Saturday, March 28, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 70

เช้าวันนั้น ถ้าไม่คิดว่านอกบ้านกำลังเกิดเรื่องวุ่นวายแล้ว ก็ต้องถือว่าวันนั้นเป็นวันที่ในบ้านคุณลุงคุณป้ามีบรรยากาศอันอบอุ่นคล้ายบ้านต่างจังหวัดของผมมาก คุณป้า เอ๊ด ไอ้นัย และผม นั่งล้อมวงกันกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย

“ดีนะเนี่ย ที่นัยไม่ทะเร่อทะร่าเข้าไปในเมือง” เอ๊ดคุยกับนัยอย่างคุ้นเคย

“นั่นดิพี่เอ๊ด เกือบไปเหมือนกัน ถ้าไปแล้วไม่รู้จะได้กลับมาหรือเปล่า” ไอ้นัยพูดพลางหัวเราะ

หลังจากกินอาหารเช้า ระหว่างที่ไอ้นัยนั่งรอคุณอามารับ เราก็นั่งดูโทรทัศน์กันเพื่อฆ่าเวลา

“เอ๊ะ มีจัดคอนเสิร์ตด้วยแฮะ แปลกดี” ผมอุทานเมื่อเห็นภาพในทีวีเป็นวงดนตรีคาราบาว ขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น กำลังร้องเพลงและเล่นดนตรีกันอยู่

วงคาราบาวในยุคนั้นเป็นวงดนตรีที่โด่งดังมาก และคอนเสิร์ตของวงคาราบาวถือว่าเป็นคอนเสิร์ตอันตราย เพราะว่าจัดแสดงคอนเสิร์ตทุกครั้งก็ต้องมีวัยรุ่นตีกันทุกครั้ง บางครั้งก็ถึงขั้นตะลุมบอนกันก็มี

วงคาราบาวเล่นเพลงไปเรื่อยๆสลับกับการอ่านประกาศของคณะผู้ก่อการ เราเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีได้ไม่นาน คุณอาก็มารับไอ้นัยกลับบ้านไป

ตอนสายๆ คุณลุงโทรมาบอกว่ามีการยิงปืนจากรถถังที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า พร้อมทั้งเตือนให้พวกเราอยู่แต่ในบ้าน เพราะฝ่ายผู้ก่อการกับฝ่ายรัฐบาลอาจปะทะกันอย่างรุนแรง

ตกเย็น สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ฝ่ายรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ กลุ่มผู้ก่อการรัฐประหารเมื่อพ่ายแพ้ก็กลายสภาพเป็นกลุ่มกบฏไป

หลังจากที่เหตุการณ์กบฏ ๙ กันยา ผ่านพ้นไป พวกเราก็กลับไปเรียนตามปกติ และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว ดังนั้นทางโรงเรียนจึงให้หยุดกิจกรรมนักเรียนต่างๆเอาไว้ก่อน ซึ่งก็หมายความว่าสหกรณ์ของพวกเราต้องหยุดทำการชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนดูหนังสือเตรียมสอบ

ทางด้านพี่เต้นั้น เมื่อห้องสหกรณ์ปิดทำการชั่วคราว พี่เต้ก็ไม่มีเหตุที่จะมาพบไอ้นัย ส่วนจะไปหาไอ้นัยที่ห้องเรียนหรือเปล่านั้นผมก็ไม่ทราบ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่เต้แถวๆห้องเรียนชั้น ม.ต้นเลย คาดว่าช่วงนั้นพี่เต้เองก็คงวุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเช่นกัน อาจไม่ค่อยได้แวะเวียนมาหาไอ้นัยก็เป็นได้

ไอ้นัยกับผมก็กลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิม เราไปและกลับด้วยกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ประการหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ไอ้นัยเงียบขรึมไป แม้ปกติไอ้นัยไม่ใช่คนพูดมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบขรึม อีกทั้งมันยังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่มาในระยะหลัง ไอ้นัยพูดน้อย อีกทั้งสีหน้าก็ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเช่นเดิม ผมเข้าใจเอาเองว่าไอ้นัยอาจจะคร่ำเครียดกับการดูหนังสือสอบ เพราะว่าผมเองก็คร่ำเครียดและเงียบขรึมไปบ้างเหมือนกัน

