Saturday, March 21, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 68

“เอ้า นักเรียนจับกลุ่มกัน กลุ่มละห้าคน แล้วส่งตัวแทนมาจับฉลากหัวข้อที่จะอภิปราย แล้วคราวหน้าเรามาคุยกัน ให้เวลาพูดกลุ่มละ ๑๐ นาที” อาจารย์วิชาสังคมศึกษาจัดให้มีกิจกรรมอภิปรายกลุ่มย่อยเรื่องปัญหาสังคมขึ้นในชั่วโมงเรียน และสั่งให้นักเรียนจับกลุ่มกัน

อ๊อดคล้องแขนผมเอาไว้ “กูจองตัวมึงนะ”

“มึงไม่คิดจับกลุ่มกับคนอื่นบ้างเหรอ” ผมถาม

“โฮ้ย จะไปทำยังงั้นทำไม” อ๊อดหัวเราะ “จับกลุ่มกับมึงสบายจะตายห่า คนอื่นมันจะยอมให้กูกินแรงแบบมึงเรอะ”

“โห เล่นเว้ากันซื่อๆเลยนะมึง หน้าด้านฉิบหาย” ผมด่ายิ้มๆ

งานกลุ่มต่างๆไม่ว่ากลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็ก อ๊อดมักเข้ากลุ่มร่วมกับผมเสมอ หลายๆครั้งที่อ๊อดขี้เกียจ มักโยนงานให้ผมทำแทน แต่ความสนิทสนมทำให้ผมไม่เคยถือสา

หลังจากที่เหตุการณ์จับขโมย ตี๋เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเดิมที่เคยกวนประสาทเพื่อนๆ ชอบต่อล้อต่อเถียง กลายเป็นเด็กที่เงียบขรึม ไม่พูดจา เวลาเรียนก็ไม่พูดคุยกับใคร เวลาพักก็ไม่สุงสิงกับใคร กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด

ตี๋ทำตัวแปลกแยก ที่จริงผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตี๋ทำตัวแปลกแยก หรือว่าเพื่อนๆโดดเดี่ยวตี๋กันแน่ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ จิก็พยายามโน้มน้าวเพื่อนๆให้แอนตี้ตี๋ แต่ทุกคนในห้องก็ไม่ได้คล้อยตามจิไปเสียหมด หลังจากที่ผมเริ่มไปนั่งกินอาหารเที่ยงกับตี๋ เพื่อนๆบางคนก็ไปนั่งกินข้าวกับตี๋บ้าง บางทีอ๊อดกับผมก็ไปนั่งกินด้วยกันกับตี๋ แต่การที่ตี๋ไม่พูดจากับใคร ก็เหมือนกับตี๋ก่อกำแพงสร้างโลกขังตัวเองเอาไว้ภายใน แม้เพื่อนๆอยากจะเข้าถึงตี๋แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ ในที่สุด ตี๋ก็อยู่ในสภาพโดดเดี่ยว

ความโดดเดี่ยวของตี๋ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีเลย แทนที่ทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น เพื่อนๆจะค่อยๆลืมเหตุการณ์ในอดีต สถานการณ์ของตี๋กลับยิ่งเลวร้ายลง เพราะเมื่อมีการจับกลุ่มทำกิจกรรม ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ตี๋จะกลายเป็นตัวปัญหาเสมอ ไม่มีใครอยากจับกลุ่มกับตี๋เพราะตี๋ไม่พูด แม้ตี๋จะช่วยงานกลุ่ม ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีอิดออด ไม่มีต่อรอง แต่การที่ตี๋ไม่พูดทำให้การสื่อสารในกลุ่มไม่ราบรื่น เพื่อนๆจึงเอือมระอาที่จะจับกลุ่มกับด้วย แม้แต่เหล่าอาจารย์เองก็หนักใจ เพราะว่าเมื่อจับกลุ่มกันทีไร ตี๋จะกลายเป็นส่วนเกินที่ไม่มีกลุ่มไหนเอาทันที ร้อนถึงอาจารย์ต้องช่วยจัดการยัดเยียดตี๋ให้แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสมอ

“มึงไม่ต้องเอาไอ้ตี๋มาเข้ากลุ่มนะ” อ๊อดพูดดักคอ

“ทำไมล่ะ” ผมถาม ที่จริงก็รู้สาเหตุอยู่แล้ว

“เอาหุ่นยนต์หรือคนใบ้มาเข้ากลุ่มยังดีกว่า” อ๊อดตอบพลางพูดเตือนสติ “มึงเห็นใจไอ้ตี๋ แต่มึงก็ต้องเกรงใจคนอื่นด้วยนะไอ้ไก่อู”

