Saturday, May 2, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 80

ผมรีบเดินออกไปที่นอกห้องสหกรณ์ เห็นเด็กวัยรุ่นสามคนเดินเอะอะกันมาตามระเบียงตึก คนหนึ่งคือไอ้นัย คนหนึ่งคือพี่เอ้ และอีกคนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่เต้ขาประจำนั่นเอง

เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาใกล้ เห็นไอ้นัยหัวเราะจนหน้าแดง ใบหน้าแจ่มใส ผมไม่ได้เห็นภาพไอ้นัยแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับไอ้นัย ผมไม่เคยเห็นมันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งเลย

“โอย พี่เต้นี่ร้ายจริงๆ นายแน่มาก” พี่เอ้ใช้สำนวนที่ฮิตติดปากวัยรุ่นในยุคนั้น พูดพลางหัวเราะพลาง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็เดินเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร พี่มั่วก็ชิงถามขึ้นก่อน

“เฮ้ย ไปทำอะไรมากัน หัวเราะร่วนเชียว”

“ก็พี่เต้น่ะดิ” พี่เอ้พูด “พาพวกเราไปกินกาแฟ”

“กินกาแฟหรือกินกัญชากันแน่วะ หัวเราะซะขนาดนี้” พี่มั่วอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “กินกาแฟแล้วทำไมต้องขำ”

“ก็พี่เต้พาเราไปกินกาแฟที่ร้านออนล๊อกหยุ่น แล้วนั่งเก๊กท่าวิจารณ์การเมืองล้อเลียนคนที่นั่งในร้าน” พี่เอ้เล่าถึงตอนนี้แล้วก็ยิ่งหัวเราะ ไอ้นัยเองก็หัวเราะไม่หยุด “ต้องไปดูหน้าพี่เต้ตอนนั้นเอาเอง โอย ขำ”

“โห” พี่มั่วร้อง “ร้านออนล๊อกหยุ่นน่ะเหรอ ลูกค้าที่นั่นมีแต่สามคนสองร้อย”

“อะไรอะ สามคนสองร้อย” ไอ้นัยสงสัย

“อายุไง” พี่มั่วตอบ ปล่อยมุขบ้าง เท่านั้นเอง นักเรียนในห้องก็หัวเราะกันอย่างไม่ต้องอั้น

ร้านออนล๊อกหยุ่นที่ว่านี้เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ข้างๆศาลาเฉลิมกรุง ย่านหลังวังบูรพา ว่ากันว่าเปิดร้านมาตั้งแต่สมัยปี พ.ศ. ๒๐๗๐ กว่าๆ จนถึงตอนที่ผมเรียนมัธยมก็อายุของร้านก็ปาเข้าไปราว ๕๐ กว่าปีแล้ว ร้านออนล๊อกหยุ่นนี้เป็นร้านกาแฟแบบเก่า ชงกาแฟด้วยถุงกาแฟแบบโบราณ ลูกค้าในร้านส่วนมากเป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมานั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ และสนทนากัน อย่างเช่นวิจารณ์เรื่องการเมือง อย่างที่เรียกกันว่าสภากาแฟ ที่จริงผมกับไอ้นัยเวลานั่งรถขากลับก็ต้องผ่านร้านนี้ทุกวัน ไม่เคยเห็นมีนักเรียนเข้าไปนั่งกินในร้านสักที มีแต่พวกผู้ใหญ่สภากาแฟที่ว่า

“พี่เต้วางมาดเสียแก่เชียว” ไอ้นัยเสริม มันยังหัวเราะไม่หยุด “แถมแกล้งวิจารณ์การเมืองเสียงดังอีก ผู้ใหญ่ร้านมองกันใหญ่ ยังกับเห็นตัวประหลาด”

“เล่นแรงเสียด้วย ร้ายนักนะมึง” พี่มั่วพูดกับพี่เต้ พลอยขำไปด้วย “นี่มึงให้เด็กกินกาแฟด้วยเหรอ เดี๋ยวก็นอนไม่หลับทั้งคืนหรอก” พี่มั่วพูดพลางมองมาทางไอ้นัย

