Sunday, September 6, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 19

หลังจากการคุยกับแม่ในคืนวันนั้นทำให้ผมได้รับรู้เรื่องราวในครอบครัวมากยิ่งขึ้น บางเรื่องถึงผมรู้แต่ก็ไม่ได้ตระหนักอย่างแท้จริง อย่างเช่นเรื่องที่ทางบ้านต้องเสียหายไปกับราชาเงินทุนและแชร์น้ำมันนั้น ผมไม่ได้เป็นทุกข์อะไรกับมันมากนัก เพราะตอนนั้นไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเงินทองของครอบครัวเลย ผมได้เบี้ยเลี้ยงรายเดือน ก็ดูแลแค่เรื่องในส่วนของตนเอง เมื่อกลับไปที่บ้านตอนปิดเทอมก็ไม่เห็นว่าที่บ้านมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร มารู้เอาตอนโตว่าฐานะการเงินของทางบ้านต้องเสียหายไปกับราชาเงินทุนและแชร์น้ำมันมากเพียงใด แต่โชคยังดีที่กิจการค้าของพ่อตอนนั้นไปได้ดีพอควร เรื่องเงินสดหมุนเวียนจึงไม่ได้รับผลกระทบ ที่เสียหายก็คือส่วนของเงินออม

ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อคิดถูกหรือผิดที่จะเอาผมกลับไปเรียนที่บ้าน รวมทั้งไม่รู้ว่าแม่คิดถูกหรือผิดที่เล่าเรื่องเบื้องหลังของพ่อกับคุณลุงคุณป้าให้ผมฟัง แต่ที่แน่ๆก็คือหลังจากที่ผมฟังเรื่องดังกล่าวแล้ว ทัศนคติที่ผมมีต่อคุณลุงคุณป้าดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไป เมื่อคุณลุงคุณป้าอยู่เฉยๆผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งสองกำลังเย็นชาต่อผม แต่เมื่อทั้งสองพูดคุยกับผม ก็ผมคิดไปว่าคุณลุงคุณป้ากำลังจับผิดผมอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากเวลาอยู่ที่บ้าน ผมรู้สึกว่าต้องระวังจนตัวเกร็งอยู่ตลอดเวลา

แต่แม้ว่าผมจะอึดอัดและไม่อยากอยู่บ้านมากเพียงใดก็ตาม ผมกลับต้องพยายามอยู่บ้านและทำตัวให้ขยันขันแข็งมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะผมคิดว่าอาจเป็นทางเดียวที่ทำให้คุณลุงและคุณป้าอาจเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวผมเสียใหม่ เพราะถ้าทั้งสองไม่หนักใจในตัวผม โอกาสที่ผมจะไม่ต้องกลับไปเรียนที่บ้านก็ยังพอมี

ผมพยายามทำงานอย่างขันแข็งและละเอียดมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นล้างจาน ล้างหม้อ ก็ต้องตรวจแล้วตรวจอีกว่ามีคราบอาหารหลงเหลืออยู่หรือไม่ มีคราบมันเกาะอยู่หรือไม่ เวลาถูบ้านก็พยายามเช็ดตามซอกตามมุมต่างๆให้ประณีตยิ่งขึ้น ล้างห้องน้ำก็ต้องขัดสองรอบ เพราะเกรงจะไม่สะอาด ฯลฯ

- - -

ต้นเดือนกันยายน

หลังจากที่ตาลตายและที่บ้านเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น สถานการณ์ก็สงบมาได้ระยะหนึ่ง แต่มันดูไม่เหมือนกับเป็นความสงบที่แท้จริง มันเป็นเสมือนความสงบก่อนพายุฝนโหมกระหน่ำมากกว่า

ทางบ้านของผมก็เงียบจนผิดปกติ แม่บอกว่าพ่อไม่ได้พูดอะไรเรื่องโรงเรียนใหม่ของผมอีกเลย ก็เลยยังไม่รู้ว่าพ่อจะเอาอย่างไรกันแน่

หลังจากวันที่ผมถูกไอ้กี้ด่าต่อหน้าเพื่อนๆ ผมก็ไม่ได้ยืมการบ้านของไอ้กี้ดูอีกเลย แต่ก็ยังพูดคุยกัน แม้ในใจของผมจะรู้สึกกินแหนงแคลงใจอยู่บ้างก็ตาม แต่ผมเองเป็นฝ่ายผิดที่ไปลอกการบ้านของมันทั้งที่มันห้ามแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนผมกับเวชนั้น สถานการณ์กลายเป็นกลับกัน แต่ก่อนเวชมักเอาการบ้านของผมไปลอก แต่ตอนนี้มันกลับเป็นฝ่ายเอื้อเฟื้อการบ้านให้ผมลอก บางทีมันก็ทำเองมาบ้าง บางทีมันก็ไปลอกจากคนอื่นบ้าง แต่สุดท้ายก็เอามาให้ผมลอกอีกทีหนึ่ง เมื่อผมมีแหล่งต้นฉบับที่ไม่บ่นไม่ว่าผม ผมก็ลอกได้อย่างสบาย ผมกับเวชเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้น

ในระยะหลัง ความวิตกกังวลต่างๆนานา รวมทั้งความอึดอัดคับข้องใจเรื่องทางบ้าน ทำให้ผมเบื่อหน่ายการเรียน ตอนเรียนก็ไม่ได้เรียน เอาแต่นั่งใจลอย บางทีก็นั่งดูไอ้มอน ปล่อยให้เวลาหมดไปวันๆ ไม่อยากคิดและไม่อยากรับรู้อะไร

แต่เรื่องงานบ้านนั้นแม้จะเบื่อแสนเบื่ออย่างไรก็ต้องทนทำ ยิ่งนานผมยิ่งรู้สึกเหมือนกับเป็นสิ่งแปลกปลอมภายในบ้าน ถึงแม้ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ก็เป็นความคิดที่ห้ามกันไม่ได้ แม้จะอึดอัดแต่ก็จำต้องทน เพราะเมื่อคิดดูแล้วว่าอยู่บ้านนี้แล้วอึดอัดแต่ได้เรียนที่โรงเรียนเดิมต่อไป ก็ยังดีกว่าไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ในยุคนั้นความคิดเรื่องหนีออกจากบ้านในเด็กวัยรุ่นยังไม่รุนแรงเหมือนกับในสมัยนี้ที่หนีออกจากบ้านกันอย่างง่ายๆ บทเรียนในอดีตที่ความใจร้อนวู่วามของผมทำให้คนอื่นต้องต้องเดือดร้อนวุ่นวายทำให้ผมพยายามอดทนและไม่ทำอะไรวู่วามอีก เรื่องหนีออกจากบ้านเป็นแผนสุดท้ายที่ผมคิดจะทำ

