Friday, March 6, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 64

“เมื่อพวกธรรมาจารย์พาหญิงคนชั่วมาหาพระเยซู แล้วทูลพระองค์ว่า ท่านอาจารย์ หญิงคนชั่วนี้ผิดลูกผิดผัว ในธรรมบัญญัติบอกว่าให้เอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร” ไอ้นัยท่องข้อความออกมาเบาๆ “พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า ในพวกท่าน ใครที่ไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”

ข้อความที่ไอ้นัยพูดออกมาเหมือนกางตำราท่อง ทำให้ผมนึกถึงตอนที่อยู่โรงเรียนเก่า ที่นั่น อาจารย์ใหญ่ของพวกเราเป็นชาวคาทอลิก ในช่วงให้โอวาทหน้าเสาธงตอนเช้า อาจารย์ใหญ่มักหยิบยกเรื่องที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ในการอบรมพวกเราเสมอ เรื่องหญิงคนชั่วกับพระเยซูนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่อาจารย์ใหญ่ชอบเล่าบ่อยๆ พวกเราได้ฟังกันจนคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก หญิงผู้นี้ผิดประเวณี และตามบทบัญญัติของศาสนายิวจะต้องได้รับโทษโดยถูกหินขว้างจนตาย

“เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น จึงพากันเดินจากไปทีละคน จนไม่เหลือผู้ใด พระเยซูจึงถามหญิงนั้นว่าไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ” ไอ้นัยหยุดหายใจนิดหนึ่ง แล้วท่องต่อ “หญิงนั้นตอบว่า ไม่มีเลยพระอาจารย์ พระเยซูจึงพูดว่า เราก็ไม่เอาเอาโทษเจ้าเช่นกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีกเลย” เมื่อพูดจบไอ้นัยก็หันมาถามผม “มึงจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า”

“จำได้ แล้วหมายความว่าไงล่ะ” ผมถาม “ชอบพูดเป็นปริศนาจริงนะมึง”

ไอ้นัยไม่ตอบ ผมค่อยๆใช้ความคิด เรื่องที่ไอ้นัยหยิบยกขึ้นมาคล้ายเกี่ยวและก็คล้ายไม่เกี่ยวกับเรื่องของตี๋

เช้าวันนั้น อาจารย์ประจำชั้นขอเวลาจากพวกนักเรียนเล็กน้อย ก่อนเริ่มคาบเรียนแรก เพื่อประกาศโทษของตี๋

“อันที่จริงครูก็ไม่อยากจะเอาเรื่องนี้มาประกาศหรอกนะ เพราะมันเหมือนกับเป็นการซ้ำเติมและทำร้ายจิตใจกัน แต่ครูก็จำเป็นต้องทำ เพราะต้องการให้เป็นอุทธาหรณ์แก่คนอื่นๆ จะได้ไม่ทำเช่นนี้อีก” อาจารย์เกริ่น

อาจารย์สรุปเหตุการณ์ขโมยของที่เกิดขึ้น และทางฝ่ายปกครองของโรงเรียนได้เชิญผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายมาพบ หลังจากการสอบสวน สรุปได้ว่า ตี๋สารภาพว่าได้ขโมยของจริง สาเหตุที่ทำส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอิจฉาและต้องการกลั่นแกล้งเพื่อน เพราะเห็นเพื่อนชอบพกของมีค่ามาโรงเรียน อาจารย์ประจำชั้นและฝ่ายปกครองเห็นว่าการกระทำของตี๋น่าจะเกิดจากความอิจฉาส่วนหนึ่งจริง เพราะการขโมยแต่ละครั้งจะขโมยเงินเพียงครั้งละร้อยหรือร้อยกว่าบาท ไม่ได้ขโมยไปทั้งหมด ประกอบกับชิวชอบพกของมีค่ามาโรงเรียนเกินวิสัยนักเรียนทั่วไปจริง เมื่อพิจารณาจากความประพฤติเก่าก่อนไม่พบว่าเคยทำผิดทำนองนี้ อีกทั้งผู้ปกครองของชิวไม่ติดใจเอาเรื่อง จึงให้ลงโทษสถานเบาเพื่อให้ตี๋มีโอกาสกลับตัวและไม่เป็นการทำลายอนาคตตี๋ โดยให้ทำทัณฑ์บนไว้ และตัดคะแนนความประพฤติ ถ้าทำผิดอีกจะถูกคัดชื่อออกจากโรงเรียน นอกจากนี้ ยังได้เตือนนักเรียนเรื่องการนำของมีค่ามาโรงเรียนอีกด้วย

ตี๋ก้มหน้าตลอดเวลาที่อาจารย์ประจำชั้นพูด ผมนั่นอยู่หลังห้อง จึงไม่เห็นสีหน้าของตี๋ ผมไม่อาจเข้าใจความเจ็บปวดของตี๋ในตอนนี้ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน ตี๋ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอย่างโหดร้ายท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆทั้งห้อง เรื่องหญิงคนชั่วกับพระเยซูวูบเข้ามาในความคิดของผมอีกครั้ง...

