Wednesday, May 6, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 81

ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าห้องสหกรณ์สักครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปใหม่ คราวนี้จงใจส่งเสียงนำไปก่อน

“มาแล้วคร้าบ”

พวกพี่ๆที่อยู่หลังตู้หยุดคุยไปชั่วขณะ

“อ้าว ไอ้อู ทำไมวันนี้มาเร็วนักวะ ยังไม่ได้ไปเก็บของที่ห้องเหรอ” พี่เอ้ทักทาย พลางมองไปที่เป้ในมือของผม

“ขี้เกียจเดินไปเดินมาอะครับ เลยตรงมานี่เลย” ผมตอบ “พวกพี่คุยอะไรกันอยู่น่ะ”

“คุยเรื่องพี่เต้” พี่เอ้ตอบตามตรง

“พี่เต้มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“ก็เห็นเทคแคร์ไอ้นัยมาก เลยคุยกันว่าไอ้นัยตอนนี้เป็นเด็กพี่เต้ไปแล้ว” พี่เอ้เล่าไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีปิดบังอะไร ดูท่าพวกพี่ๆคงเห็นเป็นเรื่องขำๆมากกว่า หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่เรื่องที่พี่เอ้ไม่ได้พูดถึงก็คือเรื่องที่พี่เอ้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผม

“ไม่มีอะไรมั้ง” ผมพยายามแก้ต่างให้

พูดยังไม่ทันจะขาดคำ พี่เต้ก็โผล่เข้ามาพอดี

“อ้าวพี่เต้ เด็กพี่ยังไม่มาเลย” พี่เอ้ทักทาย

พี่เต้นิ่งไปนิดหนึ่ง ทำหน้าบอกไม่ถูก

“เฮ้ย เด็กไอ้เต้นี่มันใครวะ” พี่มั่วรับลูก ไม่รู้ว่าเกิดคะนองอะไรขึ้นมา จึงเข้ารุมแซวพี่เต้ด้วย

พี่เอ้ทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางพี่เต้ “พี่ถามเค้าดูเองดิ”

“เด็กเดิกอะไร” พี่เต้ทำสีหน้ากระอักกระอ่วนยากที่จะบรรยายออกมาได้ “พี่จะมายืมหนังสือ”

“อ้าว นึกว่ามาหาไอ้นัย” พี่หมีกัดพี่เต้จนจมเขี้ยว

แล้วพวกพี่สามคนก็กระเซ้าเย้าแหย่พี่เต้อีกเล็กน้อย ผมเองได้แต่เป็นผู้ดู ไม่ได้ร่วมวงกัดด้วย

พวกพี่มั่ว พี่เอ้ และพี่หมี คงแหย่เล่นแบบคะนองปาก ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเห็นท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้มีท่าทางประชดหรือว่าเสียดสีเพื่อให้ได้อาย แต่สำหรับพี่เต้แล้ว เมื่อดูจากสีหน้าคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกเป็นแน่ เมื่อยืมหนังสือเสร็จแล้วก็รีบจากไปทันที

- - -

เช้าวันนั้นไอ้นัยไม่ได้มาที่สหกรณ์เลย กว่าจะโผล่มาก็ตอนพักเที่ยง ตอนนั้นรุ่นพี่อยู่กันแต่พี่เอ้กับพี่หมี พอเข้ามาพี่เอ้กับพี่หมีก็รุมไอ้นัยทันที

“ไอ้นัย ป่านนี้เพิ่งจะมา ผู้ปกครองเอ็งมาหาตั้งแต่เช้าแน่ะ” พี่เอ้แซว

ไอ้นัยทำหน้างง “ผู้ปกครอง?”

