Sunday, September 13, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 20

คืนนั้น หลังจากที่ได้คุยกับแม่ ผมก็นอนไม่หลับ ดึกแล้วผมยังก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานท่ามกลางความมืด ดวงไฟในห้องไม่ได้เปิด สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

ผมครุ่นคิดอย่างหนัก ผมคงต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ทางเลือกของผมมีไม่มากนัก ถ้าผมไม่ยอมกลับไปเรียนที่บ้าน ผมก็คงต้องหนีออกจากบ้านไปเผชิญโลกตามลำพัง อายุแค่นี้ทำอะไรก็ไม่เป็น ทำเป็นอยู่สองอย่างคือเรียนหนังสือกับขอเงินพ่อแม่ใช้ ถ้าอยู่ข้างนอกตามลำพังก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน และถึงทำงานได้ก็คงต้องทำงานจนไม่ได้เรียนหนังสืออยู่ดี นึกไม่ออกว่าจะมีช่องทางเรียนจนเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไร

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือผมคงมีชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่ต้องถูกพ่อแม่บังคับใจอย่างที่เป็นอยู่นี้ อิสรภาพที่รออยู่ข้างหน้ามันช่างหอมหวนแม้ว่าผมจะยังไม่รู้จักมันดีนักก็ตาม และถ้าผมยังอยู่แถวนี้ ผมก็ยังมีโอกาสพบไอ้นัยได้อีกด้วย

ถ้าผมกลับไปเรียนที่บ้าน โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยดีๆก็คงแทบไม่มีเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะมีโอกาสมากกว่าการหนีออกจากบ้าน ข้อเสียอย่างอื่นก็คือการกลับไปเรียนที่บ้านในลักษณะนี้เป็นเรื่องเสียหน้ามาก ผมคงต้องอับอายทั้งเพื่อนที่โรงเรียนเดิมและเพื่อนที่โรงเรียนใหม่ เพราะมันเหมือนกับเด็กที่ล้มเหลว สภาพจิตเสีย จนต้องซมซานกลับบ้าน รวมทั้งผมคงไม่มีโอกาสเจอไอ้นัยอีก

และที่ผมยอมรับไม่ได้ก็คือการที่พ่อแม่จัดการเส้นทางชีวิตของผมโดยไม่ถามผมเลย ผมน่าจะมีสิทธิเลือกเส้นทางเดินในชีวิตของผมเองได้บ้าง

หลายๆความคิดวิ่งวนเวียนอยู่ในสมอง คิดอยู่เป็นนานก็ยังคิดไม่ตก แต่ดูเหมือนว่าผมเอียงไปในทางที่จะหนีออกจากบ้านมากกว่า เพียงแต่ยังติดขัดอยู่ที่ว่าหลังจากหนีออกจากบ้านแล้วยังไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว นอกจากการดูหนังสือเตรียมสอบแล้วยังเป็นช่วงที่ต้องส่งงานต่างๆทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่มที่ค้างอยู่ให้หมดด้วย ดังนั้นเมื่อมีเรื่องเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจ จึงทำให้ผมสับสนและเครียดมากยิ่งขึ้น หนักเข้าก็รู้สึกหดหู่และทิ้งหมดทุกอย่าง ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่มก็ส่งไปแบบชุ่ยๆ หนังสือเตรียมสอบก็ดูแบบพลิกผ่านๆ

“ไอ้อู ทำไมมึงเขียนมาแค่นี้เองวะ” ยูร เพื่อนที่นั่งข้างหน้าผมและทำงานกลุ่มเดียวกันในวิชาสังคมเอ่ยปากต่อว่าผมในการประชุมกลุ่มในช่วงหลังเลิกเรียนในวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันนัดประชุมกลุ่มเพื่อเตรียมส่งงานหลังจากที่ได้รวบรวมงานที่แต่ละคนรับผิดชอบมาแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน

“นั่นดิ เขียนมั่วอีกต่างหาก” เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนสนับสนุน

“ไอ้ห่าอูแม่งโคตรกินแรงเพื่อนเลย ส่งไปทั้งยังงี้ก็เสียคะแนนกันหมดทั้งกลุ่ม มึงขี้เกียจคนเดียวแต่เน่ากันหมด” อีกคนช่วยซ้ำ

งานในวิชาสังคมนี้เป็นกลุ่มที่ผมไม่สนิทนัก ที่สนิทก็มีแค่ยูรคนเดียว หลังจากที่เพื่อนในกลุ่มช่วยกันรุมประณามผม ทั้งหมดก็แบ่งช่วยกันเขียนส่วนของผมขึ้นมาใหม่โดยไม่ยอมให้ผมเอากลับไปแก้ไขเพราะไม่ไว้ใจ เนื่องจากเวลาจวนตัวมากแล้ว

ตอนเย็นวันนั้น ผมเดินออกจากโรงเรียนด้วยความรู้สึกที่สับสน ทั้งอับอาย ทั้งมึน ทั้งรู้สึกผิด และทั้งรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ขนาดเพื่อนๆยังทนความห่วยของผมไม่ไหว ผมช่างไม่มีค่าอะไรเลย อยู่ที่ไหนก็มีแต่ทำให้ที่นั่นเดือดเนื้อร้อนใจ เข้ากลุ่มก็ขี้เกียจจนทำให้กลุ่มเดือดร้อน อยู่บ้านคุณลุงคุณป้าก็ทำให้บ้านวุ่นวาย

วูบหนึ่งของความคิด ผมอดนึกถึงเรื่องเก่าไม่ได้ ถ้าไอ้นัยไม่คบกับผม มันก็อาจไม่ต้องกลายเป็นเกย์และมีชีวิตวัยรุ่นที่หักเหขนาดนี้... ทุกข์ของไอ้นัยทั้งหมดมันก็เกิดจากผมอีกนั่นแหละ

ช่างมันเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต ความคิดอีกด้านหนึ่งวูบขึ้นมาเพื่อปลอบใจตนเอง

ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงลานหน้าสะพานพุทธ จากนั้นเดินลอดอุโมงค์หรือว่าทางลอดสั้นๆระยะทางเพียงแค่ไม่กี่เมตรที่เชื่อมลานกว้างด้านหน้ากับส่วนใต้สะพานที่เป็นท่ารถเมล์ ผมต้องเดินลอดอุโมงค์นั้นทุกวันทั้งขาไปและขากลับ

ในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมอยู่นั้น ปกติในอุโมงค์จะมีคนมาอาศัยกินอยู่หลับนอน เพราะเห็นมีเครื่องครัวและเครื่องนอนกองอยู่ คนที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์น่าจะเป็นพวกคนไร้บ้าน เพราะถ้ามีบ้านอยู่ก็คงไม่มาอยู่ในอุโมงค์นี้ และคิดว่าน่าจะอยู่กันเป็นครอบครัวเพราะว่ามีเด็กๆด้วย อาชีพของคนพวกนี้คือร้อยพวงมาลัยกับรับจ้างเข็นผักในตลาด

ผมเดินทอดน่องช้าๆผ่านอุโมงค์ไปด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย เสียงเพื่อนๆที่รุมประณามผมยังดังก้องอยู่ในสองหู ใบหน้าที่ชอบตีหน้าตายของไอ้นัยลอยอยู่ในห้วงความคิด ผมรู้สึกคิดถึงไอ้นัยมาก ถ้ามันอยู่ด้วย มันคงเป็นที่ปรึกษาให้ผมได้เป็นอย่างดี

ปกติผมไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับครอบครัวในอุโมงค์นักเพราะเดินผ่านอยู่ทุกวัน เห็นจนชินตา ตอนเช้าผมจะเห็นคนเหล่านี้นอนคลุมโปงยังไม่ตื่น พอตอนเย็นผมก็จะเห็นคนเหล่านี้บางทีก็อยู่ร้อยพวงมาลัย บางทีก็เห็นแต่เด็กๆ ไม่เห็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยแน่นอน

แต่เย็นวันนั้น ผมกลับให้ความสนใจกับครอบครัวในอุโมงค์เป็นพิเศษ ผมเห็นเด็กสามคนนอนหลับอยู่บนพื้นซีเมนต์ ใต้หัวมีหมอนเก่าๆหนุนอยู่ สองคนเป็นเด็กเล็ก อายุประมาณ ๓-๖ ขวบ ส่วนอีกคนโตหน่อย น่าจะอายุประมาณ ๑๐-๑๒ ปี

ทั้งสามคนนอนหลับสนิท เด็กเล็กสองคนนอนกอดกัน ส่วนเด็กที่โตที่สุดนอนแยกต่างหากห่างออกไปเล็กน้อย ทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเด็กทั้งสามคนมอมแมม ในใจผมเกิดคำถามขึ้นมา เช่น เด็กเหล่านี้อาบน้ำอย่างไร ได้แปรงฟันหรือไม่ กินอยู่อย่างไร ไปโรงเรียนหรือไม่ ฯลฯ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสงสัยมาก่อนเลย

