Wednesday, September 2, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 18

วันนั้นทั้งวันผมเรียนหนังสือด้วยใจที่ไม่เป็นสุข ผมเอาแต่นั่งเหม่อมองใบหน้าด้านข้างของมอนโดยไม่ได้สนใจการเรียน ในใจคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้วุ่นวายไปหมด คิดถึงเรื่องที่จะต้องย้ายไปเรียนที่บ้านต่างจังหวัด นึกถึงแม่ที่มีเรื่องลับลมคมนัย และนึกถึงไอ้นัย... ความฝันเมื่อคืนช่างน่ากลัวและดูเป็นจริงเป็นจังเหลือเกิน ผมอดเป็นห่วงไอ้นัยไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากที่นัยย้ายโรงเรียนไปแล้วจะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับมันหรือเปล่า

อากาศในช่วงบ่ายวันนั้นร้อนอบอ้าว จากนั้นฝนก็เทลงมา อาจารย์พิกุลเดินเข้ามาสอนด้วยสภาพที่เปียกปอน

“ฝนตกแรงจริงๆ เฮ้อ ดูสิ ขนาดมีร่มแล้วตัวยังเปียกหมดเลย” อาจารย์บ่น

“ร่มธรรมดาเอาไม่อยู่หรอกครับ อย่างอาจารย์ต้องใช้ร่มโค้กที่ร้านขายน้ำ” เวชตะโกนขึ้นมา เรียกเสียงฮาดังสนั่น แต่หลังจากนั้นทั้งชั้นก็เงียบกริบในทันที

อาจารย์พิกุลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ จากนั้นก็เริ่มเทศนาเวชอย่างยาวเหยียด ส่วนเวชนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้อาจารย์พิกุลเทศนาจนเหนื่อยไปเอง...

- - -

ตั้งแต่วันที่มีเรื่องทะเลาะกับคุณป้า หลังจากนั้นมาผมก็รู้สึกว่าบ้านไม่เป็นบ้านอีกต่อไป ตอนเช้าก็อยากรีบไปให้พ้นๆจากบ้าน ส่วนตอนเย็นก็ไม่อยากกลับ เพราะไม่อยากไปเจอกับสภาพที่อึดอัดภายในบ้าน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือว่าในบ้านเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ แต่ผมรู้สึกว่าคุณลุงคุณป้ากลับกลายเป็นเย็นชากับผม แตกต่างจากเมื่อก่อน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน หลังจากที่คุณลุงและคุณป้าเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็พกเหรียญเต็มกระเป๋าและแอบออกจากบ้านเพื่อมาโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะใกล้บ้าน ผมไม่ใช้โทรศัพท์ที่บ้านเพราะรู้ดีว่าถ้าโทรทางไกล รายละเอียดการโทรจะไปปรากฏในบิลของเดือนนั้น ผมไม่อยากให้คุณลุงคุณป้ารู้เรื่องที่ผมโทรไปคุยกับแม่

เสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียก เพียงครู่เดียวก็มีคนรับสาย

“ฮัลโหล” เสียงแม่นั่นเอง

“อูเองแม่” ผมตอบ “นี่มันเรื่องอะไรกันอะ” ผมรวบรัดเข้าเรื่อง เพราะไม่อยากออกจากบ้านนานเกินไป

ได้ยินแม่ถอนหายใจ

“เฮ้อ แม่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี” แม่พูด “ป๊าเค้าอยากให้อูย้ายมาเรียนที่ใกล้บ้านเรานะ”

“อูก็บอกแล้วว่าไม่ไปหรอก” ผมรีบปฏิเสธทันที

ได้ยืนแม่ถอนหายใจอีก “แม่ก็ไม่อยากหรอกนะ แต่อูใจเย็นๆก่อน อย่าเพิ่งโวยวาย ฟังแม่เล่าให้จบก่อน ยังมีเรื่องที่อูไม่รู้”

ผมเงียบ อดใจฟังเรื่องที่แม่จะเล่า

“เรื่องมันยาวน่ะ” แม่พูด “อูจำเรื่องแชร์น้ำมันได้ไหม”