“ผู้ปกครองตัวเองเป็นใครยังไม่รู้แฮะ” พี่เอ้หัวเราะ “ไอ้หมีเฉลยหน่อยซิ”

“ก็พี่เต้ไง” พี่หมีพูด “เดี๋ยวก็คงมาอีก”

พี่เอ้กับพี่หมีหัวเราะครึกครื้น ไอ้นัยตีหน้าตาย เหลือบมองมาทางผมแว่บหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ไอ้นัยคิดอะไรอยู่

ไอ้นัยถามหาพี่มั่ว พอรู้ว่าพี่มั่วไม่อยู่จึงบอกกับพี่เอ้และพี่หมีว่าช่วงนี้จะไม่ขึ้นมาทำงานที่สหกรณ์ในช่วงหลังเลิกเรียนชั่วคราว ดังนั้นเวรของไอ้นัยจะต้องหาคนมาทำแทน

“จะไปไหนวะ” พี่หมีถาม “อย่าบอกนะว่ามีนัดกับผู้ปกครอง”

“เปล่าพี่” ไอ้นัยตอบด้วยสีหน้าปกติ “ผมต้องซ้อมดนตรีครับ จัดงานปีใหม่กันน่ะ”

ซ้อมดนตรีเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไอ้นัยไม่ได้บอกผมเรื่องนี้มาก่อน หรือว่าเป็นเรื่องที่มันอ้างขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าผมที่สหกรณ์ รวมทั้งไม่ต้องกลับบ้านด้วยกันอีกด้วย ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยด้วยความฟุ้งซ่าน ที่จริงผมควรจะรู้เรื่องนี้ก่อนพี่เอ้กับพี่หมีด้วยซ้ำไป

“อู ช่วงนี้ตอนเย็นไม่ต้องรอนะ” ไอ้นัยหันมาพูดกับผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของไอ้นัยช่างห่างเหินเสียเสียเหลือเกิน

หลังจากนั้นไอ้นัยก็นั่งทำงานของมันไปตามปกติ โดยที่เราทั้งสองไม่ได้คุยกันอีกเลย

- - -

“อู” ผมได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ข้างหลัง ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าห้องเรียนในภาคบ่าย เสียงนั้นเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร

จู่ๆไอ้นัยก็ตามผมมาถึงห้องเรียน หรือว่ามันจะมาง้อผม ความคิดแว่บเข้ามาในสมอง แค่นี้ผมก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาแล้ว

“มึงเป็นคนเอาไปพูดใช่มั้ย” ไอ้นัยถาม เมื่อผมมองหน้ามัน เห็นใบหน้าของมันแสดงความขุ่นเคือง กี่ครั้งนะที่ผมเคยเห็นมันโกรธแบบนี้ ผมพยายามนึก ความอบอุ่นในหัวใจวูบนั้นมลายหายไปสิ้น กลายเป็นความเย็นยะเยือกจับใจ

“เรื่องอะไรเหรอ” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ และพูดด้วยเสียงราบเรียบ

“ก็เรื่องพี่เต้” ไอ้นัยพูดอย่างโกรธเคือง “เมื่อกี้พวกพี่ๆเล่าว่าเมื่อเช้ารุมพี่เต้สนุกกันใหญ่ เป็นมึงเอาไปพูดใช่ไหม”

วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เอ้ ถึงได้คึกคะนองมาก และพาลลามให้คนอื่นคะนองไปด้วย นี่คงไปแซวไอ้นัยอีกหลังจากที่ผมออกมาจากสหกรณ์มาแล้ว

ผมรู้สึกน้อยใจ ทำไมเรื่องไม่ดีทั้งหลายต้องยกให้ผมเป็นคนทำด้วยนะ ...

แต่พอมาคิดอีกที หลายปีที่ผ่านมา เรื่องร้ายๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับไอ้นัยก็ล้วนแต่ผมเป็นคนก่อทั้งสิ้น แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม หลายปีที่ผ่านมา ผมคงเป็นตัวซวยในสายตาของมัน พอคิดได้เช่นนี้ อารมณ์น้อยใจก็สลายไป กลายเป็นความท้อแท้ทอดอาลัย

“ถ้ามึงคิดว่ากูทำ ก็ถือว่ากูทำก็แล้วกัน” ผมพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป คำพูดจากอารมณ์ชั่ววูบทำให้เรื่องบานปลายยิ่งขึ้นไปอีก

“กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้” ไอ้นัยพูดทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป

- - -

ใกล้ปีใหม่แล้ว อากาศในฤดูหนาวเย็นสบาย อีกไม่นานก็จะได้ฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่จิตใจผ่องใสรื่นเริง...

