Tuesday, March 24, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 69

การเดินทางไปและกลับจากโรงเรียนด้วยกันโดยไม่พูดคุยกันเป็นเรื่องน่าอึดอัดอยู่แล้ว การเดินเที่ยวสยามสแควร์โดยไม่พูดคุยกันยิ่งเป็นเรื่องที่ทั้งประหลาดและทั้งน่าอึดอัด

ทุกวันเสาร์เป็นวันที่ผมและไอ้นัยต้องไปเรียนดนตรีด้วยกัน จากนั้นก็มักแวะกินอาหารและเดินเล่นที่สยามสแควร์ วันเสาร์นี้ก็เช่นกัน เราเจอกันที่ป้ายรถเมล์ปากซอยภาวนาเช่นเคย จากนั้นก็นั่งรถ ปอ.๒ ไปลงที่สยามสแควร์ จากนั้นก็เดินต่ออีกเล็กน้อยเพื่อไปยังโรงเรียนดนตรี

ตลอดทางขาไป เราไม่ได้คุยกันเลย จนเมื่อเรียนเสร็จ ผมเห็นไอ้นัยยืนรอผมอยู่ ผมลังเลใจ อยากอยู่กับไอ้นัยก็อยาก แต่จะไปเดินเที่ยวกันยังไงทั้งๆที่ไม่พูดจากัน

ไอ้นัย มึงง้อกูหน่อยไม่ได้หรือไงวะ กูไม่ได้โกรธมึงหรอกนะ แต่อยากให้มึงง้อกูหน่อยเท่านั้นแหละ... ผมคิดในใจ

ไอ้นัยไม่พูดจาอะไร ผมก็ไม่พูดอะไร เราสองคนเดินออกจากโรงเรียนดนตรี และมุ่งไปยังสยามสแควร์โดยไม่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามความเคยชิน

ร้านแรกที่เราแวะก็คือร้านโดนัท เมื่อไปถึง เราก็เอาข้าวของไปวางบนโต๊ะก่อน ไอ้นัยตั้งท่าจะไปซื้อโดนัทที่เคาน์เตอร์

“เดี๋ยวกูเอง” ผมพูดสั้นๆ ช่วงหลังผมคอยบริการไอ้นัยตลอด เวลาอยู่ในร้านโดนัทมันแค่นั่งกระดิกเท้ารอกินอย่างเดียว แม้ในวันที่เราขัดเคืองกัน ผมก็ยังไม่อยากให้เปลี่ยนเป็นอื่น

ไอ้นัยนั่งซึมกระทือรออยู่ที่โต๊ะ ไม่กระดิกเท้าอย่างอารมณ์ดีเหมือนเช่นเคย ผมเริ่มใจแป้วเมื่อเห็นเพื่อนรักตั้งแต่ในวัยเด็กนั่งเศร้าสร้อย อยากเข้าไปคุยกับมัน แต่อีกใจหนึ่งก็มีทิษฐิ อยากให้ไอ้นัยง้อผมบ้าง แม้สักนิดเดียวก็พอใจแล้ว

ในที่สุด ผมก็ซื้อโดนัทและน้ำอัดลมไปนั่งกินกับมัน ต่างคนต่างก็นั่งกินเงียบๆ กินเสร็จก็นั่งแช่อยู่ในร้านจนผมรู้สึกอึดอัด

เมื่อผมลุกจากที่นั่ง ไอ้นัยก็ลุกตาม เราสองคนเดินออกจากร้านโดนัทและเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย เดินอยู่เป็นเวลานานพอสมควร และแล้ว ในที่สุด การเดินของเราก็มาสิ้นสุดที่ป้ายรถเมล์...