“ไม่เด็กแล้วนะพี่ โตแล้ว” ไอ้นัยพูดแก้ ใบหน้าแดงแจ่มใส

“เปล่า นัยให้เค้ากินไมโล แต่ไอ้เอ้มันอยากกินกาแฟเลยสั่งมา เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้” พี่เต้หัวเราะ

“เฮ้ย นัย พาไอ้อูกลับบ้านได้แล้ว ดูมันดิ หน้าเป็นตูดแล้ว” พี่หมีพูดขึ้นบ้าง “มันเดินไปเดินมาคอยเอ็งจนพี่เวียนหัว”

พอพี่หมีพูดถึงผม เหมือนไอ้นัยจะนึกขึ้นได้ ยิ้มที่เปื้อนใบหน้าอยู่หายไปหมดทันที ไอ้นัยหันมามองผมแบบขอโทษ

“กลับบ้านเถอะอู เย็นแล้ว” ไอ้นัยพูดพลางรีบคว้าเป้ขึ้นสะพาย

ผมเงียบ ไม่พูดอะไร คว้าเป้ได้ก็รีบเดินลิ่วออกจากห้องทันที ไอ้นัยรีบเดินตาม

“อู ขอโทษนะ” ไอ้นัยพูดเสียงอ่อย “วันนี้กลับช้าไปหน่อย”

“หน่อยเหรอ นี่มันกี่โมงแล้ววะ” ผมถามด้วยความโมโห

“ก็วันนี้ตอนเลิกเรียน กูกับพี่เอ้กำลังเดินไปซื้อหนังสือ พอดีเจอพี่เต้ที่หน้าตึก พี่เต้ก็เลยไปเป็นเพื่อนด้วย ขากลับกูหิวน้ำ พี่เต้เลยชวนแวะที่ร้านออนล๊อกหยุ่น” ไอ้นัยพยายามอธิบาย แต่พอผมได้ยินว่าพี่เต้เป็นคนชวน แทนที่มันจะเหมือนราดน้ำลงบนกองเพลิง กลับกลายเป็นราดน้ำมันลงบนกองเพลิงแทน

“ทำไมวะ พี่เต้ชวนแล้วมึงก็ต้องไปงั้นเหรอ มึงไม่รู้หรือไงว่ากูรออยู่” ผมโวย

“ขอโทษอะ” ไอ้นัยหน้าจ๋อย

ผมบ่นไอ้นัยไปอีกหลายประโยค ไอ้นัยเงียบ ไม่พูดอะไร

“ทำไมไอ้พี่เต้ชวนแล้วมึงปฏิเสธไม่เป็นหรือไง” หลังจากบ่นอะไรต่ออะไรไปยืดยาว ผมก็หลุดคำว่าไอ้พี่เต้ออกมาด้วยความโมโห

“ทำไมมึงต้องเรียกเค้าว่าไอ้ด้วยวะ” ไอ้นัยเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง

“เรียกไอ้พี่เต้แล้วเป็นไงเหรอ” ผมแกล้งพูดย้ำ “เป็นรุ่นพี่แล้วชวนรุ่นน้องเถลไถลมันควรทำไหมล่ะ”

“มึงหยุดบ่นเสียทีได้มั้ย” ไอ้นัยพูดเสียงดังขึ้นมาบ้าง “เซ็งโว้ย”

ผมตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าไอ้นัยจะขึ้นเสียงใส่ผม พอได้สติผมก็หยุดพูด ตอนนั้นเราเดินกันมาจนถึงลานหน้าสะพานพุทธแล้ว ไม่มีใครเดินอยู่ใกล้ๆ คงไม่มีใครได้ยินเสียงเราสองคนทะเลาะกัน

เมื่อผมไม่พูดอะไร ไอ้นัยก็ไม่พูดอะไรอีก เราสองคนไม่พูดกันไปตลอดทางจนผมแยกลงจากรถที่ซอยภาวนา

- - -

ค่ำวันนั้นผมไม่มีความสุขเลย ผมหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น ไอ้นัยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผมเองอาจจะบ่นมากไปหน่อย แต่ไอ้นัยก็ควรจะรู้ตัวว่ามันเองเป็นคนผิด