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมกับไอ้นัยแทบจะเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมีเพียงตอนเช้าระหว่างนั่งรถเมล์มาโรงเรียนเท่านั้น ส่วนตอนพักเที่ยงไอ้นัยไม่โผล่มาที่สหกรณ์เลย บางวันไม่ได้พูดกันเลยสักคำ วันไหนที่พูดกันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นทั้งสิ้น ไม่มีการคุยเล่นเลยแม้แต่น้อย

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมสับสนว้าวุ่นมากที่สุดช่วงหนึ่ง เวลาที่อยู่กับไอ้นัยผมจะรู้สึกอึดอัดใจ วางตัวไม่ถูก แต่เมื่อไม่ได้พบมัน ผมก็จะรู้สึกอ้างว้างและอยากพบมัน ทั้งรู้สึกอยากคุยกับมัน แต่ก็เบื่อที่จะคุยกับมัน ยิ่งนานผมยิ่งว้าวุ่นและไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งตนเองและก็ไม่เข้าใจไอ้นัย ยิ่งคิดว่าไอ้นัยถึงกับต้องหาข้ออ้างอยู่ซ้อมดนตรีตอนเย็น เพื่อที่จะไม่ต้องกลับบ้านด้วยกัน อีกทั้งไม่ขึ้นมาสหกรณ์ตอนพักเที่ยง เมื่อคิดถึงตอนที่ไอ้นัยหัวเราะจนหน้าแดงเมื่ออยู่กับพี่เต้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน

ความสับสนในใจของผมริ่มส่งผลกระทบต่อการเรียน ผมเริ่มมีอาการเหม่อลอย เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง จนเพื่อนฝูงและอาจารย์ทัก ผมหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่เรื่องไอ้นัย บางทีก็คิดถึงเรื่องพี่เต้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้แต่ตอนทำงานที่สหกรณ์ก็ยังเหม่อลอย เมื่อก่อน ไม่ว่าผมจะมีปัญหาอย่างไร ผมก็ยังรวบรวมสมาธิเรียนหนังสือได้ แม้จะมีอาการเรียนไม่รู้เรื่องบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ต่อเนื่องยาวแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้

กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ ประโยคนี้ยังก้องอยู่ในสมองของผมตลอดเวลา คำพูดประโยคนี้เปรียบประดุจคมมีดที่กรีดลงในดวงใจของผม ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึก ‘เจ็บปวด’ ก็ในช่วงนี้เอง...

- - -

หลังจากวันที่พี่เต้โดนรุมแซว วันถัดมาพี่เต้ก็เอาหนังสือที่ยืมไปมาคืน พร้อมทั้งโดนแซวอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นมาพี่เต้ก็ไม่ได้มาที่สหกรณ์อีกเลย

ผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายพวกพี่ๆในสหกรณ์ เห็นหน้าแล้วก็เซ็งไปหมด แต่พอไม่ไปนั่งทำงานที่สหกรณ์ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ไปห้องสมุดก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง นั่งในห้องเรียนก็ไม่อยากคุยกับใครแม้แต่อ๊อดเพื่อนสนิทที่นั่งโต๊ะติดกันก็ไม่อยากคุย สรุปแล้วตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูก มันว้าวุ่นไปหมด

จนล่วงเข้าใกล้ปีใหม่ มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆพี่มั่วก็เดินหน้าตาเคร่งเครียดเข้ามาในห้องสหกรณ์

“เฮ้ย มีใครเอาเรื่องไอ้เต้ไปพูดหรือเปล่าวะ” พี่มั่วถามพี่เอ้กับพี่หมี

สองคู่หูงงกับคำถาม “พูดอะไรเหรอพี่” พี่เอ้ถาม

พี่มั่วถอนใจ “ช่วงนี้ที่ห้องไอ้เต้มันลือกันให้แซ่ดว่าไอ้เต้ชอบกินถั่วดำ กำลังจีบเด็กรุ่นน้องอยู่ ไม่รู้ไปเอาข่าวมาจากไหน พวกเอ็งมีใครเอาไปเที่ยวพูดหรือเปล่าวะ”

