Saturday, September 19, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 21

หลังจากที่ผมตัดสินใจได้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง ความรู้สึกโล่งใจนั้นไม่ได้เกิดจากว่าเราตัดสินใจอย่างไรลงไป แต่เกิดขึ้นเนื่องจากการที่เราตัดสินใจลงไปเสียที ทำให้ความอึมครึมหมดไป

ในช่วงการสอบนั้น อาการท้องเสียและอาเจียนได้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ได้ซาลงไปพักหนึ่ง แต่ครั้งนี้อาการไม่มากนัก มาหนักเอาวันสอบวันสุดท้าย

การสอบวันสุดท้ายเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะอาการปวดท้องอยากถ่ายและอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน แม้ไม่รุนแรงจนถึงกับต้องนอนซม แต่ก็กดดันจนผมไม่มีสมาธิทำข้อสอบ โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้นี่มันทำให้ไม่อยากทำอะไรเลย ผมพยายามกัดฟันทำข้อสอบ ทำบ้าง มั่วบ้าง จนในที่สุดก็ทำข้อสอบจนหมดทุกวิชา

หลังจากที่ทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ก่อนลุกจากที่นั่ง ผมกวาดตามองไปรอบๆห้อง หลังจากวันนี้ไป ผมคงไม่มีโอกาสได้เรียนในห้องเรียนนี้อีก ผมอดหวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆไม่ได้ โดยเฉพาะวันที่มีไอ้นัย นับแต่นี้ไปผมต้องละทิ้งอดีตที่นี่เพื่อไปเริ่มอนาคต ณ ที่แห่งใหม่...

ผมเดินไปหาตี๋ที่ห้อง เห็นตี๋ยังทำข้อสอบไม่เสร็จ ผมจึงนั่งรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง สายตาของผมเหม่อมองออกไปนอกตึก ผมพยายามเก็บความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“อู” เสียงคนเรียกพร้อมรู้สึกว่ามีมือตบที่ไหล่ของผมเบาๆ ตี๋นั่นเอง

“กูมาลามึงน่ะ” ผมบอก

“มีใครรู้บ้างล่ะ” ตี๋ถาม

ผมส่ายหัว “ไม่ได้บอกใคร มีแต่มึงที่รู้”

“นี่มึงไม่คิดจะลาเพื่อนๆบ้างเลยเหรอ” ตี๋ถาม

“อย่าดีกว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง” ผมปฏิเสธ “หายตัวไปเงียบๆดีกว่า”

ผมคุยกับตี๋สักครู่ จากนั้นก็ขอตัวจากมา รู้สึกเหมือนกับมีน้ำตาคลอเบ้าแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ไม่ค่อยรู้สึกอยากร้องไห้เท่าไร มันเนือยๆ เฉื่อยๆ เบื่อๆ อย่างไรก็ไม่รู้ ความรู้สึกมันสับสนจนบอกไม่ถูก

วันสุดท้ายในโรงเรียนของผมแทบไม่มีอะไรพิเศษ ผมเพียงแค่ลาตี๋คนเดียวเท่านั้น แม้แต่ไอ้บอยผมก็ไม่ได้ไปหา

ในคืนนั้นผมรู้สึกนอนไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่ ใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีที่จะจากบ้านนี้ไป เพราะในระยะหลังผมรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน ทุกวันผมไม่อยากกลับบ้าน แต่ก็จำใจต้องกลับ มันเป็นความทรมานทางจิตใจที่ยากจะอธิบายออกมาได้ แต่ครั้นพอถึงเวลาที่จะจากไปจริงๆ ผมกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์บ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย คิดถึงวันเก่าๆ คิดถึงอดีตอันงดงามในช่วงที่ไอ้นัยยังอยู่... ท้ายที่สุดผมกลับรู้สึกว่าที่จริงบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...

ผมนอนครุ่นคิดจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เดิมทีคิดว่าคงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนด้วยซ้ำเพราะความคิดมันวิ่งไปมาอยู่ในหัวยากที่จะสงบลงได้ แต่คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียจากการอาเจียนและถ่ายท้องตลอดวันที่ผ่านมาที่ทำให้ผมหลับไปได้ในที่สุด

- - -

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ ผมมีเวลาเก็บข้าวของที่บ้านคุณลุงคุณป้าสองวันก่อนที่พ่อจะมารับ

ผมไปซื้อกล่องกระดาษใบใหญ่ๆมาจากร้านขายของชำที่ปากซอยหลายใบ จากนั้นก็บรรจุเสื้อผ้าและข้าวของต่างๆลงในกล่อง เดิมทีผมคิดว่าของของผมมีไม่มากนัก แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับบรรจุจนเต็มกล่องกระดาษไปหลายใบ ที่จริงข้าวของบางส่วนเป็นสิ่งของของเอ๊ดที่ไม่ได้เอาไปเชียงใหม่ด้วยและพ่อก็ไม่ได้มาเอากลับไปเก็บที่บ้านเสียที มาคราวนี้ผมจึงต้องเก็บของทั้งหมดทั้งของผมและของเอ๊ด ยังดีที่เอาหนังสือส่วนหนึ่งไปให้ตี๋แล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องมีมากกว่านี้

ผมปลดโปสเตอร์เล็กๆรูปสาวน้อยมหัศจรรย์ของเอ๊ดลงจากข้างโต๊ะทำงาน โปสเตอร์ใบนี้เป็นของชิ้นสุดท้ายในห้อง หลังจากนั้น ทั้งห้องก็เกลี้ยงเกลาเรียบร้อยเหมือนกับไม่มีใครเคยอยู่มาก่อน...

