Friday, March 13, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 66

“งั้นช่วยเรียกนัยออกมาหน่อยนะ” พี่เต้พูดกับผม

ที่จริงห้องสหกรณ์นั้นก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร มีเพียงห้องเดียว ขนาดกะทัดรัด ที่ว่าไอ้นัยอยู่ข้างในนั้นก็มีเพียงตู้บังอยู่เพื่อกั้นส่วนหนึ่งให้เป็นที่ทำงานของสตาฟเท่านั้นเอง

ยังไม่ทันที่ผมจะเรียก ไอ้นัยคงได้ยินเสียงของพี่เต้ จึงเดินออกมาจากหลังตู้

“อ้าว นัย ได้ยินว่าอยู่ที่นี่ เลยมาเยี่ยม” พี่เต้ร้องทักเมื่อเห็นไอ้นัย สีหน้าของพี่เต้แจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงก็ร่าเริง ไม่คล้ายคนที่เพิ่งพลาดหวังจากตำแหน่งประธานนักเรียนมา

“พี่เต้รู้ได้ไงอะ” ไอ้นัยร้องทักตอบ น้ำเสียงแสดงความยินดีไม่แพ้กัน

“มาคุยกันหน่อย มา” พี่เต้เรียกไอ้นัยออกไปคุยที่นอกห้อง

ไอ้นัยคุยกับพี่เต้ที่นอกห้องห่างออกไปจนไม่สามารถได้ยินเสียงสนทนา แต่สังเกตเห็นว่าทั้งคู่คุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

สักครู่พี่เต้ก็จากไป และไอ้นัยก็เดินกลับเข้ามาในห้อง

“งานหาเสียงก็หมดไปแล้ว ทำไมยังมาหามึงอีกวะ” ผมยิงคำถามใส่ไอ้นัยทันที

“นั่นดิ พี่เต้บอกว่ามาเยี่ยมน้องๆ ทีแรกกูก็ยังงงๆ” ไอ้นัยตอบ รอยยิ้มจากการคุยกับพี่เต้ยังไม่หายไปจากใบหน้า

“จะมาหลอกใช้อะไรมึงอีกละสิ” ผมพูดดักคอด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ผมเองก็รู้สึกว่ามันห้วนกว่าปกติ

“ชอบมองโลกในแง่ร้ายเรื่อยเลยนะมึง” ไอ้นัยว่าผม

วันต่อมา ขณะที่เรานั่งทำงานกันอยู่ในห้องสหกรณ์ในช่วงพักเที่ยง พี่เต้ก็โผล่มาอีก คราวนี้ไม่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว แต่เดินอ้อมเข้าไปดูหลังตู้เลย

“นัย” พี่เต้เรียกไอ้นัยด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง

หลังจากนั้น พี่แต้กับไอ้นัยก็พากันออกไปยืนคุยนอกห้องอีก คุยกันสักพัก พี่เต้ก็เดินจากไป

“มีอะไรคุยกันนักหนาวะ ถึงได้มาหาทุกวัน” ผมพูดด้วยความรู้สึกไม่พอใจ

“มาหาสองวันเอง ทุกวันที่ไหน” ไอ้นัยแก้ต่างให้พี่เต้ “ทีมึงกับกูเจอกันทุกวัน ก็ยังมีเรื่องคุยกันได้ทุกวัน”

“แล้วเค้ามาหามึงอีกทำไมวะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“เค้ามาชวนไปเที่ยวอะ” ไอ้นัยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้สนใจกับสีหน้าและน้ำเสียงของผมเลย

“ชวนไปเที่ยว” คราวนี้ผมพูดเกือบเป็นเสียงตะโกน

“เบาๆก็ได้ มึงจะเอะอะไปทำไมวะอู ห้องเล็กแค่นี้เอง” ไอ้นัยดุผม แล้วพูดต่อ “พี่เต้บอกว่าปลายเดือนนี้พ่อแม่เค้าจะไปเที่ยวเขาใหญ่ พี่เต้เลยขอที่บ้านว่าจะชวนน้องๆที่ช่วยหาเสียงไปเที่ยวด้วยเพื่อขอบคุณที่ช่วยงาน”

