Wednesday, May 13, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 83

“เออ อย่ามาวุ่นวายกับไอ้นัยก็ดี มันยังเด็กอยู่” พี่มั่วสรุป

“เด็กเปรตน่ะดิ ไอ้สองตัวนี่แก่แดดจะตาย” พี่เอ้พูด พลางชายตามองมาทางผม แล้วก็หัวเราะขำ “เอ๊ะ ไอ้อู นี่คุยกันกับไอ้นัยรึยัง”

“ยังครับ” ผมส่ายหน้า

“อ้าว เกิดอะไรขึ้นล่ะ นึกว่าปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว” พี่มั่วฉงนบ้าง

“ยังไม่มีโอกาสปรับความเข้าใจกันเลยครับ อีกอย่าง ถึงผมพูดมันก็คงไม่เชื่อ” ผมตอบ

“ดูท่ามันจะไปกันใหญ่แล้วนะไอ้เอ้” พี่มั่วตำหนิพี่เอ้อีก พี่เอ้หน้าจ๋อย

“เอ็งทิษฐิมากกว่ามั้ง เลยไม่ยอมอธิบาย” พี่มั่วหันมาพูดกับผม “อย่างอนกันนานนักนะไอ้อู เสียเพื่อนเพราะเรื่องแค่นี้มันไม่คุ้ม” พี่มั่วเตือนสติผม

เรื่องระหว่างไอ้นัยกับผม สำหรับที่สหกรณ์แล้วไม่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากนัก ส่วนใหญ่คงคิดว่าโกรธกันบ้าง ดีกันบ้าง ตามประสาเพื่อนมากกว่าที่จะมองความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างอื่น พวกพี่ๆคงมองว่าพวกเรายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องความรัก แต่สำหรับกรณีพี่เต้กับไอ้นัยนั้นแตกต่างกัน พวกพี่ๆคิดว่าพี่เต้ชอบไอ้นัย ส่วนไอ้นัยนั้นก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าพี่เต้คิดอะไร

ผมนั่งเล่นอยู่กับพวกพี่ๆพักใหญ่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมาอีก เบื่อที่จะฟังเรื่องพวกนี้เต็มที ก็เลยจากมา แต่ครั้นจะกลับบ้าน กลับไปก็ยิ่งไม่รู้จะทำอะไร

ผมออกจากโรงเรียน เดินไปเรื่อยๆจนถึงใต้สะพานพุทธ จากนั้นเดินลงไปที่โป๊ะซึ่งอยู่ใต้สะพาน

โป๊ะที่ว่านี้เป็นโป๊ะสภาพเก่า ปกติไม่เห็นใช้งานอะไร คงมีเพียงเด็กแถวนั้นมาใช้เป็นท่าสำหรับเล่นน้ำในบางครั้งเท่านั้น ไม่ทราบว่าปัจจุบันโป๊ะที่ว่านี้ยังมีอยู่หรือไม่ เพราะไม่ได้ไปผ่านไปนานมากแล้ว

ผมยืนอยู่บนโป๊ะ สายตาก็ทอดมองสายน้ำเจ้าพระยา สายน้ำนี้ไหลอยู่ชั่วนาตาปี เปรียบเหมือนชีวิตที่ไหลไปโดยไม่มีวันหวนกลับ ร่างที่ยืนบนโป๊ะโคลงเคลงด้วยแรงกระเพื่อมของสายน้ำ ผมริ่มได้คิดว่าชีวิตคนเราก็ไม่มั่นคงเช่นนี้เอง

กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ เสียงของไอ้นัยยังก้องอยู่ในโสตประสาทของผม ผมปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆเฉกเช่นกระแสน้ำที่เบื้องหน้า นี่ถ้าผมทะเลาะกับอ๊อด หรือไอ้อ๊อดว่าผมแบบนี้ ผมจะเสียใจขนาดนี้ไหม ผมจะคิดมากขนาดนี้ไหม และถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆทำกับผมแบบนี้ล่ะ? แล้วทำไมผมต้องคิดมากเพราะไอ้นัยด้วย คำถามและความคิดมากมายประดังกันอยู่ในหัวของผมจนสับสนไปหมด