น่าแปลกที่สองวันสุดท้ายที่บ้านคุณลุง ผมกลับไม่รู้สึกว่าเกร็งหรืออึดอัดกับการอยู่แต่ในบ้านแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์เสียด้วยซ้ำ ในยามกลางคืนอันเงียบสงบ ผมนั่งอยู่ในความมืดภายในห้อง หวนนึกทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา ผมกลับรู้สึกว่าที่จริงบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมมีโอกาสดีกว่าเด็กอีกหลายๆคนที่ไม่มีบ้านอยู่ และต้องยึดเอาพื้นคอนกรีตเป็นที่นอน แต่กว่าผมจะได้คิดก็สายเกินไปเสียแล้ว

ผมหวนนึกถึงเรื่องสั้นเรื่อง กลับบ้าน ในหนังสืออ่านนอกเวลาที่เคยอ่าน คนเรามักตระหนักถึงคุณค่าของคนหรือสิ่งที่อยู่กับเราก็ต่อเมื่อเราได้เสียมันไปแล้ว ที่ผมไม่สามารถอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อีกต่อไปก็เพราะว่าผมทำตัวของผมเองแท้ๆ

- - -

เช้าวันเสาร์ พ่อมารับผมในตอนสาย เมื่อขนของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อย ผมก็เข้าไปกราบลาคุณลุงคุณป้า จากนั้นก็เดินทางกลับ การร่ำลากินเวลาไม่นานนักแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างที่ผมนึกไม่ถึง ผมอยากจะพูดเพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณลุงคุณป้าสำหรับเวลาที่ผ่านมา แต่ก็พูดไม่ออก ความรู้สึกในตอนนั้นมันตื้อไปหมด ส่วนคุณลุงคุณป้าเองก็ให้พรผม ทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับคุณลุงคุณป้าสลายคลายไปสิ้น เพราะจะอย่างไรทั้งหมดก็ล้วนผ่านไปเป็นอดีตไปหมดแล้ว

หลังจากที่ผมกลับมาอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด ใหม่ๆก็รู้สึกเคว้ง หลายปีมานี้ผมอยู่ในกรุงเทพฯจนชิน การกลับมาบ้านเป็นเพียงการกลับมาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น แต่สำหรับในครั้งนี้ การกลับมาของผมเป็นการกลับมาเพื่ออยู่อย่างถาวร หรืออย่างน้อยก็อีกหลายปี ความรู้สึกจึงแตกต่างกันออกไปมากทั้งๆที่เป็นบ้านหลังเดิมแท้ๆ

แม่ดูเหมือนจะดีใจที่ผมกลับมาเรียนต่อที่บ้าน ส่วนพ่อนั้นดูเฉยๆเนือยๆไป จนดูไม่ออกว่าพ่อคิดอย่างไร การกลับมาในครั้งนี้ผมสังเกตว่าพ่อเนือยไปมาก ไม่ค่อยกระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อน ดูเหมือนกับจะแก่ตัวลงไปด้วยซ้ำ ทำให้ผมก็รู้สึกผิดที่ก่อเรื่องวุ่นวายให้พ่อแม่ต้องหนักใจในครั้งนี้ รวมทั้งไม่ค่อยกล้าเข้าหน้าพ่อเท่าไร

อาการเคว้งเหมือนเสียศูนย์ของผมทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี วันๆจึงเอาแต่นั่งๆนอนๆฟังเพลงอยู่แต่ในบ้าน ใหม่ๆแม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่พอผ่านไปหลายวันเข้า แม่ก็แนะนำว่าผมไม่ควรเอาแต่นอนอยู่กับบ้าน แต่ผมฟังแล้วก็เฉยๆ

“อู ไม่ออกไปข้างนอกไปเล่นกับเพื่อนบ้างเหรอ” แม่พูดกับผมในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนอนฟังเพลงอยู่ในห้องชั้นบนของบ้าน

“ไม่ล่ะแม่ ขี้เกียจ” ผมตอบอย่างเนือยๆ

“อยู่แต่ในบ้านไม่อุดอู้บ้างหรือไง แม่จะเข้าเมือง ไปกับแม่ไหม หรือตามพ่อเค้าไปหาลูกค้าบ้างก็ได้” แม่แนะนำอีก

“ไม่อะแม่ อูขี้เกียจ” ผมตอบด้วยคำพูดเดิม

จนอีกหลายวันผ่านไป ราวต้นเดือนตุลาคม เอ๊ดก็กลับมาบ้านหลังจากสอบเสร็จ บรรยากาศที่บ้านดูสดชื่นขึ้นมากเพราะเป็นการกลับมาบ้านครั้งแรกหลังจากที่ไปเรียนที่เชียงใหม่และกลับมาในสภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ใช่นักเรียน ม.๖ อีกต่อไปแล้ว เอ๊ดจึงมีเรื่องเล่าต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องรับน้อง เรื่องเรียน เรื่องเที่ยว เนื่องจากเชียงใหม่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เอ๊ดดูมีความสุขกับชีวิตนักศึกษาที่นั่นมาก

“อู เป็นไงบ้าง” เอ๊ดทักทาย ไม่ได้เจอเอ๊ดเพียงไม่กี่เดือน รู้สึกว่าเอ๊ดโตขึ้นกว่าเดิม ชีวิตในมหาวิทยาลัยทำให้เอ๊ดเปลี่ยนไปมากพอสมควร

“ก็ดี” ผมตอบ

“ก็ดีแล้วทำไมทำหน้าเป็นตูด” เอ๊ดแหย่ จากนั้นก็พูดให้กำลังใจผม “เรียนที่นี่ก็ไม่แย่นักหรอกน่า โรงเรียนนี้ก็ใช้ได้ เรียนไปสักเทอมก่อน แล้วป๊าคงหาทางย้ายให้เข้าโรงเรียนประจำจังหวัด”

ผมรู้ว่าเอ๊ดปลอบใจผมไปยังงั้นเอง การเรียนในโรงเรียนในตัวเมืองก็ต้องพักในตัวเมือง ถ้าจะเรียนแบบไปกลับคงเดินทางไม่ไหว ก็ในเมื่อพ่อกับแม่อยากอยากให้ผมอยู่ที่บ้าน แล้วผมจะมีโอกาสเรียนในตัวจังหวัดได้อย่างไร

