Wednesday, February 25, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 62

วันจันทร์ถัดมา เมื่อเราเดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน ผมพบว่าไอ้นัยขากะเผลกเล็กน้อย

“มึงเป็นไรไปน่ะ” ผมถาม

“หกล้ม” ไอ้นัยตอบ “ไอ้สเก็ตน้ำแข็งนี่มันเล่นไม่ง่ายเลยแฮะ หกล้มหงายท้องตั้งหลายครั้ง เนี่ย ตูดกูเขียวช้ำไปหมด เลยเดินไม่ถนัด”

“แล้วสนุกไหมล่ะ” ผมถามต่อ

“หนุกดิ” ไอ้นัยตอบ “วันหลังเราเป็นเล่นด้วยกันนะอู”

หลังจากที่ไอ้นัยไปช่วยงานหาเสียงของพี่เต้ รวมทั้งยังต้องปลีกเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนใหม่ในทีมพรรคนักเรียนของพี่เต้ ทำให้ไอ้นัยมีเวลาให้ผมน้อยลง ผมรู้สึกหงุดหงุดกับเรื่องของไอ้พี่เต้มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

หาอะไรทำบ้างดีกว่าวะ ผมนึก

ผมอยากหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาบ้าง เนื่องจากวันๆนอกจากเรียนหนังสือแล้วก็กลับบ้าน บางทีพักเที่ยงก็แกร่วไปแกร่วมา ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหตุผลลึกๆอีกประการหนึ่งก็คือ ผมเห็นไอ้นัยมีกิจกรรมทำเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนผมเองตอนนั้นไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร ก็เลยอยากหาอะไรทำบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้ามัน

ผมมองๆอยู่หลายวันว่าจะทำกิจกรรมอะไรดี เนื่องจากผมมีข้อจำกัดเรื่องที่กลับบ้านเย็นไม่ได้ กิจกรรมที่ผมจะทำได้ต้องไม่ใช้เวลาในตอนบ่ายมากนัก ดูๆไปก็ไม่เห็นว่าอะไรจะเหมาะหรือว่าน่าสนใจ

แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆผมก็สังเกตเห็นป้ายกระดาษที่เขียนด้วยลายมือตัวโต เขียนติดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งในโซนของห้องชุมนุม ตึกเดียวกับที่ผมเรียนอยู่

“สหกรณ์ส่งเสริมการอ่าน รับสมัครสตาฟทำงาน สนใจติดต่อข้างใน”

ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าโรงเรียนเราเปิดสหกรณ์นี้มาตั้งแต่เมื่อไร และป้ายที่ว่านี้ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้เลย

เอาไอ้นี่ละวะ ลองดู ผมนึกในใจ สหกรณ์ชื่อประหลาดนี้ทำอะไรผมก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็รู้สึกสนใจ ตอนนั้นห้องสหกรณ์ปิดอยู่ หลังเลิกเรียน ผมลองแวะมาดูที่ห้องสหกรณ์อีกครั้ง ก็พบว่าห้องเปิดอยู่ ภายในห้องมีนักเรียนอยู่หลายคนเหมือนกัน ผมจึงเข้าไปถามรายละเอียด

ผู้ที่อธิบายรายละเอียดให้ผมฟังมีชื่อว่าพี่มั่ว พี่มั่วนี้หน้าตาตี๋สนิท เห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหนอนหนังสือขนานแท้ เพราะว่าใส่แว่นสายตากรอบพลาสติก ตัดผมเกรียน หน้าตาน่ารักปนตลก ดวงตาของพี่มั่วเล็กหยีเหลือเป็นเส้นนิดเดียว นี่ถ้านั่งในหลับในห้องเรียนอาจารย์ก็คงไม่รู้ เพราะว่าตอนลืมตากับหลับตานั้นคล้ายกันมาก

หลังจากที่พี่มั่วอธิบายให้ผมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมก็พอเข้าใจว่าสหกรณ์ชื่อยาวๆนี้แท้ที่จริงก็คือร้านหนังสือเช่านั่นเอง แต่ว่าดำเนินการในรูปแบบของสหกรณ์แทนที่จะเป็นรูปแบบร้านหนังสือเช่าทั่วไป

วัตถุประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งของการสหกรณ์ก็คือ เป็นการรวมกลุ่มของคนที่มีความสนใจหรือว่ามีปัญหาร่วมกัน แล้วระดมทุนทั้งทุนที่เป็นเงินและทุนมนุษย์เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาที่กลุ่มนั้นๆประสบอยู่ ยกตัวอย่างที่พอจะเข้าใจได้ชัดก็ได้แก่สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์ร้านค้าเกิดจากกลุ่มคนที่มีปัญหาว่าต้องซื้อหาสินค้าของใช้จำเป็นในราคาที่แพง การรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ร้านค้าจะเป็นการระดมทุนที่เป็นเงิน และทุนที่เป็นกำลังคน กำลังสมอง เอามาช่วยกัน โดยใช้ทุนที่เป็นตัวเงินจัดซื้อสินค้ามาขายในราคาขายส่ง ส่วนทุนมนุษย์นั้นก็คือการอาสาเข้ามาช่วยกันบริหารจัดการ รวมทั้งช่วยกันออกความคิดในการพัฒนาสหกรณ์เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่กลุ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป

ที่จริงโรงเรียนของเราก็มีสหกรณ์อยู่แล้วแห่งหนึ่ง นั่นคือสหกรณ์ร้านค้าของโรงเรียน แต่ว่าสกหรณ์นั้นดำเนินการโดยครูและนักเรียนร่วมกัน ส่วนใหญ่จะเป็นครูดูแลเสียมากกว่า ดังนั้นทางโรงเรียนจึงจัดให้มีสหกรณ์ส่งเสริมการอ่านขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง โดยเน้นให้นักเรียนดำเนินการกันเองและมีครูเป็นเพียงที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสหกรณ์

ตอนนั้นผมยังเด็ก เรื่องความสำคัญหรือว่าปรัชญาของสหกรณ์นั้นผมเองก็ไม่ได้สนใจนัก รู้แต่ว่ามีอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือให้ทำบ้างก็ดี เพราะผมชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว

ตอนนั้นกิจการของสหกรณ์ที่มีชื่อสวยหรูว่าสหกรณ์ส่งเสริมการอ่าน แต่พวกนักเรียนก็เรียกกันเล่นๆจนติดปากว่าร้านหนังสือเช่า ยังเพิ่งเริ่มต้น โดยมีรุ่นพี่ ม.4 และ ม.5 ราวสี่ห้าคนเป็นแกน มีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ให้คำแนะนำและช่วยในการก่อตั้ง และกำลังรับสมัครนักเรียนรุ่นน้องๆเพื่อมาช่วยกันทำงาน จะได้เปิดกิจการได้เสียที อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้จัดการสหกรณ์โดยตำแหน่ง และพี่มั่วนี้เป็นรองผู้จัดการ แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้จัดการตัวจริงก็คือพี่มั่วนั่นเอง เพราะอาจารย์ต้องการให้นักเรียนดำเนินการกันเอง

ช่วงนั้นแทบไม่มีนักเรียนมาสมัครเป็นสตาฟทำงานกันเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ดังนั้นพอผมเข้าไปสอบถาม พี่มั่วอธิบายเสร็จแล้วก็รีบรวบหัวรวบหางให้ผมรับปากเป็นสตาฟทำงานเลย

- - -

กิจการร้านหนังสือเช่าโดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรมาก เจ้าของก็จะจัดหาหนังสือและนิตยสารมาเพื่อให้ลูกค้าเช่า ค่าเช่าจะคิดกันอย่างไรก็กำหนดกันขึ้นมา แต่ว่าเมื่อมาดำเนินงานในรูปแบบสหกรณ์เรื่องราวก็ไม่ง่ายแบบนั้น