ผลการเรียนที่ดีมากของไอ้นัยเป็นกำลังใจทำให้ผมอยากพัฒนาตนเองขึ้นมา ผมพยายามขยันขึ้นเพื่อจะได้ทำเกรดได้ดีๆใกล้เคียงกับไอ้นัยบ้าง ไม่ต้องถึงกับเสมอกับมันหรอก เพียงแค่ห่างจากมันน้อยกว่านี้ผมก็พอใจแล้ว

ผมรู้สึกว่าไอ้นัยนับวันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของผมมากขึ้น และมากขึ้น ไอ้นัยเป็นทั้งกำลังใจอันยิ่งใหญ่ และก็เป็นผู้บั่นทอนกำลังใจของผมจนหมดอาลัยตายอยากได้อีกด้วย...

- - -

ในช่วงการสอบ ห้องเรียนของเราจะจัดโต๊ะใหม่ จากเดิมที่นั่งติดกันเป็นคู่ กลายเป็นแถวเดี่ยวหมด ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้นักเรียนลอกข้อสอบกันนั่นเอง รวมทั้งยังมีการสลับที่นั่งกันใหม่อีกด้วยเพื่อป้องกันเพื่อนสนิทนั่งอยู่ใกล้กัน พอดีผมได้นั่งสอบข้างหลังไอ้จิยอดนักสืบ

ผมเห็นตี๋นั่งทำข้อสอบอย่างตั้งใจ เทอมนี้ตี๋มีปัญหามาตลอด สภาพจิตใจของมันก็ไม่ค่อยดีนัก คะแนนกลุ่มของมันก็ไม่ค่อยดี ผมได้แต่เอาใจช่วยให้มันผ่านการสอบไปได้ด้วยดี

เมื่อการสอบวันแรกเริ่มขึ้น ผมก็สังเกตเห็นเพื่อนส่งฝิ่นให้ไอ้จิ ฝิ่นก็หมายถึงกระดาษที่จดคำตอบของข้อสอบเอาไว้ ฝิ่นหลายใบเวียนมาถึงไอ้จิ จากนั้นมันก็ส่งต่อไป จนผมแปลกใจว่าทำไมจึงมีผู้ปรารถนาดีกับไอ้จิหลายคน เพราะว่าพกฝิ่นและส่งฝิ่นเป็นเรื่องอันตราย นักเรียนดีๆทั่วไปไม่มีใครทำกัน เพราะหากถูกจับได้จะต้องถูกลงโทษ นอกจากสอบตกแล้วยังอาจถูกพักการเรียนอีกด้วย

“ทำไมคนส่งฝิ่นให้ไอ้จิหลายคนวะ” ผมถามอ๊อดในช่วงพักเที่ยงของวันสอบ

“ก็เพราะหนังสือโป๊ของมันนั่นแหละ” อ๊อดตอบ

“ยังไงเหรอ” ผมถามเพราะยังไม่เข้าใจ

“ก็มึงไม่ค่อยอยู่ที่ห้อง เลยไม่รู้น่ะสิ ไอ้จิมันขายหนังสือโป๊แล้วก็ใช้หนังสือโป๊นั่นแหละผูกไมตรีกับเพื่อนๆ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเกรด แม่งโคตรฉลาดเลย” อ๊อดพูดด้วยน้ำเสียงแกมอิจฉา

“ตกลงมันขายหนังสือโป๊เป็นล่ำเป็นสันเลยเรอะ” ผมอุทาน

“มันก็เอามาขายเรื่อยนั่นแหละ” อ๊อดตอบ “อาจจะไม่ถึงกับเป็นล่ำเป็นสัน แต่ถ้าเรียกว่างานอดิเรกละก็ได้แน่”