ตอนแรกที่เอ๊ดมา ผมฟังเรื่องเล่าต่างๆก็ดูจะสนุกอยู่ แต่พอหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมกลับรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเบื่ออะไร แต่รู้ว่าเรื่องเล่าของเอ๊ดนั้นเสียดแทงใจผม เอ๊ดสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ก็เพราะเอ๊ดตั้งใจเรียนและได้เรียนในโรงเรียนมัธยมที่วิชาการเข้มแข็ง ส่วนผมนั้นเล่า ในชีวิตคงไม่มีโอกาสแบบเอ๊ด... ไม่มีโอกาสใส่ชุดสักศึกษาเท่ๆ รวมทั้งคงไม่มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานแบบที่เอ๊ดเล่าให้ฟัง...

พ่อกับแม่ก็ตื่นเต้นยินดีกับการกลับมาของเอ๊ด คุยกับเอ๊ดอย่างมีรสชาติเกี่ยวกับชีวิตในมหาวิทยาลัย ส่วนผมนั้นเล่า พ่อกับแม่ก็แค่ทักทาย ไล่ให้ออกไปเล่นนอกบ้านบ้าง คุยเรื่องโรงเรียนบ้าง ในตอนหลังผมจึงไม่อยากฟังเรื่องเล่าของเอ๊ดเท่าไร เมื่อไรที่พ่อกับแม่คุยกับเอ๊ด ผมมักปลีกตัวออกมา โดยเฉพาะที่โต๊ะอาหาร พ่อกับแม่ไม่มีอะไรจะคุยก็คุยแต่เรื่องมหาวิทยาลัยของเอ๊ด จนผมรู้สึกเซ็ง รีบกินให้เสร็จๆแล้วก็ลุกออกจากโต๊ะ

- - -

วันหนึ่ง หลังจากที่เอ๊ดกลับบ้านมาได้ไม่กี่วัน พ่อก็พาผมกับเอ๊ดไปดูโรงเรียนใหม่ของผม

โรงเรียนใหม่ที่ว่านี้เป็นโรงเรียนเอกชนในอำเภอ แม้จะเป็นโรงเรียนใหม่ของผมแต่ที่จริงแล้วเป็นโรงเรียนเก่า เพราะว่าเปิดมานานแล้ว อาคารเรียนมีอยู่หลายหลัง สภาพค่อนข้างเก่า ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมจึงไม่รู้ว่าที่นี่มีนักเรียนมากขนาดไหน แต่พ่อบอกว่าพันกว่าคน แต่เมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชนที่ผมเคยเรียนตอนชั้นประถมในกรุงเทพฯแล้วก็ยังห่างกันลิบลับ

“นี่แหละ โรงเรียนใหม่ของอู ใหม่ๆอาจไม่คุ้น แต่พอต่อไปอูมีเพื่อน มีสังคมที่นี่ ก็จะคุ้นไปเอง” พ่อพูดแบบพูดเองเออเองเบ็ดเสร็จ สีหน้าของพ่อไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไร ผมจึงไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ดูสภาพของโรงเรียนแล้วก็อดถอนใจและคิดถึงโรงเรียนเก่าไม่ได้ และถ้าหูของผมไม่ฝาด ผมคิดว่าได้ยินเสียงเอ๊ดแอบถอนหายใจด้วยเช่นกัน

“วันนี้พามาดูสถานที่กับบรรยากาศก่อน แล้วสัปดาห์หน้าป๊าจะพามามอบตัวและลงทะเบียนเรียน” พ่อพูดต่อ

วันนั้น หลังจากกลับบ้าน ผมก็ขึ้นห้องทันที รู้สึกเบื่อๆ ไม่อยากทำอะไร

“อู เป็นไงบ้าง” เอ๊ดเดินเข้ามาในห้องนอน ตอนนั้นผมกำลังนอนฟังเพลงอยู่บนเตียง

“ก็ไม่เป็นไง” ผมตอบ

ช่วงหลายวันมานี้ เอ๊ดพยายามถามผมถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในบ้านคุณลุงคุณป้า ผมคิดว่าเอ๊ดคงรู้เรื่องแล้ว แต่เอ๊ดคงอยากฟังจากปากของผมเองว่าตั้งแต่เอ๊ดไม่อยู่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผมไม่อยากเล่า จึงแกล้งทำเฉยเสีย เอ๊ดรู้นิสัยของผมจึงไม่ซักไซ้รไล่เรียงอะไร แต่ผมดูออกว่าเอ๊ดรู้สึกไม่พอใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรเอ๊ดถามอะไรผมก็มักไม่เล่าอยู่เสมอมา

เอ๊ดเห็นผมไม่ตอบจึงหาหนังสืออ่านเล่นไปนั่งอ่านที่โต๊ะทำงาน แม้ผมจะไม่ค่อยชอบเล่าอะไรให้เอ๊ดฟัง แต่วันนั้นหลังจากที่ไปดูโรงเรียนใหม่แล้ว ผมรู้สึกอดไม่ได้ที่จะระบายให้ใครสักคนฟัง

“อูไม่อยากเรียนที่นี่เลย อยากเรียนในกรุงเทพฯ” ผมอดแสดงความรู้สึกออกมาไม่ได้ “คิดถึงโรงเรียนเก่าจัง”

“เอ๊ดก็ไม่รู้จะช่วยยังไง” เอ๊ดถอนหายใจ “มาถึงขั้นนี้แล้วอูคงต้องเรียนที่นี่ไปก่อน แล้วอีกหน่อยก็ค่อยคิดหาทาง”