รูปแบบของสหกรณ์ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมค่อนข้างมาก ดังนั้นคนที่จะมาทำงาน หรือแม้แต่จะมาเป็นลูกค้าก็ต้องมีส่วนเป็นเจ้าของสหกรณ์เสียก่อน นั่นคือ ต้องซื้อหุ้นของสหกรณ์ ผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้จากสหกรณ์ก็มีอยู่ 3 ส่วน นั่นคือ ส่วนแรก ได้เช่าหนังสือในราคายุติธรรม ส่วนที่สองคือได้เงินปันผลจากหุ้นที่ตนเองลงไป แต่ปันผลจากหุ้นนั้นได้ไม่มาก เพราะระบบสหกรณ์ไม่ได้เน้นให้ลงทุนเพื่อนอนกินเงินปันผล

ประโยชน์ส่วนที่ที่สามซึ่งน่าจะสำคัญที่สุด นั่นก็คือ เงินโบนัสที่ได้จากการอุดหนุนสหกรณ์ พูดง่ายๆก็คือ ใครที่มาอุดหนุนสหกรณ์มากๆ ก็จะสะสมแต้มไว้ได้มาก เมื่อได้แต้มมาก โบนัสจ่ายคืนก็จะมากตามไปด้วย นี่คือกลยุทธ์ที่ผูกใจสมาชิกให้ช่วยกันเข้ามาอุดหนุนสหกรณ์

ดังนั้น การจะมาเป็นสตาฟของสหกรณ์ได้ก็ต้องเป็นผู้ถือหุ้นของสหกรณ์เสียก่อน ที่สหกรณ์ส่งเสริมการอ่านกำหนดค่าหุ้นไว้หุ้นละ 20 บาท คนหนึ่งต้องลงหุ้น 3 หุ้น โดยให้ผ่อนได้เดือนละ 20 บาท รวม 3 เดือน หรือจะจ่ายรวดเดียวเลยก็ได้ ที่จริงเรื่องนี้ผิดหลักสหกรณ์นิดหน่อยตรงที่ผู้บริหารงานสหกรณ์จะมีหุ้นในสหกรณ์ไม่ได้เพราะถือว่ามีส่วนได้เสียและอาจเกิดกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนขึ้นได้ แต่สำหรับสหกรณ์นักเรียนนั้นจำเป็นต้องดัดแปลงหลักข้อนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะสม

ผมถูกพี่มั่วข่มขู่แกมล่อลวง เพื่อให้เป็นสตาฟทำงานของสหกรณ์ โดยให้ซื้อหุ้นสหกรณ์ 3 หุ้น จากนั้นก็สั่งให้ผมเข้ามาที่สหกรณ์ทุกวันเมื่อมีเวลาว่างเพื่อจะได้ช่วยกันจัดวางระบบเพื่อให้เปิดร้านให้ได้โดยเร็วที่สุด ผมเองก็อยากหาอะไรทำอยู่แล้ว จึงยอมให้รุ่นพี่หนอนหนังสือหน้าตี๋ผู้นี้ล่อลวงด้วยความเต็มใจ

- - -

เช้าวันจันทร์หนึ่ง ก่อนการเลือกตั้งประธานนักเรียนไม่นานนัก ที่ห้องของผมจะมีการตรวจทรงผมนักเรียน ถ้าใครไว้ผมยาวเกินไปจะถูกตัดคะแนนความประพฤติ

เช้าวันนั้น นักเรียนในห้องของผมส่วนใหญ่เข้าห้องเรียนด้วยศีรษะที่เกรียน เพราะแต่ละคนต่างก็ไปตัดผมมาในช่วงวันหยุด จะมีที่พิเศษอยู่บ้างก็คืออ๊อด วันนั้นอ๊อดมาสาย

อ๊อดเข้าห้องเรียนมาด้วยทรงผมคล้ายทิดสึกใหม่ คือมันสั้นไปหมด ทั้งข้างหน้า ด้านข้าง และข้างหลัง เพื่อนๆในห้องเฮกันใหญ่เมื่อเห็นทรงผมของอ๊อด