ผมคิดถึงใบหน้าของไอ้นัยที่หัวเราะจนแดงเมื่อตอนเย็น ผมไม่ได้เห็นใบหน้าแบบนั้นมานานแล้ว ยิ่งช่วงนี้เห็นมันซึมๆหงอยๆเป็นส่วนใหญ่ พลางหวนคิดถึงวันเวลาตอนที่เรายังอยู่ชั้นประถม ไอ้นัยชอบหัวเราะแล้วก็ตีหน้าตาย หรือเป็นเพราะผมที่ทำให้ชีวิตของมันย่ำแย่ลง จึงทำให้มันขาดความสุขและไม่ค่อยได้หัวเราะ

ผมอาจจะอารมณ์เสียเกินกว่าเหตุไปหน่อยก็ได้ ที่จริงแล้ว วันนี้เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่ได้โดนดุอะไร เกือบสองปีที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมพยายามปรับปรุงตัวและทำตัวดีมาตลอด น้อยครั้งนักที่จะกลับบ้านผิดเวลา จนระยะหลังคุณลุงคุณป้าไว้วางใจ ถ้าผมติดกิจกรรมบ้างเป็นบางครั้ง เพียงโทรมาบอกที่บ้านก่อน จะกลับค่ำไปบ้างก็ไม่เป็นไร

คิดไปคิดมาก็รู้สึกสงสารไอ้นัย ผมควรจะโทรไปคุยกับมันเสียหน่อยน่าจะดี จะได้ไม่ค้างคาใจกัน

สามทุ่มเศษๆ ผมแว่บออกไปโทรศัพท์ที่ตู้ใกล้บ้าน...

สายไม่ว่างแฮะ ผมโทรซ้ำอยู่หลายครั้ง สายก็ไม่ว่างเสียที บางทีคุณอาของไอ้นัยอาจจะกำลังใช้สายอยู่ ผมจึงกลับเข้าบ้านมาก่อน

สามทุ่มครึ่ง ผมออกไปโทรอีกรอบหนึ่ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิมคือสายยังไม่ว่าง

จนสี่ทุ่มกว่า ผมแว่บออกจากบ้านเป็นครั้งที่สามเพื่อไปโทรศัพท์ สายก็ยังไม่ว่างอยู่เช่นเดิม ทำไมวันนี้คุณอาใช้สายนานนัก ผมโทรซ้ำอีกหลายครั้ง จนถอดใจจะเลิกโทรอยู่แล้ว ก็พอดีสายเรียกได้

เสียงเรียกสายดังเพียงแค่ครึ่งตู๊ด ทางโน้นก็รับสายทันที

“ลืมอะไรเหรอพี่” เสียงไอ้นัยพูดจากปลายสายด้านโน้น

“ไอ้นัย นี่กูเอง พี่ที่ไหนวะ” ผมทักมันอย่างงงๆ

“...” ไอ้นัยเงียบเสียงไป ผมนึกอะไรขึ้นมาได้

“เมื่อกี้มึงคุยกับใครน่ะ” ผมถาม

“...”

“มึงคุยกับพี่เต้ใช่ไหม” ผมคาดคั้น

“โทรมามีอะไรเหรออู” ไอ้นัยถาม

“ต้องมีอะไรถึงจะโทรมาได้หรือไง ทีมึงคุยกับไอ้พี่เต้เป็นชั่วโมงมีสาระอะไรบ้างวะ” ผมพูดด้วยความโมโห

“มึงเลิกเรียกเค้าว่าไอ้ได้มั้ย” ไอ้นัยเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “ยังไงเค้าก็เป็นรุ่นพี่นะ”

ตั้งแต่เด็กมา ผมเกรงใจไอ้นัยมาตลอด แม้แต่แม่ของผมก็ยังรู้ว่าเวลาผมอารมณ์ร้อนหรือดื้อขึ้นมา มีแต่ไอ้นัยที่ปรามผมได้ และก็ไอ้นัยคนนี้เองที่ยอมอ่อนข้อให้ผมมาตลอด แต่ตอนนี้ ไอ้นัยเป็นคนที่กระตุ้นต่อมโมโหของผมได้มากที่สุด และไม่ยอมอ่อนข้อให้ผมแม้แต่น้อย มันคงหมดความอดทนกับผมแล้วกระมัง

“รุ่นพี่เรอะ” ผมเสียงแข็งไม่แพ้กัน “เค้าไม่เห็นทำดีกับกูเหมือนทำกับมึงเลย เด็กมันก็ดูออกว่าเค้าชอบมึง” ผมพูดโพล่งออกไป ผมเคยคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แต่ไม่เคยพูดออกมา ไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้ แต่ในที่สุดผมก็พูดออกไป

“...”

ผมวางหูโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทั้งโมโห ทั้งท้อใจ ความตั้งใจที่จะโทรไปง้อไอ้นัย สุดท้ายกลับกลายเป็นทะเลาะกันหนักยิ่งขึ้น

- - -

วันรุ่งขึ้น ไอ้นัยมายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์ตามปกติ กิจวัตรเช่นเดิมแต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ แม้เราเคืองกัน เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ในส่วนลึกของหัวใจผมก็ยังรู้สึกถึงสายใยที่ผูกพันเราสองคนอยู่ แต่เช้าวันนี้ ความรู้สึกที่ผมรับรู้ได้คือความเย็นชา.. อีกทั้งสายใยที่ผมเคยสัมผัสได้ด้วยหัวใจก็ดูเหมือนจะหายไป...

เราสองคนไม่พูดกันเลยตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ปกติเราสองคนจะเข้าประตูสอง เพราะประตูนี้อยู่ใกล้ห้องเรียน เอาเป้ไปเก็บในห้องเรียนก่อนจากนั้นจึงไปที่สหกรณ์ แต่วันนี้ผมรู้สึกเซ็ง เดินกับไอ้นัยแล้วอึดอัดมาก อึดอัดจนอยากจะหนีไปจากสภาพเช่นนี้... ผมจึงตั้งใจจะไปที่สหกรณ์ลย ดังนั้นเมื่อเราเดินผ่านประตูหนึ่ง ผมก็แยกเดินเข้าประตูหนึ่งไปเลยโดยไม่พูดจาอะไร

เมื่อผมไปถึงสหกรณ์ ภายในห้องกำลังเอะอะเฮฮากันอยู่หลังตู้เอกสาร ไม่มีใครรู้ว่าผมเดินเข้าไปในห้องเพราะตู้เอกสารบังอยู่

“ไอ้นัยเป็นเด็กพี่เต้แน่เลยว่ะ” เสียงพี่เอ้พูด

“เฮ้ย” เสียงพี่หมีร้อง “มึงรู้ได้ไง”

“เมื่อก่อนก็สงสัยอยู่แล้ว แต่เมื่อวานแน่ใจเลยว่ะ” พี่เอ้พูด “พี่เต้เทคแคร์ไอ้นัยมาก มันจะกินกาแฟก็ไม่ให้มันกิน ต้องสั่งไมโลให้ กูจะกินอะไรไม่เห็นห้ามเลย”

“ก็มันยังเด็ก” พี่หมีพยายามอธิบาย “มึงมันแก่แดดแล้ว” พูดจบก็หัวเราะ

“ยังมีอีกโว้ย” พี่เอ้พูดต่อ “เมื่อวานพี่เต้ซื้อหนังสือให้ไอ้นัยด้วย”

“แล้วแปลกตรงไหนวะ” เสียงพี่มั่วแทรกขึ้น พี่มั่วก็อยู่ด้วย

“ก็หนังสือชื่อ ‘ต้นส้มแสนรัก’ พี่ว่ามันแปลกพอไหม” พี่เอ้ย้อนถาม

ผมคาดเดาเอาว่าไอ้นัยคงคุยเรื่องหนังสือต้นส้มแสนรักกับพี่เต้ พี่เต้เลยซื้อให้เพื่อจะได้ไม่ต้องยืมจากห้องสมุด ส่วนพี่เอ้เข้าใจผิดว่าชื่อของหนังสือเล่มนี้แฝงความนัยบางอย่างอยู่

“ฮื่อ น่าคิดโว้ย” พี่หมีพูด “พี่เต้ทั้งหน้าตาดี ทั้งนิสัยดี เสียดายของจังโว้ย” ว่าแล้วก็หัวเราะ