นักเรียนในห้องเงียบกริบเมื่ออาจารย์ประกาศโทษของตี๋ แต่หลังจากที่อาจารย์จากไป ทั้งห้องก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ บ้างก็ว่าลงโทษเบาไป บ้างก็ว่าลงโทษหนักไป เพื่อนบางคนเดินไปตบหลังตี๋เพื่อให้กำลังใจ

ผมมาทราบเอาภายหลังจากชิว ว่าญาติที่เป็นผู้ปกครองของตี๋เจรจาผ่านทางอาจารย์ว่าจะขอชดใช้เงินที่ตี๋ได้ขโมยไป รวมทั้งยังจะให้ค่าทำขวัญชิวอีกด้วย ทางอาจารย์จึงเชิญผู้ปกครองของชิวมาเจรจา พ่อของชิวเป็นพ่อค้าซึ่งไม่ชอบการมีเรื่องราวหรือมีคดีความ ตามประสาพ่อค้าชาวจีนรุ่นเก่า ดังนั้นการเจรจาจึงเป็นไปโดยง่าย เมื่อได้ค่าทำขวัญพร้อมทั้งค่าชดใช้แล้วก็ไม่ติดใจแต่อย่างใด ชิวเองนั้นเดิมทีก็เจ็บแค้นตี๋ แต่เมื่อเห็นตี๋ถูกทางบ้านทำโทษอย่างรุนแรงก็เกิดความสงสาร และไม่ติดใจเช่นกัน เมื่อเจ้าทุกข์ไม่ติดใจ ทางฝ่ายปกครองก็กำหนดโทษให้สถานเบาเพราะตี๋ไม่มีประวัติเสียมาก่อน ยังมีโอกาสกลับตัวได้

ตลอดคาบเรียนในช่วงเช้า ตี๋นั่งก้มหน้าเรียนอย่างสงบราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

“เฮ้ย มันเสียสติไปแล้วหรือเปล่าวะ” อ๊อดกระซิบถามผมในระหว่างที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ “ทำไมมันนิ่งได้ขนาดนี้วะ”

“มึงจะให้มันแหกปากร้องไห้เหรอ” ผมย้อน แต่ในใจก็รู้สึกผิดปกติอยู่เหมือนกัน

“ระวังนะโว้ย กูกลัวมันจะเป็นบ้าเพราะถูกกดดัน” อ๊อดพูดขู่ “สงสารมันเหมือนกันนะเนี่ย”

“ยังดีที่ไม่ถูกไล่ออก” ผมกระซิบ

“ไล่อออกอาจจะดีกว่า ไม่รู้สิ มันอยู่เป็นแกะดำยังงี้ เป็นกูกูทนไม่ได้หรอก ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า” อ๊อดพูด

จริงสินะ คิดๆไปอ๊อดก็อาจจะพูดถูก การทำทัณฑ์บนอาจจะทำให้มันต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าการไล่มันออกก็ได้ เพราะมันต้องดำเนินชีวิตด้วยมลทินที่ไม่มีวันชะล้างออกไปได้ในสายตาของเพื่อนๆ...

ตอนพักเที่ยง ตี๋เดินไปกินข้าวเพียงคนเดียว เพื่อนๆหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อเป็นกำลังใจให้มัน แต่ก็ไม่มีสักคนเดียวที่ไปกินอาหารเที่ยงกับมัน แม้แต่ผมเองยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเรื่องตี๋อยู่บ้างเหมือนกัน ผมมีเพื่อนเป็นหัวขโมย!!!

ผมตามตี๋ไปห่างๆ เห็นตี๋เดินไปซื้อข้าวแกงมาจานหนึ่ง ไม่ซื้อน้ำ แล้วมานั่งกินคนเดียวเงียบๆ จะว่าไปแล้วตี๋ไม่ค่อยกินอาหาร ใช้มือข้างเดียวของมันจับช้อนเขี่ยข้าวเล่นไปมาเสียมากกว่า ท่ามกลางโรงอาหารที่พลุกพล่าน แต่เงาร่างของตี๋นั้นดูเดียวดายเสียเหลือเกิน...