“ไม่รู้จัก ทำไมเหรอ” ผมสงสัย

แชร์น้ำมันก็คือต้นตำรับของแชร์ลูกโซ่ กล่าวคือ มีการระดมเงินทุนโดยอ้างว่าไปลงทุนในธุรกิจน้ำมัน โดยจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ลงทุนเดือนละ ๖.๕% แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ทำธุรกิจอะไรเลย เป็นเพียงเอาเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่ไปจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ลงทุนรายเก่า จนถึงวันหนึ่งเมื่อหมุนเงินไม่ทัน ความก็แตก หนังสือพิมพ์ต่างขนานนามแชร์น้ำมันนี้ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่บันลือโลก เพราะมีผู้ถูกหลอกเป็นจำนวนมากราว ๑๗,๗๐๐ ราย ความเสียหายเป็นมูลค่าถึง ๕,๕๐๐ ล้านบาท ตอนที่เจ้ามือแชร์เริ่มออกอาการเบี้ยวหนี้และโดนตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีนั้นผมยังอยู่ชั้น ม.๒ ไม่ได้ติดตามเรื่องเศรษฐกิจเลยเพราะยังเด็กอยู่ จึงไม่ทราบเรื่อง

“ก็ป๊าเอาเงินไปลงทุนในแชร์น้ำมันนี้น่ะสิ แล้วก็ชวนคุณลุงเอาเงินไปลงทุนด้วย เพิ่งลงทุนได้ไม่กี่เดือนก็ถูกโกงและเจ้ามือก็โดนจับ” แม่เล่าความเป็นมา

“ทั้งป๊าและลุงต่างก็ลงทุนไปมาก พอเจ้ามือแชร์ถูกดำเนินคดีก็พอมีความหวังว่าจะได้เงินคืนมาสักส่วนหนึ่ง แต่เมื่อตอนต้นปีนี้เอง ศาลตัดสินให้ลูกหนี้ได้เงินคืนแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ล้านนึงก็ได้คืนมาแค่สองหมื่น มันก็แทบจะเหมือนกับไม่ได้เงินคืนมาเลย” แม่เล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

“หา ป๊าลงเงินไปเป็นล้านเลยเหรอ” ผมใจหายวูบ ตอนที่พ่อเอาเงินไปลงทุนนั้น ทองคำแท่งบาทละ ๔,๒๐๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯวันละ ๖๘ บาท ค่ารถเมล์ ๒ บาท เงินล้านในยุคนั้นมีความหมายมากทีเดียว

“ลุงด้วย” แม่พูด “หลังจากเมื่อต้นปี ตอนที่ทุกคนรู้ว่าจะได้เงินคืนเพียงแค่ ๒ เปอร์เซ็นต์ คุณลุงยังพอทำใจได้ แต่คุณป้าทำใจไม่ได้ เริ่มโทษป๊าต่างๆนานาว่าเป็นต้นเหตุทำให้บ้านคุณลุงแทบหมดตัว หลังจากนั้นป๊าก็ไม่สบายใจมาก ทั้งเรื่องเงินที่สูญไป และรู้สึกผิดกับคุณลุงคุณป้าอีก แล้วก็...” แม่หยุดพูด

“แล้วก็อะไรเหรอแม่” ผมถาม

“ป๊าเค้าก็กลัวว่าจะมีผลกระทบกับอูน่ะ เอ๊ดก็ไม่อยู่ด้วย” แม่พูด

มิน่าล่ะ ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เอ๊ดไม่อยู่ งานที่ผมทำแทนเอ๊ดมักไม่เป็นที่พอใจคุณป้าเสมอ ผมมักโดนบ่นประจำ แต่ก็ไม่ถึงกับดุด่าอะไร ก็อาจจะมีส่วนมาจากเรื่องนี้บ้างนั่นเอง

“แล้วก็เลยคิดจะเอาอูไปเรียนที่อื่น จะได้ไม่ต้องอยู่บ้านนี้” ผมต่อเรื่องราวให้ “ก็ไม่เห็นจะต้องให้อูกลับไปเรียนที่บ้านเลยนี่แม่”

“มันไม่ใช่แค่นั้น” แม่พูดต่อ “คุณป้าบอกว่าอูมีอาการผิดปกติ แต่ก่อนก็ซึม เก็บตัว มาช่วงหลังยังฝันร้ายเอะอะลั่นบ้านอีก ป๊าก็เลยไปถามเอ๊ด ก็เลยรู้ว่าอู... เอ้อ... มีอาการแปลกๆ ผลการเรียนก็เรียนตกไปมาก”

แม่พูดได้แค่นี้แล้วก็อึกอัก

“แล้วยังไงล่ะแม่” ผมเร่งรัด

“คุณป้าบอกกับป๊าว่า... เอ้อ... อูมีสภาพจิตใจไม่ค่อยปกติน่ะ” แม่พูด

“หา หมายความว่าอูบ้าเหรอ” ผมร้อง

“อย่าเอะอะสิอู” แม่ปราม “ไม่ได้หมายความว่ายังงั้น แต่หมายความว่าอูอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างในจิตใจ มันมีอะไรที่เกี่ยวกับนัยเค้าหรือเปล่า เอ๊ดบอกว่าอาจจะเกี่ยวกับนัย”