“ใจลอยอะไรอะ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังผม ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร ผมรู้สีกแปลกใจที่ได้ยินเสียงมันในเวลานี้

“...” ผมใช้ความเงียบแทนคำตอบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี

เจ้าของเสียงก้าวมายืนข้างๆผม ใบหน้าอันคุ้นเคย พวงแก้มสีน้ำผึ้ง ไรหนวดสีเขียวอ่อน กลิ่นกายอ่อนๆที่ผมหลงใหล วงหน้าที่คุ้นเคยนี้แต่ก่อนมีแต่ความสดใส แต่ตอนนี้แฝงแววเศร้าสร้อยและอิดโรย

ผมหวนคิดถึงวันที่แอบพาไอ้นัยเข้าไปในหอนักเรียนประจำ ตอนที่เราอยู่ชั้น ป.๕ ตอนนั้นไอ้นัยยังตัวเล็กอยู่ ทั้งซน สดใส และร่าเริง อีกทั้งชอบตีหน้าตาย ผมเพิ่งจะสังเกตว่าเพียงไม่กี่ปีไอ้นัยเติบโตขึ้นมาก... ทั้งเติบโตและเปลี่ยนไป... ทำไมผมจึงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าไอ้นัยเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้...

“มองไรอะ ไม่เคยเห็นกูเหรอ” ไอ้นัยพยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นเศร้าอย่างไรก็ไม่รู้

“เมื่อกี้กูแวะไปที่สหกรณ์ เจอพี่เอ้ พี่เอ้เล่าให้ฟังแล้ว...” ไอ้นัยพูดต่อ แล้วเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ขอโทษนะอู”

กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ เสียงของไอ้นัยดังอยู่ในโสตประสาทของผมอีก

“...”

“ขอโทษนะอู อูใจดี๊ ใจดี” ไอ้นัยพยายามอ้อนเมื่อเห็นผมนิ่งเงียบ “ทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธล่ะ ให้เขกหัวก็ได้เอ้า กูยอมเยี่ยวรดที่นอน” ว่าแล้วไอ้นัยก็ยื่นหัวเข้ามาให้ผมเขก

ผมอดยิ้มไม่ได้ ไอ้นัยรู้ดีว่าทำอย่างไรผมจึงจะใจอ่อน ผมคงถูกชะตากำหนดให้แพ้ทางมันไปจนตลอดชีวิต

“นี่มันท่ารถนะ อายคนเค้า ไอ้เปรต” ผมพูดเสียงดุ หัวใจที่ด้านชาของผมกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

“ยอมพูดแล้ว” ไอ้นัยพูดด้วยความดีใจ “ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราคุยอะไรกัน หายโกรธกูแล้วใช่ไหม”

“ยังโว้ย” ผมพูด

“แล้วจะให้ทำไงดีล่ะ เขกหัวไม่เอาแล้วมึงจะให้ทำอะไร” ไอ้นัยอ้อนต่อ

ผมหายโกรธไอ้นัยแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในฐานะได้เปรียบ จึงอยากแกล้งไอ้นัยเอาคืนบ้าง

ความคิดวาบเข้ามาในสมอง ในที่สุดผมก็คิดออก

“มึงรู้หรือเปล่าว่าคำพูดมึงทำให้กูเสียใจขนาดไหน ถ้าเป็นคนอื่นพูดกูคงไม่เจ็บเท่าไร แต่นี่เป็นมึงพูด...” ผมระบายความรู้สึกออกมา ไอ้นัยรู้ดีว่าคำพูดที่ว่านั้นคือประโยคไหน

ไอ้นัยจ๋อยไปสนิท “ขอโทษนะอู กูไม่ได้ตั้งใจ...” ไอ้นัยอ้อมแอ้ม

“ถ้ามึงอยากชดเชยความผิดของมึง ต้องแสดงความจริงใจออกมา” ผมขุดหลุมพราง รอให้ไอ้นัยเดินตกลงไป

“จะให้ทำอะไรล่ะ” ไอ้นัยถามด้วยความอยากรู้

“ทำได้ทุกอย่างแน่นะ” ผมคาดคั้น

“ให้กูโดดน้ำตายไม่เอานะ” ไอ้นัยพูดติดตลก พอรู้ว่ามีทางต่อรองกับผมได้ เสียงของมันก็แช่มชื่นขึ้น

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก” ผมพูด “ก็แค่อยากให้มึงเล่าความลับที่มึงปิดบังกูอยู่เท่านั้นแหละ”

ไอ้นัยถึงกับอึ้ง

“กูไม่มีอะไรนะอู” ไอ้นัยปฏิเสธ “ไม่มี...อะไรจะเล่าอะ”

“รู้ๆอยู่” ผมดักคอมัน

“...”