ช่วงหลังผมกับอ๊อดพยายามให้ความเอื้อเฟื้อแก่ตี๋ โดยเมื่อมีการจับกลุ่มทำกิจกรรม ไม่ว่าจะกิจกรรมย่อยหรือใหญ่ ก็มักชวนมันเข้ากลุ่มด้วย แต่ต่อมาแม้แต่อ๊อดเองก็เอือมระอา ที่จริงผมเองก็เบื่อพฤติกรรมของไอ้ตี๋เหมือนกัน แต่ความสงสารมีมากกว่า จึงพยายามทนๆไป แต่อ๊อดพูดถูก ผมเองก็ต้องเกรงใจเพื่อนคนอื่นด้วย ดังนั้นบางครั้งผมก็ต้องตัดใจไม่ชวนตี๋เข้ากลุ่ม

ส่วนตี๋เองนั้นตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะรู้สึกเดือดร้อนหรือเปล่า เพราะแม้จับกลุ่มไม่ได้แต่ในที่สุดก็ต้องได้เข้ากลุ่มอยู่ดี เพราะอาจารย์จัดการให้ ความรู้สึกของตี๋เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของผม เพราะว่าผมไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนนี้มาก่อน

แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตี๋บ้างแล้ว เพราะสถานการณ์ของผมกับไอ้นัยก็ใกล้เคียงกัน...

หลังจากที่ผมโดยไอ้นัยตำหนิ จากเดิมที่ผมเคยยอมรับว่าไอ้นัยเหนือกว่าผมตลอดมาโดยไม่รู้สึกแตกต่างอะไร กลายเป็นเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบและเกิดปมด้อยขึ้นมา ที่จริงผมก็ไม่ได้เปรียบเทียบตนเองกับไอ้นัยโดยตรง แต่เปรียบกับพี่เต้มากกว่า พี่เต้เหนือกว่าทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ วาทศิลป์ แม้แต่หน้าตา ฐานะ ชนิดที่ว่าไม่ว่ายกข้อไหนมาเปรียบกัน พี่เต้ก็เหนือกว่าทุกข้อ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ไอ้นัยชื่นชมพี่เต้ได้อย่างไร

ผลของความรู้สึกที่ด้อยกว่า ทำให้ผมเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ หลังจากเหตุการณ์ที่ไอ้นัยตำหนิผม ผมก็พูดคุยกับไอ้นัยน้อยลงมาก จะพูดก็เฉพาะที่จำเป็นต้องพูดกันตอนทำงานในสหกรณ์เท่านั้น แม้เราจะยังเดินทางไปโรงเรียนและกลับจากโรงเรียนด้วยกัน แต่ผมมักนั่งเฉยๆ ไม่ค่อยพูดอะไร ผมอยากให้ไอ้นัยชวนผมคุยบ้าง แต่ดูเหมือนไอ้นัยจะไม่เข้าใจ เมื่อผมเงียบ ไอ้นัยก็พลอยเงียบไปด้วย คนเราที่เคยสนิทกัน มีกิจกรรมต้องทำร่วมกัน แต่ไม่พูดจากัน ความอึดอัดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยายความรู้สึกออกมาได้จริงๆ...

“เอ็งกับไอ้นัยเป็นอะไรไปวะ พี่เห็นนั่งใบ้แดกมาหลายวันแล้ว” พี่มั่วถามขึ้นในวันหนึ่ง วันนั้นเป็นเวรของผมกับพี่เอ้ รุ่นพี่ ม.๔ พี่มั่วมานั่งเล่น ส่วนไอ้นัยไม่อยู่ในห้องสหกรณ์ “โกรธกันใช่ไหม”

“นั่นดิ พี่ก็ว่ามันเงียบๆผิดปกติทั้งสองคน” พี่เอ้พูดขึ้นบ้าง

“มันโกรธกันอยู่แล้วล่ะ” พี่มั่วสรุปอย่างมั่นใจ “พี่ถามไอ้นัยมันก็ตอบแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรชัวร์เลย”

“เฮ้ย ทะเลาะกันเรื่องอะไรวะ” พี่เอ้ถาม “พี่เห็นเอ็งสองคนสนิทกันจะตาย”

“ไม่มีอะไรจริงๆ เรื่องเด็กๆน่ะพี่” ผมตอบเลี่ยง

“อ้อ เอ็งบอกเรื่องของเด็กๆ แปลว่าพี่อย่าเสือกใช่ไหม” พี่มั่วตีรวน

“โห อย่าหาเรื่องผมดิพี่” ผมรีบปฏิเสธ “ไม่ได้หมายความยังงั้น”