พอแม่จี้เรื่องนัย ผมก็เงียบเสียงลงทันที เอ๊ดนะเอ๊ด ทำไมต้องบอกพ่อแม่ทุกเรื่องด้วย

“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนัยหรอกแม่” ผมตัดบท “แม่เล่าต่อเถอะ”

“ก็นั่นแหละ ป๊าเค้าก็คิดว่าคุณป้ากำลังบอกทางอ้อมว่าไม่อยากให้อูอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป ก็เลยคิดจะเอาอูออกมา ที่อยากให้มาเรียนที่บ้านก็เพราะอยากให้อยู่ใกล้พ่อแม่ จะได้ดูแลได้สะดวก แต่เรื่องนี้แม่ไม่เห็นด้วย เพราะแม่ไม่คิดว่าคุณป้ากำลังบอกไล่ทางอ้อม ที่จริงอูอยู่ที่นี่ก็ช่วยงานบ้านคุณลุงคุณป้าได้มาก ถ้าอูออกมา ทั้งสองคนคงลำบาก คนทำงานบ้านก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เราอาศัยเค้ามาหลายปี ก็ควรตอบแทนน้ำใจของคุณลุงคุณป้าเค้า ก็เรื่องนี้แหละที่ป๊ากับแม่เห็นไม่ตรงกัน”

“แล้วตกลงจะให้อูทำไงล่ะ” ผมชักสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เบื้องหลังความนัยของเรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะช่วยออกความเห็นได้

“ก็ยังไม่รู้ แต่ดูป๊าเค้าตั้งใจจะเอาอูมาเรียนที่บ้านจริงๆ ช่วงนี้อูก็ทำตัวปกติไปก่อนนั่นแหละ” แม่พูด ดูแม่เองก็คงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นและยังหาทางออกไม่ได้เหมือนกัน

ผมนี่นะ จิตใจผิดปกติ มันก็คงใช่หรอก ก็ผมเป็นเกย์นี่ มันจะปกติได้ยังไง ผมคิดอย่างเย้ยหยันตนเอง นี่ถ้าผมรักนักเรียนหญิงที่ไหนสักคน ก็คงควงกันได้อย่างออกหน้าออกตา แต่นี่ผมรักกับผู้ชาย ก็เลยต้องหลบๆซ่อนๆ จะทุกข์หรือสุขก็บอกใครไม่ได้ ก็ไม่ได้อยากจะเป็นหรอก ไอ้นัยเองก็คงไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันเป็นไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

“เฮ้อ ป๊าไม่น่าโลภมากเลย” แม่บ่นต่อ “นี่ถ้าไม่ได้คิดจะแก้ขาดทุนจากราชาเงินทุนก็คงไม่ไปล่มจมกับแชร์น้ำมันขนาดนี้”

“หา แม่ว่าไงนะ ก่อนหน้านี้ป๊าไปทำอะไรขาดทุนมา” ผมอุทาน

ชะรอยแม่คงรู้สึกตัวว่าหลุดปากไป จึงไม่ยอมพูดอะไรต่อ

“แม่บอกมาเถอะ อูโตแล้วนะ น่าจะให้อูรู้เรื่องในครอบครัวบ้าง อูไม่ใช่เด็กแล้วนะแม่” ผมพูด

แม่ถอนหายใจอีก ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร “อูรู้แล้วอย่าพูดไปนะ เพราะแม้แต่เอ๊ดก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้หลายปี ป๊าก็โดนโกงมาทีนึงแล้ว ไปฝากเงินกับราชาเงินทุนเพราะเห็นว่าเค้าให้ดอกเบี้ยสูง แล้วบริษัทก็ล้ม ไม่มีเงินจ่ายคืนหนี้ ตอนนั้นป๊าก็หมดไปเยอะ ก็เสียดาย พอเห็นแชร์น้ำมันกำไรงาม ก็เลยอยากจะถอนทุนเพื่อชดเชยกับที่เจ๊งไปตอนราชาเงินทุน มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้” แม่เฉลยให้ฟัง

<กรณีบริษัทราชาเงินทุนเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๑-๒๕๒๒ โดยบริษัทราชาเงินทุนเป็นบริษัทเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุคนั้น จดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีราคาแรกเริ่มอยู่ที่หุ้นละ ๒๗๕ บาท ต่อมาบริษัทมีการปล่อยเงินกู้แก่พวกพ้องและลูกค้าเพื่อมาซื้อขายหุ้นของบริษัท ทำให้หุ้นราชาเงินทุนถูกไล่ราคาด้วยเงินของบริษัทเองไปจนถึง ๒,๔๗๐ บาทต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเล่นงูกินหาง เมื่อกินไปเรื่อยๆในที่สุดงูก็กินตนเองจนถึงตาย ในที่สุด ราคาหุ้นของบริษัทก็ทรุดตัวลงจนเหลือเพียง ๓๘๐ บาท เงินที่ปล่อยกู้ไปจึงกลายเป็นหนี้เสีย บริษัทจึงล้มละลายและถูกปิดไป ผลของการล้มของบริษัทราชาเงินทุนทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในสถาบันการเงิน และพากันแห่ถอนเงินออกจากธนาคารต่างๆ กรณีนี้เป็นกรณีศึกษาวิกฤตสถาบันการเงินที่สำคัญ ในยุคนั้นทองคำบาทละประมาณ ๒,๒๕๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯวันละ ๓๕ บาท น้ำมันเบนซินลิตรละ ๕.๖๐ บาท อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ในสมัยนั้นประมาณร้อยละ ๕.๕ และฝากประจำหนึ่งปีประมาณร้อยละ ๙ ส่วนที่พ่อของผมไปเกี่ยวข้องกับบริษัทราชาเงินทุนนั้นไม่ได้ไปกู้เงินมาเล่นหุ้น แต่เป็นการฝากเงินโดยซื้อเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินหรือว่าตั๋วพีเอ็น ซึ่งตอนนั้นราชาเงินทุนให้ดอกเบี้ยประมาณร้อยละ ๑๒ ซึ่งดีกว่าเงินฝากประจำทั่วไป เมื่อบริษัทล้มก็ไม่มีเงินมาจ่ายคืนเจ้าหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน>

<แชร์น้ำมัน แชร์น้ำมันนี้เป็นต้นตำรับของแชร์ลูกโซ่ซึ่งมีวงเงินมหาศาล แชร์นี้เริ่มระดมทุนในราว พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยเจ้ามือแชร์อ้างว่าทำงานในบริษัทน้ำมัน และทำธุรกิจขนส่งน้ำมันซึ่งกำไรงาม โดยการระดมทุนก็เพื่อมาทำธุรกิจขนส่งน้ำมันนั่นเอง วิธีการรับกู้ยืมเงินคิดเป็นคันรถบรรทุกน้ำมัน โดยลงทุนคันรถละ ๑๖๐,๕๐๐ บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท หรือร้อยละ ๖.๕ ต่อเดือน หรือร้อยละ ๗๘ ต่อปี ถ้าเงินไม่มากพอ จะลงทุนน้อยกว่าหนึ่งคันรถก็ได้ โดยลงทุนเพียงหนึ่งในสี่ของคันรถ เรียกว่า หนึ่งล้อ ซึ่งก็คือประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท สำหรับบางคนที่เงินน้อยกว่านั้นก็อาจจะรวมกลุ่มกันเองเพื่อให้ได้เงินเท่ากับหนึ่งคันรถ การลงทุนรายย่อยๆนี้เรียกกันว่า น้อต โดยหนึ่งคันรถอาจมีรายย่อยร่วมกันสักสิบราย ก็เรียกว่ามีน้อตสิบตัวหรือสิบน้อต เป็นต้น ธุรกิจนี้ภายหลังจึงได้ทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้ามือแชร์ไม่ได้เอาเงินไปทำธุรกิจแต่อย่างใด แต่เป็นการเอาเงินใหม่มาจ่ายเงินเก่า ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ด้วยดีตราบเท่าที่มารายใหม่เข้ามาเรื่อยๆในจำนวนที่มากพอ แต่ต่อมาในราวปี ๒๕๒๘ เจ้ามือแชร์เริ่มบิดพลิ้วการจ่ายดอกเบี้ยและหลบหน้าไป ความจึงได้แตก และต่อมาถูกจับกุมดำเนินคดีในที่สุด ต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ศาลแพ่งได้พิพากษาให้เจ้ามือแชร์เป็นบุคคลล้มลายและบังคับเอาทรัพย์มาคืนแก่เจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่ราว ๑๗,๗๐๐ ราย ความเสียหายเป็นมูลค่าถึง ๕,๕๐๐ ล้านบาท ผู้เสียหายได้รับคืนหนี้เฉลี่ยแล้วคนละ ๒.๒๕% เท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้เจ้ามือแชร์มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา และถูกพิพากษาจำคุกเรียงกระทงรวม ๑๕๔,๐๐๕ ปี นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ของศาลไทย แต่เจ้ามือแชร์ถูกจำคุกจริงเพียง ๗ ปี ๑๑ เดือน กับอีก ๕ วัน เพราะได้รับการลดโทษ ๒ ครั้ง และพ้นโทษไปในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ แชร์น้ำมันถือเป็นต้นแบบของลูกโซ่ในยุคต่อมา โดยในระหว่างปี ๒๕๒๕-๒๕๓๐ มีแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นอีกหลายราย เช่น แชร์นกแก้ว แชร์ชาร์เตอร์ แชร์เสมาฟ้าคราม ในยุค ๒๕๓๐-๒๕๔๐ ที่โด่งดังก็มีแชร์บลิสเชอร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นมา แชร์ลูกโซ่ก็กลับมาระบาดอีกครั้ง ในยุคนี้มีทั้งแชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์ข้าวสาร และแชร์อื่นๆอีกมากมาย ที่น่าสนใจก็คือแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติ คือเป็นแชร์ลูกโซ่ที่หลอกกันข้ามชาติด้วยวิธีไฮเทค กล่าวคือ ใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือ สามารถดูดอกผลในบัญชีลงทุนของตนเองที่งอกเงยได้ทุกวัน ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดความโลภและทุ่มเงินลงไปมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเครือข่ายระดมทุนในหลายประเทศ เช่นแชร์ลูกโซ่ในกลุ่มเว็บไซต์ colonyinvest ในปี ๒๕๔๙-๒๕๕๐ เป็นต้น>