ในตอนนั้นการศึกษาภาคบังคับมีเพียง ๖ ปี คือบังคับเพียงแค่เรียนจบชั้น ป.๖ แต่ดูจากสภาพแล้วเด็กคนโตแม้ ป.๖ ก็อาจเรียนไม่ถึง เพราะหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นเด็กในอุโมงค์นี้ใส่ชุดนักเรียนสักที เสื้อผ้าที่กองและแขวนอยู่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีชุดนักเรียน จึงคิดว่าเด็กเหล่านี้ไม่ได้เรียนหนังสือเสียมากกว่า

ในย่านใจกลางกรุงเทพฯอันเป็นเมืองหลวงแท้ๆแต่ก็ยังมีเด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสืออยู่... ในขณะที่ผมและเพื่อนๆแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนสวยๆ เดินผ่านหน้าเด็กเหล่านี้ไปทุกวัน เด็กเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ

ภาพชีวิตของเด็กใต้สะพานพุทธที่ผมประสบทำให้อารมณ์ที่หดหู่ของผมต้องหดหู่หนักยิ่งขึ้น ความรู้สึกอยากหนีออกจากบ้านหมดสิ้นไป ถ้าผมแข็งขืนดิ้นรนและหนีออกจากบ้านไป ผมคงสร้างความเดือดร้อนให้ใครต่อใครอีกมากมาย แม้ผมจะไปอยู่โรงเรียนต่างจังหวัดแต่ก็ยังถือว่ามีที่เล่าเรียน ยังดีกว่าเด็กเหล่านี้มากมาย เด็กเหล่านี้แม้อาศัยอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมชื่อดัง แต่ก็ทำได้เพียงแค่เกาะรั้วมอง และก้มหน้าร้อยพวงมาลัยเลี้ยงชีพ ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน...

- - -

“แม่ นี่อูเองฮะ” ผมพูดลงไปในโทรศัพท์ หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน คืนนั้นก็ผมโทรศัพท์ไปหาแม่

“เป็นไงบ้างอู” แม่ถามด้วยความห่วงใยกังวล

“อูจะกลับไปเรียนที่บ้านนะแม่” ผมพูดสั้นๆ จากนั้นก็รู้สึกจุกที่ลำคอจนพูดอะไรไม่ออก แม้ผมจะยินยอมกลับไปเรียนที่บ้านเองก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะทำใจได้แต่ก็ต้องกล้ำกลืน

“จริงเหรออู” น้ำเสียงของแม่แสดงความดีใจจนรู้สึกได้ชัด “ดีใจที่อูยอมกลับมาเรียนที่นี่ ป๊ากับแม่จะได้หมดห่วง มาอยู่ใกล้พ่อแม่ดีกว่านะลูก”

แม่เล่าให้ฟังย่อๆว่าพ่อไปคุยกับโรงเรียนเอกชนในตัวอำเภอเอาไว้ เพราะการเข้าโรงเรียนรัฐบาลแบบกลางคันค่อนข้างยุ่งยาก สู้ไปเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนจะง่ายกว่า เมื่อจบ ม.๔ แล้วค่อยว่ากันอีกที ส่วนผมตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว จะให้เรียนที่ไหนก็เรียน

คิดๆไปก็เหมือนชีวิตกำลังเล่นตลกกับผม ชะตาของผมกับไอ้นัยกลับมีส่วนคล้ายคลึงกัน ทั้งผมและไอ้นัยต่างก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ไอ้นัยถูกส่งไปเรียนเมืองนอก ส่วนผมถูกส่งไปเรียนนอกเมือง... ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้ามันเกิดจากผลกรรมที่ผมทำไว้กับไอ้นัย ผมก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้ ผมคงรู้สึกดีขึ้นถ้าได้ชดเชยอะไรให้แก่ไอ้นัยมันได้บ้าง

- - -

ยิ่งใกล้สอบปลายภาคเท่าไร ผมก็รู้สึกเหมือนกับคนที่ใกล้ถึงลานประหาร ตลอดทั้งเทอมผมเองก็ไม่แน่ใจว่าผมเรียนรู้อะไรมาได้บ้าง ที่จริงรู้สึกเหมือนกับไม่ได้เรียนเลยด้วยซ้ำ เพราะจำอะไรไม่ค่อยได้เลย และนอกจากนี้ เมื่อสอบเสร็จ ผมก็ต้องย้ายออกจากกรุงเทพฯ... โดยที่คงไม่ได้กลับอีกหลายปีทีเดียว

ใจหนึ่งผมก็อยากลาเพื่อนๆ แต่มาคิดอีกที เพื่อนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยสนิทนัก การร่ำลาเพื่อนเพื่อไปเรียนต่อต่างจังหวัดนี่มันดูแปลกๆ ทุกคนคงต้องถามและคงต้องอธิบายกันยาว ผมอยากให้คนรู้เรื่องของผมน้อยที่สุด

คิดไปคิดมาก็เหลือคนที่จะร่ำลาอยู่เพียงคนเดียว นั่นคือตี๋ เพื่อนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่ ม.๑ ตี๋เป็นคนไม่ซักไซร้ ไม่ชอบสืบสาว อีกคนหนึ่งที่สนิทกับผมคืออ๊อด แต่ตอนนั้นทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าผมตัดสินใจที่จะไม่ไปร่ำลาอ๊อด

ก่อนวันปลายภาคสอบสองสามวัน ผมแวะไปหาตี๋ตอนพักเที่ยง

“ตี๋ เราไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยกันนานแล้วนะ ไปกินด้วยกันหน่อยดิ” ผมเอ่ยปากชวน

“ไปสิ สงสัยวันนี้ฝนตกหนักแน่ อยู่ดีๆมึงมาชวนกูกินข้าวถึงที่ห้อง” ตี๋ตอบรับคำชวนอย่างง่ายดาย แต่ไม่วายแซวผม

ปีนี้ตี๋มีเพื่อนมากขึ้น เวลาผ่านไปนานจนไม่มีใครสนใจที่จะรื้อฟื้นเรื่องของตี๋อีก ทำให้มันดูแจ่มใสกว่าเดิมมาก

“ไอ้นัยเป็นไงบ้าง” ตี๋พูดขึ้น เจอกันทีไรมันก็อดถามถึงไอ้นัยไม่ได้

“คงสบายดีมั้ง” ผมตอบแบบคลุมเครือ “ย้ายโรงเรียนน่ะ ตอนนี้ขาดการติดต่อกัน”

“เออ แปลกดีแฮะ” ตี๋พูด แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก ตี๋ดีแบบนี้เอง ไม่ซักไซร้ให้มากความ

“ตี๋ กูจะไปแล้วนะ” ผมเริ่มเข้าเรื่อง

“ไปไหนวะ” ตี๋ถามด้วยสีหน้างุนงง

“กูจะย้ายโรงเรียนแล้วนะ... กลับไปเรียนที่บ้านต่างจังหวัด” ผมตอบ

“งงโว้ย” ตี๋พูด “ทำไมต้องทำยังงั้นล่ะ”

“แบบว่า เอ้อ... บ้านที่กูอาศัยเค้าอยู่นี่น่ะ เดี๋ยวนี้ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อนแล้ว พ่อกับแม่ก็เลยอยากให้กูกลับไปเรียนแถวๆบ้าน” ผมพยายามอธิบายให้สั้นที่สุด แม้ผมกับตี๋จะไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน แต่ปกติเราก็ไม่ได้ปรับทุกข์อะไรกัน

“ไม่สะดวกก็ไปอยู่หอพักสิ” ตี๋พูด “นักเรียนมาจากต่างจังหวัดมาอยู่หอพักกันเยอะแยะ กูก็เห็นอยู่กันได้ ไม่เห็นต้องมีครอบครัวให้อยู่เลย อิสระดีด้วย”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ที่จริงผมก็พอรู้ว่าเมื่อนักเรียนจากต่างจังหวัดมาเรียนในกรุงเทพฯโดยไม่มีญาติให้พักอาศัยก็ต้องเช่าหอพักอยู่ แต่ในหมู่เพื่อนๆของผมไม่มีใครอยู่หอพักสักคน ก็เลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป

“ก็... ที่จริงมันก็มีปัญหาอย่างอื่นด้วยแหละ” ผมพูด “ก็คงกลับไปอยู่บ้านดีกว่า”

ตี๋พยักหน้าเหมือนกับจะรู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังความนัยที่ผมไม่ต้องการเล่าอยู่

“ไปเถอะ มึงไปไม่นานหรอก อีกหน่อยก็ได้กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯอีก” ตี๋พยายามพูดปลอบใจ

“ไม่รู้สิ ไม่รู้จะเอนท์ติดหรือเปล่า เดี่ยวนี้กูเรียนตกลงไปเยอะ แค่สอบผ่านทุกวิชายังไม่รู้จะทำได้หรือเปล่าเลย” ผมพูดตามตรง