เราสองนั่งรถ ปอ.๒ กลับด้วยกันโดยไม่ได้คุยกันเลยตลอดทาง วันเสาร์นั้นช่างเป็นวันที่น่าอึดอัดจริงๆ

“อู เป็นไรน่ะ ทำไมดูเซียวๆ” คุณป้าทักทายหลังจากที่ผมมาถึงบ้านและเข้าไปสวัสดี

“ผมน่ะหรือครับคุณป้า” ผมถามด้วยความแปลกใจ ผมว่าตนเองเก็บงำความรู้สึกเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ทำไมคุณป้ามองปราดเดียวก็สังเกตออก

“ก็ใช่น่ะสิ ดูซึมเชียว ไม่สบายหรือเปล่า” คุณป้าถามด้วยความเป็นห่วง

“เปล่าครับ คุณป้า อูสบายดีครับ” ผมตอบ จากนั้นก็เดินเลี่ยงและขึ้นห้องไป

ไม่ใช่แต่คุณป้าเท่านั้น แม้แต่คุณลุงและเอ๊ดต่างก็เห็นความผิดปกติเช่นกัน

“อู ช่วงนี้เป็นอะไรไปน่ะ” เอ๊ดถาม

“เปล่านี่” ผมปฏิเสธ

“ดูอูเงียบไป มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” เอ๊ดถามจี้ใจดำ

“เปล่านี่” ผมยืนยันคำเดิม

“เอา ปากแข็งเข้าไป” เอ๊ดถอนหายใจ “อูเป็นแบบนี้ทีไร แสดงว่าต้องมีเรื่องทุกที ไม่บอกก็ตามใจ อย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกัน”

พี่น้องกันก็ย่อมเข้าใจกันลึกซึ้งกว่า เอ๊ดดูออกว่าผมมีเรื่องอยู่ในใจ ผมไม่กล้าคุยกับเอ๊ดต่อ รีบหนีไปที่อื่น เพราะเกิดความกลัวลึกๆอยู่ในใจ... กลัวว่าถ้าขืนคุยกันต่อ เอ๊ดอาจจะจับเค้าเงื่อนบางอย่างของความสัมพันธ์ที่พิเศษระหว่างผมกับไอ้นัยได้

สุดสัปดาห์นั้นผมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อึดอัดและเศร้าสร้อย... ไอ้นัย มึงจะง้อกูสักนิดก็ไม่ได้เชียวหรือ ผมคิดแต่คำพูดประโยคนี้วนไปวนมาอยู่ตลอดเวลา

- - -

เช้าวันจันทร์

เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืด ก่อนตีห้า เมื่อเดินงัวเงียลงมาข้างล่าง ผมก็พบว่าคุณลุงและคุณป้าอยู่ในห้องนั่งเล่นและกำลังฟังวิทยุอยู่ด้ยสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนเอ๊ดนั้นยังไม่ตื่น

บรรยากาศในบ้านวันนั้นรู้สึกผิดปกติ คุณลุงกับคุณป้าไม่เคยนั่งเฝ้าวิทยุตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้มาก่อน เสียงเพลงที่ดังออกมาจากวิทยุนั้นเป็นเพลงมาร์ชปลุกใจ

“อู วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว ข้างนอกมีการรัฐประหาร” คุณลุงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นผม

เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องไปโรงเรียน ผมหายงัวเงียทันที

“มีอะไรนะครับ คุณลุง” ผมถามซ้ำ

“ข้างนอกมีรัฐประหาร มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามยึดอำนาจรัฐ มีการเอารถถังเข้ายึดสถานที่สำคัญด้วย ลุงกำลังติดตามข่าวอยู่” คุณลุงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ปฏิวัติ รัฐประหาร รถถัง ควันปืน รอยเลือด และคราบน้ำตา เป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ผมผ่านเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม และ ๖ ตุลาคม ในวัยที่ยังไร้เดียงสา ไม่รู้ความ จวบจนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น ก็ได้รับรู้เรื่องราวในอดีตจากการเล่าขานและในหนังสือ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมอยู่ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยตนเอง...

มีการประกาศคำสั่งของคณะทหารผู้ก่อการยึดอำนาจรัฐที่เรียกตนเองว่า คณะปฏิวัติ ออกมาหลายต่อหลายฉบับ ผมนั่งฟังอยู่กับคุณลุงและคุณป้าอย่างสนใจ

“แล้วนี่จะนองเลือดไหมครับ” ผมถาม พลางหวนนึกไปถึงเหตุการณ์รุนแรงในอดีตตามที่เคยได้ยินมา