สองคู่หูรีบปฏิเสธพัลวัน “โธ่ พี่ ก็แค่แซวกันในห้องนี้เท่านั้น ถั่วดำถั่วแดงอะไร พวกผมจะเอาไปพูดที่ไหน อีกอย่าง ม.๔ เรียนคนละตึกกับ ม.๕ ว่าแต่พี่มั่วเถอะ เรียนห้องติดกัน น่าสงสัยกว่าพวกผมอีก” พี่หมีพูด แถมยังแว้งกลับในตอนท้าย

“ไอ้เวร” พี่มั่วส่ายหัว “นี่แหละปัญหา มันก็คิดว่าพี่เป็นคนเอาไปพูด เนี่ย เพิ่งทะเลาะกันมา เฮ้อ สงสารไอ้เต้จัง ท่าทางจะโดนเพื่อนเล่นหนัก ไม่รู้ว่ามันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน กูก็พลอยโดนไปด้วย” พี่มั่วเผลอพูดกูออกมา

ผมใจหาย รู้สึกเห็นใจพี่เต้ ผมเองก็เคยโดนเรื่องแบบนี้มาแล้ว จึงเข้าใจความรู้สึกดี นี่ถ้าไอ้นัยรู้เรื่องนี้ มันคงคิดว่าผมเป็นคนปล่อยข่าวเป็นแน่ ผมยิ้มเยาะกับตนเอง

เป็นอันว่าทุกคนที่อยู่ในสหกรณ์ตอนนี้ต่างตกเป็นผู้ต้องสงสัยปล่อยข่าวกันหมด ผมโดนไอ้นัยสงสัย พี่หมีกับพี่เอ้โดนพี่มั่วสงสัย และพี่มั่วก็ถูกพี่เต้สงสัย

- - -

“ยืมเล่มนี้ครับอาจารย์” ผมพูดกับบรรณารักษ์ห้องสมุดในตอนบ่ายวันหนึ่ง ในมือถือหนังสือ ‘ต้นส้มแสนรัก’

ที่จริงช่วงนี้ผมหมดความสนใจต่อเรื่องภายนอกไปมาก แม้แต่การเรียนก็ไม่สนใจ เหลืออยู่แต่เรื่องหนึ่งที่ยังติดใจอยู่บ้าง นั่นก็คือหนังสือเล่มนี้ ทำไมไอ้นัยถึงสนใจหนังสือเล่มนี้นัก และทำไมพี่เต้ต้องซื้อหนังสือเล่มนี้ให้ไอ้นัย แม้ไอ้นัยจะเย็นชากับผม และแม้ผมจะเบื่อโลกก็ตาม แต่ส่วนลึกแล้วผมก็ยังสนใจและคิดถึงไอ้นัยอยู่เสมอ ผมยังอยากไขปริศนาแห่งตัวตนของมันให้กระจ่าง

ตอนแรกผมอ่านแบบไม่ตั้งใจ แต่เมื่อหลายหน้าผ่านไป หนังสือเล่มนี้คล้ายมีมนต์ขลัง สมาธิที่ฟุ้งซ่านของผมกลับรวมตัวและจดจ่อกับหนังสือเล่มนี้ได้

วรรณมกรรมเยาวชนเล่มนี้เล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายวัย ๖ ขวบที่ชื่อ เซเซ่ เซเซ่เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด แต่เกิดในครอบครัวที่ยากจนและมีลูกมาก จึงไม่ได้รับการเอาใจใส่ อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นส่วนเกินของครอบครัว ไม่มีใครรัก เซเซ่จึง สร้างเพื่อนในโลกส่วนตัวขึ้น เพื่อนผู้นั้นคือต้นส้มเล็กๆที่รู้ใจและเข้าใจเด็กน้อยในทุกเรื่อง

จนวันหนึ่ง เซเซ่ก็ได้พบสิ่งที่ตนเองถวิลหามาตลอด นั่นคือ ความรักและความอบอุ่นที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่จากผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่จากต้นส้มเพื่อนสนิทในจินตนาการ แต่มาจากชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งเซเซ่เคยเกลียดนักหนา เซเซ่รักและผูกพันกับชายผู้นี้มาก จนถึงกับขอร้องให้เขาเป็นพ่อของตนเอง…

แต่แล้วโลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ในที่สุด เซเซ่ก็ต้องพบกับความจริงอันปวดร้าวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...