“จะมาหาทางอะไรกันล่ะ ถ้าเรียนที่นี่ก็คงต้องจบ ม.๖ ที่นี่นั่นแหละ มันจะไปมีทางอะไรอีก” ผมพูดอย่างท้อแท้

“อูก็ทำตัวเองด้วยล่ะนะ” เอ๊ดพูดเบาๆ น้ำเสียงอ้อมแอ้ม เอ๊ดคงรู้สึกว่าไม่อยากซ้ำเติมผมแต่ก็อดพูดไม่ได้ “นิสัยอูยิ่งนานยิ่งแปลกขึ้นทุกวัน ถ้าอูไม่มีนิสัยแปลกๆพวกนี้ อูก็คงยังได้เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ”

ที่เอ๊ดพูดก็ถูก แต่ผมไม่อยากฟัง จึงนอนหลับตาเสียดื้อๆอันเป็นการจบการสนทนา

- - -

“โอ๊ย ทำไมเข้านานจัง เมื่อไรจะเสร็จเสียที รอนานแล้วนะ” เสียงเอ๊ดเอะอะอยู่หน้าห้องน้ำ

“อูท้องไม่ดี ก็ไปเข้าห้องอื่นก่อนดิ” ผมตะโกนตอบออกไปจากในห้องน้ำ

“ก็ผ้าเช็ดตัวกับของใช้ของเอ๊ดอยู่ในนั้นหมดนี่ แล้วทำไมอูไม่ไปขี้ห้องอื่นล่ะ” เสียงเอ๊ดโวยอีก ท่าทางจะอารมณ์ไม่ดี “อะไรว้า เข้าส้วมทีหนึ่งตั้งชั่วโมงกว่า”

หลังจากวันที่ไปดูที่เรียนแห่งใหม่ของผมเป็นต้นมา ผมก็เริ่มซึม มีอาการท้องเสียและคลื่นไส้อาเจียนอีก วันหนึ่งเข้าห้องน้ำหลายหน และเข้าครั้งละนานๆ อาการเกิดขึ้นไม่แน่นอน มักเป็นตอนเช้ามืดและหลังกินอาหาร ประมาณตีสี่ก็ต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้ว อาหารแต่ละมื้อก็กินไม่ได้มาก เพราะถ้ากินมากจะอ้วกออกมาหมด

หลายวันผ่านไป อาการอ้วกและท้องเสียของผมก็หนักยิ่งขึ้น จนเช้าวันที่ผมต้องไปมอบตัวที่โรงเรียนใหม่ ผมท้องเสียและคลื่นไส้อย่างหนัก อ้วกออกมาจนแสบคอทั้งๆที่ยังไม่ได้กินอะไร

“ไปไหวไหมอู” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง

ไม่อยากไปหรอกแม่ ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบออกไป เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ผมตัดสินใจที่จะกลับมาเรียนที่บ้านเองนี่ จะมางอแงก็คงไม่ได้

แม่เสนอพ่อขอให้เลื่อนไปมอบตัววันพรุ่งนี้ แต่แล้วในที่สุด ผมกับพ่อก็ถูลู่ถูกังไปมอบตัวจนได้ เพราะผมเห็นว่าประวิงเวลาไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำมันให้เสร็จๆไปเลยดีกว่า

- - -

หลังจากวันมอบตัวเป็นต้นมา อาการอ้วกและท้องเสียของผมก็ยังไม่หายไป เดิมทีผมก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว พอท้องเสียนี่ยิ่งไม่ต้องไปไหน เพราะว่าผมเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งนานมาก อีกทั้งอาการท้องเสียมาไม่แน่นอน ไม่อยากออกไปแล้วไปรุ่มร่ามข้างนอก ก็เลยอยู่นอนอยู่ที่บ้านทุกวัน

“เอ๊ะ ใครมากากบาทที่ปฏิทินเนี่ย” เอ๊ดพูดขึ้นลอยๆเมื่อสังเกตเห็นปฏิทินแขวนในห้องนอนมีรอยกากบาทด้วยหมึกแดงกาอยู่หลายรอย “อูกาไว้เหรอ”

ผมพยักหน้า

“กาทำไมน่ะ” เอ๊ดถาม

“จะได้รู้ว่าเหลืออีกกี่วันเปิดเทอมไง” ผมตอบเนือยๆ ระยะหลังนี่ผมคอยทำเครื่องหมายบนปฏิทินทุกวัน น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ายิ่งใกล้ถึงวันเปิดเทอมเท่าใด ผมก็ยิ่งเหมือนใกล้ถึงจุดจบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมพยายามปลอบใจตนเองมาตลอด พยายามคิดว่านี่เป็นผลที่ผมสมควรได้รับจากบาปกรรมที่ผมทำเอาไว้กับไอ้นัย นี่เป็นหนทางหนึ่งที่ผมพอจะชดเชยให้แก่ไอ้นัยได้บ้าง แต่ดูเหมือนกับว่ามันไม่ได้ช่วยอาการของผมเท่าใดนัก

แน่นอน ผมไม่สามารถปกปิดอาการเหล่านี้ได้เพราะว่าผมเข้าห้องน้ำแต่ละทีใช้เวลานานมาก ทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ดต่างก็รู้ ที่พอจะปิดบังได้บ้างก็คืออาการอ้วก เพราะการอ้วกใช้เวลาไม่นาน บางทีก็ไม่มีใครรู้

“โอ๊ย ปวดหัวกับไอ้อูมันจริงๆ แม่ก็ใจอ่อน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่นั่นแหละ” เสียงพ่อเอะอะมาจากชั้นล่าง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้วแต่ผมนอนหลับไม่ค่อยสนิท เมื่อได้ยินเสียงดังจึงตื่นขึ้นมา

เอ๊ดก็ยังไม่ขึ้นมานอน ด้วยความสงสัย ผมจึงย่องออกจากห้องและไปยืนฟังอยู่หน้าห้อง เสียงคนคุยกันลอยขึ้นมาพอได้ยิน