“ไม่รู้สิ” คุณลุงพูดอย่างครุ่นคิด “พวกนี้อาศัยจังหวะที่นายกฯไปราชการที่อินโดนีเซีย และ ผบ.ทบ. ไปราชการที่ยุโรปก่อการรัฐประหาร ฝ่ายรัฐบาลคงไม่ยอมให้ยึดอำนาจง่ายๆอยู่แล้ว ยังไงคงต้องมีการปะทะกัน ส่วนจะสูญเสียขนาดไหนคงตอบยาก”

“เดี๋ยวลุงต้องรีบไปแล้วละ วันนี้อูกับเอ๊ดไม่ต้องไปโรงเรียน ยังไงคงเรียนไม่ได้อยู่แล้ว และห้ามออกไปไหนด้วย ข้างนอกอาจมีอันตราย รู้ไหม” คุณลุงสั่งด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง

“ครับ” ผมรับคำ

คนแรกที่ผมคิดถึงก็คือไอ้นัย ผมเหลือบมองไปที่นาฬิกา ตอนนั้นก็เกือบจะตีห้าครึ่งอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าไอ้นัยจะรู้ข่าวหรือไม่ จะโทรศัพท์ไปที่บ้านไอ้นัยตอนนี้ก็ไม่กล้า เพราะว่าคุณลุงกับคุณป้านั่งอยู่

คุณลุงรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน คุณลุงบอกว่าเนื่องจากเป็นข้าราชการ ดังนั้นแม้มีเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องเข้าไปทำงานก่อน หลังจากนั้นจะอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

นี่ถ้าไอ้นัยมันไม่รู้ข่าวและออกจากบ้าน อีกสักครู่มันก็คงมายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์ สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ฟังดูคงจะแย่ เพราะมีรถถังออกแล่นเพ่นพ่านด้วย ไอ้นัยจะมีอันตรายไหม…

อาศัยโอกาสที่คุณลุงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมออกไปทำงาน และคุณป้ากำลังสนใจกับประกาศของคณะผู้ก่อการรัฐประหาร ผมรีบขึ้นไปเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น จากนั้นอาศัยความมืดก่อนรุ่งอรุณเล็ดลอดออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ

ผมรีบวิ่งไปทางปากซอยเพื่อไปเตือนไอ้นัย ระหว่างที่ผมวิ่งไปได้ครึ่งทางนั้นเอง ผมก็เห็นเงาร่างตะคุ่มๆของใครคนหนึ่ง ในมือถือกระเป๋านักเรียน เดินอย่างเร่งร้อนเข้ามา

“นัย” ผมร้องเรียกอย่างดีใจเมื่อเห็นเงาร่างนั้นชัดตา ไอ้นัยนั่นเอง

ผมปราดเข้าไปคว้ามือไอ้นัยมากุมอย่างยินดี ความห่วงใยกังวลคลายไปสิ้นเมื่อเห็นไอ้นัยปลอดภัย

“ข้างนอกมีเรื่อง ไม่รู้จะยิงกันหรือเปล่า มึงรีบเข้ามาหลบก่อน” ผมรีบพูดต่อ

ผมไม่เปิดโอกาสให้ไอ้นัยพูดอะไร ลากมันกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงหน้าบ้าน

“ทำไมถึงได้หน้าตาตื่นขนาดนี้วะ” ไอ้นัยทำหน้างงๆเมื่อผมลากมันเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว เรายืนคุยกันอยู่ที่หน้าโรงรถของคุณลุง

“มึงยังไม่รู้อะไร ข้างนอกมีการรัฐประหารกัน มีทหารเอารถถังออกมายึดสถานที่บางแห่งแล้วด้วย อาจจะมีการยิงกันก็ได้” ผมอธิบายไปก็หอบไป

“โธ่ ไอ้อู นั่นมันอยู่ในเมือง ที่นี่มันชานเมือง รถถังไม่มาแถวนี้หรอก” ไอ้นัยหัวเราะขำ

“อ้อ มึงรู้เรื่องแล้ว” ผมถามด้วยความงุนงง “แล้วมึงยังมานี่อีกทำไมวะ ทำไมไม่รีบกลับบ้าน”

“กูเพิ่งรู้ตอนอยู่บนรถเมล์ วันนี้คนโล่งฉิบหายเลย กระเป๋ามาบอกว่าเมื่อตอนเช้ามืดมีรัฐประหาร วันนี้โรงเรียนปิด ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว” ไอ้นัยเล่า