24 comments:

Anonymous said...

แฮะ แฮะ มาทวงที่หนึ่งคืนมั่ง
MC

Anonymous said...

มาเอาที่2เด๋วค่อยอ่าน 555+

หลานหนิง

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วได้ความรู้ดีครับ

เอาใจช่วยให้อาอุและเด็กชสยอูนะครับ

หลานหนิง
ภาวะโลก Luv

nai said...

มาได้อย่างไร ตอนนี้ น้อง ๆ หลาน ๆ จะอ่านกันรู้เรื่องไหมเนี่ย น่าเป็นแชร์แม่ชม้อยนะครับ

เรื่องราวผูกกันได้อย่างไร ไม่น่าถึงบอกว่าตอนนี้จะได้รู้ว่าใครแก่ ใครหนุ่ม

สมัยนั้นผมก็ติดตามข่าวจากหนังสือพิมพ์แต่ไม่ละเอียดมากนัก มาเข้าใจเอาช่วงหลัง ๆ หลังจากที่ทำงานแล้ว

เพราะเกี่ยวผันกับครอบครัวเลยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องแชร์เป็นพิเศษหรือวเปล่า เล่าเรื่องแชร์ได้ละเอียดจริง ๆ
กฎหมายเมืองไทยติดคุกเป็นพันๆ ปี นำหลายๆคดีมารวมกันแต่เอาเข้าจริงก็ใช้โทษปีสูงสุด

พอดีกว่าครับเดี่ยวจะเป็น comment วิชาการไป
พี่ชูช่วยต่อให้หน่อยครับ

nai

naja said...

ตอนราชาเงินทุนอ่ะ โตไม่ทันครับ
มาทันตอนแชร์แม่ชม้อย จำ้ได้ว่าพ่อผมก้อร่ำๆจะไปลงหุ้นด้วย ดีที่แม่ห้ามเอาไว้ ไม่งั้นคงแย่เหมือนกัน

dodo said...

มาคนที6คร๊ๅฟ

ไปอ่านก่อนนะ

โดโด้
LAOS FANCLUB

yo408 said...

เดาผิดหมดเลยแฮะ

ปล.ที่7

Bomber_Boy said...

อดเลย กะว่าจะทำแฮตทริกสักหน่อย
__________
Bomber_Boy

Anonymous said...

เป็นประวัติศาตร์เตือนใจ
น้องๆหลานๆ ที่ยังเด็กคงไม่รู้เรื่อง
แต่ถ้าสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดู
จะได้เป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตวันข้างหน้า

้high risk high gain

thom

Anonymous said...

ที่สิบมาสองครั้งแล้ว โอ้วไรกันเนี่ยะ

ไอซี

Choo said...

