Wednesday, February 11, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 59

<อากาศยามบ่ายในวันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมฆสีเทาปกคลุมท้องฟ้าไปทั่ว สะพานพระปกเกล้าฯซึ่งเพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน และสะพานพุทธฯ พาดข้ามแม่น้ำขนานกัน เราสองคนต่างยืนเงียบ เหม่อมองดูสายน้ำใต้สะพานที่กำลังไหลรี่ ผมเห็นสายน้ำสีน้ำตาลอมเขียวในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านหน้าผมไประลอกแล้วระลอกเล่า สายน้ำไหลผ่านไปไม่หวนคืน เหมือนกับอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้... ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีหรือเลว เราล้วนย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้>
ปกติผมเป็นคนกินอาหารเร็ว ส่วนไอ้นัยจะกินช้า ค่อยๆกินไปใจเย็นๆ ดังนั้นผมมักจะกินเสร็จก่อนไอ้นัยเสมอ แต่วันนี้ ผมกินอาหารอย่างช้าสุดๆ ถ้าเคี้ยวเอื้องได้ก็คงทำไปแล้ว ส่วนตี๋นั้นกินเสร็จก่อนและรอผมอยู่นาน

“ไม่มีฟันเคี้ยวข้าวหรือไงวะ ถึงได้กินช้าขนาดนี้” ตี๋บ่น

เมื่อกินอาหารเสร็จ ตี๋จะกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดอีก ผมไม่อยากให้มันกลับไปที่ห้องในเวลานี้ รวมทั้งไม่อยากเดินกลับไปที่ห้องเป็นเพื่อนมันด้วย เพราะเดี๋ยวอาจเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นได้

ไปไหนดีหว่า?

ตอนนั้นมันกะทันหัน ผมคิดอะไรที่มันแนบเนียนได้ไม่ทัน รู้แต่ว่าต้องพยายามไม่ให้มันกลับไปที่ห้องเรียน

“ไปเยี่ยมไอ้วีกิจกันดีกว่า ไม่ได้เจอมันสักพักแล้ว” ผมบอกตี๋ด้วยแผนที่คิดขึ้นมาแบบมั่วๆ

ตี๋ทำหน้างงๆ “มึงจะไปก็ไปดิ กูจะไปห้องสมุด”

“ไปด้วยกันหน่อยน่า ไอ้วีกิจมันคงดีใจ แล้วเดี๋ยวค่อยไปห้องสมุดด้วยกัน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ว่าแล้วก็ฉุดกระชากลากมันไป แม้ตี๋จะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรมากมาย ปล่อยให้ผมลากมันไปจนได้

ที่ห้องดนตรีไทย วีกิจนั่งพับเพียบกับพื้นสีซอดังอู๋อี๋อยู่อย่างสบายอารมณ์ พวกเราจึงเข้าไปนั่งขัดสมาธิคุยกัน ผมต้องนั่งขัดสมาธิเพราะนั่งพับเพียบไม่เป็น ไม่ถนัดเอาเลย

“โอ... พระเชษฐา ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้ละเนี่ย” วีกิจจีบปากจีบคอทักเมื่อเห็นผม

“นี่ห้องดนตรีไทยแน่หรือวะ กูนึกว่าโรงพยาบาลศรีธัญญา” ตี๋พึมพำ

“ไอ้เวร ปากเสียนะมึง” วีกิจจีบปากด่า

ผมชวนวีกิจคุยด้วยเรื่องที่ไร้สาระ ปกติรสนิยมและความสนใจของเราไม่ค่อยตรงกันเท่าไรนัก ดังนั้นเรื่องที่จะชวนคุยเป็นชิ้นเป็นอันจึงไม่มี มีแต่เรื่องไร้สาระ

ตี๋นั่งกระสับกระส่าย พยายามจะลุกหนีไปให้ได้ ผมก็พยายามฉุดมันเอาไว้ ไม่ยอมให้ไปไหน