ผมได้แต่สะท้อนใจ ตี๋ขโมยเงินเพื่อนและถูกเพื่อนๆตราหน้าจนไม่มีใครอยากคบด้วย ในขณะที่จิขายหนังสือโป๊ ทุจริตในการสอบ แต่เพื่อนๆก็ยังคบมันอยู่ แถมยังอุดหนุนหนังสือโป๊ของมันเสียอีก... ผมหวนนึกถึงเรื่องพระเยซูกับหญิงคนชั่วอีกครั้ง... ผมเริ่มเรียนรู้ถึงความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งเริ่มแยกแยะว่าเพื่อนนั้นก็มีความจริงใจหลายระดับ

- - -

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ พวกเราก็จะมีเวลาหยุดเทอมเกือบๆหนึ่งเดือนเช่นเคย ช่วงปิดเทอมกลางปี ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก เพราะว่าต้องการใช้เวลาซ้อมเปียโนที่โรงเรียนดนตรี และเรื่องเรียนดนตรีนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไอ้นัย ป่านนี้ผมคงเลิกเรียนเปียโนไปแล้ว อย่าว่าแต่จะมาหาเวลาซ้อมเลย

ปิดเทอมครั้งนี้ ผมกับไอ้นัยมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงกว่าก่อน คุณอาของไอ้นัยมีงานคอมพิวเตอร์หลายอย่างให้ไอ้นัยช่วย ส่วนใหญ่เป็นพวกงานพิมพ์เอกสาร ดังนั้นในบางวันไอ้นัยก็ไม่ได้ออกจากบ้าน ผมจึงต้องเดินทางไปซ้อมเปียโนคนเดียว

เมื่อปิดเทอมไปได้สักระยะหนึ่ง ผมเริ่มสังเกตว่าแม้จะสอบปลายภาคเสร็จและปิดเทอมแล้วก็ตาม แต่ไอ้นัยก็ยังเงียบขรึมอยู่เช่นเดิม อีกทั้งสีหน้าก็ไม่แจ่มใส ถ้าเคร่งเครียดเรื่องสอบ เมื่อสอบเสร็จก็น่าจะหาย หรือว่าไอ้นัยไม่ได้เคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องการสอบ และถ้าไม่ใช่เรื่องการสอบแล้วไอ้นัยจะเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องอะไร...

หรือว่าเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้เจอพี่เต้? ผมคิด


<กบฏทหารนอกราชการ หรือ กบฏ 9 กันยา เป็นการก่อกบฏเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ของนายทหารนอกประจำการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย พันเอกมนูญ รูปขจร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ร่วมด้วยทหารประจำการอีกส่วนหนึ่ง และพลเรือนบางส่วนซึ่งเป็นผู้นำแรงงาน โดยได้ความสนับสนุนทางการเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง การรัฐประหารครั้งนี้พยายามจะยึดอำนาจการปกครองที่นำโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยพยายามก่อการขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปราชการที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในทวีปยุโรป

กลุ่มผู้ก่อการเรียกตนเองว่า “คณะปฏิวัติ” การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 3.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุมกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนาม พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ซึ่งนำโดยพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ. รักษาการตำแหน่ง ผบ.ทบ. ประสานกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกองอำนวยการฝ่ายต่อต้านขึ้นที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าต่อต้าน และออกแถลงการณ์ตอบโต้ กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5

เมื่อเวลาประมาณ 9.50 น. รถถังของฝ่ายก่อการ ที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุ และอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเข้าไปในบริเวณวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมประมวลข่าวกลาง ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิตสองคน คือ นายนีล เดวิส ชาวออสเตรเลีย และนายบิล แรตช์ ชาวอเมริกัน

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันรุนแรงขึ้น และมีการเจรจาเมื่อเวลา 15.00 น. โดยพลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล และพลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายกลุ่มผู้ก่อการ และทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ และถอนกำลังกลับที่ตั้งเมื่อเวลา 17.30 น. ส่วนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาสในคืนนั้น