เรื่องในช่วงนี้น่าจะเป็นปลายปี 2530 หลังจากแชร์น้ำมันล่มไปเกือบ 3 ปี ดังนั้นไม่น่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณป้าไม่อยากให้อูอยู่บ้าน ผมขอเข้าข้างคุณป้าละงานนี้ ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่อย่างคุณป้าแยกแยะออกว่าอะไรเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ และอะไรคือพฤติกรรมของอูที่มองว่ามีปัญหา ทั้งเรื่องงานบ้านไม่เรียบร้อย ความซึมเศร้า ก้าวร้าว ตลอดจนเรื่องฝันร้าย

พฤติกรรมที่มีปัญหาของอูตอนนั้นคงไม่ใช่พฤติกรรมเป็นเกย์ แต่เป็นพฤติกรรมของการแยกตัวออกจากสังคม เก็บตัว เหม่อลอย ซึมเศร้ามากกว่า (คล้ายๆ คนอกหัก) ส่วนการละเมอหรือฝันร้ายเป็นแค่เครื่องยืนยันว่าสภาวะจิตใจของอูในตอนนั้นผิดปรกติ ในสมัยนั้นคนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่กระเทย ไม่ค่อยรู้จักความหมายของเกย์เท่าไร

แล้วที่ผมวิเคราะห์ไปคราวก่อนมันถูกหรือผิดเนี้ย เอาเป็นว่าพ่อแม่น่ารู้ระแคะระคายจากเอ๊ดเรื่องนัยเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่พ่อจะเอาอูกลับบ้าน

แต่ตอนนี้ผมเชื่อมั่นความเป็นผู้ใหญ่ของคุณลุงคุณป้า และคล้อยตามความคิดของคุณแม่ที่อูควรอยู่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระงานบ้านคุณป้า

ภาษาทางธรรม "คุณธรรมพื้นฐานของคนดี คือ กตัญญูกตเวที" ครับ มาบอกกล่าวให้น้องๆ หลานๆ ทราบครับ ยังใช่ได้ทุกยุคทุกสมัย

เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไม่อยากเดาเพราะอูจะมีเรื่องหักมุมตลอด หน้าแตกหลายรอบแล้ว อายเหมือนกันนะครับเนี้ย

เป็นกำลังใจให้เด็กชายอู อายุ 16 เป็นกำลังใจให้คุณป้า แล้วก็คิดถึงพี่ชายที่แสนดี “พี่เอ๊ด” ตอนนั้นน่าจะนั่งห่วงน้องอยู่เชียงใหม่โน้น

ให้อูมีความสุขครับ

ชู

Anonymous said...

หักแบบนี้เดาไม่ถูกเลยค้าบ ไม่เคยเดาเรื่องของพี่อูถูกเลย

Anonymous said...

(^_^)ที่1 ทำไมลุงต้องเหม่อมองหน้ามอนด้วยน้าหุหุ ค่าขนมผมได้เป็นเงินเดือนนะครับพร้อมบัตรบีทีเอสอีก 1 ใบ วันหนึ่งมากกว่า35บาทอีกครับแต่ผมใช้ไม่เยอะร้อก ลุงอูตอนเรียนรด.ลุงขาดได้กี่ครั้งอะครับ

Anonymous said...

โห พ่ออากะคุณลุงลงทุนกันล้านนึงแต่ได้คินมา2หมื่น - - ไม่รุจักอ่ะคับเรื่องแชร์ลูกโซ่นี่ แต่ก้ดีครับ ผมได้ความรู้ใหม่ๆ เพราะผมว่าเพื่อนๆก้คงไม่รุจัก เอาไปเปนรายงานสังคมได้^^ แต่ผมว่าพ่อแม่อาอูคงไม่ได้คิดจะเอาอาอูกลับเพราะเรื่องนี้หรอกคับ น่าจะมีเรื่องอื่นอีก

ที่ลุงชูบอก"คุณธรรมเปนพื้นฐานของคนดี = กตัญญูกตเวที" 55 เหนแล้วคิดเลย พรุ่งนี้ผมก้เข้าค่ายพุทธบุตรด้วย เข้าไปจนถึงวันอาทิตย์เลย ค้าง รร. คับ ดีนะไม่ไปวัด กัวผีT^T

ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้

ปล.2แหะๆ เหนหลายๆคนโพสเพลงนู้นเพลงนี้ ขอผมเอามั่งนะ เพลง shadow ของ britney spears คับ ความหมายนั้นตรงกับใจตอนนี้มากๆ เพลงเพราะมากคับ ลองไปฟังกันดูนะ

http://www.youtube.com/watch?v=DFoMdAixqKM

Sea~~!!