“มึงเอาไปคิดดูละกัน มึงบอกให้กูเสนอเงื่อนไขเอง ถ้ามึงไม่เล่า กูก็ยังไม่หายโกรธมึง” ผมถือโอกาสขู่กรรโชก เพราะว่ากำลังถือไพ่เหนือกว่า

วันนั้นเรานั่งรถกลับบ้านด้วยกัน ที่จริงผมหายโกรธแล้ว แต่ผมใช้โอกาสที่ไอ้นัยมาง้อนี้ต่อรองเพื่อให้ได้รู้ความลับของไอ้นัย ผมนึกกระหยิ่มใจ ปล่อยให้มันไปคิดดูก่อน ส่วนตอนนี้ผมก็จะเล่นบทใจแข็งเอาไว้ ถึงอย่างไรในที่สุดด้วยความสำนึกผิด มันก็คงยอมเล่า เมื่อนั้น ปริศนาที่คาใจผมอยู่จะได้กระจ่างเสียที

- - -

วันหยุดในช่วงปีใหม่ผ่านไปอย่างไรรสชาติ ปกติช่วงปีใหม่ผมต้องอยู่ที่บ้าน เพราะคุณลุงมักมีญาติหรือคนที่เคารพนับถือมาเยี่ยม ผมหรือเอ๊ดต้องอยู่คอยต้อนรับแขกของคุณลุง ถ้าใครคนหนึ่งจะกลับบ้านต่างจังหวัดอีกคนก็ต้องอยู่ แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้กลับบ้านช่วงปีใหม่เลย อยู่ที่บ้านคุณลุงกันทั้งคู่

ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาผมไม่ได้โทรศัพท์คุยกับไอ้นัยเลย ส่วนไอ้นัยเองก็ไม่ได้โทรมาคุยกับผม ผมยังใจเย็นอยู่ ค่อนข้างมั่นใจว่าในที่สุดไอ้นัยต้องยอมเล่าเรื่องที่ปิดบังอยู่ให้ผมฟัง เพียงแต่อาจต้องให้เวลาไอ้นัยคิดบ้างเท่านั้น

หลังปีใหม่ เราเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันตามปกติ รวมทั้ไอ้นัยก็กลับมาช่วยงานที่สหกรณ์ตามเดิม แต่ผมก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าไอ้นัยมาอยู่ที่สหกรณ์เพื่อรอพี่เต้หรือเพื่อทำงานกันแน่

เมื่อเปิดเรียนหลังปีใหม่ได้สองสามวัน สถานการณ์ระหว่างผมกับไอ้นัยดูดีขึ้น ผมไม่ได้โกรธมันแล้ว แต่ยังพูดกันไม่มาก เพราะผมกำลังเล่นตัวอยู่ แต่ที่น่าแปลกก็คือ สีหน้าไอ้นัยไม่ค่อยดีนัก ดูมันเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเวลายิ้มหรือหัวเราะกับรุ่นพี่ก็ยังดูเหมือนกับฝืนๆอย่างไรชอบกล

บ่ายวันหนึ่ง หลังเลิกเรียน พวกเราสุมหัวกันอยู่ที่สหกรณ์เช่นเคย ขณะที่ผมและไอ้นัยมาถึงสหกรณ์พวกพี่ๆกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ พอเห็นเราสองคนก็วงแตก

หลังจากทำงานกันไปได้สักพัก พี่มั่วก็พูดขึ้นเปรยๆ

“เฮ้อ เสียลูกค้าขาประจำไปคนหนึ่งซะแล้ว”

“ใครกันพี่” พี่เอ้ถาม

“ก็ไอ้เต้น่ะสิ” พี่มั่วพูด ผมหูผึ่ง ละสายตาจากเอกสารที่กำลังกรอกอยู่มองไปทางพี่มั่ว แลเห็นพี่มั่วเหลือบมองไอ้นัยแว่บหนึ่ง

