Saturday, July 26, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 14

ไอ้นัยแยกขึ้นตึกเพื่อไปยังห้องเรียนของมัน ผมเริ่มรู้สึกใจหวิวนิดหน่อย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมมีไอ้นัยอยู่เคียงข้างเสมอ แต่นับแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะต้องเผชิญกับสังคมใหม่ด้วยตัวของผมเอง ...

ไม่เป็นไรน่า ไอ้นัยมันยังไม่กลัว ถ้าผมกลัว ผมก็น้อยหน้ามันน่ะสิ และอกอย่าง ถึงอย่างไรตอนพักเที่ยงเราก็ยังได้เจอกันและกินอาหารด้วยกัน

ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องเรียน ม. ๑/๒ ก้าวแรกที่ผมก้าวเข้าไป ผมเห็นห้องเรียนเพดานสูง บรรยากาศครึ้มนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับมืด สิ่งของทุกอย่างภายในห้องดูค่อนข้างเก่า ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเรียน โต๊ะครูที่อยู่หน้าชั้น กระดานดำ ล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงกาลเวลาอันยาวนาน

การจัดโต๊ะเรียนของห้องเรียนนี้จะวางโต๊ะเป็นแบบแถวตอนเรียงสอง กล่าวคือ โต๊ะสองแถววางติดกัน แล้วคั่นด้วยทางเดิน แล้วก็เป็นโต๊ะอีกสองแถว แล้วก็เป็นทางเดิน ยกเว้นแถวริมหน้าต่างที่เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง

ตอนนั้นยังเช้าอยู่ ในห้องยังมีนักเรียนไม่มากนัก แต่ละคนก็จับจองที่นั่งกันไปก่อนตามใจชอบ ส่วนผมนั้น เลือกที่จะนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เพราะเคยชินกับการนั่งเรียนคนเดียว ไม่นั่งติดกับใคร มาจากโรงเรียนเก่า

เมื่ออยู่ในห้องเรียน แต่ละคนก็ทักทายและแนะนำตัวกัน เนื่องจากแต่ละคนในชั้นล้วนแต่เป็นเด็กใหม่ ดังนั้นจึงคุยและทำความคุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าแต่ละคนก็อยากมีเพื่อนด้วยกันทั้งนั้น คำถามที่ทุกคนมักถามก็คือ อีกฝ่ายหนึ่งจบชั้นประถมมาจากโรงเรียนอะไร และเมื่อผมแนะนำตัวว่าจบมาจากโรงเรียนอะไร หลายๆคนทำหน้าไม่รู้จัก ก็คงเหมือนกับที่ผมไม่รู้จักโรงเรียนของอีกหลายๆคนนั่นเอง

เมื่อเวลาผ่านไป นักเรียนที่ทยอยเข้ามาในห้องก็มากขึ้น เสียงคุยกันก็ดังอึกทึกราวกับอยู่ในตลาด แต่เพียงครู่เดียว ก็มีครูหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา

“เอ้า นักเรียน เดี๋ยวตามครูไปตั้งแถวและเคารพธงชาติกันก่อน” ครูพูดเสียงดังแข่งกับเสียงนักเรียน

หลังจากนั้นครูก็พาพวกเราเดินไปในสนามใหญ่ซึ่งอยู่ใจกลางโรงเรียน สนามนี้จะว่าเป็นสนามหญ้าก็ไม่ใช่ เพราะว่ามีหญ้าขึ้นอยู่ไม่มากนัก แต่จะว่าเป็นสนามทรายก็ไม่ใช่ เพราะว่ายังพอมีหญ้าอยู่ สุดท้ายก็เลยเรียกเพียงว่าเป็นสนามเฉยๆ บนสนามปักป้ายไม้เล็กๆ เขียนชั้นและห้องเอาไว้ เป็นเครื่องหมายให้แต่ละห้องมาตั้งแถวได้ถูกที่นั่นเอง

นักเรียนทุกชั้นปีกำลังเดินเข้ามาในสนามเพื่อตั้งแถว ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด

ครูให้เราตั้งแถว ผมจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ตัวสูง เลยถูกจัดให้ยืนอยู่ด้านหลัง