ผมอ่านเรื่องต้นส้มแสนรักจบภายในไม่กี่วัน เมื่อถึงตอนท้าย น้ำตาของผมต้องไหลพรากด้วยความสะเทือนใจ อย่างน้อยผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้นัยไม่อยากรีบอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบๆไป เพราะมันละเมียดละมัยเกินกว่าที่จะอ่านอย่างลวกๆได้

ทำไมไอ้นัยถึงได้ชอบอ่านเรื่องแบบนี้นะ ผมคิดในใจ แต่ก็คิดไม่ออก


<ต้นส้มแสนรัก วรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เรียกน้ำตาจากผู้อ่านมาแล้วทั่วโลก เขียนโดยนักเขียนชาวบราซิล ชื่อโฮเซ วาสกอนซีลอส ในปี ค.ศ. ๑๙๔๒ ฉบับแปลภาษาไทยมีสองสำนวนแปล คือ แปลโดย มัทนี เกษกมล และแปลโดยสมบัติ เครือทอง ตอนที่ผมเรียนมัธยมอยู่นั้นอ่านฉบับแปลของมัทนี เกษกมล>


<เรื่องตอนส้มแสนรักฉบับภาษาไทยนี้ ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายต่อหลายครั้ง ดังจะเห็นได้จากภาพปกที่มีต่างๆนานา ฉบับที่ผมอ่านในตอนนั้นคือเล่มนี้>

25 comments:

naja said...

เฮ้อ! อึมครึมจังเลย

สงสารอู ไม่รู้ว่านัยคิดอะไรอยู่ในใจ


ต้นส้มแสนรักอ่ะ จำได้ว่าเคยเป็นหนังสือนอกเวลาด้วยครับ

Anonymous said...

สงสารอูจังเลยอ่ะคับ
ยิ่งอ่านยิ่งสงสาร
มันจะทรมาน อะไรกันได้
มากมายขนาดนี้

เฮ้ออ เฮ้ออ


lonely man..

Anonymous said...

เหตุการณ์ทั้งหมดคงไม่เกิดถ้าสองคนพูดกันมากกว่านี้ เปิดใจกันมากกว่านี้

ปัญหามันเกิดจากต่างคนต่างคิดแทนกัน และคนที่รักกันมักชอบทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำใจอยู่เสมอ จริงๆ นะ อูท้อใจ น้อยใจ อูไม่ยอมพูดกับนัย หวังให้นัยให้เจ็บช้ำใจและคิดได้ กลับมาง้ออูบ้าง นัยโกรธอู แต่ไม่ยอมคุยกับอู ปล่อยให้อูคิดมากและเจ็บช้ำใจ ไม่ยอมแก้ไข จำไว้นะครับว่าเวลามันมีน้อย รักกันก็ควรจะทะนุถนอมกันไว้ อย่าปล่อยให้คนที่เรารักต้องเสียใจเด็ดขาด

ขอบคุณมากคับคุณอู
MNK

ยุ่น said...

หนึ่งคน...วุ่นวาย...ใจตน
ดั้นด้น...สับสน...ค้นหา
อีกคน...ห่วงใย...เพื่อนยา
ตั้งหน้า...ห่วงหา...อาทร

อ่านแล้ว อึดอัดใจจังครับ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

เครียดฮับ

ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึก ‘เจ็บปวด’ ก็ในช่วงนี้เอง

โดนประโยคนี้จัง เพราะเคยเกิดความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ความเจ็บปวดครั้งแรกนี่เป็นอะไรที่เจ็บปวดมากๆ (แต่ครั้งต่อมาก็เริ่มชิน)

Anonymous said...