“อ้าว ก็ดูลูกสิ ก่อนปิดเทอมว่าผอมลงไปเยอะ ตอนนี้ยังผอมยิ่งกว่าตอนนั้นอีก ใครจะไม่ห่วงล่ะ” ได้ยินเสียงแม่พูด “อีกหน่อยคงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก”

“ก็แล้วจะให้ทำไง อยู่โน่นก็อยู่ไม่ได้ อยู่นี่ก็อยู่ไม่ได้ แล้วต้องอยู่ที่ไหนถึงจะอยู่ได้ล่ะ” เสียงพ่อดูมีอารมณ์

“ถ้ามันจะแย่ทั้งคู่ ก็ให้ลูกอยู่กรุงเทพฯละกัน เพราะที่จริงอูก็ไม่ได้อยากมาเรียนที่นี่” เสียงแม่ใส่อารมณ์บ้าง

“เอ้า เอ๊ด ว่าไง ช่วยคิดหน่อย” พ่อพูด แสดงว่าเอ๊ดอยู่ในวงสนทนาด้วย

ผมไม่ได้ยินว่าเอ๊ดพูดอะไร เพราะพ่อกับแม่ใส่อารมณ์ เสียงจึงดัง ส่วนเอ๊ดนั้นพูดเสียงปกติ ผมจึงไม่ได้ยิน

“ก็ออกจากบ้านเค้ามาแล้ว จะให้ป๊าบากหน้าไปพูดอีกเหรอ ป๊าบากหน้าก็เรื่องหนึ่ง แต่มันเป็นไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ยังงั้นจะออกมาทำไม” พ่อพูด

ผมยืนแอบฟังอยู่นานๆ จับความได้ว่าทั้งพ่อ แม่ และเอ๊ด ต่างก็กำลังหนักใจกับอาการของผม และกำลังปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรกับผมดี แม่ออกความเห็นให้ผมกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯอย่างเก่า และคาดว่าเอ๊ดสนับสนุนความคิดนี้ แต่พ่อไม่เอาด้วย เพราะเกรงว่าถ้าไม่ได้อยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของพ่อและแม่ ปัญหาสุขภาพจิตของผมอาจมีมากยิ่งขึ้น

ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมารำไร เพราะแม่กับเอ๊ดดูจะเข้าข้างผม แม้มันจะเป็นความหวังเพียงรำไร เพราะอำนาจการตัดสินใจในครอบครัวอยู่ที่พ่อ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้โลกอันมืดทึมของผมกลับมีสีสันขึ้นมา

นี่ถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าการอยู่กรุงเทพฯเป็นผลดีกับผมมากกว่าอยู่ที่นี่ พ่ออาจยอมเปลี่ยนใจ แต่ผมจะทำอย่างไรพ่อจึงจะเชื่อ?

เมื่อผมกลับมามีความหวังอีกครั้ง สมองอันซึมเซาของผมก็เริ่มทำงานทันที

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเข้าห้องน้ำ เพราะช่วงหลังผมมักท้องเสียในตอนเช้ามืด แม้วันนั้นผมยังไม่มีอาการ แต่ผมก็พยายามจะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในตอนกลางวัน

ยังไงของมันวะ วันนี้พอจะรีบดันไม่ปวดท้อง ผมบ่นอยู่ในใจ รู้สึกแปลกใจที่ไม่มีทั้งอาการปวดท้องและอาการคลื่นไส้

ราว ๗ โมงเช้า ก่อนที่เอ๊ดจะตื่นด้วยซ้ำ ผมก็แต่งตัวเพื่อออกจากบ้าน

“อูจะไปไหนน่ะ” แม่ทักเมื่อเห็นผมใส่เสื้อยืดและกางเกงยีนขายาว รองเท้าผ้าใบ แต่งตัวเหมือนกับจะออกไปเที่ยว

“อยู่บ้านเบื่อน่ะแม่ ว่าจะออกไปหาเพื่อนๆหน่อย เย็นๆอูค่อยเข้าบ้าน” ผมตอบ

“เออ ดีๆ ไปเถอะ ออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกบ้าง” แม่พูดเหมือนกับจะดีใจที่เห็นผมยอมออกจากบ้านบ้าง

เมื่อออกจากบ้าน ผมนั่งรถสองแถว จากนั้นนั่งรถประจำทาง มุ่งหน้าไปยังท่ารถของอำเภอทันที


<โต๊ะทำงานในห้องนอนที่บ้านคุณลุง โต๊ะทำงานตัวนี้เดิมเป็นโต๊ะของเอ๊ด แต่หลังจากที่เอ๊ดย้ายออกไปก็ถูกน้องชายยึดเอาไปใช้ โต๊ะตัวนี้ผมชอบเพราะว่าตั้งหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ยามกลางคืนเมื่อปิดไฟในห้องนอนสามารถมองเห็นบรรยากาศนอกบ้านในยามค่ำคืนได้ ที่ตู้ข้างๆโต๊ะมีโปสเตอร์ใบหนึ่งติดอยู่ เป็นดาราคนโปรดของเอ๊ดสมัยเอ๊ดยังเรียนมัธยมต้น มาจากหนังซีรีส์ทางทีวีเรื่องสาวน้อยมหัศจรรย์ (Wonder Woman) สร้างจากการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโร นำแสดงโดยลินดา คาร์เตอร์ (Lynda Carter) ฉายประมาณปี ๒๕๑๘-๒๕๒๒ ทางทีสีช่อง ๓ ไม่รู้ว่าเอ๊ดไปได้โปสเตอร์มาจากไหนเหมือนกัน เมื่อเอ๊ดย้ายไปแล้วผมก็ไม่ได้ปลดออก เพราะรู้สึกชอบด้วยเหมือนกัน ผมชอบที่โครงหน้าสวยและดวงตาสีฟ้ามีเสน่ห์>


<ลินดา คาร์เตอร์ในอดีตและปัจจุบัน>

29 comments:

Anonymous said...