ขนาดตอบแทนกันด้วยการพาไปเที่ยวเขาใหญ่ ที่บ้านไอ้พี่เต้นี่คงมีฐานะดีไม่น้อย อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไม่เพียงแต่ในเมืองไทย แต่ยังโด่งดังไปทั่วโลก เพราะเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีการจัดการด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี แม้แต่ผมเองก็ใฝ่ฝันที่จะได้ไปเยือนสักครั้งเช่นกัน ที่บ้านของพี่เต้จะไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ตอนปลายเดือน โดยค้างคืนหนึ่งคืน

“แล้วมึงว่าไง” ผมรีบถาม

“น่าสนจะตาย ถ้าคุณอาอนุญาตก็คงไปแหละ” ไอ้นัยตอบ

ผมรู้สึกว่าความโกรธพลุ่งขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมจะต้องโกรธที่ไอ้นัยได้ไปเที่ยว

“เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันไง มึงไม่อยากไปเหรอ” ไอ้นัยพูดต่อ

“มึงหมายความว่าไง” ผมงง

“เซ่ออีกแล้วมึงนี่” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ “ก็กูบอกพี่เต้ว่าจะพาเพื่อนไปด้วยอีกคนนึง พี่เต้บอกว่าถ้ารถมีที่นั่งพอก็ไม่มีปัญหาอะไร ไปด้วยกันนะอู”

ความโกรธของผมที่พลุ่งขึ้นมาสงบลงไปบ้างเมื่อได้ยินไอ้นัยอธิบาย ไอ้นัยมันคงอยากให้ผมได้ไปเที่ยว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยที่จะได้ไปกับพี่เต้ ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

เสียงออดเข้าเรียนในภาคบ่ายดังขึ้น เราสองคนพูดกันจนลืมดูเวลา เราต้องพักการสนทนาเอาไว้ก่อน จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องเรียน

- - -

เย็นวันนั้น ขณะที่นั่งรถเมล์กลับบ้าน

“อู” ไอ้นัยเริ่มการสนทนา “เรื่องเขาใหญ่อะ ตกลงว่าไง”

พอได้ยินเรื่องเขาใหญ่ ผมก็เคืองขึ้นมาอีกโดยไม่มีเหตุผล

“ไม่ไปหรอก ไม่รู้จักใครสักคน ไม่ได้ช่วยงานอะไรด้วย ไปฟรีๆเขินโว้ย” ผมปฏิเสธ “มึงเองก็ระวังเถอะ พี่เต้อาจจะคิดทำอะไรสักอย่างแล้วต้องการให้มึงมาช่วยอีก เลยต้องเอาเรื่องเที่ยวมาล่อ”

ผมพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยเหตุผลต่างๆนานา ในที่สุดไอ้นัยก็หน้าจ๋อย

“ไม่เป็นไร ไม่ไปก็ไม่ไป” ไอ้นัยถอนใจ “กูรู้ว่ามึงไม่อยากไป”

“แล้วมึงล่ะ” ผมถาม ในส่วนลึกแล้วผมไม่อยากให้มันไปเลย

“มึงไม่ไป กูก็ไม่ไป” ไอ้นัยพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ผมรู้ว่าไอ้นัยคงผิดหวัง

คนเรานี่ก็แปลก ทีแรกเมื่อผมรู้ว่ามันอยากจะไป ผมยังรู้สึกโกรธ แต่พอมันบอกว่าไม่ไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเลย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกสงสารมัน ไม่อยากให้มันผิดหวัง

“เอ้อ...” ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทำให้ผมสับสน “เอางี้ดิ มึงก็ไปกับพี่เต้ก่อนสิ ถ้าสนุกก็เอามาเล่าให้กูฟังบ้าง แล้วอีกหน่อยเราค่อยหาโอกาสไปเที่ยวกัน”

พูดไปแล้วผมก็รู้สึกคุ้นๆว่าผมเพิ่งพูดไปทำนองนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง

“ช่างมันเถอะ” ไอ้นัยพูด “อยากให้มึงไปด้วยกันมากกว่า”

“มึงไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก” ผมกลับเป็นฝ่ายอ้อนวอนให้มันไปเสียเอง “กูอยากให้มึงไป นะนะ ไปเถอะ จะได้เที่ยวเผื่อกูไง”