ที่จริงมันก็น่าแปลก ผมอยากเรียนที่นี่แต่ผมกลับไม่ได้ขยันเรียนเลยแม้แต่น้อย ที่จริงเด็กขี้เกียจเรียนแบบผมนี้ถึงไปเรียนที่ไหนก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไร เพราะถึงอย่างไรอีกหน่อยเมื่อถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ก็คงสอบอะไรไม่ติดอยู่ดี เพื่อนสนิทก็มีไม่กี่คน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอาลัยอาวรณ์โรงเรียนนี้นัก แต่อย่างหนึ่งก็คือผมมักรู้สึกอยู่เสมอว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนของผม แต่กับที่บ้านของคุณลุงคุณป้า ผมกลับไม่มีความรู้สึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านของผมเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลอีกประการหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่า ผมยังมีความหวังอยู่ลึกๆว่าผมอาจมีโอกาสได้พบกับไอ้นัยอีก เผื่อว่ามันเรียนไม่ไหวหรือป่วยหนัก มันอาจต้องย้ายกลับมาเรียนที่เมืองไทย ถ้าผมยังอยู่แถวนี้ก็คงมีโอกาสได้เจอมัน แต่ถ้ากลับไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วโอกาสที่ผมจะได้พบมันอีกคงไม่มีเลย

บ่ายวันหนึ่ง เมื่อโรงเรียนเลิก หลังจากไปดูจดหมายที่ห้องธุรการตามปกติ ผมรู้สึกเบื่อหน่าย แค่คิดว่าเดี๋ยวจะต้องกลับบ้านก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว

ไปที่สหกรณ์ดีกว่า ผมคิด รู้สึกอยากเถลไถลสักเล็กน้อยก่อนกลับบ้าน

ที่สหกรณ์ วันนั้นผมไม่เห็นบอยเลย แต่เป็นนักเรียนคนอื่นคอยให้บริการแทน

“บอยไม่มาเหรอน้อง” ผมถามนักเรียนแว่นที่คอยรับหน้าลูกค้า

“วันนี้เวรผมฮะ” เด็กรุ่นน้องตอบ “ของไอ้บอยพรุ่งนี้”

เมื่อไม่พบบอย ผมจึงเดินออกมาโดยไม่ได้ดูหนังสืออะไรเลย ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะผมรู้ดีว่าถึงไม่ใช่เวร บอยก็มักมานั่งเล่นที่สหกรณ์และช่วยโน่นช่วยนี่เสมอ วันนี้ทำไมไม่มา

ขณะที่ผมเดินลงบันไดตึกนั่นเอง นักเรียนคนหนึ่งก็วิ่งสวนขึ้นมา ไอ้น้องบอยนั่นเอง ท่าทางบอยรีบร้อนจนไม่ได้สังเกตว่าเป็นผม

บันไดไม่กว้างนัก เมื่อบอยเบียดตัวผ่านผมไป ผมนึกอยากแกล้งมันขึ้นมาก็เลยกางแขนรั้งเอวมันเอาไว้

“โอ๊ย ใครแกล้งวะเนี่ย” ไอ้น้องบอยชะงัก วิ่งต่อไปไม่ได้ และร้องเอะอะในวงแขนของผม

บอยตัวเล็กกว่าผมพอสมควร ลำตัวเล็กกะทัดรัดและอบอุ่นของมันแนบชิดอยู่กับลำตัวของผม ในวูบหนึ่งของความคิด ผมเผลอนึกไปว่าผมกำลังกอดไอ้นัยอยู่

“อ้าว พี่อูนี่เอง” เสียงบอยกระชากให้ผมตื่นจากภวังค์ “นึกว่าใครมาดักแกล้งเสียอีก”

ผมคลายมือจากเอวของบอย “เอ็งนี่โจทก์เยอะจนมีคนมาดักแกล้งเลยเหรอ แสดงว่ากวนตีนไปทั่วละสิ”

“แหม พี่ก็” ไอ้น้องบอยหัวเราะฮิฮะ “ไม่ได้กวนใครสักหน่อย กวนแต่พี่อูนั่นแหละ ว่าแต่พี่อูดูผอมไปนะ”

“เอ็งจะรีบไปไหนวะ เวรก็ไม่มี” ผมถาม รู้สึกอารมณ์สดชื่นอย่างประหลาดเมื่อได้เจอไอ้น้องบอย

“พี่รู้ได้ไงอะ” บอยกะพริบตาถามอย่างสงสัย

“ก็เมื่อกี้พี่ไปสหกรณ์มา” ผมตอบ “วันนี้ในเมื่อไม่มีเวร อยากกินของฟรีไหม”

ไอ้น้องบอยตาโตทันที “เอาดิพี่ ของฟรีใครจะไม่เอา”

“งั้นไปโรงอาหารกัน” ผมชวน

ที่โรงอาหาร บอยสั่งขนมมาเพียบตามเคย กินไปก็คุยไป ส่วนผมก็ซื้อน้ำหวานและขนมนิดหน่อยมากินเป็นเพื่อน รู้สึกอิ่มอย่างไรชอบกล ไม่อยากกินเท่าไร ส่วนใหญ่นั่งฟังมากกว่า ฟังไปก็ดูเวลาไป

“วันนี้พี่อูรีบเหรอ” บอยถาม “เห็นเอาแต่ดูนาฬิกา”

“ฮื่อ นิดหน่อย รีบกลับบ้านน่ะ” ผมตอบ เพียงแค่นึกถึงบ้านผมก็รู้แปลกๆขึ้นมา ผมไม่อยากกลับบ้านเลย

ผมนั่งฟังบอยคุยได้อีกสักครู่ก็รู้สึกแน่นท้องขึ้นมา พร้อมทั้งรู้สึกคลื่นไส้ จากนั้นก็รู้สึกปวดท้องตามมา

“เฮ้ย บอย รอพี่เดี๋ยว พี่ฝากเป้ไว้ก่อน” ผมพูดกับบอยพลางลุกขึ้น

“พี่อูจะไปไหนอะ” บอยงง

“จะไปขี้” ผมตอบ พลางรีบไปซื้อกระดาษชำระที่ร้านค้าและตรงไปที่ห้องส้วมใกล้โรงอาหารทันที

ขณะที่ผมอยู่ในส้วม ผมรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียน หลังจากเข้าส้วมเสร็จ แม้ว่าอาการปวดท้องดีขึ้น แต่อาการคลื่นไส้กลับรุนแรงยิ่งขึ้น จนผมต้องไปอ้วกที่อ่างล้างมือ

อาหารและน้ำที่เพิ่งกินเข้าไปถูกคายออกมาจนหมด ผมอ้วกออกมาจนรู้สึกเปรี้ยวไปทั้งปากและลำคอ

เมื่อผมกลับไปที่โรงอาหาร บอยนั่งคอยผมอยู่ ขนมเบื้องหน้าบอยถูกมันกินจนเรียบ เพียงผมเห็นจานอาหารบนโต๊ะและได้กลิ่นอาหารที่อบอวลอยู่ในโรงอาหาร ผมก็รู้สึกอยากอ้วกขึ้นมาอีก