ตี๋ตบไหล่ของผมเบาๆ

“แต่ก่อนมึงเรียนเก่งกว่ากูนะไอ้อู ผลการเรียนของมึงไม่ดีไม่ใช่เพราะมึงโง่ แต่เพราะมึงมีปัญหาอย่างอื่น” ตี๋พูด ผมฟังแล้วถึงกับอึ้ง ตี๋คงรู้เห็นอะไรเยอะ แต่มันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาโดยตลอด

“คิดถึงที่นี่ว่ะ” ผมสารภาพความในใจออกมา

“อีกหน่อยทุกคนก็ต้องไปจากที่นี่หมดนั่นแหละ มึงแค่ไปก่อนนิดหน่อย ไม่แน่ปีหน้ากูก็อาจจะไปจากที่นี่เหมือนกัน” ตี๋พูด

“มึงจะไปไหนเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“กูคิดว่าจะสอบเทียบแล้วก็เอนทรานซ์ปีหน้า” ตี๋พูด “เรียนจบมัธยมเร็วก็ประหยัดเงินได้อีกหน่อย อยู่มหาวิทยาลัยยังต้องใช้เงินอีกเยอะ แถมจบมหาลัยเร็วก็ทำงานหาเงินได้เร็วอีกด้วยว่ะ”

ผมอดทึ่งในความคิดของตี๋ไม่ได้ ตี๋มีการคิดอ่านและวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ต่างจากผมลิบลับ ความยากจนเป็นแรงผลักดันให้ตี๋มุมานะ ส่วนผมนั้นกลับเหลวไหลไปวันๆ ที่จริงผมก็เคยมีความฝันและมีความมุ่งมั่นเหมือนกัน แต่นั่นมันเมื่อนานมาแล้ว...

“แล้วมึงไปกวดวิชาที่ไหนบ้างล่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“จะเอาเงินที่ไหนไปกวดวะ ค่ากินค่าอยู่ยังจะเอาไม่รอดเลย” ตี๋สายหัว สีหน้าสลดลงไป ตี๋ก็ยังเป็นตี๋คนเดิมเหมือนที่ผมเคยรู้จักตอน ม.๑ มันไม่เคยอายที่จะพูดถึงความยากจนของมันกับผม “แต่ตอนนี้ทยอยซื้อหนังสือติวมาดูบ้างแล้วล่ะ ซื้อได้แค่เทอมละนิดละหน่อย ตังค์เก็บไม่ค่อยมี”

- - -

คืนวันนั้น ผมรื้อค้นหนังสือกวดวิชาคณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา สามัญ 1 และภาษาอังกฤษ ทั้งสามปี ม.๔ ถึง ม.๖ แถมด้วยหนังสือติวความถนัดทางวิศวกรรม รวมแล้วประมาณยี่สิบเล่ม ออกมาจากกล่อง ทั้งหมดนี้ป็นสมบัติของเอ๊ดที่ตกทอดให้แก่ผม หลังจากที่เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ได้แล้วก็ยกหนังสือเหล่านี้ให้แก่ผม เพื่อว่าผมจะได้ไม่ต้องไปซื้อใหม่

ผมเอาหนังสือยัดใส่เป้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็ได้ประมาณ ๕-๖ เล่ม จากนั้นก็หอบไปโรงเรียนด้วยในวันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงโรงเรียนก็ไปเรียกตี๋ที่หน้าห้อง

“นี่ หนังสือติวของพี่กู กูยกให้มึง” ผมพูดดื้อๆ พลางยัดถุงใส่หนังสือใส่มือตี๋ “ยังไม่หมด มันเยอะ จะทยอยเอามาอีก สองสามวันก็คงหมด มีครบทุกวิชาเลย”

ตี๋ยัดถุงหนังสือคืนใส่มือผมทันที

“มึงเอาไว้ดูเถอะ มึงก็ต้องใช้ อีกหน่อยจะเอาที่ไหนดู” ตี๋พูด “กูซื้อเองได้ ไม่เป็นไร”

“เฮ้ย ฟังกูก่อนสิ กูขี้เกียจว่ะ เรียนไปวันๆ ไม่ได้คิดจะเอนทรานซ์ปีหน้า มึงเอาไปดูก่อนก็ได้ ใช้เสร็จแล้วค่อยคืนกูยังทันถมเถ” ผมพูด

สงสัยว่าเหตุผลของผมคงไม่ค่อยเข้าท่า เพราะตี๋ฟังแล้วก็ยังไม่ยอมรับ

“กูซื้อเองได้ ที่กูเล่าให้มึงฟังไม่ได้จะขอมึงโว้ย” ตี๋พูดย้ำอีก

“ไอ้ตี๋” ผมมองหน้ามัน “กูก็ไม่ได้คิดว่ามึงจะขอกู แต่เป็นเพราะว่ามันอยู่กับกูก็ไม่มีประโยชน์ กูไม่ได้คิดจะเอนท์ปีหน้า แล้วมึงดูกูดิ ขี้เกียจจะตายห่า กูเรียนมหาลัยเปิดเอาดีกว่า เป้าหมายของกูไม่เหมือนกับของมึง มึงเอาไปใช้ประโยชน์ดีกว่า”

“นี่มึงเซ็งชีวิตขนาดนี้เลยเหรอ” ตี๋ถามอย่างแปลกใจ

ในที่สุด หลังจากกล่อมอยู่ชั่วครู่ ตี๋ก็ยอมรับไมตรีของผม ผมบอกตี๋ว่าจะเอาที่เหลือมาให้จนหมดก่อนวันสอบ เผื่อว่าจะไม่ได้เจอกันอีก

หลังจากเสร็จธุระจากตี๋ ผมก็ตรงไปที่ตึก ม.๒ ทันที

“เฮ้ ไอ้บอย ออกมานี่หน่อย” ผมไปยืนเรียกอยู่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง

สักครู่เดียว ร่างกะทัดรัดของไอ้น้องบอยก็ออกมานอกห้อง

“โห พี่อู วันนี้มาหาบอยถึงห้องเลย จะพาไปเลี้ยงเหรอ” บอยทักอย่างร่าเริง

“เลี้ยงด้วยแข้งเอามั้ย” ผมตอบ “เลี้ยงอะไรกันทุกวัน”

บอยยิ้มระรื่น ทำหน้าทะเล้น

“ไม่ต้องเลี้ยงทุกวันหรอกฮะ วันเว้นวันก็ได้”

“นี่ๆ พี่มีเรื่องจะคุยกับเอ็ง” ผมวกเข้าเรื่อง

“อะไรอะ” คราวนี้บอยทำสีหน้าตื่นเต้น ดูมันกระตือรือร้นและอยากรู้

“พี่จะขอเบอร์โทรศัพท์เอ็งน่ะ เผื่อปิดเทอมจะได้โทรคุยกันไง” ผมพูด พลางหยิบกระดาษและปากกาออกจากประเป๋าเสื้อเพื่อเตรียมจด

“โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร” บอยหัวเราะ “พี่อูอย่าคุยอย่างเดียว ชวนบอยออกไปกินด้วย ไปกินที่สยามสแควร์ก็ดี บอยอยากไปเที่ยวด้วย”

มือที่จับปากกาของผมยกค้าง สยามสแควร์เหรอ ใช่สินะ ไอ้นัยก็ชอบเดินเล่นและซื้อของกินที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดนัท...

ผมไม่อยากชวนบอยไปกินขนมตอนเย็นอีก เพราะไม่อยากเล่าเรื่องที่ผมจะกลับบ้านให้มันฟังในตอนนี้ผมเพียงแค่อยากได้เบอร์โทรศัพท์ของมัน เผื่อว่าวันไหนเหงาๆอาจโทรไปคุยกับมันบ้าง เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยบอกเล่าเรื่องราวให้มันฟัง

หลังจากที่ผมสะสางเรื่องราวส่วนตัวเล็กน้อยๆแล้ว ในที่สุดก็ถึงวันสอบปลายภาค น่าแปลกที่ผมทำข้อสอบด้วยความรู้สึกที่เฉยชา ไม่รู้สึกยินดียินร้าย มันคล้ายกับว่าหัวใจและความรู้สึกด้านชาไปหมด เพราะอีกเพียงสองสามวันเท่านั้น เมื่อสอบเสร็จผมก็จะต้องย้ายกลับบ้านแล้ว...



<ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงลานหน้าสะพานพุทธ จากนั้นเดินลอดอุโมงค์สั้นๆที่เชื่อมลานกว้างด้านหน้ากับส่วนใต้สะพานที่เป็นท่ารถเมล์ ผมต้องเดินลอดอุโมงค์นั้นทุกวันทั้งขาไปและขากลับ ในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมอยู่นั้น ปกติในอุโมงค์จะมีคนมาอาศัยกินอยู่หลับนอน เพราะเห็นมีเครื่องครัวและเครื่องนอนกองอยู่ คนที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์น่าจะเป็นพวกคนไร้บ้าน เพราะถ้ามีบ้านอยู่ก็คงไม่มาอยู่ในอุโมงค์ และน่าจะอยู่กันเป็นครอบครัวเพราะว่ามีเด็กๆด้วย อาชีพของคนพวกนี้คือร้อยพวงมาลัยกับรับจ้างเข็นผักในตลาด แต่เย็นวันนั้น ผมกลับให้ความสนใจกับครอบครัวในอุโมงค์เป็นพิเศษ ผมเห็นเด็กสามคนนอนหลับอยู่บนพื้นซีเมนต์ ใต้หัวมีหมอนเก่าๆหนุนอยู่ สองคนเป็นเด็กเล็ก อายุประมาณ ๓-๖ ขวบ ส่วนอีกคนโตหน่อย น่าจะอายุประมาณ ๑๐-๑๒ ปี>

42 comments:

Anonymous said...

number one

nai said...

ไม่รู้สินะ อ่านตอนนี้จบแล้วอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน มีทั้งขนลุก หดหู่ ยินดี ปะปนไปหมด

แต่ถ้าผมเป็นนัยนะ ถ้าได้อ่านตอนนี้คงจะไม่อยากให้อูมีความรู้สึกแบบนี้เลยจริงๆ

บรรยากาศใหม่อาจทำให้อะไรดีขึ้นก็ได้นะครับ หวังให้เป็นอย่างนั้น

ถามจริงๆ เวลาเขียนแล้วเครียดบ้างหรือเปล่า ข้ามไปก็ได้ ไปเริ่มเล่าตอนที่มีความสุขบ้าง แต่คิดอีกที่การมองจากปัจจุบันกลับไปอดีต ทำให้เห็นอีกมุมของชีวิตครับ

มีเพื่อนเคยพูดผมว่า ถึงกูจะเลวอย่างไร ความเป็นเพื่อนกับมึงยังคงอยู่เสมอ เป็นกำลังใจให้ครับ

nai

Anonymous said...

พี่อูมาโพสก็ไม่บอก
หลานๆคงหลับหมดแล้ว
ผมเลยมาขอที่สามดีกว่า
อิอิอิ
ไอซี

ซอมพอ said...

โห ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า ใจจะขาดแล้วน่ะอู
ไม่เคยมาเม้นท์เลย แต่ติดตามอ่านมาตลอดเลย
อ่านไปแล้ว รู้สึกว่าเศร้ามากๆ

Anonymous said...

มาตอกบัตรก่อนนะค้าบ

Sea~~!!

Anonymous said...

(^_^)ที่555+ อรุณสวัสดิ์ครับลุง มอนนี่แห้วกลายเป็นตี๋กับน้องบอยซะงั้นผมยังจำตี๋ได้คนที่แขนลีบ คนที่ขโมยเงิน คนที่ลุงนัยสอนให้อภัยอ่านแล้วน่าสงสารผมก็มีเพื่อนต่างจ้งหวัดเขาเอาเสื้อรรเก่ามาเลาะออกแล้วปักตัวหนอนทับผมเข้าใจมันนะว่าเวลาไปเที่ยวดูหนังกันมันถึงไมค่อยไป๖หวังว่ามันไม่ได้อ่านนะเนี่ยหุหุ)ลุงอูผมอยากรู้จังว่าตี๋เอาเงินไปทำอะไรอะครับมันคงจำเป็นมาก ไปกินข้าวเช้าละนะครับ

dodo said...

แวะมาแว้ว คิดถุงจัง
ไปอ่านละ

LAOS FANCLUB

DODO โดโด้

ืnaja said...

หดหู่สุดๆ

แล้วต่อไปจะคบกับน้องบอยรึรีเปล่าเนี่ยยย

Anonymous said...

อู เคยบอกว่าถ้าอ่านแล้วรู้สึกเศร้าหรือหดหู่
ก็ให้หยุดอ่านไปก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านเอาย้อนหลังหลายๆตอน
ผมก็ทำตามแล้วน่ะ แล้วมันเมื่อไหร่ครับพี่
บอกได้ไหม มันมีใหมไอ้ที่ว่าไม่เศร้าไม่หดหู่รันทด
หมดหวัง
ไม่ต้องให้ผมหยุดอ่านไปถึงปีหน้าเลยเหรอพี่
ระบายนิดหน่อย ขำๆ

ตอนนี้เป็นอีกตอนหนึ่งที่เขียนได้ดีมากๆครับพี่อู
ชมเป็นการปิดท้าย

t1000

Bomber_Boy said...

ถึงจะแย่แค่ไหนก็มาให้กำลังใจพี่อูก่อน

ขอบคุณพี่อูกับพี่ชูมากนะครับที่เป็นห่วง ตอนนี้ผมค่อนข้างโอเคแล้วครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น
__________
Bomber_Boy

Anonymous said...

กำ- - ผลสุดท้ายก้ต้องกลับบ้านT^T แต่อาตี๋นี่เค้าดูจะเปนคนเข้าใจเพื่อนดีนะคับ คือดูออกว่าเค้าเปนห่วงเราแต่เค้าก้ไม่ถามให้มากจนน่ารำคาญ ไม่แน่ถ้าอาอูกลับไปยุที่บ้านก้อาจจะเจอคนใหม่ก้ได้นา 55

เหนอาตี๋แล้วคิดถึงเพื่อนคนนึง เพื่อนคนนี้บ้านของเขาฐานะไม่ค่อยดีครับ เค้าเล่าว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เค้าใช้ยุทุกวันนั้นเขาเปนคนหาเองหมด ซึ่งนั่นรวมไปถึงค่าเทอมด้วย เค้าบอกว่า เค้าไม่อยากให้พ่อแม่ของเค้าต้องลำบาก ไม่ยากเปนธุระมากเพราะค่าเทอมโรงเรียนที่ผมยุนั้นก้ถือว่าแพงสำหรับเค้า เค้าเลยเกบเงินเองคับ จากการสอนพิเศษเด็กบ้าง(มันเรียนโคดดดเก่ง)ขายของบ้าง มันทำให้ผมรุว่าเราหลายคน ณ ที่นี้นั้นมีโอกาสมากกว่าเดกคนอื่นๆอีกเยอะ ซึ่งผมว่าเราคงไม่มีวันที่จะเข้าใจความลำบากของเค้าตราบที่เรานั้นยังไม่เคยมีชีวิตที่ยากลำบากแบบเขา เหนอาตี๋แล้วผมนึกถึงเพื่อนคนนี้เลย ชีวิตของมันลำบากมากครับ ผมก้ว่าแล้วว่าไม่เคยเหนมันซื้อพวกของกินช่วงพักเลย เพราะมันคงรุว่าเงินที่หามานั้นเหนื่อยยากขนาดไหน ใช้ไปกับของพวกนี้คงเหมือนเสียค่าโง่ ผมเองก้เพิ่งคิดได้เหมือนกันตอนที่มันเล่าชีวิตมันให้ฟัง ผมเหนอาอูที่ยอมสละของดีๆเพื่อให้โอกาสอาตี๋แล้วผมรุสึกมีความสุขมาก มันคือการให้ที่แท้จริงแล้วไม่หวังผลอะไร เราเพียงแค่ให้เพื่อมอบโอกาสให้เขาและนำเขาไปสูชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต ผมว่าอาตี๋เองคงเข้าใจความลำบากตรงนี้เขาจึงกลับไปช่วยเหลือเดกยากไร้ในชนบท ก้เพื่อสร้างโอกาสให้กับเดกด้อยโอกาสในชนบท ให้โตขึ้นพวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตที่ดี โดยที่อาตี๋เองก้ไม่ได้หวังผลอะไรจากจุดนี้ เขาอยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่างหาก

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

Sea~~!!

Anonymous said...

ถึงจะเศร้า แต่ก็ชอบครับ ตอนนี้ อ่านแล้วครบรส

สุข เศร้า เหงา ยินดี

ขอให้อาอู อาชู และทุกคนมีความสุขมากๆนะครับ

หลานหนิง

ปล.หลานๆใกล้สอบแล้ว อาๆให้พรหลานๆ ให้ทำข้อสอบได้หน่อยสิครับ โดยเฉพาะหลานหนิง หวั่นใจเหลือเกิน T^T

Anonymous said...

ขอบคุนคับ เดะอีก 2 อาทิดก้อสอบและ ขอให้พี่ๆเพื่อนๆน้องๆทุกคนสอบกันให้ได้ดีๆนะคับ

Sea~~!!

Anonymous said...

ใกล้สอบเป็นไข้หวัด = =" ยังไม่ได้อ่านหนังสือสักวิชา
โโยเฉพาะ 5 วิชาหลัก...