“เฮ้ย ทรงผมใหม่เหรอวะ กูว่าไม่เข้ากับมึงเลยนะ” ผมแหย่มัน

“ไม่ต้องเสือกเลย” อ๊อดพูด พร้อมกับทำตาเขียว

“ที่บ้านแมลงสาบแยะเหรอ” ผมแหย่อีก ผมรู้ว่าตอนนั้นมันอารมณ์ดีพอที่จะแหย่มันได้

“เสือก” อ๊อดย้ำคำเดิม

ผมไม่โกรธที่โดนมันด่า เพราะรู้ว่ามันพูดเล่น

“ตกลงทำไมตัดผมทรงนี้มาวะ” ผมถาม

“ก็กูว่าจะตัดผมเมื่อวาน” อ๊อดเล่า “แต่ร้านตัดผมมันเสือกหยุดเสียนี่ ช่างตัดผมดันปิดร้านไปธุระ ก็เลยไม่ได้ตัด”

“มึงก็เลยไปตัดร้านอื่น แล้วไปเจอช่างหัดใหม่ เลยตัดเสียแหว่ง” ผมบรรยายต่อแทนอ๊อด

“รู้มากนักนะมึง ยังงั้นกูไม่เล่าแล้วนะ มึงรู้หมดแล้วนี่” อ๊อดพูด

“โอ๋ๆ ไม่รู้หรอก อย่าเพิ่งงอนเลย หัวล้านแล้วยังใจน้อยอีก มึงเล่ามาเถอะ” ผมยังไม่วายแหย่มันอีก

“ไอ้หอกนี่” อ๊อดด่า แล้วอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา ช่วงหลังเราสนิทกันค่อนข้างมาก โยนมุขใส่กันตลอด

อ๊อดตั้งใจว่าจะตัดผมในตอนเย็นวันอาทิตย์ แต่ตอนนั้นช่างไม่อยู่ รอจนค่ำก็ไม่กลับมาเปิดร้าน เมื่อเวลาจวนตัวเข้าและไม่รู้จะทำอย่างไร อ๊อดจึงลงมือตัดผมตนเอง

“โห ใจถึงมาก ขนาดลงทุนตัดผมตัวเอง นับถือ นับถือ” ผมเย้ย “มันจะตัดเข้าไปได้ยังไงวะ ส่องกระจกตัด อะไรๆมันกลับข้างไปหมด แถมมึงยังไม่ใช่ช่างตัดผมเสียอีก”

“ก็นั่นแหละ มันเลยแหว่ง เมื่อเช้ากูเลยต้องไปอ้อนวอนให้เค้าเปิดร้าน ช่วยแก้ทรงผมของกู ก็เลยกลายเป็นแบบนี้แหละ” อ๊อดไขปริศนาทรงผมทิดสึกใหม่ให้ฟัง

เพียงไม่นาน เพื่อนทั้งชั้นก็รู้เรื่องเบื้องหลังของทรงผมของอ๊อด สร้างความเฮฮา เพื่อนๆต่างกระเซ้าเย้าแหย่อ๊อดกันสนุกสนาน

- - -

บ่ายวันจันทร์นั้นเอง ผมเข้ามาในห้องเรียนก่อนเวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายเล็กน้อย ก้าวแรกที่ผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เพื่อนๆในห้องจับกลุ่มคุยกันเซ็งแซ่

“มีอะไรเหรอ” ผมถามนก เพื่อนนักเรียนที่มาจากชั้น ม.1 ด้วยกัน นกตัวเล็ก จึงนั่งอยู่หน้าชั้นใกล้ประตูทางเข้า

“น่าเสียดายจังอู เมื่อกี้มึงไม่อยู่ ในห้องมีเรื่องยุ่งกันใหญ่” นกพูด

“เรื่องอะไรอะ” ผมถาม

นกบุ้ยใบ้ไปทางหลังห้อง ผมเห็นอ๊อดนั่งแหงนหน้ามองเพดานอยู่ที่หลังห้อง “โน่นแน่ะ ฟัดกันเละ แล้วยังจับขโมยได้แล้วด้วย”

14 comments:

Anonymous said...