“พี่อูท้องเสียเหรอ” บอยถามเมื่อผมกลับมานั่งที่โต๊ะ

“ฮื่อ นิดหน่อย” ผมตอบ “พี่ว่าพี่กลับบ้านก่อนดีกว่าว่ะ”

“กลับก็ได้พี่ บอยอิ่มแล้ว” บอยทำหน้าทะเล้น

หลังจากที่แยกจากบอยแล้ว ผมก็รีบกลับบ้าน แต่ขณะที่อยู่ในรถเมล์นั้นเอง ผมก็รู้สึกคลื่นไส้และปวดท้องขึ้นมาอีก ผมพยายามอั้นเอาไว้เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่สบาย ถ้าลงไปเข้าส้วมกลางทางเมื่อขึ้นรถเมล์อีกครั้งก็คงไม่ได้นั่ง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะยืนจนถึงบ้านไหวหรือเปล่า เลยทนอั้นเอาไว้ดีกว่า

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมสวัสดีคุณลุงคุณป้า จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นข้างบนไป ผมทั้งอ้วกและทั้งถ่ายอีก คราวนี้อ้วกจนปากขมไปหมด ถ่ายจนไม่มีอะไรออกมา มีแต่ลมและอาการปวดท้อง

“อู เป็นอะไรหรือเปล่า” คุณป้าถามเมื่อผมกลับลงมาข้างล่าง

“อูท้องเสียนิดหน่อยครับ” ผมตอบ

คุณป้าก็ซักไซ้ไล่เรียงอาการเสียยกใหญ่ ซึ่งผมก็โกหกเพื่อให้อาการดูเหมือนว่าไม่มีอะไรมาก จากนั้นคุณป้าก็ให้ผมกินยาแผนโบราณ ดูเหมือนจะชื่อยาตราตกเบ็ด ตัวยาเป็นเม็ดเล็กๆ กินทีหนึ่งสิบกว่าเม็ด

ผมพยายามกินอาหารตามปกติ เพราะถ้ากินน้อยเดี๋ยวคงต้องโดนซักอีก ช่วงนี้ผมจะทำอะไรให้ผิดปกติไปไม่ได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงว่าผมจะไม่ได้เรียนที่กรุงเทพฯอีก

หลังกินอาหารเสร็จ ผมรู้สึกผะอืดผะอมอย่างที่สุด แต่ก็ฝืนทนและเก็บโต๊ะล้างจานจนเสร็จเรียบร้อยจึงขึ้นห้องนอน เมื่อไปถึงชั้นบน ผมก็ล้วงคอเพื่อให้อ้วกออกมาเนื่องจากทนผะอืดผะอมคลื่นไส้ไม่ไหว

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากได้นอนมาทั้งคืน อาการต่างๆดูเหมือนจะทุเลาลง ผมรีบอาบน้ำ แต่งตัว กินอาหาร ซึ่งเช้านี้ไม่รู้สึกคลื่นไส้แล้ว จากนั้นก็รีบไปโรงเรียน

เหตุการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเกือบตลอดทั้งวัน จนตกบ่าย ก่อนเริ่มคาบเรียนสุดท้าย ผมก็รู้สึกคลื่นไส้และปวดท้องขึ้นมาอีก ก็ไปเข้าส้วมและล้วงคอให้อ้วกเพื่อให้หายอึดอัด หลังจากนั้นเมื่อกลับถึงบ้านตอนค่ำ อาการเดิมก็กลับมาอีก

จนวันที่สาม ตกบ่ายอาการปวดท้องและคลื่นไส้ก็กลับมาอีก ผมทั้งถ่ายและอ้วกจนรู้สึกเพลีย ประกอบกับขี้เกียจเรียนอยู่แล้วด้วย จึงคิดว่าไปนอนพักผ่อนที่ห้องพยาบาลดีกว่า

ที่ห้องพยาบาล พยาบาลผู้อารีคนเดิมกล่าวทักทายเมื่อเห็นผม

“ไม่สบายอีกแล้วเหรอ” พยาบาลทัก “ชื่ออะไรนะ แจ้ใช่ไหม”

“ชื่ออูครับ” ผมแก้ให้

“จ้ะ นั่นแหละ จำได้ว่านักเรียนชื่อเป็นไก่อะไรสักอย่าง” พยาบาลยิ้มอย่างใจดี “วันนี้เป็นอะไรล่ะ”

“ผมอาเจียนแล้วก็ท้องเสียครับ” ผมตอบ

หลังจากที่ซักอาการสักครู่แล้ว พยาบาลก็ถามว่า “เครียดเรื่องสอบอยู่หรือเปล่า”

ผมอึ้งไป คำถามนี้ตอบได้ยาก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว จะว่าไปก็กังวลกับการสอบอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเทอมนี้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร แต่ก็เครียดกับเรื่องอื่นด้วย เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

“ก็มีส่วนครับ” ผมตอบ แล้วถามกลับ “อาจารย์ถามทำไมเหรอครับ”

“อ้อ ยังมีเรื่องอื่นอีกด้วยเหรอ” พยาบาลถามอีก “ก็จากอาการที่เล่ามา ครูคิดว่าอูเครียดน่ะ อาการพวกนี้เป็นผลมาจากความเครียดหรือวิตกกังวล ก่อนสอบนักเรียนบางคนก็จะมีอาการแบบนี้ พอสอบเสร็จแล้วอาการก็จะหายไป”

“แล้วรักษาไม่ได้เหรอครับ” ผมถาม ฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่ามีเรื่องทำให้ต้องวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมาอีก

“ถ้าอาการนิดหน่อยก็หายเองได้ แต่ถ้าถึงขั้นรบกวนมากๆก็ต้องไปหาหมอ เพราะหมอจะได้ตรวจให้ละเอียดว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ จะได้รักษาได้ถูกต้อง” พยาบาลตอบ

สรุปก็คือตอนนี้ให้ผมนอนพักไปก่อน

ต่อมาในที่สุดผมก็ปิดบังคุณลุงคุณป้าเรื่องอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนกับท้องเสียไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าเมื่อผมกลับจากโรงเรียนจะต้องรีบเข้าห้องน้ำทุกวัน อีกทั้งยังเข้าครั้งละนานๆ นอกจากนี้ น้ำหนักผมยังลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนสังเกตว่าผมผอมลงไปมาก ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าน้ำหนักของผมลดลงไปเท่าไร รู้แต่ว่ากางเกงหลวมขึ้นและต้องรัดเข็มขัดให้แน่นเข้ามาอีกหนึ่งรู นอกจากนี้ในวันหลังๆยังมีอาการนอนไม่ค่อยหลับและฝันร้ายตามมาอีกด้วย

คุณลุงพาผมไปหาหมอที่คลินิก หลังจากที่หมอตรวจและซักถามอย่างละเอียด ก็มีความเห็นคล้ายๆกับพยาบาลที่โรงเรียน ว่าอาการของผมนั้นน่าจะเกิดจากความเครียดและวิตกกังวล

“อูเครียดเรื่องอะไรกันน่ะ” คุณป้าซัก “เรื่องสอบหรือเปล่า แต่ เอ... สอบมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเป็นแบบนี้นี่” คุณป้าถามเองตอบเองเสร็จ

