Friday, November 28, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 38

ไอ้นัยมันขยันซ้อมกีตาร์มาก จนครูของมันสอนเล่นกีตาร์แนวโฟล์ก-ป๊อบเพิ่มเติมให้ด้วย ซึ่งก็คือสอนการเล่นคอร์ดและเล่นพิกกิง ซึ่งไอ้นัยถูกใจมาก เพราะสามารถเอามาใช้เล่นเพลงที่วัยรุ่นนิยมกันได้ ต่างจากเพลงคลาสสิกที่แม้จะไพเราะ แต่ก็ไม่ใช่เพลงที่อยู่ในความนิยมของวัยรุ่น

ไอ้นัยเรียนแนวโฟล์ก-ป๊อบได้ก้าวหน้าดีทีเดียว เพราะเพียงไม่นาน มันสามารถเล่นเพลงง่ายๆได้แล้ว มันไปซื้อหนังสือ IS Song Hits ที่รวมเพลงทั้งไทยและฝรั่ง มีเนื้อเพลงและคอร์ดกีตาร์ให้ด้วย เอามาหัดเป็นการใหญ่ เพลงแรกๆที่มันหัดก็จะเป็นแนวโฟล์ก ได้แก่เพลงของพีเตอร์ พอล และแมรี ที่เราคุ้นเคยกันตั้งแต่ชั้นประถม ในช่วงนั้นเพลงโฟล์กของพีเตอร์ พอล และแมรีถือเป็นแม่แบบของการหัดเล่นกีตาร์โฟล์กเลยเดียว ส่วนเพลงไทยมันก็พยายามแกะเพลงที่วัยรุ่นนิยมกันในช่วงนั้น อย่างเช่น เพลงของวงบรั่นดี ฟรุ้ตตี้ คีรีบูน ฯลฯ แรงบันดาลใจในการหัดเล่นกีตาร์แนวป๊อบของไอ้นัยน่าจะเกิดจากในปีนั้น หนังเรื่องวัยระเริงเข้าฉาย เรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกของหนุ่ย อำพล ลำพูน ในหนังมีเพลงแนวป๊อบร้อคประกอบ เล่นกีตาร์กันมันหยด ช่วงนั้นดังมาก ดังทั้งดาราและเพลง

กีตาร์แนวนี้ควรจะใช้กีตาร์สายเหล็กทั่วไป แต่ไอ้นัยมีกีตาร์คลาสสิกเพียงตัวเดียว ก็เลยหัดด้วยสายไนล่อนนั่นเอง เสียงนุ่มๆ ไม่ค่อยกังวานใสแบบสายเหล็ก แต่ก็น่าฟังดี อีกอย่าง ครูของไอ้นัยไม่อยากให้ไอ้นัยเล่นกีตาร์สายเหล็กเพราะจะทำให้ปลายนิ้วด้าน ผมคิดว่าคงจะมีผลเสียกับการหัดกีตาร์คลาสสิก ครูเลยห้ามเอาไว้ ไอ้นัยมุฝึกซ้อมมากจนกระทั่งไม่สนใจการบ้านกีตาร์คลาสสิก และโดนครูดุเอา มันจึงลดความเห่อลงไปได้บ้าง

ในบางวันที่ผมไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียน ถ้าไอ้นัยอยู่บ้านจนเบื่อ มันก็จะตามไปกับผมด้วย เรื่องของเรื่องก็คือมันอยากจะไปเดินสยามสแควร์นั่นเอง ช่วงปิดเทอมนี้เองที่ทำให้เรากลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่ติดแสงสีของสยามสแควร์ไป เมื่อไรที่มาที่โรงเรียนดนตรีก็ขอให้ได้แวะเดินเล่น กินขนมสักหน่อย แล้วจึงจะกลับบ้านได้ และติดนิสัยนี้ไปจนกระทั่งเปิดเทอม