“มีอะไรเล่าเร็วๆดิ” พี่เอ้ซักต่อ

“ก็ตอนนี้มันไม่ค่อยได้มาอุดหนุนเช่าหนังสือเลย เพราะมัวแต่ไปหลีสาวอยู่” พี่มั่วอธิบาย คำว่าหลีเป็นสแลงที่นิยมใช้กันในช่วงนั้น หมายถึงจีบ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยได้ยินแล้ว

“ไปหลีสาวที่ไหนเหรอพี่” พี่เอ้ถามต่อ

พี่มั่วเหลือบมองไอ้นัยอีกแว่บหนึ่ง ผมเห็นไอ้นัยชำเลืองสายตาขึ้นมาฟังบ้าง แต่แล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงบัญชีต่อไป

“ก็ที่พี่ว่ามันเอาของขวัญปีใหม่ไปให้เด็กสตรีวิทย์นั่นน่ะ เรื่องจริงโว้ย ไอ้เต้ไปจีบเด็กสตรีวิทย์ที่เรียนกวดวิชาห้องเดียวกับมัน ตอนนี้เทคแคร์กันสุดๆ” พี่มั่วเล่า “ชื่อเปิ้ลว่ะ เรื่องนี้เชื่อได้ เพราะเพื่อนพี่คนที่เรียนกวดห้องเดียวกับไอ้เต้มันเล่าให้ฟัง ถึงขนาดรู้ชื่อนี่คงไม่มั่วอยู่แล้ว”

ในยุคนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับสมัยนี้ คือพอเรียนม.ปลายแล้วส่วนใหญ่ก็ต้องกวดวิชาเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วย แต่พี่มั่วดูเหมือนจะต่อต้านพวกการเรียนกวดวิชา เพราะพี่มั่วชอบพูดให้ฟังบ่อยๆว่าถึงไม่เรียนก็จะสอบเข้าที่ดีๆให้ได้ ประโยชน์อีกประการของโรงเรียนกวดวิชาที่ผมรู้ในเวลาต่อมาก็คือ เป็นสถานที่ที่นักเรียนจากโรงเรียนชายล้วนหรือหญิงล้วนจะได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนต่างเพศ

ผมมองพี่มั่ว พี่เอ้ นึกสงสัยว่าทำไมพี่ๆถึงมาพูดเรื่องพี่เต้กันในตอนนี้ หรือชะรอยจะต้องการบอกใบ้อะไรให้ไอ้นัยรู้

เมื่อมองดูไอ้นัย เห็นมันก้มหน้าก้มตาทำงาน มองไม่เห็นสีหน้าของมันเลย...

20 comments:

Anonymous said...

ที่1 (^_^) เพิ่งมาถึงค้าบมีรับน้องกิ้กๆ ดีใจมากที่ลุงอูชอบคลิป อาบนำก่อนน้า

ยุ่น said...

เป็นเพื่อนรักกัน ได้แค่นี้ก็ดีถมเถแล้ว อู
ได้คุยกัน กลับบ้านด้วยกัน นั่งเล่นด้วยกัน ไม่เหงาแล้ว

แต่ถ้าเป็นคนรัก ก็...เหนื่อยใจหน่อยนะ
ดูอึมครึมซะขนาดนี้ ไม่มีความชัดเจนอะไรเลย

มันยังมีปมความรู้สึกระหว่างกันอยู่ไม่น้อย

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ ---ยอมรับและทำใจได้แล้วครับ

Anonymous said...

เคยเป็นกันไหมครับ ก็สนิทกันอย่างนี้แหละแค่มองตาก็รู้ใจ ไม่เคยคิดจะคบกันแบบคนรัก..แต่พอเวลาผ่านไปมันกลับบอกว่าทั้งหมดเราคิดไปเอง ทั้งหมดที่สนิทกันเราคิดเอาเอง

Anonymous said...

เย้ >o<~~!! ดีกานแล้วๆๆ อยากรู้จังว่าเรื่องงี่เง่าของอาอูนี่คือรายง่ะ - -


Sea~~!!

Anonymous said...