“ก็... ไม่ได้เครียดเรื่องอะไรนี่ครับ” ผมตอบ

หลังจากถูกคุณลุงคุณป้าซักไซ้ไล่เรียง ผมก็ตอบแต่เพียงว่าไม่ได้เป็นอะไร ในที่สุด ทั้งสองก็เอือมระอาและเลิกถามไปเอง แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าคุณลุงคุณป้าคงรายงานให้ทางบ้านของผมรู้ เพราะว่าช่วงนั้นแม่โทรมาหาผมบ่อยๆ พยายามซักถามอาการของผมเป็นประจำ พ่อก็คุยกับผมเหมือนกันแต่ว่าไม่บ่อยเท่ากับแม่

- - -

อาการท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ยังคงเกิดกับผมอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ถึงกับทำให้นอนซมทำอะไรไม่ได้ แต่ก็รบกวนชีวิตและทำให้รู้สึกทรมาน โชคยังดีที่อาการนอนไม่หลับกับฝันร้ายเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ไม่อย่างนั้นคงต้องทรมานมากกว่านี้

คืนหนึ่งในตอนกลางเดือน ตอนนั้นใกล้สอบมากแล้ว ผมถูกตามตัวให้ไปรับโทรศัพท์ในตอนกลางดึก ผมลงไปรับโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่น ส่วนคุณลุงและคุณป้าเลี่ยงออกไป

“ฮัลโหล อู เป็นไงบ้าง” เสียงแม่นั่นเอง น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

“ก็ไม่เป็นไรนี่แม่” ผมพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ใครถามก็บอกว่าไม่เป็นไรเอาไว้ก่อน

“อู แม่มีเรื่องจะบอกนะ ลูกฟังให้จบก่อนนะ อย่าเพิ่งโวยวาย” แม่พูด พร้อมกับดักคอผมเอาไว้ก่อน

ผมสังหรณ์ใจวูบทันที

“ป๊ากับแม่ปรึกษากันแล้วนะ คิดว่าอยากให้อูมาเรียนใกล้บ้าน” แม่พูด

“อ้าว ทำไมแม่เห็นด้วยแล้วล่ะ” ผมงง “อูอยู่ที่นี่ช่วยงานได้เยอะนะแม่ อูทำงานเรียบร้อยขึ้น กลับบ้านเร็วขึ้น ช่วยงานได้มากขึ้น ถ้าอูไปแล้วใครจะอยู่ช่วยงานที่นี่” ผมรีบอ้างเรื่องความจำเป็นที่ต้องมีคนช่วยทำงานบ้านทางนี้เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่ยังหาทางออกไม่ได้อยู่

“คุณลุงกับคุณป้าเค้าเห็นว่าอู... เอ้อ... เปลี่ยนไปมาก เดี๋ยวนี้กลับมาก็ทำงานบ้านเหมือนคนบ้า ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พูดไม่จา ซ้ำยังมีอาการเครียด ท้องเสีย อาเจียนเรื้อรังอีก คุณลุงคุณป้าเค้าก็เป็นห่วง กลัวว่าจะดูแลอูไม่ไหว ป๊ากับแม่เองมาคิดดูอีกทีแล้วก็เห็นว่าถ้าอูกลับมาอยู่ทางนี้ คุณลุงคุณป้าจะได้ไม่ต้องคอยห่วงกังวลเรื่องสุขภาพของอู เราสี่คนปรึกษากันแล้วก็เลยคิดว่า...” แม่ร่ายยาว

“ไม่เอา อูไม่กลับไปเรียนที่บ้าน” ผมตอบสวนไปทันที ดูเหมือนผมจะทำอะไรผิดอีกแล้ว กลายเป็นว่าความขยันทำงานบ้านของผมทำให้ผมดูเหมือนคนที่มีอาการทางจิตมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่แม่กล่อมผมอยู่นาน ผมก็ปฏิเสธไม่ยอมกลับไปท่าเดียว

“เรื่องนี้ตามใจอูไม่ได้แล้วนะ ผู้ใหญ่เค้าคุยกันเรียบร้อยแล้ว ยังไงอูก็ต้องกลับละ” เสียงแม่ชักจะออกอารมณ์บ้างเหมือนกัน

“อูไม่กลับหรอกแม่ ถ้าบังคับกันมากๆอูจะหนีไปอยู่ที่อื่น” ผมเริ่มขู่

“เฮอะ ที่บ้านไม่ส่งเงินให้เสียอย่างจะไปไหนรอด” แม่สวนกลับทันที

“อูไปอยู่วัดก็ได้ มีที่อยู่ มีข้าวกิน” ผมเอาไม้ตายตอนที่อยู่ชั้น ป.๖ ซึ่งเคยใช้ได้ผลมาแล้วออกมาใช้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนกับว่าคราวนี้จะไม่ได้ผล

“อูเลิกคิดบ้าๆเสียที” แม่พูดเสียงเข้ม “รู้ไหมป๊ากับแม่กลุ้มใจเรื่องอูขนาดไหน พอรู้ว่าอูไม่สบายป๊ากับแม่เองก็กินอะไรไม่ลง นอนก็ไม่หลับ อูรู้บ้างหรือเปล่า อูต้องเห็นใจป๊าเค้าบ้างนะ ช่วงนี้ป๊ามีเรื่องกลุ้มใจหลายเรื่อง...”

“ก็ป๊าโลภเองนี่” ผมโพล่งขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าแม่หมายถึงเรื่องอะไร

“นี่ อู อย่าพูดแบบนี้นะ” แม่ตวาดผมมาในโทรศัพท์ทันที “อูไปว่าป๊าแบบนี้ไม่ได้นะ รู้หรือเปล่าว่าป๊าทำงานเหนื่อยยากทุกวันนี้เพราะใคร ก็เพราะต้องการสะสมสมบัติเอาไว้ให้เอ๊ดกับอู จะได้ไม่ต้องลำบาก เค้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยนะ เค้าทำเพื่อลูก เข้าใจไหม อูพูดแบบนี้ถ้าป๊าได้ยินต้องเสียใจมาก เฮ้อ... ไม่น่าเล่าให้ฟังเลยจริงๆ”

“ก็... ไม่ต้องลำบากมากก็ได้ อีกหน่อยอูก็ทำงานหาเงินเองได้” ผมเสียงอ่อย รู้สึกเสียใจกับคำพูดของตนเอง “จะหาไว้ให้อูมากๆทำไมกัน”

“อีกหน่อยเมื่ออูเป็นพ่อคนอูก็จะเข้าใจ” แม่ถอนหายใจ พูดด้วยเสียงที่อ่อนลงเช่นกัน

ผมฟังคำพูดนี้แล้วก็ผ่านหูไป ไม่ได้ติดใจคิดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าในที่สุดลูกของแม่คนนี้ก็เหมือนต้องคำสาปให้ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่ว่านี้ได้