“แล้วไง” ผมถามต่อ

“กูก็ว่าจะแวะลงจากรถโทรศัพท์ไปหามึง แต่กูกลัวว่าถ้าไม่ใช่มึงรับสาย กูจะโดนด่าว่าโทรมาแต่เช้ามืด ก็เลยไม่กล้าโทร เลยคิดว่าไหนๆขึ้นรถมาแล้ว กูแวะมาดูมึงเลยดีกว่า” ไอ้นัยอธิบาย “ว่าแต่ทำไมมึงแต่งชุดนี้วิ่งออกไปปากซอยวะ” ไอ้นัยถามต่อ

“คุณลุงกูรู้เรื่องแต่เช้ามืดแล้ว และสั่งไม่ให้กูออกไปไหน แต่กูเป็นห่วงมึง กลัวว่ามึงจะเข้าเมืองไป เลยจะออกไปบอกมึงนี่แหละ” ผมเล่า

ขณะนั้นเอง คุณลุงออกมาจากในบ้านพอดี พอคุณลุงเห็นผมและไอ้นัยก็ชะงัก ไอ้นัยยกมือไหว้คุณลุง

“นี่อูออกไปไหนมา” คุณลุงถาม ขณะเดียวกัน คุณป้าก็เดินออกมาสมทบ

“ผมออกไปหาเพื่อนครับ คือเรานั่งรถไปเรียนด้วยกันทุกวัน ผมห่วงมัน กลัวมันอยู่ข้างนอกจะไม่ปลอดภัย เลยไปพามันเข้ามาก่อนครับ” ผมอธิบาย

คุณลุงไม่พูดอะไร รีบเปิดประตูบ้านและขับรถออกจากบ้านไปอย่างเร่งรีบ คงรีบจนไม่มีเวลาซักไซร้ต่อ

“ก็ลุงเค้าสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ออกไปไหน” คุณป้าพูดกับผมเป็นเชิงตำหนิ

“คุณป้าครับ” ผมทำเสียงอ้อน หนึ่งปีกว่าที่ผมมาอยู่ที่บ้านนี้ ผมเรียนรู้ที่จะปรับตัว ผมสังเกตออกว่าคุณลุงและคุณป้าแม้จะเป็นคนเจ้าระเบียบ รักสันโดษ แต่ก็เป็นคนที่มีเมตตา ถ้าทำอะไรผิดแล้วยังเถียงมีแต่จะพัง ต้องอ้อนสถานเดียว

“ขอโทษครับ แต่เพื่อนทั้งคน จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงครับ” ผมใช้ลูกอ้อน “แต่ต่อไปอูจะไม่ขัดคำสั่งอีกแล้วครับ”

คุณป้าคลายสีหน้าลงเมื่อเจอไม้นี้เข้า

“พูดแล้วระวังจมูกยาวนะ” คุณป้าพูดยิ้มๆ ผมงง ส่วนไอ้นัยถึงกับปล่อยหัวเราะกิ๊ก

“หมายความว่าไงครับ” ผมถาม

ไอ้นัยยกศอกกระทุ้งสีข้างของผม “ก็พิน็อกคิโอไง ยิ่งโกหก จมูกก็ยิ่งยาว” ไอ้นัยอธิบายพลางหัวเราะ

คุณป้ายิ้มอย่างพึงพอใจ “เออ พ่อหนุ่มคนนี้หัวไวดีนะ เก่งจริง”

หลังจากนั้น คุณป้าก็บอกกับไอ้นัยว่าไม่ควรกลับบ้านเอง ควรให้ผู้ใหญ่มารับ เพราะข้างนอกอาจไม่ปลอดภัย พลางบอกให้ไอ้นัยเข้าไปใช้โทรศัพท์ข้างในบ้าน อีกทั้งยังชวนไอ้นัยให้กินอาหารเช้าด้วยกันก่อนอีกด้วย

เมื่อคุณป้าเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเข้าครัว เหลือแต่ผมกับไอ้นัยอยู่ที่โรงรถ ตอนนั้นฟ้าสางแล้ว ผมมองดูไอ้นัย ใบหน้าที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่วัยเยาว์ จากเดิมที่เกลี้ยงเกลา จนกลายมาเป็นมีสิวเล็กน้อยพร้อมกับไรหนวดสีเขียวเหนือริมฝีปาก ใบหน้าที่ชอบตีหน้าตายอยู่เสมอ...