“แล้วมึงดูไอ้อู คอยไอ้นัยจนหน้าเป็นตูด มึงว่ามันมีซัมติงรองกันไหม” พี่เอ้วิจารณ์ต่อ

“โอ๊ย ยุ่งกันใหญ่” พี่มั่วพูด “พี่สังเกตมาตั้งนานแล้วล่ะ ไอ้เต้มันมานี่เกือบทุกวัน หนังสือก็เช่ามั่งไม่เช่ามั่ง มาแล้วก็เอาแต่คุยกับไอ้นัย” ว่าแล้วทั้งสามคนก็หัวเราะกันขำ

ปกติผมชอบพี่เอ้เพราะว่าพี่เอ้เป็นคนปากตรงกับใจ คิดอะไรก็พูดตรงๆ แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าพี่เอ้ปากตรงกับใจเกินไปเสียแล้ว…

ผมถอยออกมาจากสหกรณ์อย่างเงียบกริบ ความคิดที่จะเข้าไปนั่งแก้เซ็งเปลี่ยนไปในทันที


<ร้านออน ล๊อก หยุ่น ตั้งอยู่ข้างศาลาเฉลิมกรุง เป็นร้านกาแฟสไตล์โบราณ ชื่อร้านเป็นภาษาจีน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นภาษาจีนสำเนียงถิ่นไหน แต่ไม่ใช่แต้จิ๋ว ถ้าภาษาจีนกลางออกเสียงว่า ‘อานเล่อหยวน’ แปลว่าแดนสวรรค์อันสุขสงบ สังเกตว่าหน้าร้านมีกระป๋องไมโลตั้งเรียงรายอยู่ กระป๋องนี้ตั้งโชว์มาหลายสิบปี จากสีเขียวสดกลายเป็นสีเขียวซีด แต่ปัจจุบันก็ยังตั้งอยู่ เป็นเครื่องบ่งบอกอายุอันยืนนานของร้านนี้>


<บรรยากาศภายในร้านกาแฟรุ่นเก่าคูหาเดียว เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของบรรดาสภากาแฟซึ่งมักมีแต่ผู้ใหญ่อย่างที่พี่มั่วบอก>

26 comments:

Anonymous said...

วันนี้ขอเป็นคนแรกนะคับ
ติดตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกๆ
เข้ามาคอยตอนใหม่ๆ ทุกวันเป็นกิจวัตร
คืนนี้อยู่ดึกหน่อย ฤกษ์ดีได้ comment คนแรก
เลยถือโอกาสแนะนำตัวให้คุณอูได้รู้จัก

รักเรื่องนี้มากคับ รักคนเขียนด้วย

ขอบคุณคับ
MNK

Anonymous said...

ที่2 ที่1ของปี (^_^) อรุณสวัสดีครับลุงอูในที่สุดลุงนัยก็เปลี่ยนไปใจไม่ดีเลยกลัวว่าความเป็นเพื่อนรักจะไปด้วยน่าซิ เพื่อนอารัยโทรคุยกันนานขนาดนั้นแล้วนีพี่ๆยังรู้เรื่องของลุงอูกับลุงนัยซะอีกก็บอกรักลุงนัยเลยซิจะได้รุ้ว่าคิดกับเรายังไงละครับขอบคุ้นนนนลุงอูพรุงนี้แต่งชุดใหม่แล้วอิอิมันโล้นๆไงก็ไม่รุ้

Anonymous said...

งานเข้าเเล้ว

ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย

หวังว่าคงจะเข้าใจกันนะครับ

หรือไม่เเน่ พอผ่านเรื่องนี้เเล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างอูกับนัย

อาจจะเเน่นกว่าเดิม

เหมือนที่คุณอูเคยบอกว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งนึง

Anonymous said...

ที่1(^_^)กิ้กๆขออีกที
^
^
แบบนี้ซิพี่mnk
เม้นบนเนี่ยกล้าบอกรักลุงอูแล้วลุงอูละว่าไงตอบด้วยหุหุ555+

nut said...