“อูไปคิดดูแล้วทำตามที่แม่บอกนะ” เสียงแม่สำทับมา “เราโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อูต้องคิดถึงคนอื่นบ้าง คิดถึงคนที่รักอูบ้าง ว่าเค้ากลุ้มใจกันขนาดไหนที่เห็นอูเป็นแบบนี้ ถ้าอูดื้อก็เท่ากับว่าอูเห็นแก่ตัว อูทำร้ายคนที่รักอู”

คำพูดประโยคสุดท้ายของแม่เหมือนกับจี้ถูกใจดำของผม จริงสินะ ผมทำร้ายคนที่ผมรักและคนที่รักผมมาแล้วมากเท่าไร ไอ้นัยคงตอบคำถามนี้ได้ดี ผมรู้สึกเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกไปจนหมด ผมไม่เหลือทางให้ต่อสู้ดิ้นรนได้เลยจริงๆ…




<หนังสือหัดอ่านในระดับชั้น ป.๒ เรื่องนกกางเขน เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบในวัยเด็ก จำไม่ได้แล้วว่าผมเรียนเองหรือว่าเอาของเอ๊ดมาอ่านกันแน่ เพราะว่านานมากแล้ว เนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนกกางเขนที่ประกอบด้วยพ่อนก แม่นก และลูกนกสี่ตัว แสดงให้เห็นถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก รวมทั้งกล่าวถึงคนที่ไร้ความปรานีต่อสัตว์ เป็นหนังสือที่ผมอ่านแล้วต้องเสียน้ำตา และทำให้เริ่มเรียนรู้ว่าโลกนั้นแฝงไว้ด้วยความโหดร้าย ไม่ได้สวยสดงดงามอย่างที่คิดฝันเอาไว้>

37 comments:

Anonymous said...

(^_^)ที่1 แล้วอรุณสวัสดิ์ครับลุง

Anonymous said...

เครียดจนมีอาการแบบนั้นนี่น่าเป็นห่วงจังครับ
แต่ที่บ้านก็ไม่น่าทำถึงขนาดนั้นเลย
กลายเป็นเราไม่มีสิทธิเลือกทำอะไรเลย

รออ่านตอนต่อไปครับ

S.Silver

Anonymous said...

(-_-)ที่1 กินอิ่มแล้วครับอ่านตอนแรกรู้สึกอินจังที่ลุงบอกว่าอาลัยรร.
http://www.youtube.com/watch?v=qE2ojpkuH4M&feature
ตอนต่อมาท้องเสียนี่ม่าจะชงยาอะไรก็ไม่รู้ให้ผมกินสีนำตาลขมๆกินแล้วร้อนคอเหมือนซูชิเลยครับ
ตอนท้ายๆนี่นึกว่าจะดีขึ้นแล้วน่าลุงน้องบอยอยู่ในอ้อมกอดแล้วเชียวต้องจากกันแล้วจริงๆเหรอครับ ม่ายอาวววววม่ายปลื้มงอลล

Anonymous said...

มาตอกบัตรไว้ก่อนครับ

ชู

naja said...

ทำไมชีวิตพี่อูถึงได้กดดันขนาดนี้นะเนี่ยยย

Anonymous said...

พี่ชูมา "ตอกบัตร" ผมมา "ตอกใจ" นะครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อ่านละครับ

เครียดจนลงกระเพาะเลยนะ

แอบเสียดายน้องบอยเล็กๆ แหะๆๆๆ

สู้ๆครับ

หลานหนิง

nai said...
This comment has been removed by the author.
nai said...

สวัสดีครับ อู ไม่หลับไม่นอนเลยหรือ หรือเพิ่งตื่นนอน มา Post ตอนตี่สีกว่า ๆ ของวันอาทิตย์

ระวังสุขภาพด้วยละกันครับ ผมว่า 2-3 ตอนที่ผ่านมา น่าเป็นช่วงที่ หนักสุดสุดของอูก็ได้นะ ระวังเขียนไปเคียดไป แล้วเป็นเหมือนตอนนี้อีกครับ

ผมเชื่อว่าทุกปัญหา มีทางออกเสมอ เพียงแต่เราจะมองเห็นเมื่อไร และยอมรับกับทางออกนั้น ๆ หรือเปล่า

เด็กอายุ 15-16 ออกอาการขนาดนี้ผู้ใหญ่ที่ไหนจะมองไม่ออก เมื่อก่อนผมก็เชื่อสามารถปกปิดสิ่งที่ไม่อยากให้ผู้ใหญ่รู้ได้ แต่ปัจจุบันมาเป็นผู้ใหญ่ซะเองก็เลยรู้ว่า จริงๆแล้วผู้ใหญ่รู้แล้วแต่จะพูดหรือเปล่า หรือกำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่เท่านั้น

เป็นกำลังใจให้ครับ
Nai

ปล.
พี่ชู ที่ตอบมายังอ่านงงๆ อยู่ แล้วค่อยคุยกันครับ

พี said...

ตอนนี้มีสีสัน หลากหลายหน่อย ช่วงนี้น่าเป็นช่วงที่หนักสุดๆ ของอูแล้ว หวังว่าสถานะการณ์ต่อๆไปคงดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไร บางอย่าง ถ้าผมเดา คงไม่ได้รร. เพราะไม่งั้น น้องบอย หรือเพื่อนๆ คนอื่น คงไม่มีบทต่อไป

+ P +

Bomber_Boy said...

พี่อู พี่ชู ....
ผมอกหักอ่ะครับ ทำไงดี
เป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยอ่ะ ...เศร้าจังครับ
__________
Bomber_Boy

Anonymous said...

เด็กวางระเบิดถ้าไม่สบายใจก็เขียนมาคุยกันได้ครับ

อู

yo408 said...

คราวนี้โพสเรื่องเช้า ทำให้พลาดติดท๊อปเทนเลยแฮะ

ชักอิจฉาคนมีเรื่องเครียดตอนมัธยมซะแล้วสิ ผมนี่กลับไม่มีเรื่องเครียดเลย สนุกสนานไปวันๆ

Anonymous said...

มารายการตัวครับ
IC

Choo said...