พี said...

โอ...ตอนนี้ข้อมูล แชร์ ครึ่งตอนเลย คุณอูมีงานยุ่งแล้ว ยังมีเวลาไปหาข้อมูลมาให้น้องๆได้อ่านกันอีกนา...

อู...จะเป็นยังไงบ้างนา สงสัยพี่เอ๊ดจะรู้เรื่องของน้องแล้ว เพราะอยู่ในวันเรียนรุ่นใกล้ๆกันน่าจะเคยเจอแบบนี้บ้างไม่มากก็น้อย

รออ่านตอนต่อไปครับ

+ P +

Anonymous said...

ให้ข้อมูลไว้เยอะเพราะกลัวหลานๆอ่านแล้วจะนึกไม่ออกว่าสภาพเศรษฐกิจยุคนั้นเป็นอย่างไร สำหรับคนรุ่นเดียวกันก็เอาไว้ระลึกความหลังด้วย

คดีราชาเงินทุนเชื่อว่าพี่ชูก็ยังไม่ทัน คนที่มีส่วนในเหตุการณ์ป่านนี้อายุคงโขแล้ว

ที่จริงประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ คดีคล้ายราชาเงินทุนในยุคต่อมาก็มีอีก นั่นคือธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ BBC ปี 2539 นักวิชาการหลายคนมองว่าถ้าวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นลูกระเบิด กรณี BBC ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าต้มยำกุ้งก็คือสายชนวน ส่วนแชร์ลูกโซ่นั้นก็ยังมีจนทุกวันนี้

ช่วงนี้ทั้งพ่อ แม่ คุณลุง คุณป้า คงคิดหนัก เพราะมีหลายเรื่องประดังเข้ามา ผลจะออกมาอย่างไรอีกไม่นานคงทราบครับ

มอนเป็นผู้ชายที่หน้าตาสวย นิสัยก็นิ่มๆอีกด้วย ก็เลยชอบมองครับ ดูแล้วเพลินดี อยู่ในระยะสายตา่พอดีด้วย ไม่อยากมองหน้าไอ้กี้ เบื่อมัน มองมอนดีกว่า

ที่จริงเวชหน้าตาใช้ได้ทีเดียว แต่นิสัยไม่ค่อยสอดคล้องกับหน้าตา คอยดูไปอีกหน่อยครับ

อู

Anonymous said...

ไม่ทันอีกแล้ว T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

เปิดแชร์อาอูกันดีกว่าไหมนะ
จะได้รวยกันถ้วนหน้า ให้อาอูเป็นท้าวแชร์เลย!

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

วันนี้ blog เงียบจ้งครับ เข้ามาเชียร์กันหน่อยครับ เย่ๆ

เป็นกำลังใจให้ทุกคน มีความสุขกันทั่วหน้านะครับ

ชู

nai said...

"อีกอย่าง ลึกๆ อาแอบดีใจอะไรบางอย่างด้วยอะครับ"

พี่ชู ตอนที่แล้ว บอกว่าแอบดีใจอะไรบ้างอย่าง อย่างรู้ครับ แอบดีใจอะไร เล่าให้ฟังหน่อยครับ

นี่ผมก็เชื่อพี่ทุกอย่าง บอกว่าให้เข้า Post ยาวยาวเป็นกำลังใจให้กับ อู กำลังพยายามให้ยาวที่สุดอยู่ครับ

ช่วงนี้ระหว่างรอตอนใหม่ๆ ของ อู ผมของเลยเข้าไปอ่านตอนเก่า ๆ เลือกอ่านตอนที่ประทับใจเคยบอกไปแล้วว่ามีหลายตอนเหมือนกัน(เพราะว่าอ่านทุกตอนไม่ไหว )

สงสัยจะอ่านมาก เลยเก็บเอาไปฝัน (ฝันดีนะครับ) ในฝันของผม กลับไปอยู่ในเหตุการณ์ตอนเรียนอยู่น่าจะมัธยมต้น มีเพื่อนสนิทมาก ที่ไม่เจอกันมานานอยู่ในฝัน คุยกัน แหย่กันอย่างสนุกสนาน ขนาดตื่นยัง ยิ้มอยู่เลย

ขอบคุณ อู ที่เขียนเรื่อง จนคนอ่านเก็บเอาไปฝัน ถึงตอนเด็กได้ เก่งจังครับ

รักษาสุขภาพทุกคนครับ
nai

Anonymous said...