“คิดไรอะ” ไอ้นัยถาม ผมสะท้านตื่นจากภวังค์

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมตอบปฏิเสธ

ไอ้นัยเอื้อมมือมาจับมือของผมไว้ แล้วบีบเบาๆ “ขอบใจนะอู... ขอบใจ...ที่มึงเป็นห่วงกู” ไอ้นัยพูดเบาๆ


<การรัฐประหารในครั้งนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ ๓.๐๐ น. ทหารกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจรัฐ โดยมีกองกำลังทหารราว ๔๐๐ นาย และรถถังจำนวน ๒๒ คันบุกเข้าควบคุมสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ กองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ในภาพ รถถังคันหนึ่งกำลังยิงอาวุธหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม>

21 comments:

Anonymous said...

ที่1 กิ้กๆ (^___^)
จองไว้ก่อน มาแล้ว

Anonymous said...

ที่1(^___^)
ดีกันแล้ว ดีๆๆ ลุงอูใครเป็นนายกอะครับ แล้วทำไมต้องทำด้วยมันโกงกินเหรอครับ
ใช่เดือนพฤษภารึเปล่ายังไม่เกิดเหมือนกันครับที่ว่ามีคนตายด้วยนี่น่า
ผมบอกแลวว่าพี่เต้แค่กิ้ก ลุงนัยรักลุงอูนะครับแทนที่จะกลับบ้าน แต่กลัวลุงอูจะเหวอไปโรงเรียนนะซิ ลุงอูเองวิ่งไปก็ลืมใส่กกนด้วยน่า 555+ ลุงอูคิดถึงชัชแล้วมาลงเยอๆนะครับปิดเทอมแล้ว ขอบคุณนครับ นอนดก่าพรุ่งนี้ลุ้นๆๆๆ

Anonymous said...

เย้ ผลออกเน็ตแล้ว (^^^^^_______^^^^^^)
เห้อ อาลัยๆๆๆ ชั่วชีวิตข้าไม่ลืม

Anonymous said...

ยังไม่เครียร์

ต้องเครียร์กว่านี้ ดีกันก็จริง แต่ัยังไม่เครียร์
เรื่องไอ่พี่เต้อีก
ไม่เครียร์ รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
^^sky^^

ปล. ให้กำลังใจคนเขียนต่อไปค๊าบ

ยุ่น said...

คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้มั้ง
แค่...เข้าใจกัน ก็พอแล้ว

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

ปฏิวัติช่วยไว้นะเนี่ย
ดีใจจัง ที่นัยสัมผัสได้ กับสิ่งที่อูทำให้

Anonymous said...

ไม่ทัน T-T

หลาน Arus ของอาอู

NoN@me said...

โหสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เเละก็ จอมพล ถนอม กิตติขจร

นานมาทีเดียว

.........

ลุงอูคงดีกะลุงนัยเเล้วสินะ

โฮะๆ

เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคับ


NoName

Anonymous said...

^_____^

Anonymous said...

ไม่น่าเชื่อ... ตอนนี้อ่านแล้วน้ำตาซึม ซึ้งจัง

แบงค์

Anonymous said...

ดีใจครับ ที่มีเหตุการณ์นี้มา ช่วยให้ทั้ง 2 คน คุยกันได้(แม้ว่ามีเรื่องไม่ดีต่อประเทศก็ตาม)
.....เข้าใจความรู้สึกนี้ดีครับ เกิดเมื่อ 18 ปีที่แล้ว การที่อยู่ใกล้ๆกัน แต่ไม่สามารถคุยกันได้ นั่งเรียนคู่กัน แต่ไม่ได้คุยกัน เรียนอยู่กลุ่มเดียว เขาถามมาเราได้ตอบคำ มันน่าอึดอัดน่าดู นี่ล่ะ ที่เรียกว่าอาการ งอน ที่เกิดกับคนที่เราแคร์มากๆ
....และตอนนี้ ผมก็ เกิดอาการแบบนี้อีกแล้ว เจอกัน แต่ไม่คุยกัน หรือพูดกันแค่คำ 2 คำ ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี อยากอยู่ใกล้ๆเขา แต่เมื่อเข้าใกล้แล้ว ก็มีแต่ความอึดอัด เศร้าใจ...