อันนี้ ครบถ้วน
ทั้งอารมณ์ และอาการของคนอกหัก
บวกความซวยที่ทำให้เค้าเกลียดเราอีก

t1000

Anonymous said...

ใกลมแล้ว วันนี้ไปอ่านหนังสือกันเพื่อนล่ะครับ
ก็เลยเข้ามาช้า

หลาน Arus ของอาอู

yo408 said...

คาดว่าตอนจบคงเป็นอย่างที่คิด นัยเป็นลูกที่ครอบครัวไม่ต้องการและยากจน จึงมาฝากอาเลี้ยง อยู่อย่างเหงาๆ

แต่ก็อยากให้มีเรื่อง ม.ปลายต่อนะ ชอบ เหมือนได้คิดย้อนไปเมื่ออดีตยังวัยรุ่นๆ

yo408 said...
This comment has been removed by the author.
Anonymous said...

ตอนที่แล้วท้ายตอนคิดไว้ว่า
ถ้าเกิดเรื่องว่าอานัยคิดว่าอาอูไปปล่อยข่าวที่โรงเรียน
จะเกิดอะไรขึ้นพอดี แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ T-T

อาอูครับ หมดวิบากกรรมหรือยังครับ?
แล้วฟ้าหลังฝนจะมีรุ้งงาม หรือว่าจะมีพายุตามมาซ้ำ?

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ผมเคยอ่านต้นส้มแสนรัก
ทั้งภาษษไทย และภาษาอังกฤษนะครับ
ส่วนมากภาษาไทย จะแปลเพียงแค่สองภาคแรก
นะครับ ภาคที่สามไม่ได้แปลอกมา (เพราะภาคสอง
ขายไม่ดี) ต้องไปหาอ่านฉบับภาษาอังกฤษเอา
ไม่ทราบว่าอาอูได้อ่านครบไหมครับ?
ใน eMule มีนะครับ สำหรับพี่ๆ ลุงๆ อาๆ ที่รัก
การอ่าน(แต่ภาษาอังกฤษนะ)

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

อูเอ๋ย น่าสงสารจริง บรรยากาศช่างมาคุแท้ๆ

Anonymous said...

เฮ้อ......อูซวย
งานเ้ข้าจริงๆ

ช่วงนี้ช่วยup ไวๆ...นะครับ
คาใจมาก อยากอ่านต่อ ว่าจะเป็นอย่างไร

ขอบคุณครับ
thom

Anonymous said...

นี่แหละที่เรียกว่าความรัีก อูยังไม่เข้าใจอีกเหรอ

Anonymous said...

ที่1(^_^)ของปี
มาขอบคุณลุงอูเฉยๆ ถ้าลุงอูมาเล่าต่อผมขอส่งชื่อ รักครั้งใหม่หัวใจดวงเดิม แหะแหะคุ้นๆไหมเหมือนพวกหนังเกาหลีไง ถ้าเปนกิ้กใหม่นะ ถ้าเป็นลุงนัยเอาชื่อ เพื่อน อูรักมึงหวะ555+โดนมั้ยลุง รึว่ารักวัยหนุ่มหัวใจให้นายทุกๆคน กิ้กๆๆๆ

พี said...

" ความเจ็บปวด.....ที่แสนทรมาน "

เข้าใจความรู้สึกของคุณอูมากๆเลยครับ...

ความรู้สึกแบบนี้เมื่อ ตอนผม อายุ 18ปี เรียน ม.6 กับเพื่อนอายุ17 ก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ เจอกันทุกวัน บางวิชานั่งคู่กัน หรือกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน ถามคำตอบคำ สมาธิหายไปหมด ทำให้ผลการเรียนเริ่มตก จากที่เรียนมาไม่เคยเกรดต่ำกว่า 3.00 2 เทอม ของม.6 เกรดไม่ถึง ดีที่ยังสอบติดโควต้า ถ้าเอนทราน ไม่รู้จะติดหรือเปล่า...