ใครหว่า...จะเป็นขโมย

111

Anonymous said...

อดที่หนึ่งเลย ปวดหัวที่อูอธิบายเรื่องสหกรณ์สหกรณ์
สหกรณ์มาจากคอมมิวนิสจิงป่าว
ว่าจะถามอยู่ นึกว่าเรื่องโขมยจบแค่นั้นแล้ว
ตื่นเต้นอีกแล้ว
เปิดแทงรึป่าวว่าใครเป็นโขมย

t1000

Anonymous said...

หลานป่วยไปโรงพยาบาลมาครับ

หลาน Arus ของอาอู

ยุ่น said...

หนุกดีครับ
คุณอูเก็บรายละเอียดมาเล่าเห็นภาพชัดเจนดี

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

Anonymous said...

อ่า ใครกานน้อ งิงิ

ม่อน

Anonymous said...

เข้ามาลุ้น กับกิจกรรมใหม่จะทำให้ห่างเหินกับนัยป่าวเนี่ย

แล้วใครเป็นขโมยๆๆ่
ลุ้นๆ
^^sky^^

Anonymous said...

แล้วใครล่ะที่เป็นขโมย ???

แบงค์

Anonymous said...

ที่8 (^_^)
ขอบพระคุณลุงอู ตื่นเต้น
ผมรู้แล้วละว่าใครเปนขโมย ก็คนที่อยู่กับลุงอูเมื่อจับขโมยครั้งแรก กลาบ้าบอตัดผมเองด้วย หุหุ ที่แหนหน้าเนียคงจะโดนต่อยจนเลือดออกใช่ม้า เก่งค้อดดๆเลยเรา
หลานลุงอูเป็นอาไร หายไวไวเน้อ หมออูรัษาไม่หาย เดี๋วผมจัดให้แต่รอสัก910ปีนะ

Anonymous said...

อ๊อดเป็นขมยเหรอ น่าคิดเหมือนกัน

ช่าย แหงนหน้าแบบนี้คงโดนต่อยเลือดออก เราก็เคยโดน อิอิ

Anonymous said...

อันที่จริงแล้วเรื่องการสหกรณ์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในราวปลาย ศตวรรษที่ 18 ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของสหกรณ์เป้นชาวอังกฤษ ชื่อ รอเบิร์ต โอเวน

ระบอบคอมมิวนิสม์เป้นระบอบที่รปะชาชนไม่มีสิทธิเป้นรเจ้าของทรัพย์สิน แต่ระบบสหกรณ์นั้นผู้ถือหุ้นมีส่วนเป็นเจ้าของสหกรณ์ ดังนั้นหลักการสหกรณ์ไม่ได้มาจากคอมมิวนิสต์ครับ แต่ทว่าสหกรณ์นั้นเป็นเศรษฐกิจทางเลือกของระบบทุนนิยมเสรีครับ

หลักการสหกรณ์นั้นคือการร่วมทุน ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมพัฒนา ที่จริงเป็นแนวคิดที่ดี ทำให้คนเรารวมตัวเป้นกลุ่มก้อนและพึ่งตนเองได้ เป็นระบบที่เกี่ยวของกับเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา และเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตรา จริงๆแล้วหลักการสหกรณ์น่าจะเป็นทางออกของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ถ้าสามารถรวมตัวกันได้

ยกตัวอย่างสหกรณ์ผู้บริด๓คของญี่ปุ่น มีการรวมตัวกันเป็นสหพันธ์ มีสมาชิกราว 22 ล้านคนในปัจจุบัน สหกรณ์ผู้บริโภคนี้มีอำนาจต่อรองสูงมาก สามารถซื้อสินค้าและวัตถุดิบโดยตรงโดยตัดคนกลางออกไป รวมทั้งผลิตสินค้าแบบเฮาส์แบรนด์ที่มีคุณภาพดี แต่มีราคาประหยัด โดยไม่เน้นบรรจุภัณฑ์หรือรูปทรงที่สวยงาม เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านการออกแบบและด้านบรรจุภะณฑ์ลงไป อย่างเช่น สบู่ก้อนก็ใส่ห่อแบบง่ายๆเพื่อประหยัด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าที่ว่าคนญี่ปุ่นเน้นซื้อของที่บรรจุภัณฑ์สวยงามนั้นไม่จีริงเสมอไป