ชอบที่หลาน arus เขียนมากๆ กระสุนเดียวได้นกสองหัว เอ้ย..สองตัว ป่านนี้อาอูละลายไปแล้ว ส่วนผมหลานเรียก “พี่ชู” โอ้ เป็นคำกล่าวที่ไพเราะมากๆ 555 อาอูแก่ไปคนเดียวนะครับ

เด็กวางระเบิด ไงวางระเบิดตัวเองซะได้ ใจเย็นๆ ครับ ทุกปัญหามีทางออก เขียนระบายให้พี่อูฟัง แล้ว cc. มาให้พี่ด้วยก็ได้นะครับ mail พี่มีไหม บอกใหม่ละกัน ar.choo.krub@gmail.com ยินดีรับฟังทุกปัญหาครับ แก้ได้หรือเปล่าอีกเรื่องนึ่งนะครับ

คุณโย ทำไมอยากอะไรแปลกๆ ละครับ “การไม่มีทุกข์ คือลาภอันประเสริฐ” นะครับ ท่องไว้ 555

ตอนนี้ยาวดีครับ แต่ผมเห็นต่างจากนัยกับพีนะ ผมว่ายังไม่หมดยังเศร้าต่อได้อีกหลายตอนแน่ๆ เลย ไม่งั้นเสียยี่ห้ออูหมด เมื่อคืนวันเสาร์ผมยังร่าเริง ฮาเฮอยู่เลย พอมาอ่านตอนนี้ในช่วงบทสนทนาระหว่างอูกับคุณแม่ ที่พูดถึงความรักความห่วงใยของพ่อแม่ ไม่รู้ทำไมน้ำตาร่วงเลย ผมว่ามัน Classic เข้าใจหัวอกของพ่อแม่เลย แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นด้วย มันมักจะเป็นเส้นขนานกัน

ไม่ว่ายุคไหน ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยของผู้ใหญ่กับวัยรุ่น ยังเป็นปัญหาโลกแตกต่อไป เห็นด้วยกับนัยไหน จริงๆ ผู้ใหญ่ดูออกว่าลูกวัยรุ่นของตนเองเป็นอย่างไร แค่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น รวมถึงเรื่องการเบี่ยงเบนฯ ก็ไม่เว้นครับ

เรื่องราวต่อไปไม่เดาแล้วครับ ไม่เคยถูกเลย ผับผ่าซิ
ชู

Anonymous said...

อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกรวมทั้งมุมมองของทั้งสองฝ่ายเลย แต่ว่าจะหาทางออกกันยังไงนี่สิ เดาไม่ถูกเลย จะให้ดีพร้อมทั้งสองฝ่ายคงไม่ได้

dodo said...

มาแล้ววววววววววววว
พื่งเข้ามาเจอ มะได้เข้ามาตั้ง นาน
เด๊ะ ไป อ่าน ก่อน ละ

โดโด้ คร๊ฟฟฟฟฟฟฟ
(พี่ หนิงไปลงเลื่อง ต่อที่ ฟามเป็ดด้วยนะครัฟฟฟ รออ่านอยู่นะ)
LAOS FANCLUB

Anonymous said...

สวัสดี ครับ อู

ไม่เคยคิดว่าอูจะกล้าเอาเรื่องนี้มาเล่า
แล้วก็เล่าเรื่องได้ดีถึงเพียงนี้
อ่านแล้วนึกถึงภาพอู ตอนมัธยมได้ดีเลย
+++++++++++++++++++++++++

แต่ตอนนี้ก็ถึงทางตันของผู้อ่านแล้ว
อูต้องรีบผ่าทางตันให้ คนอ่านด่วน นะครับ
แอบอ่านมานานแล้ว แล้วก็จะรออ่านต่อไป

ขอบคุณครับ สำหรับสิ่งที่อูทำให้...พวกเรา
บูรณ์
Sep 8, 09

Anonymous said...

บูรณ์นี่ใครกันครับ พูดเหมือนกับรู้จักผมเลย ชักหนาวแล้วสิ ยิ่งกลัวคนรู้จักจำได้อยู่ด้วย

เด็กวางระเบิดสงสัยจะแย่ หายเงียบไปเลย ส่งข่าวมาบ้างนะครับ เขียนไปคุยกับพี่ชูบ้างก็ได้เผื่อจะสบายใจขึ้น

แต่ผมสังหรณ์ใจว่าพี่ชูจะไม่ใช่อาวุโสสูงสุดในบล็อกนี้เสียแล้ว สงสัยว่าจะมีพี่รุ่น ม.ศ. 5 อยู่ด้วย คือสมัยก่อนมัธยมปลายจะเป็นระบบ 5 ปี ม.ศ.1 ถึง ม.ศ.5 ก็ดีครับ มีพี่ๆน้องๆ อบอุ่นใจดี

ที่จริงเรื่องที่พ่อกับแม่จะเอาผมกลับบ้าน พอโตแล้วมาย้อนคิดดู ผู้ใหญ่ที่เอาใจใส่ลูกก็คงต้องทำแบบนั้น เพราะตามหลักแล้วถ้าเด็กมีปัญหาสุขภาพจิตก็ควรได้รับการดูแลและเยียวยาจากครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าไม่คิดทำอะไรเลย ปล่อยไปเรื่อยๆนี่สิครับ ดูจะแชเชือนไปหน่อย แต่ในฐานะเด็กก็คงยอมรับได้ยาก ดังนั้นแม้หลักการจะถูก แต่วิธีดำเนินการทำอย่างไรจึงจะละมุนละม่อมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สมัยนั้นค่านิยมเรื่องไปพบจิตแพทย์ยังไม่ค่อยดีเท่าไร คนทั่วไปยังมองว่าการไปพบจิตแพทย์แสดงว่าสติไม่ดีแล้ว ยกเว้นพ่อแม่หัวสมัยใหม่จริงๆ แต่ในปัจจุบันทัศนคติเกี่ยวกับการไปพบจิตแพทย์เปลี่ยนไปมาก ผู้ปกครองสามารถพาเด็กไปหาจิตแพทย์ได้โดยไม่ต้องเกรงว่าใครจะนินทาเสียๆหายๆ ถ้าอยู่ในสมัยนี้ผมคงได้ไปหาจิตแพทย์แล้ว

อูไม่มีทางออกอะไรแล้วครับ ยังไงก็ต้องกลับไปเรียนที่บ้าน ต่อรองอะไรไม่ได้แล้ว ยกเว้นจะหนีออกจากบ้านเท่านั้นแหละ ตอนหน้าก็คงทราบว่าผมจะเลือกหนทางสุดท้ายหรือเปล่า

อู

Anonymous said...

อาอูหนีออกจากบ้านเลยค้าบบบบบบบ ไปยุบ้านเพื่อนไง เปนผมผมก้คงหนีไปยุบ้านเพื่อนอ่ะ แต่ยังดีที่ผมไม่ได้ทะเลาะกะพ่อแม่เท่าไรนัก แต่ถ้าเกิดเรื่องแรงมากจริงๆจนผมทนไม่ไหวก้หนีเอาล่ะคับ รอให้ทั้งผมทั้งพ่อกะแม่อารมเยนกันก่อนแล้วค่อยกลับมาคุยกัน แก้ปัญหากัน แต่จะว่าไปจริงๆ ผมก้ไม่เคยทะเลาะรุนแรงขนาดนั้นนะคับ ส่วนใหญ่ที่ทะเลาะรุนแรงนี่ก้กับเพื่อนทั้งนั้น พักนี้เหนื่อยใจคับ เพื่อนทะเลาะกันบ่อยมาก ผมเองก้ยุในวงนั้นซะด้วย วันนี้ก้ทะเลาะกันคับ ไม่รุจะมีปันหาอะไรกันมากมาย ทั้งๆที่อาจจะได้ยุด้วยกันเปนปีสุดท้ายแล้วแท้ๆ พอจบไปอาจจะย้อนกลับมาคิดว่าตอนนั้นน่าจะรักันเอาไว้


ปล.ขอบคุณครับที่มาเขียนต่อให้
ปล.2ช่วงนี้ผมไม่ได้หายไปไหนนะคับ ยังตามอ่านๆยุ เพียงแต่ยุในลักษณะแอบอ่าน เนื่องจากใกล้สอบแล้วพ่อแม่เลยไม่ค่อยให้เล่นคอมเยอะ อ่านก้ต้องรีบอ่านคับ ไม่มีเวลามาโพส เพราะถ้าพ่อแม่เหนเดะเปนเรื่อง

Sea~~!!

saturn said...