สำเร็จ!!

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ไม่ทันแฮะ
ไม่ได้มาคอมเมนท์นาน แต่เป็นแฟนเหนียวแน่นครับ

แบงค์ครับ

Anonymous said...

ความหวังรำไรของนายอู

ว่าแต่ นายอูออกไปไหนนะ

เป็นกำลังใจให้อาอุเหมือนเช่นเคยครับ

หลานหนิง

ฺBomber_Boy said...

มาให้กำลังใจเช่นเคย..
__________
Bomber_Boy
ความรักทำให้คนเป็นทุกข์
แต่ถึงรู้ว่าทุกข์ ทุกคนก็ยังไขว่คว้าหาความรัก

อยากจะเล่าให้พี่อู พี่ชู ฟังเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง...

Anonymous said...

มาแล้ว ที่ห้าก็ยังดี

IC

Anonymous said...

ที่หก

เห็นรูป ลินดา คาร์เตอร์ แล้ว เวลาช่างทำร้ายคนนัก

thom

yo408 said...

ที่7
เข้ามาแย่งท๊อปเทนไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยมาเม้นท์ทีหลัง

yo408 said...

อ่านแล้วสงสัยจัง จะขึ้นรถไปไหนน๊อ

Anonymous said...

ตืด top tenกับเขาบ้าง

ments42

Anonymous said...

ที่ 8

แอบดูวิกี้ ลินดา คาร์เตอร์เล่นหนังเรื่องนี้ตอนอายุ 25 ตอนนี้อายุเกือบ 60 แล้ว

เวลาช่างทำร้ายคนจริงๆ

jazz

Anonymous said...

อ่า นับผิด ที่ 9 อะ โทดค้าบ

jazz

Anonymous said...

(^_^)firstหุหุที่12 ปิดเทอมก็ไปลงเรียนล่วงหน้าสิครับลุงโหยทำให้ลุ้นอีกแล้วนะว่าจะได้กลับมาอยู่กับน้องบอยอีกรึเปล่าเนี่ยแต่ถ้ายังเปนแบบเดิมผมอยากให้อยู่ที่บ้านดีกว่าเนอะบอกแล้วไงเหมือนการ์ตูนที่ให้ดูอะครับหัวใจของลุงนัยก็เดินทาง หัวใจของลุงก็เดินทางแต่ด้วยอัตราเร่งและความเร็วไม่เท่ากันของลุงเนี่ยความเร็วหัวใจช้ามากเหมือนอยู่กับที่เลยครับนี่เอาวิชาที่เพิ่งเรียนมาอธิบายนะเนี่ย เดินททางได้แล้วครับด้วยแรงจีก็พอกิ้กๆ วันนี้เด๋วจะไปวัดทำบุญขอให้อย่าต้องซ่อมสักวิชาเล้ยกิ้กๆลุงอูกับลุงๆป้าๆอย่าลืมกินข้าวด้วยนะครับ

Anonymous said...

รูปที่เอามาให้ดูนี่คงต้องมีอายุ 20-30 ปีแล้วสิ ดูแล้วคิดถึงชีวิตวัยรุ่นเลย เห็นภาพแล้วเหมือนกับอดีตเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้เอง ขอบคุณที่ทำให้ย้อนนึกถึงความหลังครับ

Anonymous said...

สงสัยเรื่อง รูปถ่าย เท่าที่จำได้
อู ไม่ได้พูดถึง ว่า มีกล้องถ่ายรูป
ประจำตัวเลย ว่าจะถามหลายทีแล้ว
ถามเลยแล้วกัน ตอนนั้น อู ใช้กล้องอะไรเหรอ

t1000

Anonymous said...

พี่อูจะไปไหน กั๊กไว้อีกแล้ว เฮ้อ

รีบมาต่อนะค้าบ

Choo said...

อ่านตอนนี้แล้วเห็นภาพว่าคนเรานี้อยู่ได้ด้วย “ความหวัง” จากอูที่ซังกะตายในชีวิต เพราะไร้ทิศทางทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องนัย แต่เมื่อมีประกายเล็กๆ เกิดขึ้นถึงแม้จะเป็นความหวังเล็กๆ ก็สามารถทำให้อูลุกขึ้นมากระฉับกะกระเฉงทันตาเห็น

จะว่าไปคนเราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็ขึ้นอยู่ความพยายามที่จะไปให้ถึงจุดหมาย โดยล้วนมีความหวังเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งสิ้น

ว่าแต่อูเข้าเมืองไปทำอะไร หรือว่าไปหาช่องทางหาหอพักฯ ในกรุงเทพฯ ว่าจะไม่เดาแล้วเชียว เผลอคาดล่วงหน้าอีกแล้ว ผิดอีกนั้นแหละ

ชู

ปล. เด็กวางระเบิด หากเรามองในมุมดี ความรักก็เป็นสิ่งจรรโลงโลกนะครับ ทำให้โลกดูสดใส ถ้าอยากเล่าเริ่มตั้งแต่รู้จักกันก็ได้ครับ แต่เล่าเป็นปีเหมือนอูก็ไม่ไหวนะครับ แต่หากรู้สึกดีขึ้นแล้วการเล่าอาจจะทำให้หม่นลงไปอีก ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ ยินดีที่รู้ว่าดีขึ้นก็เพียงพอแล้ว สู้ สู้ ชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวังนะครับ

ปล2. นัย อย่าลืมมาตอบฯ ตามสัญญาฯ ด้วยครับ

jiab said...

เยี่ยมมาก
ให้กำลังใจอูอยู่นะ

รออยู่นะตอนต่อไป

dodo said...

มาแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววลืมเข้ามาดูอะ

ไปอ่านก่อนนะคร๊ๅฟ
LAO FANCLUP
DODO โดโด้

Anonymous said...