มาปัจจุบัน ก็มีอาการอีกแล้ว กับคนอายุ 17 ปี อีกแล้ว มีอาการมาจะ 3เดือนแล้ว เป็นแนวอกหัก ไม่ได้เจอเขาก็เศร้า เสียใจ เหงา คิดถึง เฝ้ามองแต่บ้านเพื่อนน้องเขาที่เขาจะมาทุกๆวัน ที่อยู่คนละซอยแต่ห่างกันไม่ถึง100เมตร พอว่างจากธุระเมื่อไรใจก็จะพาลแต่ไปคิดถึงเรื่องของเขา อยากไปหา แต่พอไปหา
แต่เมื่อได้ไปเจอกัน อยู่ใกล้ๆกัน ก็รู้สึกอึดอัด ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะพูดยังไง น้องเขาก็ไม่ค่อยคุยกะเรา เหมือนแต่ก่อน ที่รู้สึกเจ็บปวดมาก ก็ ประโยคที่น้องเขา บอกมาเมื่อ2คืนก่อน

" ผมจะต้องทำยังไง พี่ถึงจะเลิกยุ่งกับ ผมสักที "

รู้ครับว่า ต้องอกหัก แต่ในเมื่อเราให้ใจเขาไปหมดแล้ว ตัวเองก็ไม่ยอมตัดใจสักที และ ยังไม่สามารถ เรียก สมาธิ เรากลับคืนมาได้ ใจก็ได้แต่เศร้าอยู่อย่างนี้

รักเอง..ก็เจ็บเอง

พี

noteam said...

น่าสงสารคุณอูอ่า

โดนกล่าวหา

ทำไมนัยถึงคิดแบบนี้นะ

ไม่ไหวเลย

Anonymous said...

เริ่มจะใหญ่โตไปกันใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าจะจบแบบไหน
เอาเป็นว่ามาให้กำลังใจพี่อูค๊าบ

เตรียมทำใจไว้ก่อน ท่าทางจะไม่สวยงามแน่งานนี้
^^sky^^

nut said...

ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของลุงอูมากเลย
เมื่อเราไม่ใช่คนที่สำคัญกับเขาแล้ว เวลาเราทำอะไรก็จะผิดไปหมด ทั้งๆ ที่ลุงนัยน่าจะรู้จักนิสัยของลุงอูมากที่สุด แต่ยังไงลุกอูก็อย่าหมดหวังนะคับ

จะเป็นกำลังใจให้นะคับ
ลุงอูแล้วเสื้อที่ลุงนัยซื้อละ ตกลงลุงนัยซื้อให้ใคร

Anonymous said...

เรื่องไปกันใหญ่ล่ะ คลกันมานานน่าจะรู้นิสัยกันบ้าง
แต่คนเราก็แบบนี้ล่ะ รู้นิสัย แต่ไม่รู้อารมณื เฮ้อ
เข้าใจความรู้สึกคุณ พี เหมือนกัน เป็นมาเหมือนกันแต่กว่าจะทำใจได้ใช้เวลาหลายเดือนเหมือนกัน กว่าจะทำใจได้ สู้เขานะทาเคชิ

Void Man

Anonymous said...

ตอนนั้นมันสับสนไปหมดครับ และมันก็คือความรักจริงๆ เพียงแต่ผมยังไม่เข้าใจตัวเองและไม่เข้าใจนัยดีพอกับชีวิตและความรักแบบเกย์ ตอนนั้นไม่กล้าคิดว่าผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร เพราะบริบทสังคมมันเป็นอย่างนั้น

ถ้าเอาตามกรอบของสังคมก็เลยต้องวางฐานะนัยเอาไว้เพียงแค่เพื่อนรัก แต่หัวใจมันไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ทั้งไม่รู้ด้วยว่านัยจะเอาอย่างไรกันแน่ มันเล่นเฉยตลอด แต่จะไปโทษนัยก็ไม่ได้ ผมเองก็ทำตัวอึมครึมเหมือนกัน ไม่เคยบอกอะไรกับมันตรงๆเช่นกัน ชีวิตก็เลยสับสน