หลังจากเคารพธรงชาติแล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ออกมากล่าวให้โอวาท ต้อนรับนักเรียนใหม่ที่หน้าเสาธง ผมได้เรียนรู้ว่าที่นี่เขาเรียกผู้บริหารสูงสุดในโรงเรียนว่า “ผู้อำนวยการ” ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนเก่าที่เรียก “อาจารย์ใหญ่” รวมทั้งที่นี่นักเรียนจะเรียกครูว่า “อาจารย์” แต่เวลาครูเรียกตัวเองจะใช้คำแทนตัวว่า “ครู” ซึ่งใหม่ๆผมไม่ค่อยคุ้นกับคำว่าอาจารย์เท่าไรนัก ผมยังชอบคำว่าครูอยู่ เพราะคิดว่าให้ความรู้สึกที่ดีกว่า

หลังจากรับฟังโอวาทจากผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์คนเดิมก็พาแถวของเรากลับเข้าห้องเรียน

เมื่อมาถึงห้องเรียน อาจารย์ก็แนะนำตนเอง ว่าชื่อประพิมพ์ พร้อมทั้งบอกว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเรา อาจารย์ประพิมพ์มีวัยประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างกำลังดี ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่ผอมไม่อ้วน บุคลิกกระฉับกระเฉง ดูเป็นคนอารมณ์ดี ท่าทางคงไม่ใช่ครูที่ดุ

เมื่ออยู่ในห้องกันพร้อมหน้า ครบทั้ง ๕๐ คน ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะว่ามีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เมื่อตอนเช้า ยังไม่เห็นมันในห้อง ส่วนตอนเคารพธงชาติ ผมก็ไม่ได้สังเกต เพิ่งมาสังเกตเห็นตอนนี้เอง

คนที่ผมว่านี้เป็นนักเรียนที่จบ ป.๖ มาจากโรงเรียนเดียวกับผมนั่นเอง เมื่อตอนชั้น ป.๖ มันอยู่ห้องท้ายๆ ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของตึก และเป็นเด็กไปกลับ ดังที่ผมเคยเล่าเอาไว้แล้วว่า ที่โรงเรียนเก่าของผมนั้นใช้ระบบห้องเรียนตายตัว ใครเรียนห้องไหนก็เรียนห้องนั้นไปตลอด ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จะรู้จักกันก็แต่เพื่อนในห้อง และเพื่อนที่อยู่ห้องใกล้ๆกัน ถ้าอยู่ห้องห่างกันออกไปก็จะไม่รู้จักชื่อกันแล้ว

เท่าที่ผมรู้มา มีแต่ผมกับไอ้นัยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ แสดงว่าข้อมูลที่ผมรับรู้มานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ กับไอ้คนนี้ ผมก็ไม่รู้จักชื่อมัน ไม่เคยคุยกันด้วย แค่เคยเห็นหน้าและจำได้ว่าอยู่ชั้นเดียวกันเท่านั้นเอง แต่เมื่อมาเจอกันที่นี่ จะอย่างไรก็อดรู้สึกดีไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกดีๆของศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน แต่ใครจะรู้ล่ะว่า ชีวิตของผมต้องหักเหก็เพราะมันนี่แหละ

อาจารย์ให้พวกเราจัดที่นั่งกันใหม่ เพราะว่าที่นั่งที่พวกนักเรียนจับจองกันตามอัธยาศัยนั้นดูไม่ค่อยเหมาะสม

“พ่อหนุ่ม ตัวสูงเชียว นั่งข้างหน้าแล้วไม่สวย มีปัญหาสายตาหรือเปล่าจ๊ะ ถ้าไม่มีย้ายไปข้างหลังดีกว่านะ” อาจารย์พูดกับผมที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เรียกผมว่าพ่อหนุ่มเสียด้วย

“สายตาไม่มีปัญหาครับ” ผมตอบ

“งั้น โน่น... ไปนั่งข้างหลังดีกว่านะ เอ้า หนุ่มคนนั้นน่ะ ตัวนิดเดียวก็ไปนั่งข้างหลัง นั่งเข้าไปได้ยังไง เพื่อนบังกระดานดำหมด มานั่งข้างหน้าดีกว่า” อาจารย์พูดอย่างอารมณ์ดี ว่าแล้วก็จับเด็กคนหนึ่งมานั่งแทนผม ส่วนตัวผมนั้นก็ถูกส่งไปนั่งหลังสุดของห้อง