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ป.ล. ไปแข่งตอบปัญหาได้ที่หนึ่งมาครับ เย่!
อาจารย์จะเลี้ยง MK Gold ด้วยล่ะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อือม์ นานๆจะเม้นท์สักที แต่ว่าตอนนี้อดไม่ได้

ตอนนี้เขียนได้ดีจริงๆ สะท้อนอารมณ์ได้ลุ่มลึกมาก ทั้งหดหู่ สับสน อีกทั้งยังได้เห็นน้ำมิตรของเพื่อน

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วเคว้งคว้างไงไม่รู้
เหมือนไม่มีจุดหมาย

สงสารอูจัง

thom

Choo said...

อ่านแล้วรับรู้ถึงความรู้สึกสับสนของอู เด็กมัธยมคนหนึ่งที่ต้องผ่านประสบการณ์การด้านความรักที่เลวร้าย ทำให้ชีวิตแกว่งๆไปในเวลาต่อมา แทนที่จะได้สนุกสนานเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน สภาพจิตใจที่ย้ำแย่จนผู้ใหญ่มองเห็นและห่วงใย ผมเชื่อว่านัยก็จะต้องผ่านประสบการณ์เช่นอูเหมือนกันในตอนนั้น แต่อย่างไรก็ตามผมก็เชื่อโดยสนิทใจว่านัยก็ไม่เคยกล่าวโทษอู ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ เช่นที่อูกล่าวโทษตัวเอง

แต่การที่อูในขณะนั้นยังสามารถตัดสินใจอะไรอย่างรอบคอบ ถูกต้อง และเห็นแก่ผู้อื่น ก็ต้องถือว่าอูมีความเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก จริงๆ อูเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่อยู่ ม.ปลาย ต่างหาก แต่หากเป็นมหาวิทยาลัยชีวิต ที่อูต้องเรียนมันด้วยจิตวิญญาณ ความรัก ความหวัง ความเศร้า การพลัดพรากและความรู้สึกผิดในจิตใจ ซึ่งมันได้หล่อหลอมให้อูเป็นอูในวันนี้ วันที่อูยังยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างกล้าหาญ มีความเข้มแข็งในจิตใจ วันที่อูสามารถนำเรื่องในอดีต(หรือแต่งขึ้น)มาเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกคนที่อยู่ใน blog นี้ ได้นำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตอย่างมีสติระมัดระวัง

ดีใจที่ได้อ่านคอมเมนต์ของหลานทะเลที่มันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนอย่างมาก หลานที่1 ก็เช่นกัน มันเป็นอีกหนึ่งผลจากการทุ่มเทของอูในการเล่าเรื่องนี่สู่สาธารณะ ผมว่ามันเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่อูทำให้ตี้ในตอนนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเล็กน้อย ผมเขียนเกินไป แต่ผมเชื่อว่าหากทุกคนในสังคมร่วมกันทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ทุกๆ คน ทุกๆ วัน มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ตอนแรกที่อ่านจบผมรู้สึกเศร้าและสับสนนะ แต่เมื่อได้อ่านเม้นของหลานๆ ได้กลับไปอ่านตอนนี้อีกครั้งและขณะเขียนเม้นต์นี้ผมกลับรู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ใช่ครับผมกำลังมีความสุข มีรอยยิ้ม และน้ำตาไปพร้อมๆ กัน โอ๊ย....สับสนจริงๆ ตอน 20 เนี้ย

อ่านตอนนี้จบ ผมนึกถึงเพลง 18 ฝน ของเสือ ธนพล ในปี 2537 เนื้อเพลงและ MV เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่ขาดความอบอุ่น มีความทุกข์ในใจมากมาย แล้วเลือกเดินทางผิด มาให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ให้วัยรุ่นทุกคน และเป็นกำลังใจให้ทั้งเด็กชายอูในวันนั้น และอูในวันนี้ครับ ให้ฟังกันครับ

http://www.youtube.com/watch?v=d9tG1YjPa5U&feature=related

เห็นเด็กวางระเบิด พี IZ หลานหนิง ดีขึ้นกันทั่วหน้า ผมก็พลอยดีใจไปด้วย บอกเคล็ดลับให้หากรู้สึกแย่ในชีวิตเมื่อไร กลับมาอ่านภาค3ของอู รับรองอาจรู้สึกได้ว่าเรื่องของเราเด็กๆไปเลย ลองดู...สู้โว๊ย

ใกล้สอบแล้วในฐานะผู้อาวุโสนิดหน่อยคนหนึ่ง ขออวยพรให้น้องๆ หลานๆ ที่กำลังสอบ มีสติมีสมาธิในการทบทวนตำรับตำราที่ได้ทุ่มเทเรียนมาตลอดภาคการศึกษา ให้ได้ผลสำเร็จลุล่วงตามที่ได้คาดหวังทุกคนทุกประการ หวังAได้A หวังBก็ได้A โอม...เพี้ยง

“หลังพายุร้าย ท้องฟ้าย่อมแจ่มใสเสมอ” เป็นกำลังใจให้อูครับ และขอเป็นอีกคนหนึ่งที่ภาคภูมิใจในตัวอู

ชู

ปล. คุณนัย เม้นต์ที่2 ผมสงสัยในตัวคุณมากขึ้นเรื่อยๆ นะ บอกมาซะดีๆ คุณเป็นใครรรรรรรรร

Anonymous said...

เออ จริงด้วย อาชุพูดแล้วทำให้ผมคิดเหมือนกัน

ผมว่าอานัยเม้นที่ 2 นี่เม้นแปลกๆ หรือว่า...

yo408 said...

ผมกลับชอบนะ ช่วงเวลานั้นคงจะหาความสุขได้ยาก อย่างตอนเรียนม.ปลาย ผมก็เครียดเรื่องเกณฑ์ทหาร เพราะที่บ้านจะเป่าหูตลอดว่าเป็นทหารมันลำบากมาก อาจถึงตาย ตอนม.ต้นต้องดิ้นรนไปเรียนลูกเสือวิชาพิเศษ เพื่อได้สิทธิ์เรียนรด.แต่พอเอาเข้าจริงเป็นแค่สิทธิ์สำหรับคนที่เรียนม.ต้นเกรดต่ำกว่า2.00ซึ่งผมทำได้3กว่าๆ ไม่รู้ตอนนั้นจะเรียนไปทำซากอะไรเหมือนกัน แต่อย่างว่ามันกลัวจริงๆนิ

พอม.ปลาย สอบรด.วิ่งไม่ผ่าน ขาดไป8วินาที วิ่งเต้นเส้นสายยังไงก็ไม่ได้ เครียดๆ แต่พอสนุกสนานกับเพื่อนก็ลืมไปเลย ม.5ไปสอบใหม่ คราวนี้หนักกว่าเดิม ล่อไปนาทีกว่า เซ็งเป็ด เลิกดิ้นรน คำว่า ปล่อยวาง มันใช้ได้จริงๆนะ แต่ตอนนั้น ปล่อยวาง ของผมคือ อีกนานกว่าจะอายุ20 จะมาเครียดทำไมตอนนี้ แล้วก็ลัลลัลล้ากับเพื่อนสนุกสนาน เพื่อนหลายคนก็ไม่ได้เรียนรด.นี่หว่า กลัวไปไย ไม่ต้องตัดหัวเกรียน บ่ายวันจันทร์ไม่ต้องไปตากแดดเหนื่อยหน่าย ปลายภาคไม่ต้องไปเข้าค่ายที่เขาชนไก่ให้ลำบาก

Anonymous said...

โดนต่อว่าเลย ข้อหาเศร้าไม่หยุดหย่อน

ก็ตอนนั้นเป็นเด็กมีปัญหาน่ะครับ มีอาการซึมเศร้า จะให้ร่าเริงมากๆคงไม่ไหว แล้วยิ่งจะไปหาจุดหมายยิ่งไม่มีทางพบ ชีวิตมันก็หม่นๆ ทึมๆแบบนั้น แต่ก็มีช่วงที่ได้ยิ้มได้หัวเราะอยู่บ้าง ไม่ได้นั่งหน้านิ่วตลอดทั้งวัน

ที่จริงก็อยากจะเล่าข้ามไปหรอกครับนัย แต่ผมเห็นว่าชีวิตในช่วงนี้มีผลต่อบุคลิกภาพในชีวิตช่วงถัดมาค่อนข้างมาก ก็เลยไม่อยากข้าม เพราะจะได้เห็นว่าอูเมื่อตอนที่โตขึ้นเป็นอย่างไร มีนิสัยและบุคลิกภาพอย่างไร ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิต และจะได้เชื่อมโยงได้ว่าเป็นผลมาจากชีวิตวัยเด็กอย่างไร ช่วงวัยรุ่นนี้เป็นช่วงที่หล่อหลอมคนและมีส่วนสำคัญที่บ่งชี้ความสำเร็จในภายภาคหน้า ผมว่าสำคัญกว่าชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ก็ลองติดตามดูไปก่อนว่าจะจริงหรือไม่