ผมเดินไปซื้อข้าวแกงมาจานหนึ่ง น้ำหวานสองแก้ว แล้วมานั่งตรงข้างๆตี๋

“กูนั่งกินด้วยคนนะ” ผมเริ่มการสนทนา “อะ นี่ กินน้ำหวานเสียหน่อย จะได้ชื่นใจ” ว่าแล้วก็หยิบน้ำหวานส่งให้แก้วหนึ่ง

ตี๋หันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นผมมันก็หันหน้าไปเขี่ยข้าวในจานเล่นตามเดิม

“มึงจะไม่พูดกับกูหน่อยเหรอ” ผมพูดอีก แต่ตี๋ไม่สนใจ

“กูยังเป็นเพื่อนของมึงนะ” ผมพูด

ตี๋หยุดเขี่ยข้าวในจาน หันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ แต่แล้วก็ทำสีหน้าราบเรียบดังเดิม

“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู” ตี๋พูด

“ฮั่นแน่ พูดแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมพูดอย่างโล่งใจ

ตี๋พูดเพียงแค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ผมจึงพูดต่อ

“นี่ ไอ้ตี๋ ที่โรงเรียนเก่าของกู อาจารย์ใหญ่ชอบเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้พวกนักเรียนฟัง...” แล้วผมก็เล่าเรื่องหญิงคนชั่วกับพระเยซูให้ตี๋ฟัง

“ไม่มีใครไม่เคยทำผิดนะตี๋ ถึงยังไงกูก็ยังเป็นเพื่อนของมึง” ผมพูด ตี๋ทำสีหน้าแปลกๆยากที่จะบรรยาย

“อ้อ ที่จริงกูลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ แต่เพื่อนกูมันพูดขึ้นมา กูเลยนึกได้” ผมพูด

“เพื่อนคนไหนวะ” ตี๋อดถามไม่ได้

“ก็ไอ้คนนั้นนั่นแหละ” ผมแหย่มันด้วยมุขเก่าๆที่เคยหยอกกัน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่แต่กู ไอ้นัยมันก็เป็นเพื่อนของมึงด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ได้มันเตือนสติ กูก็คงยังไม่ได้คิดเหมือนกัน”

ตี๋มองผมด้วยสายตาที่แปลกประหลาด จากนั้นก็เริ่มตักอาหารใส่ปาก… หลังจากนั้น ตี๋ก็กินอาหารจนหมดโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แต่เพียงแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว


<ผมตามตี๋ไปห่างๆ เห็นตี๋เดินไปซื้อข้าวแกงมาจานหนึ่ง ไม่ซื้อน้ำ แล้วมานั่งกินคนเดียวเงียบๆ จะว่าไปแล้วตี๋ไม่ค่อยกินอาหาร ใช้มือข้างเดียวของมันจับช้อนเขี่ยข้าวเล่นไปมาเสียมากกว่า ท่ามกลางโรงอาหารที่พลุกพล่าน แต่เงาร่างของตี๋นั้นดูเดียวดายเสียเหลือเกิน...>

17 comments:

Anonymous said...

ที่1(^_^)
จองแล้ว เอิ้กๆ

Anonymous said...

สวัสดีครับอาอู

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

มาต่อนะได้ที่1และ(^_^) ขอบคุณลุงอูค้าบบบ มาเฝ้าตั้งแต่เยนและ ตอนนี้นำตาซึมเลยนะ ลุงอูนี่ซู้ดยอดด เอ้รือว่าลุงนัยกันแน่ หุหุ ช่ายเลยไม่มีคนไหนไม่เคยทำผิด ชอบตอนนี้จัง กะแล้วว่าครูต้องมาช่วย ยังงี้ต้องให้ลุงอูเปนหัวหน้าห้องด้วยแล้ว หลานขอคารวะศิษยพี่คร้าบบ ซุ้ดยอดด

Anonymous said...

ถือว่าเป็นการเข้าหาได้ดี

ผมว่าตี๋คงดีขึ้น ถึงไม่มาก ก็ทำให้มีกำลังใจทนสภาพ
ที่ตัวเองเป็นคนก่อใว้ได้

t1000

yo408 said...

ซึ้งครับตอนนี้
คริสต์เค้าก็มีคำสอนดีๆเยอะนะ ไม่ค่อยเหมือนพุทธแบบไทยๆ ใครทำใครได้ คำสอนก็ฟังแล้วจะหลับ

Anonymous said...

เป็นกำลังใจให้นะอู อยากให้เรื่องนี้สร้างเป็นหนังจังเลย

Anonymous said...

มีฉากซึ้งๆมาอีกแระ บรรยายได้งดงามมาก

ที่ 1 ไม่ได้ ขอเป็นที่ 7 แระกัน

Anonymous said...

นัยเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุดีนะครับ

Anonymous said...

ทำได้ดีมากคับอู
^^sky^^

ยุ่น said...

ยิ่งเป็นเพื่อนกัน ให้อภัยกันได้ง่ายๆอยู่แล้ว
ตอนเป็นเด็ก ให้อภัยกันง่าย
แต่พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ทำไมให้อภัยกันยากนักก็ไม่รู้
บางทีก็ไม่ยอมให้อภัยกันซะด้วยซ้ำ
สงสัยอยู่ว่าทำไม?