ตอนนี้สงสาร อู จังเลย คงเศร้าและไม่รู้จะทำอะไร
แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคับ หวังว่านัยคงหลงพี่เต้เพียงชั่วคราวนะคับ
มาต่อเร็วๆ นะคับลุงอู กำลังสนุกเลย

Anonymous said...

ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้วอ่ะ
สงสารอูอ่ะ

อ่านแล้วรู้สึกบีบคั้น น้อยใจ แล้วก็ท้องัยไม่รู้แฮะ

ยุ่น said...

ก็ถ้าเค้าอยู่กับเราแล้วเค้าไม่มีความสุข
แล้วมีคนอื่นสามารถทำให้เค้ามีความสุขได้
ก็ปล่อยนัยเค้าไปเถอะคับอู ยื้อไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เสียเวลา เสียความรู้สึกดีๆต่อกันไปเปล่าๆ

ส่วนตัวเราก็ขอแค่เวลา...เพื่อทำใจรับให้ได้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่โลกใบนี้ก็ไม่ได้หดหู่เสมอไปหรอกคับ เพราะยังมีสิ่งดีๆรออยู่ข้างหน้าอีกมากมาย

ขอบคุณคับ คุณอู

ยุ่นครับ

yo408 said...

ความลับไม่มีในโลก สงสัยงานนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเพื่อน เด็กในวัยนี้แคร์ที่สุดคงเป็นคำนินทาของสังคมใกล้ตัวรอบข้าง

เข้าใจนะความรู้สึกแบบนี้ เคยเจอมากก่อน

ken_cup said...

เศร้าจังคับ มันบอกไม่ถูกอึดอัดโกรธเคือง มันเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดเลยน่ะครับ แต่นี่แหละชีวิตคน มันไม่มีสิ่งใหนราบรื่นตลอดหรอกจริงปะคับ แต่กลุ้มจังแฮะอยากให้ผ่านเรื่องนี้ไปเร้ว ๆจังเลยครับ

Anonymous said...

โอ๊ยเครียด!!!

noteam said...

ระส๑นะทฟรสในท

noteam said...

น่าสงสารคุณอูจังเลยอ่า

แต่ที่พี่ๆเค้าพูดมันก้อจิงเน๊อะ

แล้วทามงายต่อไปเนี่ย

สู้ๆ

มาต่อไวไวนะคับๆๆๆๆๆ

คิดถึงคุณอูเสมอๆ

Anonymous said...

อ่านตอนนี้แล้วเครียดมาก ๆ คุณอูรีบมาต่อเร็ว ๆ นะคะ

เราไม่อยากเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนได้อ่านถึงตอนจบ T_T

อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงเพลง 3มิติ เลยค่ะ จี๊ดดดด!!

*แด่เธอ ผู้เป็นทุกอย่าง จะมีฉันรอคอยเดินร่วมทาง ฝันคงไม่ไกล

>>แต่เธอ จืดจางหายเลือนลางเปลี่ยนไป เส้นทางฝันของฉันจบลง นานแม้จะนาน<<

เฝ้ารอ..คอยอยู่ อาจจะเป็นแค่ฝัน วัน..ที่ดีกว่า เมื่อเธอกลับมาที่เดิม*

รอคอยด้วยความเครียด -_-"

Anonymous said...

เหนื่อย ป่วย เพลีย T-T

หลาน Arus ของอาอู

พี said...

สังคมรอบข้าง เริ่มมีผลต่อการคบกันแล้ว โดยเฉพาะกับเกย์แบบเราๆ
ตอนแรก ก็มี มือ ที่สาม (หมายถึง พี่เต้)
ต่อมาก็เป็นสังคมรอบข้าง เสียงพูดหรือคำนินทา ของคนที่สังเกตุเห็น ระหว่างเรา กับ...คู่ของเรา
ช่วงนี้เป็นช่วงวัยรุ่นของทั้งสองคนด้วย ...อารมณ์ คงทำให้ว้าวุ่นใจน่าดู ก็อยู่ที่ความสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อกันมาตั้งแต่ประถม กับ ความยืดหยุ่น ของแต่ละคนละครับ ว่าจะสามารถประคับประคอง และรักษาน้ำใจกันและกัน เพื่อรักษา ความเข้าใจให้ยืดยาวต่อไปได้...ลุ้นเอาใจช่วยครับ... คุณอู

naja said...