จุดเปลี่ยนของการตัดสินใจกลับบ้านก็อยู่ที่เด็กใต้สะพานพุทธนั่นเอง และหลังจากนั้นทำให้ผมค่อยๆตั้งๆคำถามเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พยายามแสวงหาคำตอบของชีวิต เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ต่อมาผมมีนิสัยชอบเดินทางไปในที่ต่างๆเพื่อเรียนรู้ผู้คนและชีวิต ถึงได้บอกว่าเป็นวัยแสวงหาไงครับ

และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ต่อมาเมื่อผมมีความทุกข์ ผมมักจะมองคนที่ด้อยกว่า มันทำให้เรารู้ว่าเรายังดีกว่าคนอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ไม่ทุกข์จนเกินไป ทำให้เราพยายามแก้ทุกข์ของตนเอง รวมทั้งพยายามช่วยแก้ทุกข์ของคนที่ด้อยกว่าเรา ชีวิตก็เลยดูมีคุณค่าและความหมายขึ้นมาบ้าง

โชคยังดีที่ไม่เคยเอาตนเองไปเปรียบกับคนที่ดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจคิดสั้นไปแล้ว คงไม่ได้มาเล่าเรื่องอยู่แบบนี้

สำหรับ t1000 ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน คิดไปก็จริง ถ้าให้หยุดอ่านก็อาจต้องหยุดอ่านสักปี ถ้ายังนั้นก็ทนอ่านทนเศร้าไปเรื่อยๆก็แล้วกันครับ ขอเปลี่ยนคำแนะนำใหม่

สำหรับเรื่องความเป็นไปในอนาคตที่มีหลายๆคนถามมา ขออนุญาตไม่ตอบนะครับ อยากให้โตไปพร้อมๆกัน เรียนรู้ไปพร้อมๆกันมากกว่า แต่ที่จริงในคอมเมนต์นี้ก็หลุดออกมาเยอะแล้วเหมือนกัน

ตอบหลานที่หนึ่ง กับมอนน่ะชอบดู แต่ไม่ได้คิดจีบครับ เพราะสมัยนั้นใครเป็นเกย์ก็ต้องปกปิด ยิ่งเพื่อนยิ่งให้รู้ไม่ได้ ดังนั้นแม้จะชอบก็ต้องเก็บเอาไว้ครับ ต่างกับปัจจุบันมาก และอันที่จริงตอนนั้นก็ไม่ได้ชอบมอนมากมายอะไรนัก หวานเกินไป นุ่มนิ่มเกินไปสักนิด แค่เอาไว้ดูเพลินๆตอนอยู่ในห้องเท่านั้นเอง แต่ต่อไปไม่แน่

ตอนที่ตี๋ขโมยเงินไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรเหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะทำเพราะหมั่นไส้หรืออิจฉามากกว่าที่คิดจะรวยทางลัด เพราะเอาไปไม่มาก และชิวมันก็น่าหมั่นไส้จริงๆ แต่งตัว ใส่เครื่องประดับแบบลูกคนมีเงิน

หลานทะเลเข้าใจถูกแล้ว ตี๋สู้ชีวิตมากครับ ที่จริงตี๋ควรจะอยากรวย อยากประสบความสำเร็จ เพื่อลบล้างสิ่งที่เคยขาดในวัยเด็ก แต่ชีวิตก็หักเหกลายเป็นครูในชนบท คงเป็นเพราะมลทินในอดีตของมันนั่นเอง มลทินก็มีได้ค่าครับ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความแปดเปื้อนหรือแค่รอยด่างในชีวิต แต่มันกลับทำให้คนบางคนใช้ชีวิตอย่างมีค่ามากยิ่งขึ้นเสียอีก

ขอบคุณสำหรับเพลงของพี่ชูครับ หลาน arus ยังมีที่ว่างไหม อายังไม่เคยกิน MK Gold เลย อยากจะขอติดสอยห้อยตามไปด้วยสักคน

อู

Anonymous said...

ทุกคนก็มีช่วงเวลาที่ไม่อยากเจอเหมือนๆกัน
เวลาของความสุขกับเวลาของความทุกข์ทั้งๆที่หลายๆหน
ช่วงเวลามันก็ยาวนานไม่ต่างกัน แต่เรามักจะจำได้แม่นยำ
ที่สุดก็เป็นช่วงทุกข์ใจ แต่พอผ่านพ้นมันมาได้เราก็โตขึ้น
กว่าเดิม เป็นกำลังใจให้นะครับ

Pink Blood

nai said...

สวัดีครับพี่ชู สงสัยอะไรในตัวผมอีกครับ เปิดประเด็นอีกแล้ว ผมนะชื่อ นัย จริงๆ จะนัยไหน ก็แล้วแต่ เคยบอกเหมือนกันที่เริ่มอ่านเรื่องของอู เพราะตอนที่ 1 แนะนำตัวละคร มีตัวละครชื่อ นัย ก็เลยตามอ่านมาเรื่อยๆ จริงๆ แล้วก็อ่านมานานพอสมควรแล้ว แต่มีช่วงหลังๆ ถึงได้คอมเมนท์เข้ามา

อีกอย่าง วัน เวลา สถานที่ ที่อูพูดถึงในเรื่องประจวบเหมาะใกล้เคียงกับตัวผมเองเวลาอ่านจะอินเป็นพิเศษ จะนึกภาพออกทั้งหมด ไม่ว่า ตัวละคร เหตุการต่างๆ สะพานพุทธ ห้าแยกลาดพร้าว ซอยภาวนา แม้กระทั้งสยามฯ

มีอีกเรื่องที่นึกไม่ออก ผมขออนุญาตถามอู เลยละกัน ส่วนใหญ่ อู จะบรรยายตัวละคร ให้เรานึกหน้า บุคคลิกออกหมดโดยเฉพาะ นัย ชัช พงษ์ ใหญ่ อ๊อด ตี๋ ฯลฯ เวลาอ่านก็จินตนาการถึงตัวละครเหล่านี้ มีอยู่ คนเดียวที่ไม่ยอมพูดถึง คือ ตัวอู เอง มีอยู่ตอนเดียว ที่พงษ์บอกว่า เพื่อนใหม่ ชัช มีลักษณะคล้าย อู คือ ขาว ตี๋ สูงกว่าชัชนิดหน่อย แต่ขาวตี๋ มีหลาย เทรนเหลือเกิน นึกภาพไม่ออกจริงๆ

ผมดักคอ อู ไว้ก่อนว่าคงไม่ตอบผมหรอก ถามไปอย่างนั้น จริงๆ อู เก็บบุคคิก ให้คนอ่านจินตนาการก็ดีเหมือนกัน นะ ครับ

ไม่รู้ตอบคำถามได้ตรงประเด็นหรือเปล่านี่ สรุปว่าผมเป็นผู้อ่านคนหนึ่งซึ่งจินตนาการว่า ถ้าตัวเองเป็นนัยจริงๆ ก็คงไม่อยากให้เพื่อนมีความทุกข์ขนาดนั้น

ใกล้สอบแล้ว น้องๆ หลานๆ ขยันอ่านหนังสือนะครับ ผลสอบเป็นอย่างไร อย่าลืมเล่าให้ฟังบ้าง
nai

Choo said...

ตามนัยเข้ามา ก๊าก......ครับ

ขอโทษด้วยหากทำให้เดือดเนื้อร้อนใจขนาดนี้

เดี๋ยวจะซื้อ...เก๊กฮวย...ไปฝากนะคร๊าบ

ชู

Anonymous said...

ผมว่าเว็บบล็อกนี้มีความเป็นสังคมสูงทีเดียว นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าอ่านแล้ว comment ก็น่าติดตาม ที่น่ารักคือพี่ๆในนี้ดูไม่กีดกันคนมาใหม่ ไม่เหมือนในหลายๆที่ที่เอาแต่คุยกันเอง ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ

เจ

Anonymous said...

พร้อมทานด้วยเสมอครับอาอู!!~

ยิ่งเดี๋ยวปิดเทอม (คงได้ปิดสองสัปดาห์ = =")
ยิ่งว่างใหญ่เลยครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ช่วงนี้คอมเมนต์ดูจะคึกคักทีเดียว เมื่อวานหลังจากเขียนตอมเมนต์ไปแล้วนึกได้ว่ายังตอบนัยไม่ครบ (เกรงใจคนนี้เป็นพิเศษ)

ที่ถามว่าตอนเขียนเครียดบ้างหรือเปล่า ถ้าพูดถึงความตึงเครียดก็ไม่เครียดครับ แต่ช่วงที่เขียนถึงตอนเศร้าๆใจก็หม่นๆ ช่วงนี้ภาคสองตอนท้ายๆ หม่นหมองกว่าตอนเขียนช่วงนี้เสียอีก

หน้าตาผมเป็นอย่างไร ที่ไม่บรรยายในเรื่องเพราะว่าหน้าตาไม่ค่อยได้มาตรฐานเท่าไร คือน่าจะต่ำกว่ามาตรฐานอยู่บ้าง ก็เลยเก็บเอาไว้ให้ผู้อ่านจินตนาการเอาเองดีกว่าครับ

นัยถูกพี่ชูวางยาเสียแล้ว หาทางแก้เอาเองนะครับ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้

เอาใจช่วยหลานๆทุกคนในการสอบครับ และขอให้หลาน arus หายป่วยไวๆ จะได้มีแรงไปสอบ

เจถ้าว่างก็เข้ามาคอมเมนต์กันอีก ในนี้มีผู้ใหญ่ใจดีอยู่หลายคนครับ


อู

nai said...