ขอบคุณครับ คุณอู
ฝากไปให้นัยด้วยนะครับ
ว่าแล้ว..นัยต้องให้ข้อคิดดีๆได้จริงๆด้วย

ยุ่นครับ

Anonymous said...

ให้ข้อคิดดีนะตอนนี้ ... ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดหรอก อยู่ว่าจะสำนึกผิดได้หรือไม่ แล้วจะมีคนให้โอกาสรึเปล่า...

ไม่ว่างมาอ่านซะนาน มาอ่านทีก็จุใจเลย :)

คิดถึงนัยกะอูจัง

Anonymous said...

โอ้ว เป็นปลื้ม ^^

เพื่อนกานจิงไม่ทิ้งกานงับ

คุณนัยยกเรื่องนี้จากพระคัมภีร์มาได้ตรงมั่กๆ

ผมเปงคาทอลิกยังแอบอายเลยง่ะ = =

ม่อน ครับ

Anonymous said...

โอ้วววว อ่านมาจากภาคหนึ่งร้อยกว่าตอนใช้เวลาประมาณ 5 วัน

น่าติดตามครับ ลุงอู
แบบว่า มันเป็นชีวิตจริง ๆ ดี

มีบางครั้งที่ผมรู้สึกเกลียดอูมาก ๆๆ
หรือก็มีบ้างครั้งที่รู้สึกสงสาร หรือเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก

จะคอยติดตามและเป็นกำลังใจให้นะครับ

มาอัพใหม่ไว ๆ นะครับ



ไอซ์

Anonymous said...

เข้ามาอ่านเรื่อยๆ ครับ แต่ไม่ได้ตอบ...
ช่วงนี้ กำลังรอลุ้นอยู่ครับว่า ตัวเองจะอกหักหรือเปล่า
เกย์อายุ 36 ไม่แสดงออก บอกรัก หนุ่ม อายุ 17 ปี มีแฟนผู้หญิงแล้ว เพื่อนของลูกพี่ลูกน้อง แต่เขาบอกว่า เป็นแค่พี่ น้องกันเถอะ...
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่อึดอัด ทั้งสองฝ่าย เจอกันเกือบทุกวัน แต่ เหมือนคนไม่รู้จักกัน จากแต่แรกที่เขาสนิทและนับถือตัวเรา เป็นพี่ แต่เราดันไปแอบรักเขาเอง...
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

Joice said...

ซึ่งมาก ชอบตอนนี้จัง

แบงค์

Anonymous said...

ถึงคุณพี

ช่วงนี้คงจิตตกน่าดู

คนนี้ไม่ใช่คนที่ใช่ของคุณครับ

รักษาความสัมพันธ์เอาไว้ให้ห่างหน่อยดีกว่า

คนที่คุณรอยังไม่มา

Anonymous said...

หลานที่ ๑ รู้สึกว่าหลังๆจะชิงที่หนึ่งได้หลายทีแล้ว ปล่อยๆให้คนอื่นเขาบ้างเน้อ เดี๋ยวจะหาว่าจองที่หนึ่งตลอด ลุงไม่เคยได้เป็นหัวหน้าหรอก ความสามารถไม่ถึง

arus หายดีหรือยัง สอบเสร็จก็พักเยอะๆ จะได้หายไวๆ

ม่อนเป็นคาทอลิกเหรอครับ ช่วงเทอมปลาย นัยก็ไปเข้ากลุ่มกับพวกคริสเตียนในโรงเรียน คอยอ่านต่อไปเดี๋ยวก็จะถึงแล้วครับ

นัยเป็นคนฉลาดครับ ผมก็ว่าความคิดมันเกินอายุ เรื่องการเรียนนี่ผมยอมแพ้มัน แข่งไม่ไหว แต่สิ่งที่หาได้ยากคือไอ้นัยทั้งฉลาดและซื่อตรง

ได้หลานไอซ์มาเป็นแฟนคลับคนใหม่ เป็นคนแรกที่บอกว่าเกลียดอูตรงๆ (หลายๆคนแอบเกลียดแต่ไม่ได้บอกออกมา)

พีคงกำลังอยู่ในช่วงที่ลำบากใจ ผมก็เห็นคล้ายๆ รีพลาย ๑๖ คืออย่าคาดหวังมาก เหมือนรถที่จอดแวะพักชมวิวพอมีสีสันสักครู่ แล้วพีก็ต้องเดินทางต่อไป เพราะยังไม่ถึงที่หมาย

ไอซ์เล่นเครื่องดนตรีอะไรครับ อีกอย่างที่ลุงอยากรู้ก้คือ มาอ่านเจอเรื่องนี้ได้อย่างไร ช่วยบอกหน่อยนะครับ

อู