สงสารคุณอูจัง เข้าใจเลยว่ามันเป็นยังไง

Anonymous said...

เศร้าจัง - -"

Anonymous said...

สงสารอูจัง ปกติผมไม่ค่อยใช้คำนี้
แต่ตอนนี้มันสมควรจริงๆ

เค้าไม่รักแล้ว เข้าใจไหม
เค้ามีคนใหม่แล้ว
นายมันเป็นคนอื่นไปแล้ว

t1000

Anonymous said...

ตามอ่านมาตลอด
มาถึงตอนนี้กำลังเข้มข้นเลย
ขอตอนต่อไวๆเลยนะครับ

อยากรู้ว่าปัญหานี้จะลงเอยยังไง
จะผ่านเหมือนแล้วมาหรือเปล่า

ขอบคุณครับ
thom

Anonymous said...

ฮืออ ทรมาน ได้อีกนะ
คือตอนนี้สงสารอูมากเลย

ก็เข้าใจอ่ะนะ ว่านัยเป็นคน
ที่ไม่ค่อยพูด แต่ชอตนี้
ไม่ได้แล้ว

คิดไรอยู่ ..ทำไรอยู่


"สงสารกันหน่อยได้ไหม
ใจ..มันรับอีกไม่ไหว"

Lonely man..

Anonymous said...

หงุดหงิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรหนักหนาเนี่ย
ไม่เข้าใจๆๆๆๆๆๆ บีบคั่นๆ มาต่อไวๆ คับพี่อู
สู้ๆ เป็นกำลังใจอูต่อไป

ู^^sky^^

Anonymous said...

ขอบคุณนะครับที่สงสารอู นึกว่าจะรักแต่นัย

arus เป็นอะไรไปน่ะ ยังไม่ดีขึ้นเลยเหรอ หาหมอหรือยังครับ

หลานที่หนึ่งของปี ตอนนี้ได้เรียนอะไรล่ะ ไม่เห็นบอกให้ฟังมั่งเลย จะได้ช่วยยินดีด้วย อยู่จุฬาฯใช่ไหม ชุดอะไรที่ว่าโล้นๆน่ะ

มีคนบอกรักลุงเหรอ จะให้บอกว่าไงล่ะ ก็บอกว่าขอบคุณสิครับ ขอรักน้อยๆแต่รักนานๆดีกว่ารักมากๆแต่รักประเดี๋ยวเดียว

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ครับ หลายๆคนเพิ่งจะเคยเห็นชื่อ เข้าใจว่าคงตามอ่านแต่ไม่ได้คอมเมนต์ ตอนนี้ใกล้อวสานแล้ว อีกหน่อยก็คงจากกัน แวะเข้ามาทักทายกันบ้างก็จะขอบคุณมากครับ ผมจะได้เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก

อู

Anonymous said...

ที่1(-_-)" มาอ่านช่วงลุงอูพบประชาชนแล้วเศร้าใจจัง ผมยังไม่ได้เข้ามหาลัยน่าครับ เราจะจากกันแล้วหร๋อลุงอู เห้ออยากให้เล่าตอนมปลายจังเลยครับ อยากรุ้ว่าวันจากเหย้าของลุงอูกับลุงนัยจะเป็นแบบไหนน้า ต่างคนต่างมีแฟนใหม่หรือยังรักกันอยู่ เห้ออออ

Anonymous said...

ทอนซิลอักเสษเป็นหนองครับ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ง่าๆๆๆ
ทำไมจะจบ เพิ่งจะมัธยมต้นเอง
เรื่อง ม. ปลาย ตอนมหาวิทยาลัยหายไปไหนคับ

จบแบบนี้ไม่ยอมน่ะ ตามอ่านมาสามปีแล้ว
ห้าห้า
ยุๆๆๆๆ เขียนต่อๆ
^^sky^^

ยุ่น said...

ยกมือว่าอยากอ่านต่อเหมือนกันคับ อู
ช่าย...ตอน ม.ปลาย กะ มหาลัย ด้วย
เขียนต่อนาคับ

ยุ่นครับ