เหนด้วยกับคอมเ้มนท์ที่ 3 ครับ ก็เข้าใจนะ เพราะผมก็เคยเป็นอย่างนั้นจริงๆแหละ แต่ยังไงตอนนี้ก็ทำใจได้ละล่ะครับ


Sea~~!!

Anonymous said...

นัยจะชอบพีเต้หรือเปล่าไม่รุ้นะแต่มีความรู้สึกว่าไม่ได้ชอบอูแบบคนรัก...อูเหมือนกับพระจันทร์ที่ได้แต่วิ่งวนรอบๆโลกคือนัยแต่เข้าไม่ถึงซักที..พี่เต้เป็นพระอาทิตย์แม้อยู่ไกลกว่าแต่สามารถส่องแสงความอบอุ่นจนถึงพื้นโลกได้

Bomber_Boy said...

บีบหัวใจจัง...

ชื่นชมคนเขียนมากๆ สามารถทำให้คนอ่านดีใจ เศร้า...หรือเป็นเพราะเราก็เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน...เศร้าจัง

Anonymous said...

ที่1(^_^) ที่แน่ๆผักตบกับขยะรุ่นลุงคงมีเหมียนกัลเนอะแล้วก็มีอาคารเล็กคิดว่าเปนห้องน้ำมั้งยื่นไปในแม่น้ำ ตรงหังโค้งอะนะมีร้านบะหมี่ด้วยผมเคยกินจำได้วันน้นโดนดุด้วยเพราะกลับคำไปหน่อย555+ ตรงหน้าเซเว่นก็มีร้านข้าวกล่องด้วยคนสั่งเยอะนะลุง ขอบคุณลุงอูนะครับที่มาเล่าให้ฟัง คิดว่าสม้ยก่อนใต้สะพานคงน่ากลัวละมั้ง ขอบคู้นนนนนนนนนะครับ ถ้าเล่าต่อก็ดีเหมือนกันเนอะเปนเพื่อนเรียนมอปลายด้วยกันไงครับ แต่ไม่เล่าก็โอนะลุงเล่ามาตั้งเป็นร้อยตอนแล้วนี่น่าเห็นใจลุงอะครับ อย่าลืมกินข้าวด้วยนะครับ

Anonymous said...

ยังไม่เครียร์ๆๆๆ เข้ามารอพี่อูเล่าต่อคับ
สู้ๆ ต่อไป อย่าเศร้าน่ะ เศร้ามาเยอะแล้ว
^^sky^^

naja said...

เหมือนจะดูดีขึ้น แต่ก้อไม่ใช่นะ

สงสารอู เพราะถ้าเพื่อนสนิทมีเรื่องปิดบังเรา เราก้อคงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน แบบว่า แอบน้อยใจหน่ะ

เฮ้อ!

Anonymous said...

พี่เต้รีบแอ๊บจีบหญิงใหญ่เลย

Anonymous said...

เหมียวๆ บ๊อกๆ

หลาน Arus ของอู

Anonymous said...

ผมมองต่างจากพี่ๆ อาๆ ลุงๆน่ะครับ
ผมคิดด้วยคำบอกใบ้ของอาอูแล้ว สรุปว่า
เรื่องคงแย่ลงมากๆ

เพราะอาอูบีบบังคับให้อานัยจนตรอกต้องเล่า
ความลับคับอก ซึ่งอาจเป็นเรื่องไม่ดีมากๆ
เช่นเพื่อนสมัยเด็กในห้องน้ำตามมารังแกอานัย
หรือโดนใครข่มเหงให้ช้ำใจ และได้อาย

พอกดดันอานัยมากๆเข้า อานัยอาจจะอึดอัดจน
คลั่งในอก ตรมในใจ แล้วระเบิดออกมา
ทะเลาะกันครั้งใหญ่กว่าเดิม เพราะเท่าที่ผม
อ่านมานี่ก็ก้าวข้ามความรุนแรงมานานแล้ว
อาจจะใช้กำลัง? ทำร้ายจิตใจ? พูดส่อเสียด?

หลาน Arus ของอานัย(ของอานัยบ้างนะครับอาอู)

yo408 said...

อูยังไม่ยอมบอกรักนัยอีก เป็นผมบอกไปแล้วนะเนี่ยะ

Anonymous said...