Anonymous said...

นี่สมัยป๋าเปรมเป็นนายกไม่ใช่เหรอ จอมพลสลิดที่ไหน

NoN@me said...

แง่ว- -

จอมพลสฤษดิ์ ไม่ได้เข้าไปปฏิวัติหรอ

สงสัยจะจำผิด


NoName

Anonymous said...

ตอนนี้เป็นตอนที่ผมรอคอยมากที่สุดตอนหนึ่ง

แต่ก็ผิดหวังนิดหน่อย
มันยังไม่เคลียร์หน่ะ

ห่วง มันก็ส่วนห่วง
แต่นัย คิดยังไงกันน่ะ

ยังแคร์อูกันไหม
หรือว่าเปลี่ยนไปแล้ว

ไม่รู้ตอนไปเที่ยว มีอะไรกันหรือป่าว

หรือว่าที่ทำนี่แค่ต้องการสั่งสอนอะไรอู
เพราะอูเองเคยทำมากกว่านี้อีก

แต่ก็เข้าใจอูน่ะ
เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน อยากให้เค้าง้อเหลือเงิน
พูดก่อนก็ไม่ได้น่ะ แต่ไม่ใช่ว่าทิฐิหรอกน่ะ
แค่ว่า ถ้าเราพูดก่อน เราก็จะไม่รู้ใจ เค้า
ว่าเค้าจะง้อเราไหม เค้าจะแคร์เราไหม
เค้าสังเกตเห็นเราไหม

พอก่อนแล้วกันไม่ได้ตั้งใจจะร่ายยาว

t1000

Anonymous said...

เรื่องของพี่เต้ในตอนนั้นถือว่ายังคลุมเครืออยู่ครับ รวมทั้งความรู้สึกที่นัยมีต่อพี่เต้เป็นยังไงก็ยากที่จะรู้ เพราะว่าคนอย่างนัยอ่านใจยาก

แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ใกล้จบแล้วครับ ถ้าโพสต์ด้วยอัตราแบบที่ผ่านมา คาดว่าอีกสองสามเดือนก็คงอวสาน ใกล้ถึงเวลาที่เราจะจากกันแล้ว

หลานกิ๊กกิ๊กกิ๊ก ตะลุยเที่ยวแล้วเป็นไงบ้าง ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย

arus เก่งมาก ได้เต็มทุกวิชา ก็ได้ 4.00 น่ะสิ เก่งกว่าอานัยอีก เพราะอานัยอย่างมากก็ได้เกรด 3.5-3.6 ไม่มากไปกว่านี้

ืรีพลายที่สาม ยินดีกับผลสอบด้วย

ช่วงที่รัฐประหารนั้นเป็นสมัยนายกเปรม สาเหตุรัฐประหารเรื่องค่อนข้างยาว คราวหน้าจะค้นมาเพิ่มให้ครับ

Anonymous said...

ที่ไม่คิดว่าจะได้เต็มมีสองวิชา
ข้อสอบเรียงความ-มลภาวะ

กับข้อสอบสังคม ที่อ่านผิด อาจารย์ออกความรู้
รอบตัว 20 คะแนน ซึ่งไม่ได้อ่านเลย

อย่างเช่นอาเซียนซัมมิส จะจัดที่ไหน
มีอยู่วันหนึ่งผมลงไปชงชาดื่ม พักระหว่างอ่าน
หนังสือ โทรทัศน์ห้องคุณแม่เปิดอยู่ ผมก็เลย
เห็นการ์ตูนสารคดี ที่เป็นสิบชาติเขาบอกว่า
จัดที่หัวหิน ผมก็เลยมาระลึกได้ในห้องสอบ
แล้วตอบถูก

**********

ตอนแรกผมก็กังวลว่าจะได้คะแนนดีไหม
พอได้คะแนนดีแบบนี้ เพื่อนผม ดันไม่ดีใจ
ด้วย แล้วบอกว่า พวกได้คะแนนดีๆ มันจะ
มานั่งกังวลว่าจะสอบได้ไหม สอบตกไหม...
ไม่เห็นว่าดีใจด้วยเลย T-T โธ๋เพื่อนผม...