- - -

เมื่อมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ ไอ้นัยก็เริ่มฉายแววของเด็กเรียนเก่งออกมา เพราะผลการสอบภาคต้นที่ออกมา ปรากฏว่าไอ้นัยได้เกรดสูงถึง 3.5 กว่าๆ ได้อันดับที่ห้าของห้อง ใครได้เกรด 3.5-3.6 ก็ถือว่าเก่งมากและสามารถติดอันดับต้นๆของห้องได้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณอาทั้งสองของไอ้นัยจะภูมิใจในตัวหลานชายเพียงใด ส่วนผมนั้นได้เกรด 3.2 ได้อันดับที่สิบกว่าๆของห้อง โดยปกติแล้วพ่อไม่ค่อยสนใจกับผลการเรียนของผมนัก พ่อเชื่อว่าถึงยังไงผมก็เอาตัวรอดได้ แต่ทว่าบางทีมันก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า แล้วพ่อภูมิใจอะไรในตัวผมบ้าง

ผลการสอบทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าไอ้นัยนิดหน่อย เพราะแพ้พนันและจะได้รับเงิน 100 บาท ตามที่มันเคยหยามเอาไว้ แต่ไม่เป็นไร เงิน 100 บาทใครจะไม่เอา จะหยามก็หยามไป

“กูแพ้มึงแล้ว ไหนล่ะ เงิน” ผมทวงเอาดื้อๆเมื่อรู้ผลสอบและเห็นไอ้นัยทำเฉย ไม่ยอมพูดถึง

ไอ้นัยอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วซ่อนยิ้มไว้ในใบหน้า “พรุ่งนี้ละกัน วันนี้ไม่ได้ติดมา”

“อะไรกัน เงินร้อยบาทมีไม่พอเหรอ” ผมสงสัย เพราะปกติไอ้นัยมีเงินติดตัวมากกว่าร้อยบาทเสมอ

“เถอะน่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยให้ อย่างกนักเลย” ไอ้นัยยืนยันคำเดิม

“ไม่ได้งก แต่ว่าอยากได้” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

- - -

วันรุ่งขึ้น เรานั่งรถไปเรียนด้วยกันตามปกติ ผมลืมเรื่องเงินร้อยบาทไปสนิท ไอ้นัยก็ไม่พูดอะไร จนผมมานึกได้เอาตอนเวลาพักเที่ยงที่เรากินอาหารกลางวันด้วยกันสามคน

“ไหนล่ะ เงิน กูไม่ทวง มึงก็แกล้งลืมเชียวนะ” ผมทวงเงินอีก

โหนกที่นั่งกินอาหารด้วยกันทำหน้าเหรอหรา ไม่รู้ว่าผมทวงเงินอะไร จนผมต้องอธิบายให้มันฟัง

ไอ้นัยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบธนบัตรแดงๆออกมาใบหนึ่ง ยัดใส่มือผม

“อะ ให้ หมดหนี้กันแล้วนะ” ไอ้นัยพูดแล้วตีหน้าตาย

“เออ ดี” ผมรับเงินมา แต่แล้วก็ต้องโยนเงินทิ้งไป “ไอ้เปรต เอาแบงก์กาโม่มาให้”

ไอ้นัยหัวเราะก๊าก ไม่บ่อยนักที่จะเห็นไอ้นัยหัวเราะขำขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ไอ้นัยมีลวดลายเยอะขึ้นมาก บางทีก็หาโอกาสแกล้งผม ทุกครั้งที่เห็นไอ้นัยมีความสุข ผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

แบงก์กาโม่ที่ว่านี้ก็คือธนบัตรเด็กเล่น ที่พิมพ์เลียนแบบให้คลับคล้ายธนบัตรจริง มักทำเป็นใบละร้อย สีแดงๆ ดูผาดๆจะคล้ายธนบัตรใบละร้อยบาทของจริง แต่เมื่อดูให้ละเอียดจะพบว่าภาพในธนบัตรเป็นภาพกาโม่ มนุษย์กายสิทธิ์ ก็เลยเป็นที่มาของคำว่าแบงก์กาโม่