คำว่าสหกรณ์นั้นต่อมาคลี่คลายออกมา กลายเป้นชื่ออื่นๆได้ อย่างเช่น กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ ที่จริงก็คือสหกรณ์ออมทรัพย์รูปแบบหนึ่ง อย่างเช่น กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์คลองเปียะ ที่ สงขลา ดำเนินการมา 29 ปี แล้ว เริ่มต้นมีสมาชิก 51 คน มีเงินทุนหมุเวียนแค่หลักพัน

ต่อมาปี 2535 มีเงินทุนหมุนเวียน 12 ล้านบาท และในปัจจุบันมีเงินทุนหมุนเวียน 220 ล้านบาท มีสมาชิกราว 7000 คน

ผลจากการดำเนินการสหกรณ์ทำให้สามารถเอาดอกผลมาพัฒนาสวัสดิการชุมชนได้ สมาชิกของกลุ่มสัจจะนี้มีสวัสดิการที่ดีมาก คือสวัสดิการรักษาพยาบาล 100% คือเบิกได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการทุนการศึกษาบุตร, ภัยพิบัติ, ฌาปนกิจ ฯลฯ อีกมากมาย

แม้แต่วิสาหกิจชุมชนที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ที่จริงก็พัฒนามาจากรูปแบบสหกรณ์แต่รวบรัดและง่ายกว่าครับ

สหกรณ์เป็นระบบที่น่าสนใจมากครับ ไม่ใช่มีเฉพาะสังคมเกษ๖ร สังคมมเมืองก็รวมกันเป็นสหกรณ์ได้ ขึ้นกับว่าวัตถุประสงค์ที่ร่วมกันคืออะไร ทำให้เราพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องง้อธนาคาร เสียดายที่บ้านเราไม่ค่อยส่งเสริมมากนัก แล้วก็อีกอย่าง คนสมัยใหม่มีความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาสหกรณ์ครับ

อู

Anonymous said...

อ้อ ตอนหน้าขโมยจะเผยโฉมแล้ว เรื่องจะวุ่นวายขนาดไหน คอยติดตามอีกไม่นานครับ

Anonymous said...

ขอบคุณครับอู
ดีใจคับเพื่อนผมมาแระ คงงานยุ่ง นาน ๆ มาที
โอ้โฮ t1000 เกือนได้ที่ 1 แน่ะ ตัดหน้า ที่ 2 หลาน arus ไปเลย ผมได้ที่ 12 คับ เหอเหอเหอ
ผมบอกแล้วว่า ตี๋ ไม่ใช่ ขโมยนะคับ เห็นใจตี๋คับ
พวกเพื่อน ๆ นี่หน้า meet ใจ tiger จังเลยนะ
ที่ไปสงสัยตี๋
อูเป็นคนดีมากคับ ผมนับถืออู ที่มีน้ำใจ คิดช่วยตี๋
ใครได้เพื่อนอย่างอูนะนับว่าโชคดีมากเลย
สรุปไอ้นัยโชคดีมากที่ได้เป็น แฟน อู
อ้าวกำลังพูดเรื่องเพื่อน หงัย กลายเป็นแฟนไปซะ 555
เป็นกำลังใจให้อูนะคับ รอตอนต่อไปคับ
KTB

Anonymous said...

ผมว่าเรื่องต้องหักมุม ขโมยน่าจะเป็นจิเสียเองมากกว่า แล้วหาเรื่องป้ายผิดให้คนอื่น

มาเฉลยเร็วๆครับ รออ่านอยู่

Anonymous said...

สนใจเรื่องสหกรณ์ด้วย สหกรณ์จะแก้ปัญหาวิกิตเศรษฐกิจถดถอยได้ยังไงครับ