ตอบกันไปตอบกันมา ดีครับท่าทางคอมเมนต์จะยาวกว่าเนื้อเรื่องของอู ซะแล้ว

พีชู เก็กฮวย ขอเป็น เก็กฮวยร้อนๆ ในร้านอาหารจีนอร่อยๆ สักโต๊ะ ผมจะชวน อู กับ พี่ๆ น้อง ๆใน Blog ไปทานด้วย พร้อมกับอาหารซัก 8-9 อย่าง น่าจะดีครับ

ขอบคุณอูที่กลับมาตอบอีก เอาเป็นว่า หน้าตาอู ถ้าไม่บอกไม่เป็นไร ผมรู้คนเดียวแล้วกันครับ (ล้อเล่น) ให้พี่ชูสงสัยเล่นๆ
nai

Choo said...

จำได้ว่าก่อนหน้านี้ หลานหนิงก็ให้ผมเลี้ยงโต๊ะถ้าอะไรซักอย่าง แล้วนี่นัยจะพาน้องๆ หลานๆ มาถล่มอีก ไม่ส่งสารกันบ้างหรือครับ ยิ่งเบี้ยน้อยหอยน้อยอยู่ 555

ว่าแต่เกิดนัดขึ้นมาจริงๆ กลัวจะเหลือกับข้าวเต็มโต๊ะ ไม่มีคนมาซักคน รวมถึงเจ้ามือเผ่นคนแรกเลย 55

คุยไปคุยมา ผมว่าสองตอนนี้ blog กลายเป็นชมรมผู้สูงอายุยังไงชอบกล

จากที่นัยเขียนแจ้งมา ผมก็ยังสงกะสัยอยู่ดีอะครับ ทำไงดีละ

ชู

Anonymous said...

(^_^)ที่1 โล่งแว้วครับลุงอู เมื่อกี้คุยกับเพื่อนมากว่ามันจะสอบเสร็จก็สัปดาหืหน้านู้น ผมกะว่าจะไปเตะบอลกันแล้วก็จะเดินไปอุโมงค์ที่ลุงว่าเสร็จแล้วก็กินหม่เกี๋ยวริมแม่น้ำดีไหมเนี่ยหุหุ จากนั้นจะเดินข้ามสะพานรับลมเย็นๆชมวิวกินบรรยากาศซะหน่อยลุงเคยอะป่าวครับ

พี said...

ตอนนี้มีหลากหลายเนื้อหาและสถานที่ แต่ก็เกี่ยวเนื่องถึงกัน อูบอกเหตุผลที่มาช่วยให้ตัดสินใจหลายๆเหตุผล รวมทั้งพยายามสะสางทั้งเรื่องของเพื่อน ของบอย

อ่านตอนนี้แล้วเหมือนกับการที่อูได้มาถึงทางแยก ที่เลือกต้องเดินไปทางใดทางหนึ่ง เมื่อให้เหตผลกับตัวเองประกอบกับการมีสิ่งแวดล้อมที่เจอในทางลอดที่บอกมาก็ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แม้ว่าใจลึกๆจะไม่อยากไปไหน แต่ในเมื่อสถานะการณ์ในตอนนั้นที่เรายังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง ยังต้องอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ก้เหมือนเป็นการบังคับไปกลายๆ การหาเหตุผลก็จะช่วยให้เราลดหรือบรรเทาความเศร้า ไม่อยากจากไหนได้

และขอขอบคุณนะครับที่น้องบอยยังคงมีบทบาทต่อไป คงไม่ทำเบอร์โทรศัพท์หายนะครับ

รออ่านตอนต่อไป ที่บ้านอูคงมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายที่ช่วยให้อูได้สดใสขึ้น

+ P +

ปล.
น่าประหลาดนะครับ...ที่การตัดสินใจของผม มาตรงกับวันที่คุณอูมาโพสต์ตอนนี้พอดี ที่จริงผมตัดสินใจมาได้ระยะหนึ่งแล้วว่า ผมต้องถอยออกมาโดยเริ่มหลังจากงานวันเกิดเพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของบ้าน(วันที่11ก.ย.) แต่ก่อนหน้านี้ ผมพยายามดิ้นอีกครั้ง ตามที่ผมเคยโพสต์บอกไว้ในคอมเม้นต์ตอนที่ประมาณ13หรือ 14 นี่ล่ะครับช่วงที่ตาลตาย ซึ่งก็อย่างที่รู้กันครับว่าว่าไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยผมได้บอกรักเขาอย่างเป็นทางการ และได้ใกล้ชิดมีความสุขมากขึ้น รวมทั้งที่น้องเขาก็ดูเหมือนเข้าใจผมมากขึ้น คุยกันดีมากกว่าเดิม

แต่สิ่งที่ผมต้องการมันมากกว่านั้น (กายหรือใจ) และผมทำใจไม่ได้ในสิ่งที่น้องเขาให้ไม่ได้ ช่วงที่ผมตัดสินใจผมก็พยายามหาเหตุผลมาเพื่อตัดสินใจให้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พยายาม แต่ผมทำไม่สำเร็จสักครั้ง ครั้งนี่จึงเหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก็คือ การที่น้องเขาพยายามพาแฟนมาให้สนิทสนมกับเพื่อนมากขึ้น แน่นอนล่ะครับ ผมย่อมทำใจไม่ได้ก็มันอิจฉานะ... การที่จะให้ผมเจอกันหรือให้พูดคุยเหมือนตอนปกติ ที่ไม่มีแฟนเขาอยู่ด้วย ผมทำด้วยความลำบากและอึดอัดใจ ผมจึงพยายามเลี่ยงทุกครั้งที่ เขาพาแฟนมาด้วย ผมจึงหาเหตุผลมาบอกใจตัวเอง ว่าเราอาจทำให้เขาและแฟนผิดใจกันถ้าเธอรู้ขึ้นมาว่ามีเกย์คนนึงมาคอยจีบ อยู่ใกล้ๆกับแฟนตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่ชอบที่จะให้น้องเขาเลิกกันเพราะผมเข้าใจดีว่า ผู้ชาย ยังไงก็เป็นผู้ชาย

ตั้งแต่วันอาทิตย์มาถึงวันนี้ 3 วันแล้ว ที่ผมไม่เจอน้องเขาหรือไม่รับรู้เรื่องราวของน้องเขา ก็ทำให้ใจผมสงบมากขึ้น แม้ว่า ในบางครั้งใจยังเผลอไปคิดถึงเขาบ้าง หันไปดูบ้านเพื่อนเขา ว่ามารึยัง...

เล่ามายาวแล้ว...ขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้ามีคำแนะนำ หรือข้อคิดเห็นใดๆ ก็บอกกล่าวกันมาได้นะครับ

ถ้าอยากอ่านเรื่องผมยาวๆ ช่วงที่ผ่านมาไม่ถึง 9 เดือน ขอดูก่อนนะครับว่า จะมีความสามารถเล่าและเรียบเรียงเรื่องราวให้น่าอ่านได้หรือปล่าว เพราะผมก้อยากเล่าให้คนที่พอจะเข้าใจเรา เป็นเหมือนเรา

แต่ก็ต้องดูอีกว่าจะไปโพสต์ไว้ตรงไหนดี ถ้าโพสต์ในบล็อกนี้ จะเป็นการรบกวนคุณอูรึปล่าว เพราะบล็อกนี้เปรียบเหมือนโลกส่วนตัวที่คุณอูสร้างขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนัย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆของคุณอูก็ตาม



ยาวไปละปล.นี้ไปล่ะครับ

Anonymous said...

แหมช่วงนี้นี่คึกคักจิงๆนะครับ ทุกคนเลย แม้เรื่องจะเศร้า

แต่สังเกตุว่าคนอ่านไม่มีใครเครียดเลย คงมีแต่หลานหนิง

ละนะที่นั่งอ่านหนังสือหัวฟุ - -

อานัยระวังตัวนะครับ อาชูชอบหลอกถาม555+

เอ แต่แกล้งไม่ทันอาชูบ้างก็ดีนะครับ อยากรู้ความจริงเหมือนกัน

บางที ให้รออาอูล่าเรื่องยันจบป.ตรีหลานๆในบล๊อกคงทำงานกันหมดแล้วแน่เลย 555+

ผมยังไม่อยากเป็นอา ให้แฟนคลับรุ่นใหม่ๆนะครับ

(เกือบจะเลยความเป็น)หลานหนิง

Anonymous said...