นี่แหละนะ ชีวิตของคนเรานี่และที่ทั้งทุกทั้งสุข จะกดชัตเตอร์ให้หยุดเอาไว้เหมือนภาพถ่ายก้อทำไม่ได้
เพลง aloha oe ถึงแม้สั้นเพียงชัววินาที แต่ความหมายกับมากเกินความยาว ถ้าเปงไปได้ ผมก้อภาวาให้คุนเจอคนทีคุนรักอีกครั้ง หรือตลอดไป ก้อได้
เพราะผมก้อรอคนที่ผมรักเช่นกัน

Choo said...

เนื่องในโอกาส ๙ ทวีคูณ วันที่ ๙ เดือน ๙ ปี 0๙

ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุณงานความดี บุญกุศลต่างๆ ที่กระทำมาในอดีต จงดลบันดาลให้ อู พี่ๆ น้องๆ หลานๆ ที่ติดตามเรื่องนี้ ทั้งที่ช่วยคอมเมนต์หรืออ่านอย่างเดียว ให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ทั้งการงาน การเงิน ครอบครัว สุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตผ่องใส ยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ

สาธุ

ชู

Anonymous said...

อ่านments ที่น้องๆหลานๆเขียนมาแล้วจะเห้ฯความแตกต่างได้ ในสมัยก่อนการจะหนี้ออกจากบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำกัน แต่สมัยนี้ผิดใจนิดเดียวก็จะหนี้ออกจากบ้านแล้ว ขอให้คิดกันยาวๆหน่อย แต่ก็อีกนั้นแหละ ถ้าพ่อแม่ใกล้ขิดลูกมากเรื่องที่จะคิดหนี้ออกจากบ้านง่ายๆก็คงจะไมมี จริงๆแล้วเป็นความเข้าใจกันระหว่างพ่อแม่กับลูกว่าจะมีความเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน

..................

ไม่ได้ ments มาหลายตอนแล้ว ได้แต่อ่านเรื่องเพียงอย่างเดียว ยังตืดตามและ เฝ้าอ่านเป็นกำลังใจอยู่
ments 42

Anonymous said...

เลขสวยดีนะคับ วันที่9เดือน9ปี2009 วันนี้รร.ผมเค้าก้ให้มาร้องเพลงสรรเสริญฯกับสดุดีฯตอน9โมง9นาที เหนเค้าบอกว่เปนโครงการของนายก ให้ทำทั่วประเทศ รร.อื่นก้น่าจะทำกันหมดนะคับ ขอให้ในหลวงของเรามีความสุข อยากให้ประชาฃนเราเลิกทะเลาะกัน กลับมารักกันให้เปนชาวไทยด้วยกันเหมือนเดิม อย่ามีเสื้อเหลือง-แดงเลยคับ ให้ในหลวงท่านได้สุขใจบ้าง

พอดีผมเล่นเทนนิสคับ เลยติดตามดูusopenยุช่วงนี้ ตะกี้ไปอ่านมาในเวบน่าตกใจ มีสาวน้อยมหัศจรรย์อายุแค่ 17 ปีเท่านั้นฃื่อ เมลานี่ อูดิน เข้ารอบควอเตอไฟนอลได้ทั้งวิมเบิลดันกับรายการนี้ รวม 2 รายหารนี้ล้มทอป10ไปแล้ว3คนแน่ะ เค้าบอกว่าเปนสถิติที่ทำได้เทียบเท่ากับ เซเรนา วิลเลี่ยมส์ ในปี1999 เอาใจช่วยคับๆ

ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพกันดีๆนะคับ ออกกำลังกายกันหน่อยนะ เดะโรคร้ายจะถามหา ไม่รุทำไมไม่มีข่าวหวัด 2009 เท่าไรเลย สมเปนคนไทย ตื่นตูมกันพักเดียว ไม่รุป่านนี้จำนวนผู้ติดเชื้อเท่าไรแล้ว - -

ปล.วันนี้วันดีมีความสุขกันทุกๆคนนะคับ

Sea~~!!

พี said...

มารับพรจากพี่ชู....ครับ

ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขความเจริญเช่นๆกัน ในวัน ตองเก้า ปีนี้

+ P +

Anonymous said...

'ดี ครับอู

ผมไม่ได้เรียนที่เดียวกันกับอูครับ......
สบายใจได้

แต่ผมก็อยู่ในยุคเดียวกันกับอูน่ะครับ
เลยเพลินไปกับเรื่องเล่า ของอู

ไม่ต้องลำดับอายุหรอกนะกั๊บ เสียเวลาเปล่าๆ

อยากเสนอให้อู แพลมเรื่องนัย ออกอากาศ 20 ตอนล่วงหน้ามาสักครั้งดีมั๊ยครับ แล้วค่อยย้อนเล่าไปใหม่
เชื่อว่าหลายคน คงอยากให้มีลุ้น พอเพียงแค่ชุ่มฉ่ำ หัวใจ ได้บ้าง
ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ...เฮ้อ....อยากให้มี Scene ปลดปล่อยบ้างครับ

อย่างไรเสีย..ก็คงขึ้นอยู่กับ อูนะ ครับ

Always cheer U up
Boon

nai said...

เพื่อนร่วมรุ่นเพิ่มมา อีก 1 คนแล้ว สวัสดีครับ คุณบูรณ์ ผมชวนอยู่ในชมรมคนสูงอายุดีมั๊ย

พี่ชู อู คุณบูรณ์ ผม รวมกันแล้ว สัก 160 ปีเห็นจะได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณบูรณ์ น้องๆ คนไหนจะเข้าร่วมให้ครบ 200 ปี ก็ดีนะครับ

ขอบคุณครับ พี่ชู ที่มาอวยพรให้ ชาว blog ของอูทุกคน ผมขอให้พรส่งผลให้คนอวยพรมากเท่าทวีคูณครับ

ขอให้ สุขภาพดี มีเงินใช้ทุกคนครับ
Nai

Choo said...