ในที่สุดหลาน arus ก็ทำสำเร็จได้อีกครั้งหนึ่ง คงสอบเสร็จแล้วใช่ไหม

ดีใจที่ได้เห็นแบงค์ด้วย ไม่เห็นตั้งนาน

จะไปไหนต้องขอกั๊กเอาไว้ก่อนครับ (ตามที่มีคนต่อว่าว่าผมชอบกั๊ก ก็คงยังงั้นจริงๆ) ตอนหน้าก็จะรู้แล้วครับ

กล้องที่ผมใช้คือกล้อง Nikon FE2 ครับ ไม่ใช่กล้องของผมจริงๆหรอก เป็นกล้องของที่บ้าน กล้องตัวนั้นเป็นหมื่น เด็ก ม.๔ ซื้อไม่ไหวหรอกครับ

กล้องรุ่นที่ว่าเป็นระบบตั้งดว้ยมือทั้งหมด ไม่ว่าจะความเร็วหน้ากล้อง ความเร็วชัตเตอร์ ตลอดจนโฟกัส ทุกอย่างต้องอาศัยมือและสายตา ใช้ฟิล์มครับ ผมชอบใช้ฟิล์มฟูจิ 200 สีสยดี ไม่ค่อยชอบโกดักเท่าไร

ที่จริงในตอนนั้นกล้องรุ่นออโตโฟกัสก็มีแล้ว แต่ว่ากล้องตัวนี้มีอยู่ที่บ้าน และใช้น้อย ก็เลยใช้ต่อไปเรื่อยๆ

กล้องตัวนี้ทนมาก ตอนเรียนมหาวิทยาัลัยและจบไปแล้วก็ยังใช้ ตั้งตก ทั้งกระแทก บุบไปบ้าง ก็ยังใช้งานได้ ปัจจุบันก็ยังใช้ได้ครับ เพียงแต่ว่าใช้ฟิล์ม เปลืองหน่อย ก็เลยไม่ได้ใช้ แต่ก็ไม่ได้ขาย เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกครับ เพราะรักกล้องตัวนี้มาก มันร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมานาน ปลดระวางแล้วก็ให้มันพักผ่อนให้สบายครับ

อู

พี said...

เอ...อูจะได้ไปเรียนที่ไหนต่อนะ คุณอู มาทำให้ต้องลุ้นตอนต่อไปอีกแล้ว

+ P +

Anonymous said...

ยังครับอาอู T-T ผมต้องสอบวิชาสุดท้ายวันที่
15 ตุลาคม... พูดแบบนี้ เดาชื่อโรงเรียนผมง่ายเลย
สินะ เหลือสอบอีก 5 วิชาครับ
กำลังจะต้องลงไปพละครับ...
สวัสดีครับอาอู

หลาน Arus ของอาอู

nai said...

เนื้อเรื่องตอนนี้เบากว่าหลายๆที่ผ่านมาครับ แต่เป็นเรื่องปัญหาสุขภาพ (ผมว่าน่าจะเป็นสุขภาพของจิตใจมากกว่า) เหมือนต่อต้านแต่ไม่แสดงออกตรงๆ เป็นการแสดงออกทางอ้อมของร่างกาย
แล้ว อู จบแบบนี้ ถ้าให้รอนานไม่ได้นะครับ นอนไม่หลับกันพอดี อย่างนี้ไม่เรียกว่ากั๊กแล้ว (น่าจะเป็นกลม 4 กั๊ก = 1 กลม)

เห็นพูดคุยกันถึงเรื่องกล่องถ่ายรูป ผมอยู่ตัวหนึ่ง ยี่ห้อ Yashika ปัจจุบันก็อยู่ในตู้เหมือนกันครับ ผ่านการใช้งานมากนานเหมือนกัน ก็ยังใช้ได้อยู่

วันนั้นไปซอยอารีย์กับใครจำไม่ได้แล้ว แต่เมื่อวานก็เลยนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีอารีย์ ทบทวนความจำดูครับ เห็นแต่กรมสรรพากร เดินไปเดินมาก็ยังนึกไม่ออกเลยพี่ชู ขอเวลาอีกสักพักครับ

ปล. ผมเริ่มสงสัยในตัวพี่ชูเหมือนกัน อูกับชู คนเดียวกันเปล่านี่
อูชูอูชูอูชูอูชูอูชูอูอูอูอูชูชูชูอูอูอู

Anonymous said...

รู้สึกว่าระยะหลังในคอมเมนต์นี้จะวางยาและกับดักเอาไว้เยอะ เดินๆระวังกันหน่อยนะครับ

พูดถึงกล้อง ผมชักไม่แน่ใจว่ารูปนี้ถ่ายด้่วยกล้องอะไร เพราะว่าที่บ้านยังมีกล้องอีกตัวหนึ่ง ยี่ห้อ olympus เป็นกล้อง ปญอ แค่กดๆๆ อาจถ่ายด้วยกล้องโอลิมปัสก็ได้ เรื่องนี้ชักลืมๆไปแล้วครับ

โรงเรียนมัธยมปกติเดือนกันยาก็สอบเสร็จกันหมดแล้ว หลานที่หนึ่งกับทะเลยังปิดไปแล้ว ของหลาน arus นี่สอบเสร็จช้ามาก ไปซ้อนกับ GAT PAT อีก ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าหลานเรียนที่ไหน คาดว่าน่าจะมีระบบการเรียนที่แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป แต่หลานไม่เฉลยดีกว่า เดี๋ยวจะใกล้ตัวเกินไป

ดูท่าเด็กวางระเบิดคงดีขึ้นบ้างแล้ว ถ้าจะมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ

ช่วงนี้งานเยอะนิดหน่อยครับ เลยโพสต์ช้าไปบ้าง จะพยายามให้เร็วขึ้นครับ

นัยไปทำอะไรแถวซอยอารี มันนานมาแล้วยังไม่ลืมอีก (ขอวางยาบ้าง)

อู

Choo said...