อ้าวพี่ชูจะเลี้ยงไม่บอก
ดีเลยอยากกินอยู่
ติ่มซำนะ แบบบุฟเฟ่ต์ก็ดีนะ
หรือว่า อาหารอิตาลี พิซซ่าแบบแป้งบางกรอบ
กะสลัดผักราดน้ำสลัดบาซามิก็คงดีไม่น้อย

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วขอชื่นชมอูที่ตัดสินใจและหาทางออกได้ ผมจะments มาตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วพอดีงานยุ่งเลยไม่มีเวลา
อ่านไปก็เพลินดีชวนให้ติดตามไปเรื่อยๆ แต่อีกอย่างคือ วันที่ผ่านมาเมื่อมีคนมาเล่าให้เราฟังอีกมันก็จะนึกถึงและนึกภาพเก่าๆขึ้นมา
naiถ้ายังไงก็ยอมรับไปเถอะนะ(ล้อเล่น)
ขณะนี้ทุกคนจะรอให้รู้ว่า อูกับนัยจะได้เจอกันอีกไหม ถ้ายังไงnaiเป็นคนบอกมาก็ได้นะ
ments42

Choo said...

พี ผมว่าเปลี่ยนที่เม้นต์เป็น ปล. แล้วเอา ปล.เป็นหลักแทนดีไหมครับ ล้อเล่น..ขำขำ เอาใจช่วยนะครับ

IZ เดี๋ยวนี้เรียนหนักจำชื่อตัวเองไม่ได้แล้ว ว่าแต่เรียนจบเมื่อไร บอกพี่คนนี้ด้วยละกัน จะเลี้ยงโต๊ะจริงๆ ตั้งงบไว้แล้ว 55บาท เหลือไม่ต้องทอน 55+

พี่ ment42 นานๆ เข้ามาเม้นต์ที ผมขอบริการเปิดเพลงให้ฟังนะครับ เพลง Come Together ของ The Beatles ในปี 1969 แต่ในเมืองไทยดังประมาณปี 74-76 ครับ ไม่รู้ว่าอยู่ในยุคพี่หรือเปล่าครับ หากย้อนยุคมากเกินไปขออภัยด้วยครับ น้องๆ หลานๆ ก็ฟังดูได้นะครับ

http://www.youtube.com/watch?v=6vAqekT-GuA&feature=related

ชู

ปล.สว.(สูงวัย)เฝ้า blog ในช่วงนี้
เด็กๆ ไปอ่านหนังสือสอบกันอยู่ครับ

Anonymous said...

ฟังแล้วครับ เพลง Come Together ของ The Beatles ในปี 1969 ผมกำลังเริ่มแรกรุ่นเลยครับ พอเพลงดังฃ่วง ประมาณปี 74-76 ผมอยู่ในวัยรุ่นพอดี (ย้อนยุคแก่เกินไปหรือเปล่าเนี้ยะ)แต่เพลงไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไร เพราะช่วงนั้นยังเรียนอยู่ต่างจังหวัด(คนบ้านนอกนะครับ) เข้ามาเรียนในกรุงเทพช่วงเรียนมหาลัยประมาณปี20ได้ ดูแล้วจะ สว.แบบที่คุณชูบอกจริงๆ
ที่ผมไม่ค่อยได้เข้ามาเนื่องจากบางทีก็ออกไปต่างจังหวัดบ้าง แต่ยังติดตามเรื่องของอูอยู่ตลอด
ถามจริง อูจะเจอนัยไหมเนี้ยะ
ments42

nai said...

สวัสดีครับ พี่ ments42 ตั้งใจว่าตอนนี้จะไม่เข้าคอมเมนน์ แล้วนะครับ แต่ถูกพาดพิงค่อนข้างมาก ทั้งหลานหนิง พี่ชู พี่ ments42 ก็เลยเข้ามาตอบซักหน่อยครับ
จริงๆแล้วอูกันนัย ก็เจอกันอยู่แทบทุกวันอยู่แล้ว ก็ผมเข้าไปหาอูทุกเกือบทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ

ว่าแต่ พี่ ments42 ตกลงจะรับตำแหน่ง ประธานดีไหมครับ พี่ชู คงไม่ว่ากัน ผมรับอาสาเป็นเลขาฯ ให้เอง

ช่วงนี้ผมก็งานยุ่งๆๆๆเหมือนกัน แต่เป็นงานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็เลยแอบแวบๆ เข้ามาคุยปล่อยๆหน่อยครับแล้วกลับไปทำงานต่อ

สงสัย อู จะตั้งมาตรฐานไว้สูงเกินไปแน่ๆ เลยก็เลยบอกเพื่อนๆว่า หน้าตาของตัวเองต่ำกว่ามาตราฐาน(ไม่จริงหรอก)

ปล.
ที่ว่าเข้าไปหาทุกวัน(ก็ใน blog) และ ผมว่า ไม่ใช่ สว.ที่เฝ้า blog แต่ สวม.(สูงวัยมาก) ต่างหาก
เด็กๆ ไปอ่านหนังสือก่อนดีกว่าครับ เออ พี่ชู บอก สว.ที่แอบเรียน ให้ไปอ่านหนังสือได้แล้วครับ ใกล้สอบแล้วเหมือนกันเดี่ยวจะเรียนไม่จบ
nai

Anonymous said...

อะหูย มีรายการแฉกลางบล็อกด้วย

ใครอ่ะคับอา่ชู คนที่อานัยพูดถึง คริคริ

Anonymous said...

ถ้ามีนัยเป็นเลขาฯก็ยินดี แต่เลขาฯจะต้องทำงานหนักกว่าประธานนะแล้วอีกอย่าง น้องๆ หลานๆ จะยินดีรับหรือเปล่า เพราะผมไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาในblog เห็นแต่คุณชูกับน้องๆคุยกันก็สนุกดี ผมว่ายกประธานให้กับคุณ ชูดีไหม ผมขอแค่รองประธานดีกว่า
ments42

Choo said...

เข้ามาดันให้ได้ 40 เม้นต์ รวมถึงขอใช้สิทธิพาดพิงครับ ว่าแต่ถ้ามีถึงเม้นต์ที่ 42 ขอสงวนให้พี่ ment42 นะครับ

ประธาน รองประธาน อะไรกันครับ ชวนกันไปทอดกฐินหลังออกพรรษากันหรือครับ ผมขอทำบุญด้วย 2 กองนะครับ อยากไรก็ตามพี่ ment42 ก็กลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของ blog ไปเรียบร้อยแล้ว ขอแก้ข่าวที่อูบอกว่ามีพี่รุ่น ม.ศ.5 ผมว่าไม่ใช่ครับ ต้องบอกว่ามีรุ่น ม.8 อยู่ใน blog ด้วย ถึงจะถูก 555

ขอบคุณในความปรารถณาดีของทั้งพี่ ment42 และนัย ผมคิดว่าประธานตัวจริง โน้นคนเป็นเจ้าของ Blog นั่นแหละ ส่วนผมขอเป็นแค่น้องของพี่ๆ พี่ของน้องๆ อาของหลานๆ เป็น DJ เปิดเพลงให้ทุกคนฟังบ้าง ก็มีความสุขแล้วครับ แต่ยังไม่อยากเป็นลุงของหลานๆ เท่าไร แล้วก็พี่ ment42 เรียกผมว่า “ชู” เฉยๆ ก็ได้ครับดูกันเองดี แต่ถ้าเอ็นดูผมก็เรียก “น้องชู” ผมก็ยินดีครับ (^_^)

นัยพยายามจะแก้ข่าว ผมอ่านยังไงก็มัดตัวไปเรื่อยๆ มากกว่า ขอถามนิดนึงตอนโน้นนานมาแล้ว ก่อนไปต่างประเทศ ไปทำอะไรที่ใกล้ๆ ซอยอารีย์หรือครับ ไปกับผู้ชายคนนึ่ง ขอดีอูเห็น ก็เลยมาฟ้องผมกับเพื่อนๆ ใน blog ไว้อะครับ

ว่าแต่ อู ฉกเก็กฮวยที่ผมซื้อฝากนัย ถือขึ้นภูเขาไปพร้อมกับดีดขิมเนี้ย ไม่คิดจะช่วยนัยหรือครับ เผลอๆ แอบไปเปิดห้อง 21 ตอนหน้าอีกต่างหาก ทิ้งพวกเราทะเลาะกันในห้อง 20 นี้แหงๆ เลย

ชู

nai said...

ตั้งใจเข้ามาเพื่อเป็น คอมเมนน์ 41 เพื่อสำหรับ พี่ครับ ments42 ช่วยปิดท้ายให้หน่อย

ปล. ส่วนเรื่องคำถามไว้ต่อตอน 21 ครับ
nai

Anonymous said...

ปิดแล้วครับ ผมรออยู่เหมือนกัน
ที่ชูบอกมี ม.8 นั้นมันสวม.ไปหน่อยนะ ผมยังไม่ทันหรอกครับments