“กูปวดเยี่ยว” ตี๋พูด

“เออ กูก็ปวด แต่คุยกันก่อน เดี๋ยวคุยเสร็จแล้วไปเยี่ยวด้วยกัน” ผมพูดส่งเดช

“แล้วทำไมกูกับมึงต้องไปเยี่ยวด้วยกันด้วยวะ” ไอ้ตี๋พูดอย่างงงๆ “มึงเป็นอะไรไปวะ วันนี้ตามกูจังเลย กูจะไปแล้ว ต้องกลับห้องไปเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดอีก เดี๋ยวไปไม่ทัน”

เมื่อเห็นว่าหมดทางที่จะรั้งไอ้ตี๋เอาไว้ ผมจึงจำเป็นต้องบอกความจริงแก่มัน แต่ก็พยายามเลี่ยงโดยบอกแต่เพียงนัยๆ

“เอ้อ ที่ห้องตอนนี้กำลังยุ่งๆน่ะ มันจะจับขโมยกัน เราไม่เกี่ยวก็อย่าไปยุ่งเลย” ผมพูดอ้อมแอ้ม

“จับขโมย” ทั้งตี๋และวีกิจอุทาน

“ฮื่อ คือมันมีเงินหายในห้องน่ะ วันนี้มันเลยวางแผนจะจับขโมยกัน เราไม่เกี่ยวอย่าเพิ่งไปดีกว่า” ผมอธิบายแบบกระท่อนกระแท่น พยายามพูดให้น้อยที่สุด

ตี๋ได้ฟังผมอธิบายก็ทรุดตัวนั่งลงอีกครั้ง คงจะเลิกล้มความคิดที่จะกลับไปที่ห้องแล้ว

หลังจากอู้อยู่ในห้องดนตรีไทยจนพอสมควรแก่เวลา ใกล้จะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว ผมก็ไปเข้าห้องน้ำและเดินกลับมาที่ห้องเรียนพร้อมกับตี๋ แต่พอขึ้นตึกแล้วผมก็เดินตามมันห่างๆ ทำเนียนว่าไม่ได้เดินมาด้วยกัน

ที่ห้องเรียนตอนนั้นมีคนอยู่กันมากแล้ว เพราะใกล้เริ่มคาบเรียนในภาคบ่าย ตี๋พอมาถึงห้องก็คว้าหนังสือแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไปที่ห้องสมุด

“อ้าว ไม่ไปห้องสมุดด้วยกันเหรอ” ตี๋ถาม เมื่อเห็นว่าผมจะไม่มีทีท่าว่าจะตามมันไป

“มึงไปเถอะ” ผมตอบ “กูเปลี่ยนใจแล้ว”

เหตุที่ผมเปลี่ยนใจไม่ไปห้องสมุดกับมันก็เพราะว่าตอนนั้นคนที่อยู่ในห้องเรียนกันมากพอควร ถ้าเพื่อนๆเห็นผมเดินกับตี๋ออกจะดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติไปหน่อย ดีไม่ดีอาจเกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นได้

แต่ที่ไหนได้ พฤติการณ์ของผมไม่อาจรอดสายตาของใครบางคนไปได้

เมื่อผมเข้ามาในห้อง จิกับชิวก็ปราดเข้ามาหาผมทันที และขอให้ไปคุยกันหลังห้อง

“ไอ้อูครับ ขอคุยด้วยหน่อย” จิพูด

“มีอะไรเหรอ ไอ้คุณจิ” ผมถาม

“คือผมอยากรู้ว่าเมื่อตอนพักเที่ยงมึงไปทำอะไรมาครับ” จิเข้าประเด็น

“ก็ไปหาเพื่อนที่ห้องดนตรีไทยอะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“มีสายของผมรายงานว่ามึงลากไอ้ตี๋ไปไหนต่อไหนด้วยตลอดพักเที่ยง เป็นความจริงใช่ไหมครับ” จิซักอีก มาดของมันราวกับนักสืบในภาพยนตร์ สงสัยจะดูหนังสืบสวนมากไปหน่อย

“เอ้อ ... อ้า ... เอ้อ ... ก็แค่ไปด้วยกัน” ผมตะกุกตะกัก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสะกดรอยการกระทำของผม

“มึงมาทำลายแผนของพวกผมทำไม” นักสืบจิถาม ส่วนชิวนั้นทำสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน

“มึงจะช่วยมันใช่ไหม” ชิวรุกถาม “หรือมึงสมรู้ร่วมคิดกับมัน”

ซวยละสิ ผมเลยตกเป็นผู้ต้องหาไปด้วย

“เฮ้ย พูดดีๆหน่อย กูไปช่วยอะไรใคร สมรู้ร่วมคิดทำอะไร อย่าพูดชุ่ยๆนะโว้ย” ผมชักโมโหที่ถูกรุม

หลังจากนั้นเราก็เกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย แต่โชคดีที่อาจารย์เข้ามาสอนพอดี จึงทำให้การโต้เถียงต้องหยุดลง

“หาเรื่องแล้วไหมล่ะ ไอ้ไก่อู” อ๊อดกระซิบ “มิน่าเล่า ถึงได้ถามอะไรกูแปลกๆ ที่แท้มึงคิดจะช่วยไอ้ตี๋”

สำหรับอ๊อด ผมไม่ปฏิเสธ เพราะรู้ว่าอ๊อดไม่ปากโป้ง “ขอกูช่วยมันสักครั้งละกัน มันเคยมีน้ำใจช่วยเหลือกู”

“ระวังเดือดร้อนก็แล้วกัน ไอ้จิท่าทางมันจะบ้านักสืบ มันคงไม่ยอมเลิกง่ายๆ” อ๊อดกระซิบต่อ

“แล้ววันนี้เงินหายหรือเปล่าวะ” ผมถาม

“ก็ไม่หายน่ะสิ กูถึงว่ามึงจะเดือดร้อนไง” อ๊อดตอบ

ผมเองในส่วนลึกแล้วก็อดคลางแคลงใจไม่ได้ ที่จริงแล้วตี๋ไม่ได้มีอาการพิรุธอะไรเลย แต่มีอยู่จุดเดียวที่ทำให้ผมคลางแคลงใจ นั่นก็คือตอนที่ตี๋บอกกับผมในห้องดนตรีไทยว่าจะไปฉี่ พอผมพูดเรื่องจับขโมยขึ้นมา ตี๋ก็นั่งลงเลย แม้แต่ฉี่ก็ไม่ไป

“ทำไมมึงไม่เตือนมันเฉยๆก็พอวะ” อ๊อดกระซิบอีก

“ทีแรกกูก็คิดยังงั้น แต่ถ้ากูพูดเตือนมัน มันก็คงเข้าใจว่ากูระแวงมัน คนมันมีปมด้อยอยู่แล้วนะ ถ้าเกิดมันไม่ได้ทำจริง มันคงเสียใจที่กูระแวงมัน” ผมอธิบาย

“ถามจริงเถอะ แล้วมึงไม่ได้ระแวงมันเหรอ แล้วในที่สุดมันก็รู้อยู่ดี มึงทำแล้วได้อะไรล่ะ ไอ้ไก่อูเอ๊ย” อ๊อดตำหนิ

10 comments:

Anonymous said...

ํำYes, Yes, Yes, Yes.
Quardo, Quardo, Quardo, Quardo!

ขอบคุณคุณอาอูมากๆครับ
ขอให้อ้วนเอาๆ นะครับอาอู

หลาน Arus ของอาอูที่เริ่มจับเวลาอาอูได้

Anonymous said...

หรือจะเป็นตี๋หว่า
ถึงจะเป็นตี๋จริง ผมว่า
ตี๋ต้องสารภาพ(เขียนถูกป่าว)แน่ไม่กับเพื่อนๆก็กับอูหละ
แต่ก็ยังหวังว่าเป็นคนอื่นน่ะ

รีบๆจบเรื่องขโมยได้ไหม
ไม่ใช่อะไรหรอก มันทำให้นัยไม่มีบทเลยเห็นไหม

t1000

Anonymous said...

เหอะๆ วุ่นวายดีแฮะ

ม่อน

ยุ่น said...