“รักกันจริงนะ คู่นี้” โหนกพูดเปรยๆ

“อ้าว แน่ละ ก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม” ผมตอบ แม้คำพูดของโหนกจะแปลกๆอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร

- - -

หลังจากที่ไอ้นัยกับผมเสพติดกับแสงสีและความคึกคักของสยามสแควร์ ทำให้ทุกครั้งที่ไปเรียนดนตรีจะต้องแวะไปเดินเล่นในสยามสแควร์แล้ว ความก้าวหน้าขั้นต่อมาของเราก็คือการดูหนัง

ผมกับไอ้นัยริตีตั๋วดูหนังโรงกันเองสองคน เมื่อย้อนมาคิดดูแล้ว เด็กชายวัย ม. 1 สองคนซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังด้วยกัน ในยุคนั้นผมก็ว่ามันดูแปลกๆอยู่เหมือนกัน ถ้ามาเป็นกลุ่มก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก อยากดูก็ดู ไม่ได้สนใจสายตาของใคร รวมทั้งคิดไม่ถึงด้วย

วันหนึ่ง ขณะที่เราเดินเล่นในสยามสแควร์นั่นเอง ไอ้นัยก็เกิดอยากดูหนังขึ้นมา

“ท่าทางจะน่าดูนะ” ไอ้นัยรำพึง หนังที่เข้าฉายในโรงหนังสยาม ลิโด และสกาลา เป็นหนังฝรั่ง ถ้าหนังไทยจะไปเข้าโรงเอเธนส์ เฉลิมกรุง ฯลฯ ตอนนั้นไอ้นัยไปถูกใจโปสเตอร์หนังเรื่องคนเหล็ก หรือ The Terminator เข้า หนังฝรั่งเรื่องนี้เป็นแนวไซไฟแอ็กชันซึ่งดังมากในช่วงนั้น และทำรายได้ถล่มทลาย จนมีภาคต่อๆมา

“ดูกันมั้ย” ผมชวน ถ้าไอ้นัยรำพึงแบบนี้แสดงว่ามันอยากดู แต่มันมักไม่ออกปากชวน นิสัยมันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คงเป็นเพราะว่ามันตามใจคนอื่นเสียจนเคยชิน ก็เลยติดนิสัยไม่เรียกร้องอะไร อยากได้อะไรก็ไม่พูดตรงๆ

ไอ้นัยพยักหน้า สีหน้าแจ่มใสทันที ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันอยากดูมากเพียงใด

เราเดินไปที่ช่องขายตั๋ว คนแน่นมาก เพราะหนังเพิ่งเข้าโปรแกรม ตั๋วเต็มหมด แต่หน้าโรงจะมีตั๋วผีขาย ตั๋วผีก็คือตั๋วหนังที่คนหัวใสไปเหมาซื้อจากช่องขายตั๋วมาขายต่อโดยบวกกำไรเข้าไป ตั๋วผีนี้มักทำกับหนังดังหรือหนังต้นโปรแกรม คนดูหนังส่วนใหญ่เมื่อไปถึงโรงหนังแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องซื้อ เพราะไม่อยากมาเสียเที่ยว ยิ่งมากันเป็นคู่ๆกับแฟนเกือบร้อยทั้งร้อยต้องยอมซื้อตั๋วผี แต่ตั๋วผีสมัยนี้ไม่มีแล้ว

ตอนนั้นที่นั่งแพงสุดคือแถวหลัง ในสมัยผมเรียน ม. 1 ราคา 60 บาท ส่วนแถวหน้าราคาถูกที่สุดคือ 20 บาท เราเลือกดูราคาถูกที่สุด

“ขายแพงจัง” ไอ้นัยบ่นอุบ เพราะที่นั่ง 20 บาท ตั๋วผีจะถูกโก่งราคาในราว 25 หรือ 30 บาท