ณ ที่นั่งตำแหน่งใหม่ ผมพบว่าเพื่อนที่นั่งติดกับผมเป็นนักเรียนที่มีหน้าตาไร้ความรู้สึก ชื่อวิชัย เห็นหน้าตายของวิชัยแล้วอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ไอ้นัยนั้นก็ชอบตีหน้าตาย แต่ว่าออกไปทางยิ้มแย้ม แต่หน้าตายแบบวิชัยนั้นดูเหมือนคนไร้อารมณ์ ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับโลกภายนอกแม้แต่น้อย ใบหน้าของวิชัยเป็นใบหน้าของลูกจีนขนานแท้ หัวหลิม จมูกใหญ่ อย่างที่เรียกว่าจมูกสิงโต ส่วนรูปร่างนั้นเตี้ยกว่าผมหน่อย

“ทำไมหน้ามันไร้อารมณ์ได้ขนาดนั้นวะ” ผมนึกในใจ

วิชัยนั่งติดกับผมทางด้านขวามือ ส่วนเพื่อนทางซ้ายนั้นไม่ได้นั่งติดกัน แต่มีทางเดินคั่น เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายนี้ชื่อวีกิจ

วีกิจเป็นคนรูปร่างผอมกร้องแกร้ง ผิวคล้ำนิดหน่อย ไม่ถึงกับคล้ำมาก ผมหยิกหยักศก จุดเด่นคือดวงตาที่กลมโต ขนตาที่เรียวยาว ตาหวานมากเลยครับ

“มาเลย มาเลย” วีกิจเอ่ยปากต้อนรับเมื่อผมย้ายมานั่งด้านหลัง น้ำเสียงของมันยานๆ จีบปากจีบคออย่างไรก็ไม่รู้

“โต๊ะเรียนโบราณมากเลย ไม่รู้ลงอักขระเลขยันต์อะไรเอาไว้หรือเปล่า ไม่แน่อาจจะเป็นของขลัง” วีกิจพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน พูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

อักขระเลขยันต์อะไรของมันวะ ผมงงกับศัพท์แสงที่มันใช้ แต่เมื่อสำรวจดูโต๊ะเรียนโดยละเอียด ก็พบว่าโต๊ะเรียนที่อยู่ในห้องเป็นโต๊ะที่เก่ามากจริงๆ หน้าโต๊ะเป็นไม้แผ่นอย่างหนา มีริ้วรอยและหลุมเล็กหลุมน้อยเต็มไปหมด อันแสดงถึงความเก่าแก่ ขาโต๊ะก็เป็นไม้ท่อนขนาดใหญ่ ส่วนเก้าอี้ก็ทำจากไม้ท่อนและไม้แผ่นอย่างหนาเช่นกัน เมื่อลองขยับโต๊ะและเก้าอี้ดู พบว่ามีน้ำหนักมาก โต๊ะเรียนรุ่นเก่าแบบนี้สมัยนี้คงหาไม่ได้แล้ว ปัจจุบันคงมีแต่โต๊ะโครงเหล็กกับหน้าโต๊ะเป็นไม้อัดปิดทับด้วยโฟไมก้าเท่านั้น


<ลักษณะของห้องเรียนในสมัยที่ผมเรียนมัธยม เป็นห้องเรียนแบบเก่า ด้านหน้าเป็นโต๊ะครูกับกระดานดำ โต๊ะครูนั้นส่วนใหญ่ครูไม่ได้นั่ง เพราะยืนสอนตลอดชั่วโมง เอาไว้วางของมากกว่า ส่วนโต๊ะเก้าอี้ของนักเรียนก็เป็นไม้ที่มีน้ำหนักมาก เพราะใช้ไม้ท่อนและไม้แผ่นอย่างดี>

6 comments:

Anonymous said...

มีหลายคนสงสัยว่าอูกับนัยเรียนชื่อดังที่เชิงสะพานพุทธหรือเปล่า ขอตอบว่าไม่ใช่ครับ โรงเรียนที่อูกับนัยเรียน ตั้งอยู่แถวๆหลังวังบูรพา ใกล้ๆดิโอลด์สยาม ดังนั้นเวลาเดินทางมาเรียน จะต้องเดินจากสะพานพุทธฯ มาทางถนนตรีเพชร ผ่านเพาะช่าง ข้ามแยก แล้วจึงจะถึง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จินตนาการขึ้น ไม่มีอยู่จริง

วันก่อนมีคนส่งรูปกางเกงในแอ๊ปเปิ้ลมาให้ผมด้วย ขอเขาไปแล้วว่าอยากเอาภาพมาโพสต์ลงในบล็อก แต่ก็เงียบไปไม่ได้ตอบมา ผมเลยไม่ได้นำมาลงให้ดูกัน น่าเสียดายเหมือนกันครับ เพราะบางคนอาจไม่เคยเห้นกางเกงในรุ่นเก่ายี่ห้อนี้

Anonymous said...