อยากให้มีต่อถึงมหาลัยจังเลย

Anonymous said...

เรื่องเริ่มคลี่คลายให้หายอึดอัดไประดับหนึ่ง
อยากอ่านต่อเร็วๆจัง

จากที่ติดตามอ่านมา
เรื่องลึกลับส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องพ่อแม่นัยแน่ๆ

แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่นัยยังไม่ดีขึ้น จะมีเรื่องอื่นผสมหรือเปล่า

น่าติดตามอ่านต่อจริงๆ

เขียนอีกเร็วๆนะครับ

thom

พี said...

อึมครึม.....ต่ออีกแล้ว

รออ่านต่ออีกสักหน่อย

เรื่องเล่นตัวและบีบให้นัยเล่าความลับนี้มั้งที่คุณอูว่า

" ทำเรื่องงี่เง่า "

พี

อยากจะลืม ใครสักคน เมื่อหยาดฝนพร่างพรมพริ้วมา สายน้ำที่ร่วงหล่น ปนเคล้าหยาดน้ำตา กลับไปคิดถึงครา แรกที่เราพบกัน ...รู้เป็นเพียงอากาศ แต่ไม่อาจห้ามใจ อยากมีเธอชิดใกล้ แต่เธอคงไม่คืน

noteam said...

ทำไมคุณอูถึงไปแกล้งเค้าหล่ะ

นิสิยไม่ดีเลยนะ

อิอิ

Anonymous said...

ดีใจจังครับที่เรื่องของอู เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว อ่านแล้วเริ่มยิ้มออกแล้วครับ แต่เรื่องของผมดิครับ ยังหาทางออกไม่เจอเลยครับ เรื่องของผมก้อเจ็บไม่แพ้กันครับ ที่ทำงานผมสนิทกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เราทำงานเราสนิทกันมากครับ แต่น้องเขาไม่ได้เป็นเกย์ครับ ผมจะคอยเทคแคร์เขาเสมอ และเขาก้อดูเหมือนจะห่วงใยผมอยู่ไม่น้อย มันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเอง ความสนิทสนมของเราอาจจะไปขวางตาเพื่อนร่วมงานคนอื่นก้อเลยไปเเซวน้องเขา พักหลังน้องเขาไม่ค่อยเข้าใกล้ผมเลย จะคุยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นเท่านั้นตอนแรกผมก้อไม่เข้าใจคิดว่าเขามีปัญหาไรก้อเข้าไปถาม แต่ยิ่งเข้าใกล้น้องเขาก้อยิ่งห่างเหิน พักหลังหนักเข้าไปใหญ่ไม่ยอมคุยกับผมเลยเวลาอยู่ที่ทำงาน ผมอึดอัดใจมาก ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน ผมเหนื่อยมากจากคนที่ไม่เคยกินเหล้าผมจะต้องกินมันทุกวันเพื่อจะให้ลืม ตอนนี้ผมก้อลางานกลับบ้านครับ แต่ก้อยังคิดอยู่ว่าจะกลับไปทำงานหรื่อไม่ ผมไม่อยากให้เขาต้องอึดอัดเมื่อเห็นผมอยู่ที่ทำงานด้วย ตอนนี้ผมคิดมากครับ ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรแล้วครับ บอกตรงๆ ใครก้อได้ครับ ช่วยหาทางออกให้ผมทีครับ
ขอบคุณมาล่วงหน้าครับ

Anonymous said...

อยากให้คุณอู รู้ว่า
ผมน่ะ เข้ามาในเวปนี้ทุกวัน วันละสามเวลา
จิงๆนะคับ

มันเหมือนกับว่า อยากรู้ว่าอูจะเป็นยังงัย
อยากรู้ว่า ไอ่นัย เนี่ย จะยังงัยต่อ
แรกๆ ก็โอเค เพราะมีให้ติดตามเป็นโขยง
แต่พอ อ่านทัน ถึงตอนปัจจุบัน
มันก็เฝ้ารอตลอดเวลา

ขอบคุณอีกครั้งครับ
เรื่องราวของคุณอู ทำให้ผมมีกำลัง
ในการที่เราจะเฝ้ารอคนที่รักเราจิง
ต่อไป และ ต่อไป


รออยู่นะคับ


I'm quite a Lonely Man