หลาน arus คงหายดีแล้วใช่ไหม เรื่องต้นส้มตอนนั้นไม่ได้เป็นหนังสือนอกเวลาของอาครับ อ่านเอาเอง ในที่สุดก็ซื้อมาเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก ซื้อเล่มสองมาด้วยครับ แต่ไม่เคยอ่านเก็บเอาไว้ยังงั้นเอง อาอาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่น อาคิดว่าจบแบบภาคหนึ่งนั้นงดงามที่สุดแล้ว ไม่อยากให้เติมแต่งอะไรมากกว่านี้อีก ก็เลยอ่านเพียงแค่นั้น เอาลิงค์มาสิ จะแปะเอาไว้เผื่อมีเพื่อนๆอาๅสนใจอ่านกัน

สำหรับพี ผมพอเข้าใจความรู้สึกครับ แต่คงต้องทำใจ พีเองก็คงร้ว่ามันไปต่อได้ยากแล้ว เพียงแต่ยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้นเอง ระวังอย่าให้เรื่องงานเสียนะครับ ช่วงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องงาน ทำฟอร์มให้ดีๆเอาไว้ก่อน

อยากให้เพื่อนๆหลานๆรักนัยเหมือนอย่างเดิม คนเราอาจทำผิดกันได้ แต่เนื้อแท้แล้วนัยเป็นคนดี ใครได้หัวใจของนัยไปครองก็ถือว่าสมปรารถนาในชีวิตแล้วครับ

อู

Anonymous said...

ท่าทางอูจะรักนัยมาก จนถึงป่านนี้แล้วก็ยังมองนัยในแง่ดีเสมอ ผมว่าเสน่ห์ของเรื่องก็อยู่ตรงนี้ด้วย เพราะความรักนั้นต้องมองเห็นส่วนดี และอดทนกับความผิดชองอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ

ขอให้ลงเอยด้วยดีครับ

wan

ยุ่น said...

สมปรารถนาในชีวิต --- ชอบคำนี้จังครับ คุณอู

คุณอู สมปรารถนาในชีวิต นะครับ

ยุ่นครับ

Anonymous said...

ผมได้มีโอกาสอ่าน
ต้นส้มแสนรัก ก็จากเรื่องนี้
ล่ะคับ

ขอบคุณมากเลยนะคับ
อ่านไปก็หยุดร้องไห้ไม่ได้สักที

มันรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก

ที่แน่ๆ ร้องไห้ไม่หยุดเลยคับ

Anonymous said...

ของผมก้อเจ็บไม่แพ้กันครับ ที่ทำงานผมสนิทกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เราทำงานเราสนิทกันมากครับ แต่น้องเขาไม่ได้เป็นเกย์ครับ ผมจะคอยเทคแคร์เขาเสมอ และเขาก้อดูเหมือนจะห่วงใยผมอยู่ไม่น้อย มันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเอง ความสนิทสนมของเราอาจจะไปขวางตาเพื่อนร่วมงานคนอื่นก้อเลยไปเเซวน้องเขา พักหลังน้องเขาไม่ค่อยเข้าใกล้ผมเลย จะคุยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นเท่านั้นตอนแรกผมก้อไม่เข้าใจคิดว่าเขามีปัญหาไรก้อเข้าไปถาม แต่ยิ่งเข้าใกล้น้องเขาก้อยิ่งห่างเหิน พักหลังหนักเข้าไปใหญ่ไม่ยอมคุยกับผมเลยเวลาอยู่ที่ทำงาน ผมอึดอัดใจมาก ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน ผมเหนื่อยมากจากคนที่ไม่เคยกินเหล้าผมจะต้องกินมันทุกวันเพื่อจะให้ลืม ตอนนี้ผมก้อลางานกลับบ้านครับ แต่ก้อยังคิดอยู่ว่าจะกลับไปทำงานหรื่อไม่ ผมไม่อยากให้เขาต้องอึดอัดเมื่อเห็นผมอยู่ที่ทำงานด้วย ตอนนี้ผมคิดมากครับ ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรแล้วครับ บอกตรงๆ ใครก้อได้ครับ ช่วยหาทางออกให้ผมทีครับ
ขอบคุณมาล่วงหน้าครับ
กร ครับ