“งั้นเล่ามา เร็วๆเข้า” พี่เอ้รุกคืบ กดดันให้ผมเล่าออกมา

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมอ้อมแอ้ม “แค่พูดผิดหู ก็เลยเคืองกัน โกรธกันไม่นาน เดี๋ยวก็หายแหละพี่”

หลังจากที่เค้นแล้วไม่ค่อยได้อะไรเท่าไร รุ่นพี่ทั้งสองคนก็เลยเลิกซัก คงรู้เพียงแต่ว่าเราสองคนเคืองกันเท่านั้น

ไอ้นัย มึงว่ากูเสียแรงเชียว กูเสียใจนะมึงรู้ไหม มึงจะไม่คุยกับกูหน่อยเหรอ มึงไม่คิดจะง้อกูบ้างเลยเหรอ... ผมคิดวนเวียนอยู่ในใจ แต่จนหลายวันผ่านไป ไอ้นัยก็ยังคงเฉยเมยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

- - -

กิจการของสหกรณ์คึกคักขึ้นตามลำดับ ทำให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น แต่พอล่วงเข้าต้นเดือนกันยายน ธุรกิจก็เริ่มซบเซาลงไปบ้างเพราะนักเรียนใกล้สอบแล้ว ต่างก็เริ่มดูหนังสือสอบกัน รวมทั้งบรรดาอาจารย์ต่างก็คงเริ่มยุ่งกับการออกข้อสอบกัน นิตยสารรายปักษ์ฉบับล่าๆเริ่มได้รับผลกระทบ เพราะราคาค่าเช่าขึ้นกับความทันสมัยของนิตยสาร ตอนซื้อซื้อมาแพง แต่ปล่อยเช่าได้น้อย ทอดเวลาออกไปราคาค่าเช่าก็ตก ทำให้ไม่เหลือกำไร

แต่ลูกค้าน้อยงานก็น้อยลง ช่วงที่ผ่านมาพวกเราค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยกับงานลงบัญชี เพราะว่าลงบัญชีลูกค้ากันไม่ค่อยจะทัน พอลูกค้าน้อยก็เลยไม่ต้องเหนื่อยมาก

เช้าวันหนึ่งในตอนต้นเดือนกันยายน ไอ้นัยกับผมมาเรียนด้วยกันตามปกติในแบบที่ไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก กล่าวคือ เราสองคนยังไม่พูดกัน

เมื่อผมเดินไปถึงป้ายรถเมล์ก็พบไอ้นัยยืนรออยู่แล้วเช่นเคย ใบหน้าของมันเรียบเฉย สังเกตอารมณ์ไม่ออก

ผมเดินไปสมทบกับไอ้นัย จากนั้นเราก็ขึ้นไปนั่งบนรถเมล์ด้วยกัน นั่งที่นั่งติดกันเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเราไม่คุยกันเลยตลอดทางที่มาโรงเรียน

เมื่อไปถึงโรงเรียน เราเดินมาเงียบๆด้วยกันจนมาถึงหน้าตึกเรียน จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตนเอง มันเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว

วันนั้น หลังจากที่กินอาหารเที่ยงเรียบร้อย ผมก็เดินไปที่ห้องสหกรณ์ เดี๋ยวนี้ห้องสหกรณ์กลายเป็นที่สิงสถิตของผมไปแล้ว แม้บางวันไม่มีเวรก็ยังเข้าไปนั่งเล่น คล้ายกับเป็นห้องชมรมอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่มั่วและคนอื่นๆก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องสหกรณ์ ก็พบว่าไอ้นัยกำลังนั่งคุยกับพี่มั่วและพี่เอ้อยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีกระดาษต่อเนื่องแบบที่ใช้กับเครื่องพิมพ์กองอยู่ ตอนนั้นยังไม่มีสมาชิกเข้ามาใช้บริการ

“ไอ้นัย เอ็งนี่เจ๋งเลย” พี่มั่วชมเสียงดัง

“ฮื่อ มันร้ายโว้ย” พี่เอ้พูดขึ้นบ้าง

“มีอะไรกันเหรอ” ผมเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย

“ดูนี่ดิ” พี่มั่วยกกระดาษต่อเนื่องขึ้นมาให้ผมดู

“ดูแล้ว แล้วไงอะครับ” ผมถาม เพราะดูแล้วก็ไม่เข้าใจ เห็นแต่บนกระดาษมีรายชื่อสมาชิกและจำนวนเงินเต็มไปหมด