เมื่อการก่อรัฐประหารล้มเหลว กลุ่มผู้ก่อการก็กลายสถานภาพเป็นกบฏ กลุ่มผู้ก่อการ คือ พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร ได้ลี้ภัยไปสิงคโปร์และเดินทางไปอยู่ในประเทศเยอรมนีตะวันตก ส่วนคณะที่เหลือให้การว่าถูกบังคับจากคณะผู้ก่อการกบฏ มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนี 10 คน

มีข่าวลือเกี่ยวกับการยึดอำนาจครั้งนี้ว่า พันเอกมนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึด เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้มีอำนาจที่จะนำกำลังออกมาสมทบในภายหลัง และการกบฏครั้งนี้ล้มเหลวเนื่องจาก “นัดแล้วไม่มา”>



<ในขณะนั้น คาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตกำลังมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างสูง คาราบาวได้การติดต่อแกมบังคับตั้งแต่เวลา 03.00 น. ให้ไปตั้งวงแสดงดนตรีที่สวนอัมพร ซึ่งตามแผนจะมีการถ่ายสดการแสดงคอนเสิร์ตของคาราบาวทางโทรทัศน์ สลับกับการอ่านประกาศของคณะปฏิวัติ เพื่อปลุกใจให้คนหันมาเป็นแนวร่วม แต่ทว่าเกิดการผิดพลาดขึ้น รถถังของกลุ่มผู้ก่อการได้ยิงปืนประจำรถถังใส่เวทีคอนเสิร์ต ดังนั้น ในอัลบั้มชุดที่ 6 ของคาราบาว “อเมริโกย” จึงมีอยู่เพลงหนึ่งชื่อ มะโหนก มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตทหาร ในท้ายเพลงมีบันทึกเสียงปืนจากรถถังที่ ยิงใส่เวทีคอนเสิร์ตในวันเกิดเหตุด้วย พร้อมกับเสียงผู้คนโหวกเหวก และเป็นที่มาของหน้าปกอัลบั้มชุดนี้ที่เป็นลายพรางทหาร และคำว่า “vol.6” ในปกเทปเมื่ออ่านกลับหัวจะกลายเป็นคำ “9 กย.”>


ฟังเพลง มะโหนก ของคาราบาว สังเกตเสียงปืนและเสียงเอะเอะตอนท้ายเพลงเป็นเสียงที่บันทึกจากเหตุการณ์จริงในวันที่ ๙ กันยายน

11 comments:

Anonymous said...

ที่1 (^_^) ของปีเตปๆๆ ตื่นเช้าอะครับกิ้กๆ

Anonymous said...

ที่1(^_^)ของปี ไปฟังเพลงมาแล้วค้าบมีเสียงปืนจิงๆ เมื่อวันไปรายงานตัวไปเดิดูโรงอาหารทันตะที่ลุงบอกด้วย ลุงอูบอกใบ้เรื่องลุงนัยเนี่ย ลุงนัยคงชอบพี่เต้ซะแล้วใช่มะเศร้าใจแทนลุงนะ
เราจะต้องจากกันแล้วจิงๆใช่ม่า ขอบคู้นนนนนนนนนนนนนนนลุงอูที่สุดเลยนะคับบบบบบผมนะอยากฟ้งถึงว้นจากเหย้าจิงๆเลย แอบจิ้นไปแล้วว่าลุงอูกับลุงนัยต้องกอดกันกลมแน่ๆ ผมไม่มีโอกาสแล้ว


พี่ๆช่วยมาเม้นให้กำลังใจลุงอูผมหน่อยนะครับ ไม่ใช่ลุงนัยก็อยากฟังอะเปนตอน3นะชื่อ รักวัยใ หัวใจดวงเดิม หรือรักครั้งใหม่หัวใจดวงเดิม มาให้อมยิ้มลุงอูกันเยอะๆหน่อย
^_^เจิมๆ

Anonymous said...

วันนี้ตื่นสาย จะออกไปเรียนไม่ทันแล้ว >.<

หลาน Arus ของอาอู

NoN@me said...

ลุงนัยคงจะชอบไอ้พี่เต้เเล้วละสิ

ส่วนลุงอูน่าสงสารที่สุดเลย

>o<

เป็นกำลังใจให้นะคับ สู้ๆ



NoName

Anonymous said...