อยากดูจัง กกน ของลุงอูกะนัยนะค้าบ
หุหุ

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับอู

"มีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เมื่อตอนเช้า ยังไม่เห็นมันในห้อง ส่วนตอนเคารพธงชาติ ผมก็ไม่ได้สังเกต เพิ่งมาสังเกตเห็นตอนนี้เองเป็นนักเรียนที่จบ ป.๖ มาจากโรงเรียนเดียวกับผม มันอยู่ห้องท้ายๆ ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของตึก และเป็นเด็กไปกลับ

เท่าที่ผมรู้มา มีแต่ผมกับไอ้นัยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ แสดงว่าข้อมูลที่ผมรับรู้มานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ กับไอ้คนนี้ ผมก็ไม่รู้จักชื่อมัน ไม่เคยคุยกันด้วย แค่เคยเห็นหน้าและจำได้ว่าอยู่ชั้นเดียวกันเท่านั้นเอง แต่เมื่อมาเจอกันที่นี่ จะอย่างไรก็อดรู้สึกดีไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกดีๆของศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน

*****แต่ใครจะรู้ล่ะว่า ชีวิตของผมต้องหักเหก็เพราะมันนี่แหละ*****

ตรงนี้แหละครับอู
ตื่นเต้นมากเลย คงจะมีอะไรที่ต้องดำเนินเรื่องเปลี่ยนไปจากเดิมที่คาดการณ์ไว้แน่เลย
1. อยู่ห้องเดียวกับอู
2. เป็นนักเรียนโรงเรียนประถมชั้นเดียวกัน ถึงแม้จะคนละห้อง เมื่อมาเรียนมัธยมที่เดียวกันห้องเดียวกัน
ย่อมทำให้ผูกพันและสนิทกันมากกว่าเพื่อนใหม่ๆ พบกันทุกวันในห้องเดียวกัน
3. ประกอบกับนัยไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ไปพบเพื่อนใหม่ๆ นิสัยของนัยก้อรู้กันอยู่แล้ว ไม่เรื่องมาก ชอบเกรงใจคน อะไรก้อได้ เผื่อไปเจอคนที่ติดใจนัยแล้วเข้ามาติดพัน นัยก้ออาจจะอาจจะไปสนิทกับคนใหม่ในห้องก้อได้

ชักหวั่น ๆ แล้วดิ

"รักวัยใสหัวใจให้นายคนเดียว"

ให้ใครครับ ให้ ใอ้นัย หรือ ให้ใอ้คนนั้นที่วันนี้มันไม่มาเรียน
ชืออะไรก้อยังไม่รู้ คงจะรู้ตอนหน้า

นี่แหละถึงได้เรียกว่า ภาค 2 งัย

เอ เราจะทำใจได้มะนี่
ยังงัยก้อจะรอนะครับ ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังงัย
ก้อจะติดตามอ่านต่อไปเหมือนเดิม คงจะสนุกดีนะครับ
แต่เสียดายความรักของอูกะนัยนะครับ

ไม่รู้ว่าตีตนไปก่อนหรือป่าวเนี่ยะ
เรื่องราวขึ้นอยู่กะอูผู้เล่าคนเดียว
5555555

ยังงัยก้อเป็นกำลังใจให้อูเหมือนเดิมครับผม
ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ
นิกคับ KTB บานนิดๆ

Anonymous said...

love love

หลาน Arus รายงานตัว

Anonymous said...

เริ่มจะมีอะไรๆ ที่น่าติดตามซะแล้วสิครับ โดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนที่ ร.ร.เก่าด้วยกัน
...อย่าลืม เอากางเกงในแอปเปิ้ลรุ่นเก่ามาโชว์ด้วยนะครับ อยากเห็นครับ
กร ครับ

Anonymous said...

กางเกงในมีนายแบบใส่ด้วยป่าวคับ :)