“ไอ้นัยมันเอาโปรแกรมดีเบสมาช่วยทำบัญชีลูกค้า ต่อไปเพียงแค่ป้อนข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเข้าไปทุกวัน พวกยอดสะสมต่างๆก็ไม่ต้องคำนวณแล้ว ให้โปรแกรมคำนวณได้เลย แถมจะออกรายงานยอดสะสมเมื่อไรก็ได้ ทุกวันยังได้เลย” พี่มั่วอธิบายอย่างตื่นเต้น

ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พอรู้ว่าไอ้นัยมันคงไปศึกษาหาวิธีเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยทุ่นแรง และคงเป็นวิธีที่ได้ผลดี เพราะถึงกับทำให้พี่มั่วกับพี่เอ้ทึ่งได้

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรู้สึกดีใจและชื่นชมในความสามารถของไอ้นัย แต่สำหรับตอนนี้ไม่เลย ในใจผมเกิดคำถามมากมาย... ไอ้นัย มึงคิดจะเล่นอะไรทำไมไม่บอกกูมั่งวะ คงซุ่มทำมาพักใหญ่แล้วสิ แล้วมึงคิดอะไรสำเร็จ ทำไมเมื่อเช้ามึงไม่บอกกูสักคำ ทำไมไม่ให้กูรู้เป็นคนแรก ทำไมกูถึงได้รู้หลังพี่มั่วและพี่เอ้ ทั้งๆที่กูควรจะมีสิทธิ์ได้รู้ก่อน...

ครั้นถึงตอนบ่าย หลังเลิกเรียน เมื่อพี่เต้โผล่เข้ามาในห้อง พี่มั่วก็ยังเอ่ยชมไอ้นัยให้พี่เต้ฟังอีกด้วย เมื่อพี่เต้รู้รายละเอียด ถึงกับตบบ่าไอ้นัย

“เก่งจังนัย ยังงี้ต้องไปฉลองความสำเร็จกันหน่อยแล้ว” พี่เต้พูด

ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับความสามารถของไอ้นัย ผมก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของการเป็นหมาหัวเน่าของตี๋ได้อย่างลึกซึ้งในตอนนี้เอง


<เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องสหกรณ์ ก็พบว่าไอ้นัยกำลังนั่งคุยกับพี่มั่วและพี่เอ้อยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีกระดาษต่อเนื่องแบบที่ใช้กับเครื่องพิมพ์กองอยู่>

17 comments:

Anonymous said...

ที่ จนได้
KTB

Anonymous said...

ที่ 1 จนได้เหมือนกัน
KTB

Anonymous said...

ที่หนึ่งของปี กับ arus ต้องค้อน KTB แน่เลย เล่นหักกันแบบไม่เกรงใจ อิอิ

ยุ่น said...

ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีใครรักแต่ไม่ใช่ปมด้อยนะ
ผมมักจะมีความรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ กับเพื่อนรัก
ตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่หาย มั้ง
แล้วก็ยังมีทิฐิสูงอีกตะหาก หุหุ

กรณียังงี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผมตอนอยู่ ม.5
กะไอ้เพื่อนรักนี่แหละ สาเหตุก็เหมือนกับอูแหละครับ
แต่ผมก็งอนมัน น้อยใจมัน ไม่เลิก ไม่หาย
ใช้เวลาก็เกือบ 1 เทอมแน่ะ นานม่ะ ฮ่าฮ่า
นึกภาพออกเลย เดิน นั่ง กิน เรียน ไปห้องน้ำ ด้วยกัน
แต่ไม่พูดจากัน แล้วผมก็ไม่รู้สึกอึดอัดกับมันด้วยนะ
หึหึ ผมทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้
แล้วไอ้เพื่อนตัวดี มันก็รู้นิสัยผมดี มันบอกผมทีหลังว่า
นิสัยมึงโคตรแย่เลยว่ะ กูก็เลยปล่อยๆมึงไปก่อน
รอให้ความทิฐิลดลงเยอะๆก่อนไง แล้วค่อยง้อ
มาชวนคุย ชวนเล่นทีหลัง มึงจะได้หายง่ายๆ
เราก็เลยกลับไปพูดคุย เล่นด้วยกันเหมือนเดิม เหอเหอ

ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ของอู จะเหมือนผมมั้ย
นานถึง 1 เทอม หรือเปล่า หุหุ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

NoN@me said...