“งั้นมาดูวันหลังละกัน รอคนซาจะได้ไม่ต้องซื้อตั๋วผี” ผมเสนอ

“...” ไอ้นัยยืนนิ่ง สายตาไม่ยอมละจากโปสเตอร์หนัง

“ไป กลับบ้านละกัน” ผมแกล้งพูด อดขำไอ้นัยไม่ได้ แค่มันเงียบผมก็รู้แล้วว่ามันอยากดูมาก ทำบ่นไปยังงั้นเอง

ไอ้นัยยังไม่ยอมขยับ ผมเขกหัวมันไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“อยากดูก็บอกสิวะ ทำยึกยักอยู่นั่นแหละ” ผมว่ามัน ไอ้นัยทำหน้าเขินๆที่ผมรู้ทัน

ว่าแล้วผมก็ไปซื้อตั๋วผีมาสองใบ จากนั้นต้องรออีกพักใหญ่ กว่าจะถึงรอบฉาย

หนังโรงเรื่องแรกในชีวิตที่เราไปดูกันเองสองคนนั้นสนุกมาก แต่ดูแล้วเวียนหัวโคตรเลย เพราะว่าที่นั่ง 20 บาทนั้นมีเพียงสองแถวด้านหน้าติดจอเท่านั้น ซึ่งใกล้มาก เวลาดูต้องแหงนคอตั้งบ่า แล้วหนังแอ็กชั่นก็มีการเคลื่อนไหวว่องไว วูบไปวูบมา ดูแล้วแทนที่จะสนุกกลับเวียนหัว แถมเมื่อยคออีกต่างหาก

“โอย กูเวียนหัว จะอ้วก ดูไม่รู้เรื่องเลย” ผมบ่น หลังจากที่หนังจบและเราพากันเดินออกจากโรงหนัง

“เหมือนกันเลยว่ะ ไม่น่างกเลยนะมึง ดันซื้อซะถูกสุด” ไอ้นัยบ่นบ้าง

“อ้าว ตกลงกูผิดเหรอ ที่ซื้อตั๋วให้มึง” ผมถาม

“เออ” ไอ้นัยพยักหน้า รับคำหนักแน่น มันปั้นสีหน้าจริงจังจนผมขำ ผมไม่ได้เคืองมันหรอกครับ ได้ดูหนังกับมันสองคนก็มีความสุขแล้ว แค่แหย่กันไปแหย่กันมาเท่านั้นเอง

ผมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าหนังเรื่องนั้นจะเป็นการจุดชนวนของความยุ่งยากวุ่นวายในชีวิตของผมในเวลาต่อมา... เพียงแค่หนังเรื่องเดียวแท้ๆ


<แบงก์กาโม่ เป็นธนบัตรเด็กเล่น ทำสีสัน รูปร่าง คล้ายๆธนบัตรใบละร้อยบาท ปกติแบงก์เด็กเล่นนี้มักแถมมากับขนมหรือของเล่น แล้วเด็กๆก็สะสมเอาไว้ แล้วเอามาใช้ในการซื้อขายกันแทนธนบัตรจริงในหมู่เด็กๆ โดยมากมักใช้กับการซื้อขายของเล่นเล็กๆน้อยๆ เช่น ซื้อขายตุ๊กตุ่นพลาสติก เป็นต้น

คำว่ากาโม่นี้มาจากชื่อตัวเอกในภาพยนตร์แนวยอดมนุษย์ของญี่ปุ่น ภาพยนตร์ทีวีเรื่องนี้มีชื่อในภาคภาษาไทยว่า “กาโม่ มนุษย์กายสิทธิ์” หรือชื่อในภาคภาษาอังกฤษว่าสเปกเตอร์แมน (Spectreman) ฉายในเมืองไทยครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2515 ธนบัตรเด็กเล่นที่มีรูปมนุษย์กายสิทธิ์นี้อยู่จึงเรียกว่าแบงก์กาโม่ จนเป็นชื่อที่ติดปาก ต่อมา แม้เป็นธนบัตรเด็กเล่นที่เป็นรูปของยอดมนุษย์ญี่ปุ่นคนอื่นๆ ก็ยังคงเรียกว่าแบงก์กาโม่เช่นกัน เพราะความเคยชิน>

10 comments:

Anonymous said...

