาเพื่อนเกย์ในยุคที่ผมเรียนหนังสืออยู่นั้นมีเพียงไม่กี่ช่องทาง ถ้าเป็นพวกผู้ใหญ่ก็ใช้วิธีไปเที่ยวตามสถานบันเทิงของเกย์ ซึ่งหมายความว่าแต่ละคนต้องเห็นหน้าค่าตากัน แต่ถ้าหากต้องการปกปิดตัวตนก็ต้องใช้วิธีการเขียนจดหมายคุยกัน โดยแหล่งที่ใช้หาเพื่อนคุยทางจดหมายนั้นก็ได้แก่คอลัมน์ประกาศหาเพื่อนในนิตยสารเกย์ต่างๆซึ่งทุกฉบับต่างต้องมีคอลัมน์นี้อยู่เนื่องจากเป็นจุดขาย เมื่อคุยกันทางจดหมายแล้วจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องในภายหลัง
การคุยกันทางจดหมายนั้นแม้อาจไม่ต้องเปิดเผยหน้าตาแต่ก็จำเป็นต้องเปิดเผยที่อยู่ ดังนั้นหากต้องการปกปิดที่อยู่ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวนั่นก็คือการเช่าตู้ไปรษณีย์ใช้ เมื่อมีตู้เช่าแล้วเราก็สามารถใช้ที่อยู่ของตู้เช่านั้นในจ่าหน้าซองได้ เช่น ส่ง ตู้ ปณ. xx-xxx กรุงเทพฯ เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว โดยตู้ไปรษณีย์เช่านั้นจะอยู่ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ เมื่อมีจดหมายส่งมาถึงก็จะถูกนำไปใส่ไว้ในตู้ที่เราเช่าเอาไว้นั้น เราต้องไปที่ที่ทำการไปรษณีย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อไขตู้เอาจดหมายเอง
หากจะดูประกาศหาเพื่อนจากนิตยสารเก่าหลายปีก่อนคงไม่ได้ความ เจ้าของประกาศอาจจะแก่ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ดังนั้นผมจึงซื้อนิตยสารฉบับปัจจุบันมาเพื่อจะได้ดูประกาศหาเพื่อนล่าสุด
การส่งประกาศหาเพื่อนไปลงในนิตยสารนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ผู้ที่ต้องการลงประกาศต้องส่งสำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนาบัตรนักเรียน/นักศึกษาแนบไปให้ทางนิตยสารด้วย เนื่องจากมักมีการกลั่นแกล้งกันจึงต้องมีการยืนยันตัว ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัว แต่ก็มีข้อดีคือผู้ที่ลงประกาศมักจะมีจดหมายเขียนมาถึงมาก พูดง่ายๆก็คือมีตัวให้เลือกมากมาย แต่ถ้าหากไม่ต้องการเปิดเผยตัวก็ต้องเป็นฝ่ายติดต่อผู้ที่ลงประกาศไป ซึ่งอย่างหลังเหมือนกับเราเป็นฝ่ายถูกเลือกเสียมากกว่า

<บุคคลที่เป็นระดับตำนานของสามย่านในรอบหลายสิบปีมานี้มีอยู่เพียงไม่กี่คน ที่รู้จักกันดีที่สุดน่าจะได้แก่จีฉ่อยและอ้อยหวาน
จีฉ่อยนั้นที่จริงเป็นชื่อร้านในภาษาจีนกวางตุ้ง ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่าจื้อไฉ แต่ลูกค้ามักเรียกเจ้าของร้านว่าจีฉ่อยไปด้วย แม้แต่เจ้าของร้านก็ยังเรียกแทนตัวเองว่าจีฉ่อย ดังนั้นจีฉ่อยเป็นเสมือนทั้งชื่อร้านและชื่อคน
ร้านจีฉ่อยนั้นเปิดกิจการในยุคประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ ว่ากันว่าพ่อแม่ของจีฉ่อยถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง จีฉ่อยจึงได้เงินมาเปิดร้าน นี้
ร้านจีฉ่อยเป็นร้านคูหาเดียวอยู่ริมถนนพญาไท สาเหตุที่กลายมาเป็นตำนานของสามย่านก็เพราะว่าจีฉ่อยเป็นร้านค้ามหัศจรรย์ ภายในห้องแถวขนาดคูหาเดียวนั้นมีของขายทุกอย่างราวกับมีกระเป๋าวิเศษของโดราเอมอน เจ้าของร้านไม่เคยปฏิเสธออร์เดอร์ของลูกค้าเลย ไม่ว่าลูกค้าต้องการอะไรแม้จีฉ่อยจะยังไม่มีในตอนนั้นแต่ก็จะไปหามาให้จนได้ จีฉ่อยขายแม้กระทั่งอาหาร บัตรชมคอนเสิร์ต ปากการาคาแพง และใบลงทะเบียนที่หายาก แม้กระทั่งใบสีส้มจีฉ่อยก็ยังเคยขาย ส่วนที่ร่ำลือกันแบบพิสดาร อย่างเช่น ขายเปียโน ขายรถยนต์นั้นไม่ทราบว่ามีมูลความจริงหรือไม่
ร้านจีฉ่อยขายตลอด ๒๔ ชั่วโมง แม้ดึกแล้วหน้าร้านปิดก็ยังไปกดออดเรียกหลังร้านได้ แม้จีฉ่อยจะมีหน้าตาที่เหมือนไม่รับแขกและไม่ช่างคุย แต่ที่จริงแล้วมีน้ำใจในการให้บริการสูงมาก ดึกดื่นเพียงใดก็ขายของให้โดยไม่บ่น แม้ของที่ไม่มีก็พยายามหามาให้และไม่เคยเรียกเงินมัดจำ เจ้าของร้านจีฉ่อยเป็นพี่น้องฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันมากและผลัดกันขาย หลายคนจึงนึกว่าจีฉ่อยขายคนอยู่เดียวตลอด ๒๔ ชั่วโมง>

<จีฉ่อยช่วงต้นปี ๒๕๕๓ ขณะกำลังย้ายร้าน จีฉ่อยเป็นที่พึ่งและเป็นขวัญใจของนักเรียน นิสิต และนักศึกษาในย่านนั้นรุ่นแล้วรุ่นเล่าอยู่นานกว่าห้าทศวรรษ ร้านก็ต้องปิดไปเมื่อช่วงกลางปี ๒๕๕๓ เนื่องจากมีการขอคืนพื้นที่เช่า ประกอบกับฝาแฝดจีฉ่อยผู้หนึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว ตำนานของจีฉ่อยแห่งสามย่านจึงจำต้องปิดฉากลง>

<ตำนานบทใหม่ของจีฉ่อย จีฉ่อยไปเปิดร้านแห่งใหม่ที่บริเวณใกล้ยูสแควร์ ห่างจากร้านเดิมพอสมควรแต่ก็เป็นระยะที่เดินถึง ร้านใหม่นี้ดูทันสมัยกว่าเดิม>