สีหน้าของไอ้นัยดูแช่มชื่น

“มึงแน่ใจนะ” ไอ้นัยถาม ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

“งั้นกูขอคุณอาดูละกัน ถ้าได้ก็ไป ถ้าไม่ได้ก็อยู่กับมึงนี่แหละ” ไอ้นัยสรุป

- - -

ล่วงเข้าปลายเดือนกรกฎาคม ในที่สุด สหกรณ์ส่งเสริมการอ่านก็ได้เวลาเปิดทำการ มีการจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการโดยผู้อำนวยการโรงเรียนมาเป็นประธานในพิธี รวมทั้งยังมีการนิมนต์พระมาทำพิธีทางศาสนาอีกด้วย

หนังสือและนิตยสารที่ให้บริการแม้จะยังมีไม่มาก แต่ก็น่าสนใจพอสมควรในความเห็นของพวกเรา โดยพยายามหลีกเลี่ยงหนังสือที่มีอยู่แล้วในห้องสมุด จะได้ไม่แย่งลูกค้ากัน อีกทั้งพยายามหาหนังสือที่อยู่ในกระแสมาไว้บริการ

ในช่วงแรกที่เปิดใหม่ๆ ด้านนิตยสารจะมีพวกนิตยสารผู้หญิงและนิตยสารคอมพิวเตอร์เป็นหลัก นิตยสารผู้หญิงเอาไว้บริการอาจารย์ ส่วนนิตยสารคอมพิวเตอร์เอาไว้บริการพวกนักเรียนที่บ้าคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

ส่วนด้านหนังสือก็จะเน้นพวกนิยายกำลังภายในกับการ์ตูนญี่ปุ่นซึ่งเด็กผู้ชายชอบอ่าน ไม่เน้นนวนิยายเพราะมีในห้องสมุดพอสมควรแล้ว

กิจการของสหกรณ์ไปได้สวยทีเดียว แม้จะเพิ่งเปิดดำเนินการ แต่ก็มีอาจารย์และนักเรียนเข้ามาอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง มีทั้งสมาชิกที่เอานิตยสารมาขาย และสมาชิกที่มาเช่าหนังสือหรือนิตยสารไปอ่าน

พวกสตาฟที่มาช่วยกันเป็นประจำมีกันอยู่ ๕-๖ คน พวกเราจะมีการแบ่งเวรกันมาให้บริการในตอนเที่ยงและหลังเลิกเรียน โดยหมุนเวียนกันไป งานที่ค่อนข้างเสียเวลาก็คืองานเอกสาร เพราะต้องมีการบันทึกรายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ว่าสมาชิกจะมาทำอะไรก็ต้องบันทึกเอาไว้ให้หมดเพื่อคำนวณเงินปันผลตอนปลายปี

สมาชิกขาประจำคนหนึ่งของสหกรณ์ก็คือไอ้พี่เต้นั่นเอง พี่เต้แวะเวียนมาเป็นประจำเกือบทุกวัน มาเช่าบ้าง มาคืนบ้าง และที่น่าแปลกซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าจงใจ นั่นก็คือ พี่เต้จะมาแต่เฉพาะเวลาที่ไอ้นัยอยู่...


<ส่วนหนึ่งของนิตยสารในยุคนั้น นิตยสารแพรวในยุคนั้นราคาฉบับละ ๒๕ บาท ฉบับขวามือ ชายในภาพคือผู้กำกับหนัง ยุทธนา มุกดาสนิท ส่วนหญิงในภาพคือจารุณี สุขสวัสดิ์>

11 comments:

Anonymous said...

หวัดดีครับอู
อ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกเหมือนจะเกิดรักสามเศร้ายังไงไม่รู้
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยคงจะไม่มีมือที่สามเข้ามาแทรก
ระหว่างอู+นัยหรอกนะ เข้าใจความรู้สึกของอูครับถึงความโกรธที่อยู่ในใจแต่สำหรับคนที่เรารักแล้วอะไรก็ได้ที่ทำ
ให้เค้ามีความสุขเราก็พอใจแล้ว........
เชื่อมั่น....เชื่อใจในกันและกันก็เพียงพอ

กู๋

yo408 said...