20 บาทนี่มันพ.ศ.อะไรครับลุง มันแพงขึ้นตั้ง 6 คูณเลยนะครับ ลุงอูชอบแอบดูหนังโป้กับนัยบ้างรึเปล่าเนี่ย อิ อิ

Anonymous said...

ครับคุณอาอู
วันนี้ไปเมรุพระพี่นางฯมาครับ สง่าจริงๆ

หลาน Arus

Anonymous said...

วันนี้ได้อ่านเรื่องของอูจากโทรศัทพ์ครับเลยลองเขัามาเมนต์ดู

กู๋ครับ

Anonymous said...

สวัสดีครับอากู๋
ดูเหมือนว่า ชื่อสายเครือญาติจะเพิ่มขึ้น
อีกหนึ่งคนแล้วนะ

หลาน Arus ของอาอู

Anonymous said...

พ.ศ. อะไรต้องลองไปไล่ดูก็น่าจะรู้ครับ ตั๋ว 20 บาทมีจริงๆ คราวหน้าจะเอารูปให้ดู ตั๋วหนังตอนนั้นชิงรางวัลได้อีกต่างหาก หากเปรียบเทียบกับที่นั่งคู่แบบฮันนีมูนในสมัยนี้แล้ว ต้องเอาสิบกว่ามาคูณเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่คูณ 6

ที่จริงรีข้างบนเค้าชื่อกู๋นี่ ไม่ได้เรียกกู๋ arus สงสัยเข้าใจผิด คราวหน้าขอให้ได้ที่หนึ่งนะ

ตอนนี้ถูกเรียกเกือบครบแล้ว ทั้งอา น้า ลุง พี่ อีกหน่อยคงเรียก เจ่ก แปะ กง ไม่เห็นมีใครเรียกน้องเลยแฮะ

พระเมรุไม่ได้ไปดูครับ ได้ยินว่าต่อคิวนานมาก ก็เลยท้อเสียก่อน

อู

Anonymous said...

ทำแต่งาน ไม่ได้ดูหนังนานแล้ววว...

แบงค์

Anonymous said...

ผมเป็นชุดสุดท้ายไปใกล้ๆ สามทุ่ม
ผมต่อคิดประมาณ 20.40-20.45 น.
พอ 20.50 ก็ได้ขึ้นครับ

หลาน Arus

Anonymous said...

หุหุอ่านไปได้ความรู้ไป
อย่างว่าผมมันเด็กบ้านนอก ไม่ใช่เด็กกรุงเตพ
อิอิ
อยากอ่านตอนต่อไป
^^sky^^

Anonymous said...

ตอนนี้ยาวเป็นพิเศษหน่อย อิอิ
มาช้าดีกว่าไม่มาใช่มั้ยคับอู
ยากรู้แล้วดิ ว่าที่อูพูดว่า
**ผมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าหนังเรื่องนั้นจะเป็นการจุดชนวนของความยุ่งยากวุ่นวายในชีวิตของผมในเวลาต่อมา... เพียงแค่หนังเรื่องเดียวแท้ๆ**
มันคืออะรัย
มันจะมาถึงช่วงหักเหระหว่างนัยกะอูแล้วเหรอคับ
หรือว่าไม่ใช่
ช่างเถอะรีบมาเฉลยก้อแล้วกัน
หรือว่ายังไม่ถึงเวลา
ยังมีเหตุการณ์อื่นๆที่จะเล่าอีกก้อมะเป็งรัยคับ
ขอบคุณครับอู

Anonymous said...

สวัสดีครับพี่อู
ตอนแรกคิดว่ารุ่นๆเดียวกัน
แต่คงไม่ช่ายแล้วล่ะ
เพราะหนังเรื่องวัยระเริง ที่ พี่หนุ่ย อำพลเล่นเนี่ยะ
พศ. 2527 ตอนนั้นผมยังอยู่ป.2 อยู่เลย
พี่อูเล่นไปอยู่ ม.1 แล้ว อิอิ