พี่ชูกำลัง in love ครับ
สั้นๆ ง่ายๆ เข้าใจทีเดียว
55
พี่ชูเดาสิครับว่าใครโพส

Choo said...

เดาไม่ถูกเลยครับคุณดอกเตอร์ไอซี ถามยากขนาดนี้ผมขอไปเรียน Ph.D. บ้างแล้วค่อยกลับมาตอบนะครับ

ตอนนี้มีเรื่องเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ในอดีต ก็เลยนำ Link เกี่ยวกับ การสังเกตและภัยร้ายจากแชร์ลูกโซ่ เพื่อเป็นความรู้ (มันเป็น link วิชาการครับ) หากน้องๆ หลานๆ สนใจ

http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=427951&Ntype=120

และธุรกิจเครือข่ายขายตรงและแชร์ลูกโซ่คืออะไร แตกต่างอย่างไร

http://www.agel-center.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=6&Id=538754135

ส่วนที่นัยไหนถามเรื่องแอบดีใจอะไร เรื่องมันยาวครับ ขอติดไว้ช่วงบ่ายหรือเย็นๆ นะครับ สายแล้วขอไปทำธุระก่อน อีกอย่างรวบรวมความคิดให้ง่ายๆ สั้นๆ ด้วย ไม่ว่ากันนะ

ชู

Anonymous said...

อาอูชอบกั๊กเรื่องเอาไว้ แล้วนี่อาชูยังมากั๊กเรื่องไว้อีก

ทำไมกั๊กกันจังเลยน้า

> <

Choo said...

ตอบนัยไหนนะครับ เรื่องแอบดีใจ จริงๆ ก็ไม่ถือว่าแอบเพราะบอกให้รู้ทั้ง blog แล้ว คือผมคาดเดาว่าเพื่อนที่ผมรักคนหนึ่งได้เจอกับอะไรบางสิ่งหรือคนบางคนที่เขาค้นหามาตลอด ทำให้ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่ดูอมทุกข์ ผมก็เลยรู้สึกยินดีและดีใจที่เห็นเพื่อนเราคนนี้มีความสุขมากขึ้น แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาครับ เพราะเพื่อนผมคนนี้เป็นคนเก็บความรู้สึก ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ สมหวัง หรือผิดหวัง เขาก็จะนิ่งๆ ไม่ค่อยแสดงออกหรือแสดงอาการอะไร จะพยายามเป็นคนเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้ผมยอมรับในตัวเขา

นัยไหนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมไม่ถามละเพื่อนกัน ผมไม่ถามเพราะรู้นิสัยมันดี (เขาอยู่ดีๆ กลายเป็นมันไปแล้ว) ถามไปก็ไม่บอกอยู่ดี ก็เลยขี้เกียจถามหรือตอแยมาก แต่ผมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมัน ก็เลยดีใจแทนมันก็เท่านั้น ตามที่หลานทะเลแซวนั่นแหละ ประกอบกับเรื่องที่อูเขียนมันเศร้าต่อเนื่องมาเป็นเดือน ก็เลย post อะไรที่ผ่อนคลายบ้าง .....ตอบแบบนี้ตรงคำถามหรือเปล่าครับ พอเอาตัวรอดได้นะครับ

แล้วนัยไหนสงสัยอะไรมากกว่านั้นหรือครับ จริงๆ ก็มีรายละเอียดของเรื่องอยู่พอสมควรแต่ผมเห็นว่ามันจะยาวแล้วอาจจะไม่เหมาะสมที่เอาเรื่องคนอื่นมาพูดหรือวิจารณ์ในที่สาธารณอย่างนี้โดยไม่ได้ขออนุญาต แต่ก็ยินดีตอบน้องนัยไหนทุกคำถามทั้งที่ตามตรงๆ และอ้อมๆ ครับ หรือ mail มาถามเป็นการส่วนตัว ผมก็ยินดีครับ ar.choo.krub@gmail.com ถ้าทาง mail จะตอบได้ละเอียดและซะใจกว่านี้แน่นอน 555

ว่าแล้วถามนัยไหนบ้างนะครับ ดูจากอายุนัยไหนก็เท่าๆ กับอู ซึ่งก็จะเท่ากับนัยในเรื่องฯ ด้วย มันค่าสงสัยว่า นัยโผล่ออกมาจากนิยายใช่ไหมครับ 555+

ชู

ปล. ขอโทษน้องอูด้วย ดันคุยกันเองเฉยเลย ไม่คุยกับเจ้าของ blog ซะงั้น