ผมว่านัยเครียดเรื่องการเมือง

แบงค์

Anonymous said...

อย่าบอกนะว่านัยเครียดเรื่องพี่เต้ หรือตกหลุมรักพี่เต้ไปแล้ว

หรือว่า รู้ใจตัวเองแล้วว่าคิดยังไงกับอูเลยเครียด

ยุ่น said...

เพิ่งจะกลับมาจากไปเที่ยวชายทะเล
เข้าบ้านปุ๊บ เปิดเนตพุ่งเข้าบล็อคนี้เป็นอันแรก
ยังไม่ได้อาบน้ำเลย หุหุ

เดาไม่ถูกเหมือนกันว่า
จริงๆแล้วนัยเครียดเรื่องอะไร
จะเครียดเรื่องพี่เต้ หรือเพื่อนอู
หวยจะออกคนไหน ก็ต้องรอเฉลยแหละคร้าบบบ

แต่ที่แน่ๆ ระยะหลังๆรู้สึกว่าจะมีความเคลือบแคลง
ไม่ไว้วางใจระหว่างกันอยู่นะครับ มันเป็นความรู้สึก
ที่นับว่าเป็นอันตรายของความสัมพันธ์ในทุกระดับ
นะครับ ถ้าไม่มีความไว้วางใจกัน ปัญหามักจะตามมา
อีกมากมาย บางทีก็เป็นปัญหาที่ไม่คาดคิดซะด้วยซ้ำ

สุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
"อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด
อยู่ในหมู่มิตรให้ระวังการพูดจา"

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

ชอบครับ มีให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเก่าๆด้วย แบบนี้เรียกว่านิยายอิงประวัติศาสตร์จะฟังดูแก่ๆไปอ๊ะป่าว แต่ชอบจริงๆครับ อ่านแล้วได้บรรยากาศดี

Anonymous said...

แป่ว เดาผิด
คนละปีเลย

เมื่อปีสองปีก่อน
มีเพื่อนๆสงเมลมาให้

ในนั้นจะแนบรูปต่างๆมา
เช่น รูปโลโก หมากฝรั่งนกแก้ว
อะไรประมาณเนี้ย แล้วเค้าจะถามว่า
เคยเห็นรูปเหล่านี้ไหม

หนึ่งในนั้นมีรูปปกเทป ที่คุณอูเอามาโชว์นี่แหระ

แล้วเค้าก็เฉลยว่า ถ้าคุณเคยเห็นแปลว่าคุณแก่แล้ว

t1000

Anonymous said...

กรอ่านทีเดียวหกตอน แสดงว่าหายตัวไปร่วมเดือน

ยุ่นพูดถูกครับ ช่วงนี้บรรยากาศอึมครีม เคลือบแคลง เรื่องดำเนินเข้าใกล้ปมสำคัญแล้วครับ เรื่องราวจะออกมาในรูปใดต้องคอยติดตาม

ผมเผลอพูดไปว่าใกล้จะจากกันแล้ว เลยโดนตัดพ้อมา ที่จริงก็ไม่ได้ใจจืดใจดำจะทิ้งกันหรอกครับ แต่ว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเรื่องจบ บล็อกนี้ก็คงร้าง ใครจะมาอ่านของเก่าซ้ำๆอยู่ละครับ ตอนนี้เรตติ้งดี แต่อีกหน่อยก็คงหายไป ผมเองก็พยายามทำใจเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกคิดถึงพวกเรา

เอาไว้ตอนจบแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีละกันครับ ถึงตอนนั้น พวกเราอาจบอกว่าจบแบบนี้สวยแล้วก็ได้ครับ

อู

ยุ่น said...

หรือว่า....
นัยไปเจอผู้หญิงคนนึง
และเป็นคนที่ถูกใจนัยเข้าให้แล้ว

อ่านข้อความของอูแล้ว
รู้สึกยังงี้ตะหงิดๆขึ้นมาซะเฉยๆ
มันแว๊บขึ้นมาเองน่ะ คุณอู
ต้องขอโทษด้วยนะครับ

ยุ่นครับ