ลุงอูโกรธลุงนัยเล้วหรอเนี้ย

ไอ้พี่เต้มันก็จิงๆเลย

เห้อ!อ่านเเล้วสงสารลุงอู

T^T

สู้ๆนะคับ ลุงอู

Anonymous said...

ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ เพียงเราหันหน้าเข้ามาคุยกัน

แบงค์

Anonymous said...

ตอนนี้โดนสุดๆ ทำไมมันถึงได้เหมือนกับเรายังงี้

Anonymous said...

เข้าใจอูนะ เพราะก้อเคยงอนเพื่อนนะ หวังลึกๆว่ามันน่าจะมาง้อเราบ้าง แต่มันก้อทำเป็นไม่สนใจ ตอนนั้นเครียดมากเลย เสียใจด้วย

Anonymous said...

ย่องๆ อาอูมาลงวันเรียนพิเศษอีกแล้ว...
เทอมหน้าผมเรียนพิเศษทุกเย็นเลยด้วย T-T

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

ไม่หรอกครับพี่
วันนี้ต้องตื่นตีสี่มาอ่านหนังสือ
แล้วไปเรียนพิเศษ เริ่มเก้าโมงเช้า
กว่าจะเสร็จหมดก็สี่ทุ่ม ถึงได้กินข้าว
เหนื่อยในแทนขาด T-T
อาอูก็มาลงเรื่องต่อวันเรียกให้หลาน
กระเสือกกระสนเข้ามาแย่งตำแหน่ง

หลาน Arus ของอาอู

ป.ล. ผมเป็นไบรุกครับ ค้อนไม่เป็น คุคุ

Anonymous said...

เหมือนอดีตของผมเลย

Anonymous said...

ลุงอูค้าบบ มาอัพต่อให้เคลียร์เลยนะ

ค้างคาจัง อู กับ นัย เนี่ย

ยิ่งมี ไอ้พี่เต้ มาเป็นมือที่สามเนี่ยไม่ได้เลย

อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว TT^TT


เป็นกำลังใจให้ครับ

ไอซ์

Anonymous said...

ที่1+1+1+1+1+1+1+1+1+1+1+1+1โอ้ยยาว กิ้กๆๆ (^^^____^^^)ตั้งแต่พรุ่งนี้จะลุยเที่ยวซะที เริ่มจากพารากอน ดูหนัง กินสุกี้ กินไอติม กินลุกชิ้นดูรองเท้าNBAสีดำ อิอิ เพื่อนบอกมีงานเดินแบบด้วยจะลอไปเดินดูซะหนอยเผื่อมีแมวมอง 555+ แต่คงยากก็ไมหล่อเหมือนพี่เต้นิ จิงมั้ยค้าบลุงอู กิ้กก้ก อะล้อเล่งน่า เสร็จแล้วจะกลับมาอ่านตอนที่69 ลุงอูเอามาลงให้ด้วยนะครับ ขอบคุ้นนนนค้าบบ ลุงอูงอล ลุงนัยงอล คืนดีกันได้แล้วจ๊วบ จ๊วบ 555+

Anonymous said...

ฟังแฟนเที่ยวของที่ 1 ขอบปี (แต่ตอนนี้ได้ที่ 13) แล้วน่าอิจฉา จะขอตามไปกินด้วยคนก็เกรงใจ เดี๋ยวหลานจะว่าคนแก่ให้อยู่ส่วนคนแก่

แล้ว arus ไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างเหรอ ติวกันหฤโหดจริงๆ วันหลังหาเจ้ามือกินไอติมกันดีกว่า

KTB หายตัวไปนาน แล้วก็อีกหลายๆคนที่หลังๆไม่ค่อยเห็น แต่คิดว่าคงแอบอ่านอยู่ เช่น กร T1000 ^^SKY^^ TigerBike กู๋ คงสบายดีกันทุกคนนะครับ

ชีวิตใกล้หักเหอีกรอบแล้ว คอยอ่านต่อนะครับ

Anonymous said...

ิเริ่มเกลียดไอ่พี่เต้มากขึ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

^^sky^^

ปล.รีบๆ มาต่อน่ะ

Anonymous said...

สอบครั้งที่แล้วท่หลานพยายามอ่านแทบตาย
สุดท้ายก็เกิดผลครับ หลานสอบได้ที่หนึ่ง >w<
คะแนนเต็มทุกหัวข้อ ทุกวิชาเลย
เทอมหน้าเอาใหม่...

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

Arus เก่งโคตร

ถึงว่า เค้าว่ากันว่า คนเป็นเกย์มักจะเก่ง 555

เศร้าใจแทนอูจัง เฮ้ออออ