มือที่3แน่ๆเลย อยากโดดต่อยนายเต้มากๆ

Anonymous said...

มาหาอาอูแล้วครับ
นอนไม่หลับครับวันนี้ ไข้ขึ้น

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

แหงะ = =

เดจาวูแฮะ สองรอบแว้วน้า

อุอุ ดูๆไปก่อนละกานเนอะ

ม่อน

Anonymous said...

ไอ้พี่เต้มาจีบนัยครับ ไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก เก็ตได้ช้า ตอนแรกยังเข้าใจว่ามาหลอกกินแรงมากกว่า

เข้าไปดูรายงานของ tracker ที่อยู่ในบล็อก พบว่าเดือน กพ. นี้ทำลายสถิติของทุกเดือนตั้งแต่มีบล็อกมาเลยเชียวครับ ขนาดเดือน กพ 52 มีเพียง 28 วันเท่านั้น สรุปได้ดังนี้

1. ยอดผู้เข้าชมต่อเดือนสูงสุดตั้งแต่มีบล็อกมา นั่นคือ 8,690 ราย (นับจาก unique IP address)ต่อเดือน

2. ยอดผู้เข้าชมต่อสัปดาห์สูงสุด นั่นคือ สัปดาห์สุดท้ายของเดือน กพ. มีผู้เข้าชม 2,337 รายต่อสัปดาห์

3. ยอดผู้เข้าชมรายวันสูงสุด นั่นคือ 425 รายต่อวัน (จำวันที่ไม่ได้แล้ว)

ปลื้มครับ

อู

Anonymous said...

ที่6 (^_^)หุหุ
มาดูแต่เช้าเลยคิดว่าคนแรกแล้ว มีคนเม้นก่อนผมอีก โอ้โหยไมนอนกันรึไง หลานลุงอูไม่สบายอืกแล้ว ขอบคุ้นนลุงอูครับ ลุงอูครับผมอยากให้ลุงนัยมาเขียนบ้าง ลุงนัยพูดว่า. อูใจร้อนชอบงอน แต่ก็รุ้สึกดีนะที่รุ้ว่าอูเป็นห่วงนัยเสมอ .อิอิ เนอ้เน้อ น่าจะมีเรื่องของนัยด้วย

Anonymous said...

อูสู้ๆนะครับ

ยุ่น said...

ที่นัยปลื้มพี่เต้เนี่ยะ...
ปลื้มแบบพี่เต้เป็น Idolของเค้ารึเปล่า

จะรออ่านถึงตอนที่ความจริงปรากฏ
ดูซิว่า...นัยจะมีความรู้สึก ความคิดเห็นยังไง
เมื่อรู้ความจริงว่า จริงๆแล้วพี่เต้มาจีบ...ชอบนัย
ทีนี้ก็คงขึ้นอยู่กับนัย ล่ะครับ
ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ...ไอ้พี่เต้
แล้วจะมีผลอย่างไรบ้างกับความสัมพันธ์ของอูกะนัย

ลุ้น ลุ้นๆๆๆๆ อยากให้ถึงตอนนั้นเร็วๆจังครับ

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

เฮ้อออ หล่อ เท่ห์ เกือบได้เป็นประธานนักเรียน.....

กลัวนัยจะหลงไปกับพี่เต้เจงๆเลยยยย

Anonymous said...

อ่านแล้วหึงแทนอู

แบงค์

Anonymous said...

เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ว่า คู่ไหน หรือ ใครๆ ก็ต้องเจอ คนเราไม่อาจอยู่กัน ได้ 2 คนตลอดเวลา ต้องเจอะเจอคนอื่น ก็อยู่ที่ใจของตนเองละครับ ว่าจะหวั่นไหว หรือปล่าว หรืออาจไขว้เขว่ไปบ้าง แล้วกลับมาเหมือนเดิมได้หรือเปล่า...แล้วก็อยู่ที่คนของเราด้วย ว่าเมื่อเราใจเกเรไป เขาจะทนได้หรือไม่
แต่ยังไง ก็ขออวยพรให้ทุกคนที่มีคู่แล้ว รวมทั้งไม่มีคู่ เจอเหตุการณ์แบบนี้ให้น้อยที่สุด