“อูครับ ผมไม่ได้วางยาและไม่ได้วางกับดักใดๆ นะ ผมสงสัยก็ถามตรงๆ อะครับ”

“นัยไหนครับ พอนัยตอบมาผมก็พยายามจะเชื่อตามนั้นนะครับ แต่มันขัดแย้งกันเอง ผมยังสงสัยอยู่ ผมก็ถามต่อ ไม่ได้ต้องการป่วนนะครับ”

ด้วยความนับถือในน้ำใจของทั้ง อู และ นัยไหน นะครับ ผมก็ไม่มีจุดประสงค์อะไรมากกว่าอยากรู้ แอบลุ้น เพราะผมติดตามเรื่องของอูมา ถ้าเรื่องนี้เป็นเคยเกิดขึ้นในอดีต ผมก็อยากให้อูกะนัยได้พบกันเหมือนแฟนคลับคนอื่นๆ ครับ ทั้งอูกะนัยควรได้บอกความในใจต่อกัน จะได้ไม่ติดค้างกัน แต่ก็รู้ว่าเป็นไปได้ยาก แค่น้านนนนน จริงๆ นะ

อีกใจหนึ่งลึกๆ ผมก็อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง เพราะนั้นแปลว่าจริงๆ อู มิได้ประสพกับเหตุการณ์ร้ายๆ และมีความทุกข์เหมือนในเรื่องฯ แต่อย่างใด ผมในฐานะเพื่อนคนหนึ่งจะรู้สึกน่ายินดีเป็นที่สุด (ขี้ตู่กันซึ่งๆ หน้าเลย ไม่ว่ากันนะอูนะ)

ส่วนที่นัยถามว่าชูกะอู คนเดียวกันหรือเปล่า ผมเข้าใจว่านี้คือการเบี่ยงเบนประเด็นข่าวนะครับ ยิ่งเพิ่มความสงกะสัยขึ้นไปอีกอะครับ แต่ปล่อยผมกับคนอื่นๆ งงๆ กันต่อไปก็ได้นะครับนัย

เพราะเรื่องนี้จริงๆ เป็นเรื่องของคนสองคน อูกะนัย เคลียร์กันเองนะคร๊าบบบบบบบ.

ผมขอเผ่นแนบไปตั้งหลักใหม่ก่อนนะ แอบไปกิน “จับเลี้ยงเย็นๆ” ดีกว่า 555

อย่าคิดมากกันนะครับ เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องล้อเล่นกันของพวก สว.แก้เครียดจากงานเท่านั้นเอง

ว่าแต่กล้อง Nikon รุ่น FM2 ในช่วงปีเดียวกันเทียบกับรุ่น FE2 ของอู มันต่างกันอย่างไรครับ อันไหนใช้งานง่ายกว่ากัน ผมมักใช้ฟิล์ม 400 เวลาถ่ายทะเล สีมันจะน้ำเงินสวยมากๆ เลยครับ

เป็นกำลังใจให้อูนะครับ ส่วนนัย.....555

ชู

ปล. IZ ช่วงนี้แปลกๆ ไป ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า เงียบผิดสังเกตนะครับ

Anonymous said...

แล้วตกลง คุณนัยไปทำอะไรที่ ซอยอารีย์

Anonymous said...

เกิดสงครามปล่อยข่าวขึ้นแล้ว เอิ๊ก

nai said...

2 คอมเมนท์สุดท้ายใครกันครับ(อยากรู้จัก) พอดีไม่ได้ลงชื่อ ช่วงหลัง อาอา พี่พี่ หยอกกันบ่อย น้องน้อง หลานหลาน รำคาญบ้างหรือเปล่า เขียนบอกกันหน่อยก็ดีครับ บรรดา สว.จะได้เพลาๆลงครับ

พี่ชู ช่วงนี้ขอพักรบสักพัก (จะกลับอเมริกา)ไม่ใช่ครับ ขอเวลาเตรียมตัวสอบนิดหน่อย(สว.ก็สอบได้เหมือนกันนะ)

ส่วนเรื่องซอยอารีย์ขอปิดประเด็น อย่างที่อูบอกเรื่องมันนานมาแล้ว ผมลืมจำอะไรไม่ได้ อดีตมีไว้สอนใจ เราควรอยู่กับปัจจุบัน ส่วนเรื่องอนาคตจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ปัจจุบัน สรุปว่า ผมอยู่กับปัจจุบันละกัน

ผมชอบใช้ฟิลม์ 100 เหตุผลก็คือ ถูกกว่า ฟิลม์ 200 และ 400 และชอบขยายรูปใหญ่ ๆ ถ้าใช้ฟิลม์ 100 รูปที่ได้จะไม่แตก ส่วนฟิลม์ 400 ใช้ถ่ายภาพตอนกลางคืน เวลาไม่ใช้แฟรซ เปิดรูรับแสงกว้างสักหน่อยแต่มีข้อเสียคือต้องใช้ขากล้องช่วยไม่อย่างนั้นภาพจะไหวครับ ส่วนข้อดีคือ รูปที่ได้จะมีมิติไม่เหมือนการใช้แฟรซ รูปที่ได้ธรรมดาราบเรียบ

นัย

Anonymous said...

ช่วงนี้ไม่ได้เงียบไปไหน อ่านคอมเม้นท์อยู่
แต่ไม่รู้ว่าจะคอมเม้นท์อะไร ไม่มีใครวางยา
ปกติดี แต่แอบเครียดเล็กๆครับ สำหรับเรื่องสอบ
ไม่ได้มีอะไรมากครับ อ่านคอมเม้นท์ชาวบ้านจะดีกว่า
ช่วงนี้

IC

Anonymous said...

เมื่อไหร่อาอูจะมา่ต่อหล่ะครับ

เปิดลุ้นทุกวันเลยนะเนี่ย

อาร์ม