หลาน Arus ของอาอู

NoN@me said...

จะจบเเล้วหรอ

T^T

เเล้วจะมีเรื่อนอื่นต่อมั้ยคับ

อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆเลย

เศร้า

Anonymous said...

อูภ้าจบแล้วพวกเราต้องจากกันด้วยหรอ
อูไม่คิดถึงหลาน ๆ ที่เป็นกำลังใจให้อูหรอคับ
KTB

Anonymous said...

กลับมาแล้วครับ มาเก็บทีเดียว 6 ตอนเลยครับ อ่านแล้วน้ำตาซึมตลอดครับ เพราะพฤติกรรมที่อูกับนัยหมางเมินกันมันเหมือนกับผมเลยครับ โดยมากผมจะเป็นฝ่ายเงียบเพื่อเรียกร้องความสนใจให้คนใกล้ชิดมาง้อครับมันติดนิสัยน่ะครับ แต่พอมาตอนที่ 69 ค่อยผ่อนคลายหน่อยครับ อ่านแล้วยิ้มได้ครับ ที่อูบอกว่าอีกสามเดือนคงอวสานแล้วผมไม่อยากให้ถึงตอนนั้นเลยครับ ผมไม่อยากให้จบเลยครับ อยากให้อูมาเขียนเรื่องราวดีๆ ให้อ่านอีกครับ อูจะไม่สงสารเพื่อนๆ น้องๆ หลานๆ ทุกคนที่เขาติดตามอ่านหรอครับ เราทุกคนจะไม่จากอูไปไหนครับ จะเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิมครับ
คิดถึงนะครับ
กร ครับ

Anonymous said...

อ้อ ใช่เมษาฮาวายป่าวคับ
ตอนนั้นแม่ผมกำลังตั้งท้องผม(แม่เล่าให้ฟัง)

แต่ว่าตอนนั้นอู ไม่ปิดเทอมเหรอมันเดือนเมษาหน่ะ

ช่วงนั้นมันส์มากคับ เค้าเริ่มกันตอนตีสอง(แม่เล่าให้ฟังอีกแหระ)
ป๋าเปรม โดยเสด็จ(พาหนี)ในหลวงกับพระราชินี
และพระบรมวงศานุวงศ์ไปประทับอยู่โคราช

พอรู้ว่าป๋าเปรมอยู่โคราช
ไม่เพียงแต่คุณลุงคุณป้า ของคุณอู
คนทั้งประเทศคิดว่ายิงกันเมืองพังแน่นอน
แต่ผิดคาด ทุกอย่างเหมืนอฝัน
การก่อการจบลง

แล้วกลุ่มกบฏ ชื่อยังเติร์ก (ถ้าจำไม่ผิด)
หนีไปต่างประเทศ แถมมันตรงกับช่วงวัน เอพิลฟูลส์
รัฐบาลเลยอ้างว่าแค่หลอกกันเหมือนเอพิบฟูลส์

แต่ปีถัดมาสิ
แม่บอกว่า มีทั้งระเบิดศาลากลาง
การลอบสังหาร ทั้งป๋าเปรม ทั้ง พล.เอก อาทิตย์
แล้วก็พระราชินีด้วย

หนึ่งในกบฎยังเติร์ก ก็คือ พล เอก พัลลภ คนที่
สั่งยิง ที่มัสยิดรือเสาะ อันลือลั่น
และ ถูกกล่าวหาว่า วางแผนคาบอมบ์ ทักษิณไง
คนเนี้ยไม่ทำมะดา รบมาหมดแล้ว
อินโดจีน เวียดนาม แอบไปช่วยรบในลาวแบบลับๆ

ตอนพฤษภาทมิฬ คนนี้แหระที่พา น.ศ. ไปเผาโรงพัก

รัยอ่ะเนี้ยโทษทีๆ ภาพมันมากเป็นฉากๆ
ตกลงใช่ เมษาฮาวายป่ะ

ทีหนึ่งพัน

Anonymous said...

โห คุณ T-1000 นี่รู้ดีจังคับ เจ๋งๆๆ

ดีจัง อ่านเรื่องราวความรัก ได้รับความรู้ประวัติศาสตร์แถมมาด่วย

ดีจังๆ เริ่มกลับมาเป๋นไปในทางที่ดีและ