เอาละซิ อูงานเข้า
หวังดีกับเพื่อน แต่จะซวยเอา
ถ้าตี๋ขโมยจริง ก็เท่ากับว่าอูไปช่วยคนผิดนะ
ถึงแม้ว่าตี๋จะเคยช่วยเหลืออูมาก่อนก็ตาม

ตามความคิดของผม ถูกก็ส่วนถูก ผิดก็ส่วนผิด
คนละเรื่องกันครับ

ตอน59 ไม่มีนัยออกมา หมดสีสันไปเลย ฮี่ฮี่
.....คิดถึงนัย วิ๊ง วิ๊ง

ขอบคุณครับ คุณอู

ยุ่นครับ

yo408 said...

เอ๋ บอกใบ้แบบนี้ก็เริ่มมีเค้าลางล่ะสิเนี่ยะ

Anonymous said...

อูทำถูกต้องแล้ว

ให้โอกาสคนคือสิ่งที่สมควร

Anonymous said...

ตอนนี้หนุกดี ตื่นเต้น

แบงค์

Anonymous said...

ผมมีข้อต่างอย่างมากกับอาอูอย่างนึงแล้วสินะครับ
ชีวิตผมเคยพบคนคนนึงที่ทำความผิด"ถึงขนาดมีคนตาย"
เกิดขึ้น แล้วคนผู้นั้นก็ลอยหน้าลอยตา มีความสุขไปวันๆ
พอมาพบครอบครัวผู้ตายก็พูดคำเดียวอภัยให้เขานะ
แล้วก็เดินจากไปมีความสุขกับชีวิตต่อ
จากนั้นก็หลบหนีความผิดจนคิดว่าตนหลุดพ้นความผิดได้

ผมก็เกิดผลกระทบคือ
"ใครทำความผิดร้ายแรง ผมจะไม่ให้อภัย
ไม่ให้หลบหนี บ่างเบี่ยง หรือหลีกเลี่ยง ผมต้องลาก
มารับผลของการกระทำ"
ไม่ใช่ว่าเอะอะผมก็จะทำอะไรแบบนี้นะครับ
่ก็คงต้องขึ้นกับประเภทด้วยมั้งครับ ถ้าเล็กๆหน่อย
ก็อาจจะเว้นไว้ให้
แต่ถ้าใหญ่ขึ้นมามากหน่อย ถ้าเขาใช้เวลาทั้งชีวิต
แก้ไข ผมก็อาจจะอภัย
แต่ในกรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างที่"ต่อให้เขาใช้ทั้งชีวิต"
ผมก็ไม่ให้อภัย และไม่ปล่อยให้ลอยนวลไม่ว่า
เขาจะเป็นใครก็ตาม

หลาน Arus ของอาอู
(ขออภัยด้วยครับ ถ้าดูรุนแรง บังเอิญว่าคนๆนั้น
สนิทกับผมมากน่ะครับ และผู้ตายก็อยู่ในตระกูลผม)

Anonymous said...

เรื่องแบบนี้พูดยยากครับ ว่าอะไรคือผิด อะไรคือถูก มันขึ้นอยู่กับว่าเอาบรรทัดฐานอะไรมาวัด รวมทั้งขึ้นอยู่กับบุคคล สถานที่ และเวลาอีกด้วย

ยกตัวอย่างเรื่องบรรทัดฐานก็เช่น บางเรื่องผิดศีลธรรมแต่ถูกกฎหมาย บางเรื่องผิดกฎหมายแต่ไม่ผิดศีลธรรม คำว่าศีลธรรมก็ต้องขึ้นกับบริบทของสังคม ประเพณี วัฒนธรรมในท้องถิ่นอีก เป็นต้น

อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรให้อภัย อะไรไม่ควรให้อภัย ประเด็นที่ arus พูดมา ที่จริงมันก็เป็นความสับสนส่วนหนึ่งในชีวิตของอู นัย และตี๋ เช่นกัน คอยติดตามอ่านไปเรื่อยๆครับ

อู

Anonymous said...

อืมมม ตอนนี้เครียดเลยเนอะ เริ่มต้องคิดมากกันและ

อยากจับแก้มนัยกะคุณอูตอนนั้นจัง อิอิ น่ารักน้าหยิก :D