เด็กวางระเบิด เงียบหายไปเลย พี่อูตามหาอยู่นะครับ ยังไงผมขอฝากเพลงนี้เป็นกำลังใจล่วงหน้าก่อนครับ สู้ โว๊ย

เพลง "มีความสุขหรือเปล่า" ของ Blackhead

http://mv.siamhits.com/musicvideo.php?vid=dc1c0191e

ชู

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของทุกคนครับ

ขอบคุณหลานทะเลที่แนะนำให้อาหนีออกจากบ้าน ถ้าตอนหน้าอาหนีออกจากบ้านจริงๆก็แสดงว่าเป็นผลมาจากความคิดของหลานนั่นเอง

หรือว่าต้องลองปรึกษา arus กับหลานที่หนึ่ง และหลานหนิงดูก่อนว่าน่าหนีออกจากบ้านดีไหม อ้อ ต้องลองถามความเห็นโดโด้อีกคนว่าวัยรุ่นทางนั้นจะเหมือนกับหลานทะเลหรือเปล่า

เรื่องเด็กของพีมีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า อยากให้พีสมหวังเหมือนกันครับ

ชมรมห้าคนสองร้อยพออยู่ไหว แต่ถ้าสามคนสองร้อยคงอยู่ด้วยในตอนนี้ไม่ไหวครับ ต้องรออีกสักระยะหนึ่ง พี่ ment 42 คงได้เป็นประธานชมรม แต่ดูก่อนครับ อาจมีคนตัดหน้าได้

ดีใจครับที่บูรณ์ไม่รู้จักผม ไม่อยากเจอเพื่อนเก่าในบล็อกนี้เลยครับ

ช่วงนี้หลานๆใกล้สอบกันแล้ว ตั้งใจดูหนังสือกันนะครับ หลาน arus อย่าตากฝนมาก หลานที่หนึ่งอย่ากินมาก และหลานทะเลก็อย่าซนมาก

ช่วงนี้ผมงานเยอะ อาจโพสต์ช้าไปสักนิด และถ้าลืมทักทายใครก็ขออภัยด้วยครับ

อู

Anonymous said...

ดีใจจังที่อูยังไม่ลืมสมาชิกคนนี้ ผมไม่ค่อยได้post เข้ามาเท่าไรเพราะต้องทำงานและบางทีก็ออกต่างจังหวัดด้วย แต่ก็ยังติดตามเรื่องของอู อยู่ตลอด เพราะทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆตอนที่เรียนอยู่ ขอให้อูมีความสุขบ้างเห็นมีแต่เรื่องเศร้าอยู่ตลอด คิดถึงนัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นอย่าวไร

เรื่องประธานชมรมต้องมาคัดสรรกันอีกไมอาจมีคนที่อาวุโสกว่าผมอีกก็ได้นะบอกตอนนี้ได้ว่าหัวเราะ 5แล้ว

ments42

Anonymous said...

'ดีครับอู

วันนี้นึกถึงเรื่องเศร้า เอร๊ยยยยยยยย.. เรื่องเล่าของอู
เดาว่า ถึงตอนนี้นัยก็คงหายไปแร้วววววววววววววววววว
ซึ่งผมคิดว่า ในความเป็นจริง ถ้านัยไปอยู่ฮาวายน่าจะมีความสุขดีอยู่หรอกครับ เพราะที่นั่นเป็นเมืองท่องเที่ยว
เป็นประเทศที่มีอิสระภาพ เสรีภาพ และเคารพในสิทธิ์ของความเป็นคน ในระดับแนวหน้านะครับ

ผมไปทำงานแล้วไปเที่ยวมา...ดูแล้วจะดีและปลอดภัยกว่าอยู่ที่ LA, ที่มีคนไทยและเอเชียอยู่เป็นจำนวนมาก, ซะอีก
ถ้านัยหายไปจากอู ตั้งแต่นั้นมา ผมว่าคนที่น่าเห็นใจ น่าจะเป็นอูมากกว่า มั่กมาก

ถามจริง...ได้ข่าวนัยบ้างหรือเปล่าครับ?!!!
เป็นกำลังใจให้นะครับ

หวัดดีคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ
อ้อหวัดดี พี่ๆ น้องๆ และบรรดา หลาน เหลนของอูด้วนครับ

ปล.ผมไม่สมัครอยู่ชมรม คนมีวัยวุฒินะครับพี่น้องงงงงงงงง

Boon Zaaaaaaaa

Bomber_Boy said...

ผมยังโอเคดีอยู่ครับ ที่หายไปนี่เพราะว่าต้องไปต่างจัหวัดกับที่ทำงานมาครับ เลยไม่ได้ติดต่อกับพวกพี่ๆ เลย อยากเล่าให้ฟังอยู่นะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหนดี แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วง
__________
Bomber_Boy

Anonymous said...

สามคนสองร้อยนี่สงสัยว่าต้องไปประชุมกันที่ร้านออนล็อคหยุ่น กร๊ากกกกก

> <

Anonymous said...

(^_^)ขอให้คุณลุงชูและลุงอู คุณพี คุณนัย คุณทะเลมีแต่ความสุขเช่นกันครับ ผมไม่ได้กินเก่งซะหน่อยเพราะผมไม่อ้วนหุหุ เช้านี้กินเส้นใหญ่ผัดคั่วกุ้งอาหย่อยสุดๆ โก๋จิ้มนม2ตัวกับชงโอวันติน1แก้วไปละ

Anonymous said...

ติดตามอ่านมานานหลายปีแล้ว
ตั้งแต่ลงบอร์ดปลามแรกๆ
ตอนนั้นอีโรติคน่าดู

อยากรู้จริงๆเลยว่าปัจจุบันนี้
พอจะรู้หรือยังครับว่านัย
อยู่ที่ไหน อยากรู้จริงๆ
แต่ถ้ามีผลกับการเล่าเรื่อง
ไ่ม่ต้องตอบก็ได้ครับ

ตอนนี้นานจัง

thom

พี said...

ขอบคุณครับ ที่คุณอูถาม...ไม่คืบหน้าเลย แต่ที่จะคืบหน้าคือ ตัวผมเองกำลังตัดสินใจครั้งสำคัญ แล้วจะเล่าให้ฟังครับ แบบยาวๆเลย ...

เอ...เค้าจะนับรวมอายุกันหรือ 4 คน 160ปี ถ้ารวมผมไป ก็ยังไม่ครบ 200 นะครับ งั้นผมไม่เข้าชมรมนี้นะครับ ขอถอนตัวก่อนดีกว่า

ให้กำลังใจ เด็กวางระเบิด ครับ สู้ โว้ย.....ย ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป...

น้อง SUN และ อื่นๆ เงียบ ไปหลายคนเลย สงสัยคงตั้งใจอ่านหนังสือสอบกันแน่ๆเลย ใกล้จะสอบไฟน่อลแล้ว ขยันๆกันไว้นะครับ ไม่ใช่เพื่อใคร...ก็เพื่อตัวเราเองนั่นล่ะครับ

ไปดูบอลก่อนนะครับ

+ P +

พี said...

เออ....ช่วงนี้ฟังเพลงพระจันทร์ยิ้ม แล้ว เข้ากับตัวเราเองจัง...เศร้า ตอนนี้เล่นเน็ตไปก็ฟังวนซ้ำไปซ้ำมา เอ็อ...ไปดูบอลแก้เครียดดีกว่า